死亡万花筒
ฝ่ามิติประตูมรณะ
ซีจื่อซวี่ 西子绪 เขียน
ซิ่วเจิน แปล
XOXO วาด
– โปรย –
สิ่งที่แปลกไปอย่างแรกก็คือ แมวที่บ้านไม่ยอมให้เขากอด
จากนั้นหลินชิวสือก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปจากเดิม
แล้ววันหนึ่ง ตอนที่เขาผลักเปิดประตูบ้านออกมา
ก็พบว่าทางเดินในตึกที่คุ้นเคยกลับกลายเป็นทางเดินยาวซึ่งทั้งสองฟาก
เป็นประตูเหล็กที่มีลักษณะเหมือนกันสิบสองบาน
แล้วเรื่องราวต่างๆ ก็เริ่มต้นขึ้นจากจุดนี้
และเมื่อเปิดประตูเข้าไปครั้งแรกเขาก็ได้เจอกับคนแปลกๆ ที่ยิ่งได้รู้ความจริงก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ
“ทำไมคุณต้องใส่ชุดผู้หญิงด้วยล่ะ”
“งานอดิเรก”
หลินชิวสือ “…”
เมื่อสายรุกหนังหน้าหนา เจ้าเล่ห์ ทรงเสน่ห์
และชื่นชอบการแต่งหญิงเป็นชีวิตจิตใจมาเจอกับฝ่ายรับที่ซุกซ่อนความหน้าไม่อายไว้
ภายใต้ความเงียบขรึมอย่างแนบเนียน ความไร้ยางอายขั้นกว่าจึงบังเกิดขึ้น!
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 8 เทพอำมหิต
วันต่อมาท้องฟ้าแจ่มใสเป็นพิเศษ
หลินชิวสือเหมือนไม่ได้เห็นอากาศดี ๆ เช่นนี้มานานแล้ว ปราศจากทั้งกระแสลมและหิมะ ดวงอาทิตย์อันอบอุ่นลอยอยู่บนท้องฟ้า ความอบอุ่นหวนคืนมาสู่พื้นดิน ราวกับว่าสิ่งที่ต้องเผชิญเมื่อวานเป็นเพียงฝันร้ายที่ไม่สลักสำคัญอะไร
ชายหนุ่มถือโอกาสนี้ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม พูดคุยตั้งแต่เรื่องบทกวีไปจนถึงปรัชญาชีวิตกับหร่วนป๋ายเจี๋ย
กระทั่งหญิงสาวรู้สึกหิวจึงเร่งให้อีกฝ่ายไปทำอาหาร
เมื่อชายหนุ่มไปถึงห้องครัวก็พบว่าทุกคนตื่นกันแต่เช้าตรู่ ต่างกินอาหารเช้าของตนเรียบร้อย และกำลังปรึกษากันเรื่องจะไปบ้านของช่างไม้
สยงชีเห็นหลินชิวสือก็เอ่ยทักพร้อมทั้งถามถึงหร่วนป๋ายเจี๋ย
“ยังนอนอยู่เลย” ชายหนุ่มตอบ “บอกว่าเย็นจนไม่อยากลุกจากเตียง ผมเลยจะยกข้าวไปให้”
สยงชีขานรับแล้วบอกว่าเดี๋ยวพวกเขาจะออกไปบ้านของช่างไม้ จะเป็นการดีถ้าหลินชิวสือไปด้วยกัน ถ้าเป็นวันอื่น คนอื่นคงคิดถึงสองหนุ่มสาวในแง่ไม่งามนัก แต่หลังจากเผชิญกับเหตุระทึกขวัญเมื่อคืน หากพวกหลินชิวสือยังมีแรงกระทำเรื่องอย่างว่าได้ก็ต้องนับว่ามีความสามารถมากทีเดียว
วันนี้สยงชีตั้งใจจะสอบถามช่างไม้เกี่ยวกับการเติมบ่อน้ำ พวกเขาไม่รู้เลยว่าต้องใช้อะไรและต้องเติมเมื่อไร ที่สำคัญที่สุดคือ จะทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไร
หลังจากอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้ได้ระยะหนึ่ง หลินชิวสือจึงรู้ว่าแต่ละครอบครัวจะมีบ่อน้ำตั้งอยู่กลางสวนของบ้านตรงกึ่งกลางทางเดินพอดิบพอดี ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ดูไม่สมเหตุสมผลเท่าไรนัก แต่การทำเช่นนี้ก็คล้ายเป็นประเพณีประหลาดของหมู่บ้านแห่งนี้
ข้อมูลที่บิดเบือนของช่างไม้ส่งผลให้เมื่อวานพวกเขาสูญเสียเพื่อนร่วมทีมไปสองคน ยามพบหน้าชายชราในวันนี้ทุกคนจึงมีสีหน้าไม่เป็นมิตรนัก กระทั่งสยงชีที่เป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดียิ่งยังมีสีหน้าเย็นชาขึ้นหลายส่วน เคราะห์ดีที่อีกฝ่ายไม่ได้ใส่ใจ ยังคงถือกล้องยาสูบพ่นควันสีขาวพลางหลับตาพริ้ม
“คุณตาครับ หลังจากไหว้พระที่วัดแล้ว พวกเราต้องทำอะไรต่อเหรอครับ” สยงชีถาม
“ก็ต้องเติมบ่อน้ำสิ” ช่างไม้ตอบ “เลือกมาสักคืน แล้วโยนสิ่งที่ตายแล้วลงไปในบ่อก็เป็นอันเรียบร้อย”
“สิ่งที่ตายแล้ว…หมายถึงอะไร” เสี่ยวเคอถามเสียงแข็ง เริ่มรู้สึกไม่ค่อยดี “คุณหมายความว่าอะไร”
“ก็หมายความตามที่พูด” ช่างไม้ตอบทื่อ ๆ
“ขอแค่เป็นสิ่งที่ตายแล้วก็ใช้ได้ใช่ไหม” สยงชีรีบถามเพื่อความมั่นใจ
“ใช่ ถ้าตายแล้วก็ใช้ได้ทั้งหมด” ช่างไม้ตอบ “จะเป็นเป็ด ไก่ ห่าน หรือหมา ขอแค่หามาโยนลงไปในบ่อได้ภายในสามวัน แล้วกลบทับด้วยดินก็เริ่มต่อโลงศพได้”
เมื่อได้ยินว่าจะเป็นอะไรก็ได้ขอแค่ต้องตายแล้วเท่านั้น สยงชีก็ผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก ทว่าสบายใจได้ไม่เท่าไร หร่วนป๋ายเจี๋ยที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็พูดขึ้นว่า “อยู่ในหมู่บ้านนี้มาตั้งหลายวัน ยังไม่เคยเห็นบ้านไหนเลี้ยงสัตว์เอาไว้เลย จะไปหาเป็ด ไก่ ห่าน หมาพวกนั้นมาจากไหน”
“แต่พวกเราก็มีไข่กินนี่ มีไข่ก็ต้องมีไก่สิ” หลินชิวสือนึกถึงตะกร้าของสดที่อยู่ในบ้าน
“คุณไม่เคยดูตะกร้าดี ๆ เลยสินะ” หร่วนป๋ายเจี๋ยเอ่ยต่อ “ที่ที่พวกเราอยู่ไม่เคยมีคนนอกเข้ามา แล้วก็ไม่มีชาวบ้าน ของในตะกร้าล้วนเติมเองโดยอัตโนมัติ”
“…แล้วไข่นั่นมาจากไหน”
“จะสนทำไมว่ามาจากไหน แค่อร่อยก็พอแล้ว”
“…” ชายหนุ่มรู้สึกว่าท้องไส้ของตนเริ่มปั่นป่วน
หร่วนป๋ายเจี๋ยทำให้ทุกคนฉุกคิดได้ว่า ภายในหมู่บ้านนี้ไม่มีสัตว์เลี้ยงเลยจริง ๆ ยิ่งในฤดูหนาวที่หนาวจัดเช่นนี้ ในหุบเขาก็ไม่น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอื่นอีก สยงชีเองก็ไม่ใช่คนเขลา ไม่นานก็ตระหนักเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ สีเลือดจึงเลือนหายไปจากใบหน้าจนเผือดซีด “คุณตาหมายถึงอะไรกันแน่ครับ”
“ฉันเป็นแค่คนต่อโลงศพ ก็พูดได้แค่สิ่งที่ตัวเองทำได้เท่านั้น ฉันทำร้ายพวกคุณไม่ได้หรอก” ช่างไม้กล่าว
หนึ่งในผู้ที่มาด้วยได้ยินเช่นนั้นก็ตบโต๊ะอย่างทนไม่ได้ ตะคอกเสียงขุ่น “ทำร้ายพวกเราไม่ได้? คุณบอกให้เราเข้าไปในวัดทีละคน แต่คนที่เข้าไปคนเดียวไม่มีใครรอดเลย…”
“ก็โลงศพมีไว้ใช้ทำอะไรล่ะ” ช่างไม้ถามเสียงเย็น
ทุกคนนิ่งงัน
“ไม่ได้มีไว้ใส่ศพเหรอ ถ้าไม่มีคนตายแล้วจะต่อโลงศพไปเพื่ออะไร” ช่างไม้หัวเราะ ส่งให้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยยิ่งทวีความน่ากลัวขึ้นอย่างประหลาด “แล้วทำไมพวกคุณไม่ฟังที่ฉันบอก…”
“คุณบอกว่าอะไรล่ะ” หร่วนป๋ายเจี๋ยถาม
ช่างไม้ชี้กราดไปที่คนอื่น ๆ “มีคนเหลือมากขนาดนี้ น่าจะยังกินไม่อิ่ม”
“กินไม่อิ่ม…?” เมื่อได้ยินคำว่ากิน หลินชิวสือก็นึกไปถึงศพที่ถูกกัดกินจนเหลือเพียงเศษเนื้อบนชั้นสาม และรายละเอียดพวกนั้นที่ทุกคนคุยกันเมื่อวาน แล้วก็เรื่องศพของคนที่ถูกผู้หญิงถือขวานฆ่าโดนลากเข้าไปในวัด ตอนนี้เขาก็ได้รู้แล้วว่า ท้ายที่สุดศพเหล่านั้นจะไปอยู่ที่ใด
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นตัวอะไรกันแน่…” สยงชีอดถามไม่ได้
ช่างไม้โบกมือ ไม่พูดอะไรอีก
หร่วนป๋ายเจี๋ยเลื่อนสายตาไปหยุดที่มุมหนึ่ง พึมพำขึ้นมาว่า “ทำไมถึงเอาไม้ไปทิ้งแล้วล่ะ”
ช่างไม้แค่นหัวเราะเสียงขุ่น คิดในใจว่า หากไม่เก็บไป เธอก็จะเอามาใช้ขู่ฉันเหมือนคราวก่อนน่ะสิ
“ไม่มีไม้ก็ไม่เป็นไร โชคดีที่เตรียมอย่างอื่นมา” หญิงสาวหยิบมีดพับที่เหน็บไว้ข้างหลังออกมา “คุณตา เรามาพูดกันดี ๆ เถอะ หากคุณตายังพูดไม่เคลียร์ เราทั้งหมดก็ต้องตายอยู่ที่นี่ แต่ถ้าจะพาคุณตาไปด้วยกันก็ไม่เลวนะ”
ช่างไม้ “…”
ไม่เพียงแต่ช่างไม้ กระทั่งหลินชิวสือก็ยังอึ้ง ส่วนคนอื่นล้วนตกอยู่ในความเงียบอันน่าประหลาด ในหัวต่างคิดว่าสามารถข่มขู่ด้วยวิธีนี้ได้ด้วยหรือ
ช่างไม้โกรธจัด หากก็ทำอะไรหร่วนป๋ายเจี๋ยไม่ได้ ได้แต่กัดฟันเล่าเรื่องของ ‘ผู้หญิงคนนั้น’
แต่เดิมหญิงผู้นั้นคือเทพเจ้าที่คนในหมู่บ้านนับถือ แม้จะเป็นเทพ ทว่าก็เป็นเทพที่ปราศจากความเมตตา ชื่นชอบบริโภคสิ่งมีชีวิต เธอให้ความคุ้มครองแก่คนในหมู่บ้านแลกกับการที่พวกเขาต้องนำวัวมาบูชายัญในฤดูหนาว ทว่าปีนี้หมู่บ้านเกิดปัญหาจึงไม่มีวัวเหลืออยู่เลยสักตัว…
เวลานั้นคนจากภายนอกที่มาช่วยต่อโลงศพก็มาถึง
เมื่อเล่าถึงตรงนี้ทุกคนก็ได้รู้ว่า ในสายตาของชาวบ้าน พวกเขาเองก็ไม่ต่างจากวัวที่เป็นเครื่องสังเวย
“แล้วต้องให้กินจนอิ่มด้วยเหรอ ถ้าไม่อิ่มจะเป็นยังไง” สยงชีถาม
“…ถ้ากินไม่อิ่ม…เธอก็จะมาหาคุณ ทุกคนที่มีส่วนร่วมในการต่อโลงศพล้วนเป็นเหยื่อของเธอ เพราะฉะนั้นในปีนี้จึงไม่มีใครช่วยต่อโลงศพเลยนอกจากพวกคุณ” เขาสูดกล้องยาสูบก่อนพ่นควันสีขาวออกมา “ฉันบอกได้เท่านี้ พวกคุณต้องเติมบ่อน้ำก่อน ถึงจะเริ่มต่อโลงศพได้”
หร่วนป๋ายเจี๋ยก้มหน้าควงมีดในมือโดยไม่เอ่ยอะไร มีดเล่มเล็กพลิกตลบไปมาอยู่บนนิ้วมือเรียวยาว สะท้อนแสงจนคนมองตาพร่า
ช่างไม้เองก็เงียบลง เหลือบตามองหญิงสาวด้วยความหวั่นเกรง
ขณะที่ทุกคนคิดว่าหร่วนป๋ายเจี๋ยจะพูดอะไรอีก เธอกลับถอนหายใจเฮือกแล้วกล่าวว่า “ไปกันเถอะ”
“จะกลับทั้งอย่างนี้เหรอ” สยงชีถาม
“แล้วยังจะมีอะไรอีกล่ะ” หร่วนป๋ายเจี๋ยมีท่าทางกระวนกระวายเล็กน้อย “เขาก็ตอบมาตั้งเยอะแล้ว ยังมีอะไรให้ถามอีก” หญิงสาวหันหลังเดินออกจากประตูอย่างไม่ลังเล
เห็นดังนั้นคนอื่น ๆ ก็ทยอยเดินตามออกไป หลินชิวสือรู้สึกว่าหร่วนป๋ายเจี๋ยกำลังอารมณ์ไม่ดี เมื่อออกจากบ้านของช่างไม้จึงถามว่าเธอเป็นอะไรหรือเปล่า
“คืนนี้ต้องระวังตัวหน่อยนะ” หร่วนป๋ายเจี๋ยบอก
“หมายความว่ายังไง เจ้าสิ่งนั้นอาจจะมาหาพวกเราเหรอ” หลินชิวสือคิดได้เพียงสาเหตุเดียว
“อืม…” หร่วนป๋ายเจี๋ยหัวเราะก่อนจะโน้มตัวไปกระซิบข้างหูหลินชิวสือ “บางครั้งคนก็น่ากลัวกว่าผี”
หลินชิวสือนิ่งไป
“กลับกันเถอะ” หร่วนป๋ายเจี๋ยเดินนำออกไป หลินชิวสือมองตามแผ่นหลังของเธอพลางคิดว่า ช่างเป็นผู้หญิงที่อ่านยากจริง ๆ
ก่อนไปบ้านช่างไม้ทุกคนยังสนทนากันสักประโยคสองประโยค ทว่าขากลับบรรยากาศระหว่างทุกคนพลันกลายเป็นเฉื่อยชาซังกะตาย และดูท่าว่าจะเลวร้ายลงอีกในไม่ช้า
หลินชิวสือไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ หร่วนป๋ายเจี๋ยที่กำลังกินมันเผาจึงอธิบายให้เขาฟัง “คุณนี่ไม่ไหวเลย ก่อนหน้านี้ทุกคนคิดว่าถ้าร่วมมือกันก็จะรอดไปได้ไง ส่วนตอนนี้น่ะเหรอ…”
“ตอนนี้ทำไม” ชายหนุ่มยังคงไม่เข้าใจ
“ตอนนี้ทุกคนก็ภาวนาให้คนอื่นตายไปเร็ว ๆ น่ะสิ” หร่วนป๋ายเจี๋ยเอนหลังพิงเก้าอี้ “ต้องมีคนตายเท่านั้นถึงจะมีศพไปใส่ในบ่อ พอบ่อเต็มก็ต่อโลงได้ พอต่อโลงเสร็จก็จะได้รอดออกไปไง…”
“…” หลินชิวสืออึ้งไปด้วยไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้แม้แต่น้อย “มิติประตูเป็นแบบนี้หมดหรือเปล่า”
“ที่นี่ถือว่าไม่แย่เท่าไร คืนนี้คุณอย่าออกไปข้างนอกนะ ไม่อย่างนั้น…”
“จะเจอปิศาจนั่นเหรอ”
หร่วนป๋ายเจี๋ยส่ายศีรษะ “อาจจะเจอสิ่งที่น่ากลัวกว่าปิศาจก็ได้”
ความจริงแล้วหลินชิวสือพอจะคาดเดาได้ว่ามันคืออะไร แต่เขายังไม่อยากจะยอมรับความจริงนั้น ถึงอย่างไรเขาก็โตมาในสังคมที่บ้านเมืองมีขื่อมีแป ความคิดของเขาจึงยังไม่หลุดออกนอกกรอบ หร่วนป๋ายเจี๋ยกล่าวเป็นนัยว่าจะมีการฆ่าคนในกลุ่มเพื่อจะได้มีสิ่งที่ตายแล้วไปใส่ในบ่อน้ำ หากแต่เขากลับไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนที่ทำเช่นนั้นได้จริงๆ
หลินชิวสือไม่อาจข่มตานอนได้
ส่วนหร่วนป๋ายเจี๋ยที่นอนอยู่ข้าง ๆ กลับหลับอุตุไม่ต่างจากหมู
หลินชิวสือเงยหน้ามองเพดานพลางคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวัน เขาล็อกประตูและหน้าต่างอย่างแน่นหนา ตอนแรกเขายกเก้าอี้มาขวางประตูไว้อีกชั้นด้วยซ้ำ แต่หร่วนป๋ายเจี๋ยแย้งว่า “คุณไม่กลัวว่าตัวอะไรนั่นจะโผล่มาอยู่กลางห้องเหรอ…”
“…!” มีเหตุผล
ดังนั้นเขาจึงยกเก้าอี้ออกไป
สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องเกิดขึ้น ตีสอง…หลินชิวสือที่ยังคงทนทรมานจากการนอนไม่หลับก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง