死亡万花筒
ฝ่ามิติประตูมรณะ
ซีจื่อซวี่ 西子绪 เขียน
ซิ่วเจิน แปล
XOXO วาด
– โปรย –
สิ่งที่แปลกไปอย่างแรกก็คือ แมวที่บ้านไม่ยอมให้เขากอด
จากนั้นหลินชิวสือก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปจากเดิม
แล้ววันหนึ่ง ตอนที่เขาผลักเปิดประตูบ้านออกมา
ก็พบว่าทางเดินในตึกที่คุ้นเคยกลับกลายเป็นทางเดินยาวซึ่งทั้งสองฟาก
เป็นประตูเหล็กที่มีลักษณะเหมือนกันสิบสองบาน
แล้วเรื่องราวต่างๆ ก็เริ่มต้นขึ้นจากจุดนี้
และเมื่อเปิดประตูเข้าไปครั้งแรกเขาก็ได้เจอกับคนแปลกๆ ที่ยิ่งได้รู้ความจริงก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ
“ทำไมคุณต้องใส่ชุดผู้หญิงด้วยล่ะ”
“งานอดิเรก”
หลินชิวสือ “…”
เมื่อสายรุกหนังหน้าหนา เจ้าเล่ห์ ทรงเสน่ห์
และชื่นชอบการแต่งหญิงเป็นชีวิตจิตใจมาเจอกับฝ่ายรับที่ซุกซ่อนความหน้าไม่อายไว้
ภายใต้ความเงียบขรึมอย่างแนบเนียน ความไร้ยางอายขั้นกว่าจึงบังเกิดขึ้น!
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 6 เข้าวัด
ผืนฟ้ายามค่ำคืนไร้ซึ่งแสงสว่าง พวกเขาต้องถือคบไฟเดินฝ่าสายลมหนาวที่ชอนไชเข้าไปถึงกระดูก
แม้หิมะที่ตกอย่างไม่ลืมหูลืมตาอยู่เมื่อครู่จะหยุดลงแล้ว แต่ยังคงเหลือกระแสลมอันเย็นยะเยียบจนน่าหวาดหวั่น หลิวชิวสือย่ำเท้าลงบนพื้นหิมะเกิดเป็นเสียงดังสวบสาบ เขาดึงหมวกลงมาครอบใบหูและส่วนบนของใบหน้า ร่างในเสื้อตัวหนาโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อยเนื่องจากต้องแบกหญิงงามไว้บนหลัง
ตลอดทางไม่มีผู้ใดส่งเสียงพูดคุย รอบกายจึงเงียบจนน่ากลัว
ทว่าในที่สุดก็มีผู้ทำลายความเงียบลงหลังจากวัดที่ช่างไม้กล่าวถึงปรากฏแก่สายตา
“วัดนี้เหรอ” จางจื่อซวงเอ่ยปาก “มันดู…แปลก ๆ ไปหน่อยไหม”
วัดในยามค่ำคืนนั้นดูแปลกประหลาด มองแวบแรกดูเก่าคร่ำคร่า แต่เมื่อสังเกตดี ๆ จะพบว่าการก่อสร้างมีความวิจิตรงดงามมาก แค่ลายสลักนูนต่ำบนเสาประตูอย่างเดียวก็มีความประณีตผิดธรรมดาแล้ว
หลินชิวสือย่อตัวให้หร่วนป๋ายเจี๋ยลงจากหลัง ก่อนจะยกคบไฟส่องสำรวจลวดลายของรอยสลักบนเสา เนื้อไม้ถูกแกะเป็นภาพของนรกภูมิขุมที่สิบแปด[1] พญายมและเหล่าวิญญาณบาปที่ทรมานจากความทุกข์ทนต่างดูสมจริงราวกับมีชีวิต
“เสานี้สวยจัง” หร่วนป๋ายเจี๋ยกล่าวชมอย่างไม่คำนึงถึงสถานการณ์
“อืม สวยจริง ๆ” หลินชิวสือเห็นด้วย
รอยสลักซึ่งเรียกได้ว่าเป็นงานประติมากรรมอันทรงคุณค่านี้ไม่น่าจะเป็นผลงานสร้างสรรค์จากชาวบ้านในหมู่บ้านกลางหุบเขาแห่งนี้ได้
หากไม่เป็นเพราะมีสิ่งที่สำคัญกว่าต้องทำ หลินชิวสือคงใช้เวลาไปกับการสำรวจงานศิลปะเบื้องหน้าแล้ว
“ใครจะไปก่อน”
คำถามของสยงชีไม่มีใครกล้าตอบ การเข้าไปในวัดถือว่าอันตรายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะถ้ามันเป็นหนึ่งในเงื่อนไขสู่ความตายด้วยแล้ว ผู้ที่เข้าไปก่อนมิต้องกลายเป็นเครื่องสังเวยหรอกหรือ
“ทำไมต้องเข้าไปทีละคนด้วย” หร่วนป๋ายเจี๋ยถามขึ้นมาดื้อ ๆ “หากตาแก่นั่นหลอกเราขึ้นมาจะทำยังไง”
“เชื่อคำพูดของเขาไว้ก่อนย่อมดีกว่า” สยงชีกล่าว
“ก็ไม่เสมอไปหรอก” หญิงสาวแย้งก่อนหันไปทางหลินชิวสือ “ชิวสือ ฉันกลัวจัง เราเข้าไปกันสองคนเถอะ”
คำชักชวนของหร่วนป๋ายเจี๋ยก่อให้เกิดความลังเลขึ้นในใจของชายหนุ่ม “แต่ถ้าการเข้าไปสองคนทำให้เงื่อนไขการตายสมบูรณ์ล่ะ”
“ไหน ๆ ก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงอยู่แล้ว ลองเสี่ยงดูก็คงไม่เสียหาย ถ้าเข้าไปคนเดียวแล้วเกิดอะไรขึ้นมา คนอื่น ๆ ก็จะไม่มีทางรู้ได้เลย” พูดจบหญิงสาวก็ทอดสายตาไปยังวัดที่ตั้งอยู่ท่ามกลางความมืดเบื้องหน้า “อีกอย่าง…ถึงตอนเข้าไปจะเป็นคน แต่ตอนกลับออกมา…อาจจะกลายเป็นอย่างอื่นไปแล้วก็ได้”
คำพูดของเธอพาให้คนอื่น ๆ ขนลุกเกรียว ไม่เว้นแม้แต่หลินชิวสือ เขาใช้มือลูบแขนพลางพิจารณาสีหน้าของหร่วนป๋ายเจี๋ยไปด้วย ก่อนจะกัดฟันพูดว่า “ก็ได้”
“พวกคุณรู้ไหมว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ หากเข้าไปสองคนละก็…” สยงชีถามหน้าเคร่ง
เขาคล้ายจะแนะนำบางสิ่งต่อ ทว่ากลับถูกหร่วนป๋ายเจี๋ยตัดบท “มั่นใจเหรอว่าต้องเข้าไปคนเดียวถึงจะไม่เป็นอะไร”
สยงชีได้แต่ปิดปากเงียบเพราะตนเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน
“คุณจะเข้าไปยังไงก็เป็นเรื่องของคุณ” หร่วนป๋ายเจี๋ยประกาศ ก่อนจะพูดกับหลินชิวสืออย่างอ่อนโยน “อากาศหนาวจัง ชิวสือ…พวกเราเข้าไปกันก่อนเถอะ จะได้รีบกลับไปนอน”
คำว่า ‘นอน’ ทำให้คนอื่นนึกขึ้นได้ว่ายามค่ำคืนอันน่าพรั่นพรึงจวนเจียนจะมาบรรจบอีกครั้ง ขืนมัวโอ้เอ้ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะต้องอยู่ที่นี่ทั้งคืน หากต้องเผชิญหน้ากับบางอย่างเข้าก็จะอยู่นอกเหนือการควบคุมโดยสิ้นเชิง
“ไปเถอะ” หญิงสาวคว้ามือของชายหนุ่ม เบียดกายเข้าไปใกล้
หลินชิวสือคุ้นเคยกับการถึงเนื้อถึงตัวของหร่วนป๋ายเจี๋ยแล้ว จึงเพียงเม้มริมฝีปากแน่นขณะพยักหน้า
ทั้งสองเดินตรงเข้าไปในวัด
คนที่เหลือต่างมองตามแผ่นหลังของทั้งคู่พลางครุ่นคิดเงียบ ๆ
บานประตูไม้ของวัดแง้มเปิดไว้บางส่วน แต่ความมืดมิดก็ทำให้มองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ภายใน หร่วนป๋ายเจี๋ยผลักประตูเบา ๆ
เสียง ‘แอ๊ด’ ดังกังวานยามประตูเปิดออก อากาศจากด้านในพุ่งออกมากระทบใบหน้า
หลินชิวสือได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ซึ่งแม้จะบางเบา หากก็สามารถจำแนกได้ชัดเจนภายในสภาพแวดล้อมเช่นนี้
ชายหนุ่มอาศัยแสงสว่างอันน้อยนิดจากคบไฟสำรวจภายในวัด
วัดแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่นัก การจัดวางสิ่งต่าง ๆ เป็นไปอย่างเรียบง่ายยิ่ง ตรงกลางประดิษฐานรูปปั้นเทพเจ้าจำนวนหนึ่งพร้อมด้วยแท่นสำหรับวางกระถางธูป ส่วนด้านข้างตั้งกล่องรับบริจาคขนาดใหญ่ที่คล้ายสลักตัวอักษรไว้ด้านบน แต่หลินชิวสือมองเห็นไม่ชัดเพราะยืนอยู่ไกลเกินไป
“ไปเถอะ” หร่วนป๋ายเจี๋ยบอก
ทั้งสองตรงไปยังเบาะที่วางไว้สำหรับผู้ที่มาสักการะ
หลินชิวสือบอกไม่ได้ว่าเป็นรูปเคารพของพระโพธิสัตว์องค์ใด แต่ใบหน้าเปี่ยมเมตตานั้นให้ความรู้สึกของการโปรดสัตว์โลกให้พ้นจากความทุกข์
หร่วนป๋ายเจี๋ยคุกเข่าลงบนเบาะ ก้มลงกราบด้วยใบหน้าสงบ
หลินชิวสือกลั้นลมหายใจเฝ้ารอด้วยใจระทึก
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น พระโพธิสัตว์องค์นั้นยังคงหลุบตาทอดมองผู้มากราบไหว้ด้วยความเมตตา นอกจากเสียงหวีดหวิวของลมที่แว่วมาเป็นระยะแล้ว บรรยากาศภายในวัดก็นำมาซึ่งความสงบใจแก่ผู้แวะเวียนเข้ามา
หลินชิวสือถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ไม่เห็นมีอะไรเลย” หร่วนป๋ายเจี๋ยลุกขึ้นปัดฝุ่นที่เปื้อนบนเข่าออก “มาสิ”
หลินชิวสือผงกศีรษะ ส่งคบไฟให้หญิงสาวช่วยถือก่อนจะนั่งลงกราบพระโพธิสัตว์อย่างตั้งใจ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าหญิงสาวอธิษฐานขอพรใด แต่ตัวเขานั้นขอให้พระองค์ช่วยปกป้องคุ้มครองให้แคล้วคลาด
“เสร็จแล้ว” ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนจะสิ้นเรี่ยวแรงแม้จะไม่ได้ทำอะไรนอกจากการก้มกราบ หลังรอจนแน่ใจว่าไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น หลินชิวสือก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ไปกันเถอะ ควรออกไปได้แล้ว” หญิงสาวย้อนกลับออกไปทางเดิม
ทั้งสองเดินออกมาอย่างสบายใจ
เมื่อคนที่จับกลุ่มกันอยู่เห็นว่าทั้งสองออกมาได้อย่างไม่มีส่วนใดบุบสลายก็พากันประหลาดใจ สยงชีถามว่า “มีอะไรไหม”
“ไม่มี” หลินชิวสือส่ายศีรษะ
คนที่เหลือแม้จะไม่พูดอะไร หากสีหน้าก็มีแววกังขา บ้างก็ดูลังเล
“ในเมื่อไม่มีอะไร…พวกเราก็เข้าไปครั้งละสองคนดีไหม” สยงชีเสนอ
“คุณแน่ใจหรือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา” หนึ่งในนั้นมองหร่วนป๋ายเจี๋ยและหลินชิวสืออย่างไม่ไว้ใจ “เมื่อกี้เธอพูดเองว่าถึงตอนเข้าไปจะเป็นคน แต่ตอนกลับออกมาอาจจะกลายเป็นอย่างอื่น พวกคุณแน่ใจได้ยังไงว่าสองคนนี้ยังเป็นคนอยู่”
หลินชิวสือที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยตั้งท่าจะอธิบาย แต่หร่วนป๋ายเจี๋ยกลับโบกมือห้าม บอกเสียงเรียบว่า “พวกเราไม่ได้บอกให้ทำตาม จะทำอะไรก็เรื่องของคุณ”
“พี่สยง ฉันก็กลัวเหมือนกัน พวกเราเข้าไปด้วยกันไหม” เสี่ยวเคอชวน
สยงชีมีท่าทีลังเล
คนในกลุ่มที่ไม่มีความกล้าพอเริ่มมองหาคนที่จะเข้าไปพร้อมกัน หากก็ยังมีบางคนที่ยังยืนกรานจะทำตามคำพูดของช่างไม้
“คิดยังไงก็ทำอย่างนั้นแล้วกัน” สยงชีบอกก่อนจะตัดสินใจได้ “เสี่ยวเคอ พวกเราเข้าไปด้วยกัน”
เสี่ยวเคอผงกศีรษะอย่างยินดี
ชายหนุ่มผู้เป็นลำดับที่สองตามที่ตกลงกันไว้เข้าไปเพียงลำพัง เขาเข้าไปคนเดียวและกลับออกมาคนเดียวอย่างปลอดภัย แต่กลับมีสีหน้าคลางแคลงคล้ายต้องการเอ่ยอะไรบางอย่าง
ทว่ายังไม่ทันได้พูดอะไร ผู้ที่เป็นลำดับที่สามก็เข้าไปในวัดเสียก่อน
“คุณเห็นอะไรในนั้น” ชายที่เพิ่งกลับออกมากระซิบถามหลินชิวสือ
“ไม่มีอะไรนี่ แค่พระโพธิสัตว์กับเบาะสำหรับกราบไหว้”
“คุณไม่คิดว่าพระโพธิสัตว์นั่นดูแปลก ๆ บ้างเหรอ ผมไม่เคยเห็นพระโพธิสัตว์แบบนั้นมาก่อนเลย”
หลินชิวสือได้ยินก็นิ่งไป ไม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย
“หรือคุณเคยเห็นมาก่อน ท่าทางของพระโพธิสัตว์ดูประหลาดมากจริง ๆ…” ชายหนุ่มพูดเสียงเบา
หลินชิวสือส่ายหน้า ยังคงไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้าต้องการสื่ออะไร แต่เมื่อลองทบทวนอีกครั้ง ในหัวของเขาก็ผุดความคิดที่ชวนให้เสียวสันหลังวาบ “คุณ…พระโพธิสัตว์ที่คุณเห็นเป็นแบบไหน”
“เป็นผู้หญิง” คำตอบของอีกฝ่ายพรากรอยยิ้มไปจากใบหน้าของหลินชิวสือ หากเขายังคงกล่าวต่อไปโดยไม่ทันได้สังเกตสีหน้าของคู่สนทนา “น่าจะเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ก็ดูไม่เหมือนพระโพธิสัตว์ ถึงหน้าจะยิ้ม แต่สิ่งที่อยู่ในมือกลับดูไม่เหมือนอะไรที่เกี่ยวกับทางศาสนา แต่เหมือน…”
“เหมือนอะไร” หลินชิวสือถามเสียงแห้ง
“เหมือนขวานที่เอาไว้ตัดไม้” ชายผู้นั้นเล่าพลางเหลือบตามองเข้าไปในวัด “แถมตอนไหว้เสร็จ ท่านก็เหมือนจะขยับนิดหน่อย…” เมื่อเล่าถึงตรงนี้เขาก็รู้สึกได้ถึงสีหน้าที่ไม่ปกติของหลินชิวสือ “พวกคุณล่ะ คุณก็เห็นใช่ไหม”
“ไม่” แม้จะโหดร้าย หากหลินชิวสือก็ต้องการบอกอีกฝ่ายไปตามจริง “พระโพธิสัตว์ที่เราเห็นไม่เหมือนคุณ”
“ไม่เหมือนกันยังไง” สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา “พวกคุณเห็นแบบไหน”
“เป็นผู้ชาย”
ใบหน้าของอีกฝ่ายซีดขาวราวกระดาษ สายตาที่เบนไปทางวัดฉาบไว้ด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง ตัวของเขาสั่นอย่างไม่อาจควบคุม “ไม่…ไม่มีทาง ไม่มีทางเป็นแบบนั้น จะเป็นไปได้ยังไง พวกคุณต่างหากที่มีปัญหา ต้องเป็นพวกคุณแน่ ๆ…” พูดจบเขาก็มองไปรอบตัวด้วยความหวาดระแวงคล้ายกับกลัวว่าคนอื่นจะมาได้ยินที่ตนพูด
สยงชีและเสี่ยวเคอที่เข้าไปเป็นลำดับที่สามกลับออกมาด้วยสีหน้าสงบนิ่งประหนึ่งไม่ได้พบเจอเรื่องประหลาดใด ๆ
ลำดับที่สี่และห้าทยอยเข้าไป มีทั้งชายและหญิง มีทั้งที่เข้าไปตามลำพังและเข้าไปเป็นคู่ เพียงไม่นานหลินชิวสือก็ค้นพบความเหมือนกันบางประการ ผู้ที่เข้าไปตามลำพังยามออกมาจะมีสีหน้าที่ไม่น่าดูนัก
เมื่อคนสุดท้ายกลับออกมา พวกเขาทั้งหมดก็ค้นพบหลักเกณฑ์บางอย่าง…สิ่งที่คนเข้าไปคนเดียวกับคนที่เข้าไปเป็นคู่เห็นจะไม่เหมือนกัน
ที่หลินชิวสือเห็นคือรูปเคารพของพระโพธิสัตว์ ทว่าผู้ที่เข้าไปตามลำพังจะพบหญิงสาวซึ่งมีรอยยิ้มประหลาดประดับอยู่บนใบหน้า ในมือกำขวานไว้
“พวกเขานั่นแหละผิด เราทำตามที่ช่างไม้บอก…” หลังจากทราบความจริงนี้ สภาวะอารมณ์ของบางคนก็เริ่มไม่ปกติ หากก็ยังไม่ยอมหยุดปาก “ไม่ผิดหรอก พวกเราไม่มีทางผิด รูปเคารพของพระโพธิสัตว์ต้องเป็นผู้หญิง…ใช่แล้ว ต้องเป็นผู้หญิง”
“ยังไม่รู้เลยว่าผลจะเป็นอย่างไรแน่ พวกคุณอย่าเพิ่งตกใจไป” หลินชิวสือทำได้เพียงปลอบใจคนอื่น
แท้ที่จริงในใจของทุกคนต่างตระหนักดีว่าผู้หญิงที่เห็นนั้นไม่มีทางเป็นรูปเคารพของพระโพธิสัตว์ไปได้ มีวัดใดกันเล่าที่กราบไหว้บูชาเทพเจ้าประเภทนี้
“ใช่แล้ว ยังไม่รู้เลยว่าจะเป็นยังไง” หร่วนป๋ายเจี๋ยหัวเราะเบา ๆ ใช้มือม้วนผมเล่น เสียงหวานทอนความดังลง “อีกอย่าง เข้าไปกันตั้งเยอะขนาดนี้ หากจะตาย ก็ไม่ต้องตายคนเดียว”
“เธออย่าหัวเราะได้ไหม” เสี่ยวเคอตำหนิโดยไม่คิดจะรักษามารยาท
“ทำไมจะหัวเราะไม่ได้” หร่วนป๋ายเจี๋ยค้านเสียงเย็น “ตายทั้งที่ยังหัวเราะ ก็ดีกว่าตายทั้งน้ำตาอาบหน้า”
พูดจบก็มีคนตะโกนขึ้นมาว่า “ดูที่เสาเร็ว!”
เมื่อหลินชิวสือเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่า รูปสลักบนเสากำลังขยับตัวราวกับมีชีวิต
[1] นรกภูมิตามความเชื่อของชาวจีนจะแบ่งออกเป็น 18 ขุม ซึ่งขุมที่ 18 จะเป็นขุมที่ลงทัณฑ์ผู้กระทำบาปร้ายแรง