死亡万花筒
ฝ่ามิติประตูมรณะ
ซีจื่อซวี่ 西子绪 เขียน
ซิ่วเจิน แปล
XOXO วาด
– โปรย –
สิ่งที่แปลกไปอย่างแรกก็คือ แมวที่บ้านไม่ยอมให้เขากอด
จากนั้นหลินชิวสือก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปจากเดิม
แล้ววันหนึ่ง ตอนที่เขาผลักเปิดประตูบ้านออกมา
ก็พบว่าทางเดินในตึกที่คุ้นเคยกลับกลายเป็นทางเดินยาวซึ่งทั้งสองฟาก
เป็นประตูเหล็กที่มีลักษณะเหมือนกันสิบสองบาน
แล้วเรื่องราวต่างๆ ก็เริ่มต้นขึ้นจากจุดนี้
และเมื่อเปิดประตูเข้าไปครั้งแรกเขาก็ได้เจอกับคนแปลกๆ ที่ยิ่งได้รู้ความจริงก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ
“ทำไมคุณต้องใส่ชุดผู้หญิงด้วยล่ะ”
“งานอดิเรก”
หลินชิวสือ “…”
เมื่อสายรุกหนังหน้าหนา เจ้าเล่ห์ ทรงเสน่ห์
และชื่นชอบการแต่งหญิงเป็นชีวิตจิตใจมาเจอกับฝ่ายรับที่ซุกซ่อนความหน้าไม่อายไว้
ภายใต้ความเงียบขรึมอย่างแนบเนียน ความไร้ยางอายขั้นกว่าจึงบังเกิดขึ้น!
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 5 บ่อน้ำที่แห้งขอด
พายุหิมะที่ซัดกระหน่ำทำให้การเดินบนเส้นทางเล็กแคบบนภูเขาเต็มไปด้วยความยากลำบาก
หลินชิวสือเกรงว่าร่างกายของหร่วนป๋ายเจี๋ยจะทนไม่ไหวจึงช่วยดูแลหญิงสาวไปตลอดทาง เสี่ยวเคอที่เดินอยู่ข้าง ๆ จึงพูดเสียงเรียบว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาช่างดีเสียเหลือเกิน
“เป็นผู้หญิงเลยต้องดูแลมากหน่อย” หลินชิวสือบอก
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หร่วนป๋ายเจี๋ยที่ยืนอยู่ด้านหลังของหลินชิวสือก็ปรายตามองเสี่ยวเคอด้วยแววตาเวทนา
ใบหน้าของเสี่ยวเคอเรียบตึงขึ้นทันควัน รีบเบนสายตาไปทางอื่น ดูไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ทันทีที่ถึงจุดหมาย ทุกคนก็เริ่มลงมือทำหน้าที่ของตน คราวนี้พวกเขาเลือกต้นไม้ที่มีขนาดไม่ใหญ่มากมาสองต้น ตั้งใจว่าจะตัดให้เสร็จในคราวเดียว แม้อากาศจะยังคงหนาวเย็น แต่การที่ได้ออกแรงก็มีผลให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น หลินชิวสือจึงปลดกระดุมเสื้อโค้ตยืนพักอยู่ครู่หนึ่ง
หร่วนป๋ายเจี๋ยที่ยืนพิงต้นไม้อยู่ไม่ไกลมองไปยังหลินชิวสืออย่างใช้ความคิด
พอเห็นดังนั้นชายหนุ่มก็ถามว่า “มองอะไร”
“ก้นกลมดีจัง…”
หลินชิวสือเกือบทำขวานร่วงจากมือ เขาหันไปจ้องหร่วนป๋ายเจี๋ยเขม็ง “คุณว่าอะไรนะ”
“ฉันไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย คุณหูฝาดแล้วละ”
แววตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความไม่เชื่อถือ
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็บอกมาสิว่าเมื่อกี้ฉันพูดอะไร”
“…” ผู้หญิงคนนี้รู้ว่าเขาอายใช่ไหม
หลินชิวสือทำงานไปพลางคุยกับหร่วนป๋ายเจี๋ยไปพลาง ผ่านไปสักพักชายหนุ่มจึงผลัดให้คนอื่นมาตัดไม้แทนเพื่อจะได้พักบ้าง วันนี้พวกเขาตัดต้นไม้ทั้งสองต้นเสร็จก่อนที่ท้องฟ้าจะมืด
ตอนตัดต้นไม้ยังไม่น่าเป็นห่วงเท่าไร แต่ตอนที่จะขนลงมาต่างหากที่น่ากังวล
แม้ว่าร่างของสองคนที่เสียชีวิตไปเมื่อวานจะถูกฝังอยู่ใต้ชั้นหิมะจนมองไม่เห็น ทว่าภาพเหตุการณ์สะเทือนขวัญยังคงติดตาผู้คนอยู่
“ไม่ต้องแบกขึ้นไหล่ เอาเชือกผูกไว้แล้วลากลงไป” สยงชีบอก
“ใครจะเป็นคนลากล่ะ” จางจื่อซวงถาม
“แบ่งผู้ชายออกเป็นสองทีมแล้วช่วยกันลาก”
วิธีนี้ค่อนข้างยุติธรรมกับทุกฝ่ายเพราะทุกคนต้องทำเหมือนกันหมด หากต้องตายก็ถือว่าโชคไม่เข้าข้างเอง ไม่ต้องโทษคนอื่น
หลินชิวสือรับเชือกจากมือของสยงชีโดยไม่พูดอะไร ออกแรงลากท่อนซุงที่มีน้ำหนักไม่น้อยไปพร้อมกับทุกคน การลากท่อนซุงไปตามทางเล็ก ๆ ในหุบเขาแม้จะมีความยากมากกว่าปกติ แต่ก็ค่อนข้างปลอดภัย ไม่น่าจะเกิดเหตุร้ายซ้ำรอยเดิม
ความผิดพลาดครั้งก่อนสอนให้ทุกคนระมัดระวังเป็นพิเศษ กระทั่งออกจากภูเขามาถึงบ้านของช่างไม้จึงคลายความเครียดลง
“คุณตา” สยงชีตะโกนเรียก “พวกเราเอาไม้มาส่งแล้ว”
เสียงกุกกักดังมาจากอีกฝั่งของประตู อึดใจต่อมาใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยริ้วรอยของชายสูงวัยก็ปรากฏขึ้นระหว่างรอยแตกบนประตู ช่างไม้เปิดประตูออกช้า ๆ ทำท่าทางให้พวกเขาขนไม้เข้าไป
“คุณตา” สยงชียกมือขึ้นปาดเกล็ดหิมะบนใบหน้า “พวกเราเอาไม้มาส่งให้ครบแล้วนะครับ เดี๋ยวพวกเราจะไปไหว้พระ ต้องเอาอะไรไปด้วยหรือเปล่า”
ผู้สูงวัยดูดบุหรี่ในมือก่อนจะพ่นกลุ่มควันสีขาวออกมา ตอบอย่างคลุมเครือว่า “พาคนอื่นไปด้วยก็พอ”
เมื่อสยงชีได้ยินดังนั้นก็พลันขมวดคิ้ว
“ต้องไปที่วัดตอนกลางคืนเท่านั้น” ช่างไม้กล่าวต่อ “หลังจากฟ้ามืดสนิทก็เข้าไปในวัดทีละคน ไหว้พระในนั้นแล้วก็ออกมา”
สีหน้าของหร่วนป๋ายเจี๋ยเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเงื่อนไขจากปากของชายชรา หลินชิวสือคิดว่าเธอจะพูดบางอย่าง หากท้ายที่สุดหญิงสาวก็เพียงแค่ยิ้มออกมา
“ต้องเข้าไปทีละคนเท่านั้นเหรอ” สยงชีรู้สึกว่าเงื่อนไขนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล “เข้าไปพร้อมกันไม่ได้เหรอครับ”
“เข้าไปพร้อมกัน?” ชายชราหัวเราะเสียงเย็น “จะลองดูก็ได้”
“ขอบคุณคุณตามากครับ” สยงชีหมดคำถามจึงหันกลับไปเรียกทุกคนให้ออกจากบ้านของช่างไม้
หลินชิวสือรู้สึกว่าช่างไม้ดูไว้ใจไม่ได้จึงถามว่า “คนในหมู่บ้านโกหกไม่ได้ใช่ไหม”
“บางคนก็ได้” สยงชีตอบ “แต่ปกติแล้วพวกตัวหลักจะไม่โกหก เพราะหากเขาให้คำใบ้ปลอม พวกเราก็จะไม่มีทางหากุญแจเจอ”
ทำได้แต่เพียงนั่งรอความตายเท่านั้น
หลินชิวสือเห็นด้วยกับอีกฝ่าย
หลังจากนำไม้ไปส่งให้ช่างไม้แล้ว พวกเขาก็ตรงกลับที่พัก แล้วก่อไฟเพื่ออบอุ่นร่างกายพร้อมกับวางแผนการหลังจากนี้
หร่วนป๋ายเจี๋ยบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ แต่หายไปนานก็ยังไม่กลับมา
หลินชิวสือรออยู่ครู่หนึ่งจนแน่ใจจึงออกไปตามด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ไม่พบหญิงสาวที่ห้องน้ำ ชายหนุ่มไล่ตามหาไปทีละห้อง กระทั่งไปพบหร่วนป๋ายเจี๋ยนั่งอยู่ข้างบ่อน้ำตามลำพัง
เนื้อตัวของหญิงสาวเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะคล้ายว่านั่งอยู่ตรงนี้มาได้สักพักใหญ่ ชายหนุ่มลองเรียกชื่อ แต่เจ้าตัวก็ไม่หันมา ราวกับว่าไม่ได้ยิน
“หร่วนป๋ายเจี๋ย?” หลินชิวสือเดินเข้าไปหาหญิงสาว “มานั่งทำอะไรตรงนี้ หนาวออก”
“อย่าขยับ” คนที่นั่งอยู่โพล่งขึ้น
หลินชิวสือชะงักกึก
“อย่าเข้ามาใกล้ฉัน” หญิงสาวพูดเสียงเย็น ไร้ซึ่งความนุ่มนวลราวสายน้ำตามปกติ “ถอยออกไปอีกหน่อย”
“มีอะไรหรือเปล่า” ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่า การที่หญิงสาวเปลี่ยนท่าทางจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้ต้องมีสาเหตุหลักมาจากบ่อน้ำที่อยู่ข้างตัวเธอเป็นแน่
หญิงสาวส่ายหน้า ไม่ตอบ
หลินชิวสือรวบรวมความกล้าขยับเท้าเข้าไปหาหร่วนป๋ายเจี๋ยอีกสองก้าว กระทั่งอยู่ในระยะที่มองเห็นปากบ่อได้ชัดเจน ตอนยังไม่เห็นก็ไม่เป็นอะไร แต่เมื่อได้เห็นชายหนุ่มก็ขนลุกไปทั้งตัว ในบ่อน้ำเต็มไปด้วยวัตถุสีดำ ตอนแรกชายหนุ่มเข้าใจว่าที่เห็นคือผิวน้ำ แต่หลังจากเห็นเจ้าสิ่งนั้นขยับไปมาจึงมั่นใจว่าตาของตนไม่ได้ฝาด…ในบ่อน้ำเต็มไปด้วยเส้นผมสีดำ
กลุ่มผมพันขาของหร่วนป๋ายเจี๋ยแน่น ไม่อาจสลัดให้หลุดได้
“หลินชิวสือ อย่าเข้ามา” หญิงสาวเตือน “คุณอาจจะโดนลากลงไปด้วย”
“ไม่เป็นไร” หลินชิวสือบอกเสียงเบาด้วยเกรงว่าถ้าส่งเสียงดังเกินไปจะทำให้เส้นผมสีดำตกใจ “ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัวนะ ผมมาช่วยคุณแล้ว”
หร่วนป๋ายเจี๋ยหันศีรษะไปจ้องชายหนุ่มเขม็ง แววตาของเธอเปลี่ยนเป็นดำมืด ดูน่ากลัวคล้ายบ่อน้ำอันไร้ก้นบึ้ง ไม่มีความอ่อนโยนอีกต่อไป “ไม่ต้อง”
“คุณทนอีกหน่อยนะ รอผมก่อน” ชายหนุ่มนึกบางอย่างออกจึงวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน
สยงชีที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นเห็นหลินชิวสือพรวดพราดเข้ามาก็ถามด้วยความสงสัย แต่ชายหนุ่มกลับตรงไปยังห้องครัวโดยไม่สนใจ
เมื่อถึงห้องครัวเขาก็หยิบฟืนขึ้นมา รีบจุดไฟด้วยหินเหล็กไฟก่อนจะวิ่งออกไป
ระยะเวลาไม่กี่นาทียาวนานราวกับหนึ่งศตวรรษในความคิดของหลินชิวสือ มือของเขาสั่นไปหมด เขากลัวมาก…กลัวว่าจะวิ่งกลับไปเจอเพียงบ่อน้ำที่ว่างเปล่า
เคราะห์ดีที่เมื่อกลับไปพร้อมฟืนติดไฟ หร่วนป๋ายเจี๋ยยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
“ผมมาแล้ว” หลินชิวสือหอบแฮก “เดี๋ยวผมจะโยนไฟลงไปในบ่อ คุณจับมือผมไว้…อย่าปล่อยนะ”
“คุณไม่กลัวเหรอ”
“กลัวอะไร” ชายหนุ่มชะงักไป
“ก็กลัวตายน่ะสิ”
หลินชิวสือหัวเราะ “ใครบ้างไม่กลัวตาย แต่ที่นี่ยังมีสิ่งที่น่ากลัวกว่าความตายอยู่อีก” แม้จะมีอีกหลายสิ่งเกี่ยวกับมิติประตูที่เขายังไม่เข้าใจ แต่เขาก็รู้ดีว่าการที่ตนยังมีลมหายใจมาถึงตอนนี้เป็นเพราะหร่วนป๋ายเจี๋ยช่วยไว้ หากไม่มีเธอ เขาอาจจะกลายเป็นก้อนเนื้อไปตั้งแต่คืนแรกแล้วก็เป็นได้
“เอาละ ผมจะขยับเข้าไปละนะ” ชายหนุ่มเกรงว่าหากทอดเวลาออกไปร่างกายของหญิงสาวจะทนต่อไปไม่ไหว เขาสาวเท้าเข้าใกล้หร่วนป๋ายเจี๋ยทีละก้าว
เมื่อถึงระยะที่พอเหมาะ เขาก็คว้ามือของคนข้างขอบบ่อก่อนจะโยนคบไฟไปทางกลุ่มเส้นผม
“กรี๊ด…” เสียงสตรีกรีดร้องดังออกมาจากภายในบ่อ เปลวไฟลุกโชติลามไปตามเส้นผมที่สะบัดตัวรุนเรง จังหวะที่สถานการณ์กำลังสับสน หลินชิวสือก็มองเห็นใบหน้าซีดขาวในบ่อน้ำ แม้จะเพียงแวบเดียว หากเขาก็จำได้ว่าเคยเห็นใบหน้านี้มาแล้ว เป็นใบหน้าของปิศาจสาวที่แสร้งเลียนเสียงของหร่วนป๋ายเจี๋ยในคืนนั้น
“วิ่งเร็ว!” เส้นผมที่รัดขาของหญิงสาวคลายออก ชายหนุ่มจึงฉุดเธอวิ่งออกมา
หร่วนป๋ายเจี๋ยวิ่งไปตามแรงฉุดดึงของหลินชิวสือ ทั้งสองรีบเข้าไปในบ้านพลางหอบหายใจอย่างรุนแรง
“เกิดอะไรขึ้น” คนที่อยู่ในบ้านพากันแตกตื่น
“มันอยู่ในบ่อ…” หลินชิวสือพยายามสูดอากาศเข้าปอด “อย่าเข้าไปใกล้บ่อน้ำ ป๋ายเจี๋ยเกือบจะโดนมันลากลงไป” เขาบอกทุกคนก่อนหันไปถามหญิงสาวว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่
“ไม่ ฉันไม่เป็นอะไร”
เมื่อได้ยินดังนั้นหลินชิวสือจึงจ้องไปยังข้อเท้าของอีกฝ่ายซึ่งบริเวณที่ถูกรัดเห็นรอยห้อเลือดเด่นชัด ทั้งยังมีเลือดค่อย ๆ ไหลออกมาช้า ๆ “อย่างนี้เนี่ยนะเรียกว่าไม่เป็นอะไร นั่งลงเร็ว ผมจะทำแผลให้”
หร่วนป๋ายเจี๋ยเพิ่งรู้สึกตัวว่าได้รับบาดเจ็บ หญิงสาวเอียงคอมองรอยแผลก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้อย่างว่าง่าย
หลินชิวสือค้นจนเจออุปกรณ์ทำแผลในบ้าน ชายหนุ่มนั่งคุกเข่า วางเท้าของหร่วนป๋ายเจี๋ยลงบนหน้าขา ก่อนจะเริ่มทำแผลอย่างเบามือด้วยเกรงว่าจะพลั้งมือทำให้หญิงสาวเจ็บ
“คุณอ่อนโยนกับผู้หญิงทุกคนแบบนี้เหรอ” หร่วนป๋ายเจี๋ยถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ไม่เกี่ยวกับว่าเป็นผู้หญิงหรือเปล่าหรอก ถ้าคุณเป็นผู้ชาย ผมจะมือหนักเท้าหนักกับคุณได้เหรอ” หลินชิวสือตอบโดยไม่ต้องคิด
“อ้อ…”
จู่ ๆ คนที่ทำแผลก็หลุดปากถามว่า “นี่คุณไม่ใช่ผู้ชายใช่ไหม สูงขนาดนี้ หน้าอกก็ไม่มี” ยังดีที่หร่วนป๋ายเจี๋ยเป็นคนสวยมาก อย่างน้อยเขาก็ไม่เชื่อว่าจะมีผู้ชายที่สวยได้ถึงขนาดนี้บนโลก
“จริงด้วย หน้าอกฉันยังใหญ่ไม่เท่าของคุณเลย” หร่วนป๋ายเจี๋ยถอนหายใจ
“…”
“ก้นก็ไม่กลมเท่าคุณ” หญิงสาวเสริมอีกประโยค
“…ไร้สาระ”
หร่วนป๋ายเจี๋ยหัวเราะคิกคัก
หลังทำแผลเสร็จ หลินชิวสือก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้สยงชีและคนอื่น ๆ ฟัง พวกเขาดูไม่ค่อยร้อนใจนัก มีเพียงสยงชีกับเสี่ยวเคอเท่านั้นที่มีสีหน้าไม่ค่อยดี เห็นได้ชัดว่าทั้งสองกำลังนึกถึงคำพูดของชายชราเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องทำตอนต่อโลงศพ…ต้องเติมบ่อน้ำ
ไม่รู้ว่าโลงศพกับบ่อน้ำมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร อีกทั้งการเติมบ่อน้ำให้เต็มก็ไม่รู้ว่าเป็นประเพณีของหมู่บ้านหรือเป็นหลุมพรางที่ช่างไม้วางไว้กันแน่
หร่วนป๋ายเจี๋ยคล้ายจะรู้ว่าสยงชีคิดอะไรจึงยิ้มบาง ๆ “ไม่ต้องคิดมาก ควรทำอะไรก็ทำไป ชะตาเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว”
สยงชีถอนหายใจเบา ๆ “พวกเราตั้งใจจะไปไหว้พระที่วัดคืนนี้ คุณจะไปด้วยไหม”
“ฉันเหรอ? ฉันเจ็บเท้าเดินไม่ได้ ชิวสือ…ฉันขี่หลังคุณไปได้ไหม”
หลินชิวสือผงกศีรษะ
“แผลเล็กนิดเดียว ถึงกับเดินไม่ได้เลยเหรอ” เสี่ยวเคอที่อยู่ด้านข้างโพล่งขึ้น
ได้ยินเช่นนั้นหร่วนป๋ายเจี๋ยกลับไม่รู้สึกขุ่นเคืองแต่อย่างใด เพียงแค่ยิ้มหวานบอกว่า “ขอโทษนะพี่เสี่ยว พอดีที่บ้านเลี้ยงมาอย่างทะนุถนอม ออกมาข้างนอกก็เลยอ่อนแอไปบ้าง”
“เธอก็เอาแต่พึ่งความใจดีของหลินชิวสือ ในมิติประตูนี้ไม่สนหรอกนะว่าเธอจะเป็นใครมาจากไหน ทำไมคนที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อนต้องมาคอยตามใจเธอด้วย”
“งั้นเหรอ…ฉันยังคิดว่าคุณกับสยงชีรู้จักกันมาก่อนเสียอีก” หร่วนป๋ายเจี๋ยกล่าวด้วยท่าทางปกติ
หากใครจะรู้ว่าเมื่อประโยคนี้ออกมาจากปากของหญิงสาวจะมีผลให้เสี่ยวเคอกับสยงชีถึงกับสีหน้าเปลี่ยน นัยน์ตาเผยแววหวาดระแวง
บรรยากาศพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือจนหลินชิวสือสัมผัสได้
“เธอหมายความว่ายังไง” เสี่ยวเคอย้อนถาม
“ก็ไม่ได้หมายความว่ายังไง แค่รู้สึกว่าคุณสองคนดูสนิทกันก็เท่านั้น…ไม่ใช่ว่าพวกคุณรู้จักกันมาก่อนจริง ๆ หรอกนะ”
“จะเป็นไปได้ยังไง” สีหน้าของเสี่ยวเคอดูไม่ดีนัก
หร่วนป๋ายเจี๋ยหัวเราะ แล้วไม่กล่าวถึงเรื่องนี้อีก
แน่นอนว่าเสี่ยวเคอเองก็เลิกกระแนะกระแหนหร่วนป๋ายเจี๋ยเช่นกัน เลิกค้านที่เธอจะขี่หลังหลินชิวสือไปวัดไปโดยปริยาย และได้แต่หมุนตัวจากไปด้วยใบหน้าดำทะมึน