巨星手记
บันทึก (ไม่ลับ) ฉบับซูเปอร์สตาร์
อวี่เซี่ยวหลานซาน เขียน
ธมน แปล
get-sem วาด
— โปรย —
ฟางเล่อจิ่ง ไม่รู้ว่าระหว่างเขากับประธานบริษัทตงหวนเอ็นเตอร์เทนเมนต์
ยักษ์ใหญ่แห่งวงการอุตสาหกรรมบันเทิง
ดวงชะตาไม่สมพงษ์กันหรืออย่างไร
ทุกครั้งที่เจอกันถึงได้มีแต่เรื่องซวยซ้ำซวยซ้อน!
ถึงกระนั้นอีกฝ่ายก็ยังเอาแต่ตามติดเขาไม่เลิก ช่างน่าเหนื่อยใจจริง ๆ
คงเป็นเพราะต้องการดึงตัวเขาเข้าวงการบันเทิงให้ได้ละสิท่า
ต้องให้ย้ำว่า ไม่! สักกี่รอบถึงจะเข้าใจกันนะว่าผมอยากเป็นแค่พนักงานบริษัทกินเงินเดือนธรรมดา ๆ
••••••
เหยียนข่าย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ฟางเล่อจิ่ง
ถึงมักจะทำให้เขาอารมณ์ดีจนหัวเราะไม่หยุด
เวลาเห็นสีหน้าอีกฝ่ายที่อยากจะด่าเปิง แต่ต้องกล้ำกลืนฝืนทน
นี่มันช่างทำให้มีความสุขซะจริง หึ ๆ
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 1 เถ้าแก่บริษัทต้มตุ๋น!
โลกนี้มันอันตรายเกินไป!
อากาศยามบ่ายในหน้าร้อนค่อนข้างอบอ้าว
เหยียนข่ายเดินออกจากประตูหน้าของบริษัท เดิมทีเขาตั้งใจจะไปกินอาหารฝั่งตรงข้าม สายตากลับเหลือบไปเห็นคนคนหนึ่งที่เดินผ่านไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ถ้าจะพูดให้ถูกคือเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีมาก ผมสั้นดูสบายตา เครื่องหน้าหมดจด กำลังยืนมองอยู่ด้านนอกหน้าต่างแสดงสินค้าของศูนย์การค้า แสงอาทิตย์สาดส่องทอดเงาลงบนร่างของเขา ดูเงียบสงบราวกับภาพวาดสีน้ำมันที่ปรากฏขึ้นกลางเมืองอันแสนวุ่นวาย แต่สายตากลับกวาดไปเจอคนบนถนนคนหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ
ในฐานะที่เป็นยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมวงการบันเทิงภายในประเทศ เหยียนข่ายขึ้นชื่อว่ามีสายตาแหลมคมมาโดยตลอด นักแสดงหน้าใหม่ที่ผ่านมือเขาคัดเลือกแทบจะเติบโตในวงการได้อย่างราบรื่นทุกคน พอดีกับที่ช่วงนี้บริษัทกำลังต้องการเฟ้นหาดาราหน้าใหม่จำนวนหนึ่ง ในขณะที่เหยียนข่ายกำลังคิดว่าจะเข้าไปถามดีหรือไม่นั้น จู่ๆ ก็มีชายวัยกลางคนท่าทางไม่น่าไว้ใจคนหนึ่งโผล่ออกมาจากด้านข้างแล้วไปหยุดยืนหน้าชายคนนั้น
เหยียนข่ายขมวดคิ้ว ที่นี่เป็นถนนคนเดินใจกลางเมืองที่คึกคักที่สุดสายหนึ่ง แต่ถึงแม้จะเจริญรุ่งเรืองก็ยังมีบริษัทต้มตุ๋นและพวกป้ายประกาศหลอกรับสมัครนายแบบนางแบบและนักแสดงจำนวนมาก เป้าหมายส่วนใหญ่คือพวกนักศึกษาที่อ่อนต่อโลก เบาะๆ ก็แค่หลอกเอาเงิน ถ้าหนักหน่อยก็หลอกไปทำมิดีมิร้ายซึ่งถูกเปิดโปงบนอินเทอร์เน็ตอยู่บ่อยๆ ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีคนหลงเชื่อไม่น้อย
เมื่อเห็นว่าชายคนนั้นคล้ายจะไม่ติดใจสงสัย แถมยังพูดคุยกับชายท่าทางกักขฬะคนนั้นด้วย เหยียนข่ายก็ท้อใจ เขาสาวเท้ายาวๆ เข้าไปและได้ยินชายหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะพอดีว่า “ดีเลย งั้นไปที่บริษัทของคุณก่อน”
“สวัสดี” เหยียนข่ายขัดจังหวะการสนทนาของคนทั้งสองเอาดื้อๆ
“คุณเป็นใคร” ชายหนุ่มส่งสายตางุนงง
“อยากเป็นดาราเหรอ” เหยียนข่ายถาม
ชายหนุ่มพยักหน้าสุดชีวิต
“มาบริษัทฉัน” เหยียนข่ายไม่อ้อมค้อม
“เฮ้ๆ ผมเป็นคนเจอก่อนนะ” พอชายท่าทางเจ้าเล่ห์ได้ยินก็ไม่พอใจ “รู้จักคำว่ามาก่อนได้ก่อนมั้ย”
“ใช่ ผมรับปากว่าจะไปแคสต์ที่บริษัทของเขาแล้ว” ชายหนุ่มเองก็ช่วยพูด “คุณรีบถอยไปเลย”
ถูกคนออกปากไล่เป็นครั้งแรกในชีวิตทำเอาเหยียนข่ายรู้สึกจุกเล็กน้อย
ชายหนุ่มยังคงมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความระแวงแล้วเอ่ยอย่างมั่นใจ “แม้แต่นามบัตรคุณยังไม่มีเลย แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นพวกต้มตุ๋น!”
“…” ไม่บ่อยนักที่เหยียนข่ายจะถูกทำให้โมโหจนเวียนหัว คนคนนี้มีสมองมั้ยเนี่ย ถึงจะมองแค่รูปลักษณ์ภายนอกก็แยกได้ง่ายจะตายว่าใครที่เป็นคนดี!
“เรารีบไปกันเถอะ ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก” ชายหนุ่มดึงชายท่าทางไม่น่าไว้ใจคนนั้น “ช่วงนี้ผมไม่ค่อยมีเรียน งานโฆษณาอะไรก็ถ่ายได้หมด!”
อีกฝ่ายหัวเราะหึๆ แล้วพาชายหนุ่มเดินเลี้ยวเข้าไปในตรอกเล็กพลางหันกลับไปมองเหยียนข่ายอย่างยียวน
เหยียนข่ายเหนื่อยใจ หน้าตาก็ดีแต่ดันโง่บริสุทธิ์ซะอย่างงั้น เมื่อหมดอารมณ์แม้แต่จะไปหาอะไรกินแล้วจึงตรงกลับเข้าบริษัททันที สติปัญญาแบบนี้ ถึงจะหน้าตาดีขนาดไหนก็ไม่เหมาะจะนำมาปั้นเป็นดารา คิดอย่างงี้แล้วฉันกลับควรจะขอบคุณเจ้าสิบแปดมงกุฎคนนั้นด้วยซ้ำ ไม่อย่างงั้นถ้าเซ็นสัญญารับเข้ามาจริงๆ อนาคตไม่ช้าก็เร็วคงต้องเกิดปัญหาขึ้นแน่นอน
ถนนคนเดินสายนั้นมีตรอกซอกซอยมากมาย ฟางเล่อจิ่งเดินทะลุไปมาตามชายท่าทางไม่น่าไว้ใจ ในที่สุดก็มาหยุดอยู่หน้าตึกสำนักงานโกโรโกโสแห่งหนึ่งที่มีป้ายบอกตำแหน่งมากมายแขวนอยู่บนประตูเหล็กซึ่งส่วนใหญ่เป็นร้านเสริมสวยและบริษัทสื่อบันเทิง เมื่อเห็นแบบนั้นจึงมุ่นคิ้ว “เมื่อกี้คุณบอกว่าเป็นบริษัทใหญ่ไม่ใช่เหรอ”
“ก็บริษัทใหญ่ไง” ชายเจ้าเล่ห์ชื่อว่าโก่วซื่อเหมา เขาเพิ่งทำอาชีพนี้ได้ไม่นาน แต่พรสวรรค์กลับเต็มเปี่ยม โดยพื้นฐานแล้วเขาสามารถหลอกคนได้หนึ่งคนในเวลาเพียงสามวัน
“คุณเพ้อเจ้ออะไร นี่เรียกว่าบริษัทใหญ่งั้นเหรอ” ฟางเล่อจิ่งไม่พอใจ เขาหมุนตัวจะเดินจากไป
“อย่าเพิ่งใจร้อนสิ” โก่วซื่อเหมารั้งเขาไว้ “เมื่อกี้ต้องโทษที่ผมพูดไม่ชัดเจน นี่เป็นสำนักงานสาขาย่อย”
“สำนักงานใหญ่อยู่ที่ไหน” ฟางเล่อจิ่งไม่เชื่อง่ายๆ
โก่วซื่อเหมาคุยโม้โดยไร้ความละอาย “เขตจิ่นหวน” ที่นั่นมีอาคารสำนักงานที่สูงที่สุดในเมือง ลำพังอสังหาริมทรัพย์ก็แพงจนทำให้คนอยากกระโดดตึกตาย ไม่ว่าสถานที่ใดภายในนั้นล้วนแต่เป็นองค์กรธุรกิจที่น่าเชื่อถือ
“ว้าว” ฟางเล่อจิ่งตกตะลึงอ้าปากค้างตามคาด “รวยขนาดนั้นเลย”
“แน่นอน ไม่งั้นจะเลี้ยงดูคุณให้เป็นดาราได้ยังไง” โก่วซื่อเหมาได้ใจ “ซูนั่ว รู้จักใช่มั้ย ที่ได้รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมเมื่อปีก่อนก็เป็นคนที่บริษัทพวกเราปั้นขึ้นมากับมือ”
“ผมก็เป็นนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมได้เหมือนกันเหรอ” นัยน์ตาของฟางเล่อจิ่งเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“ขอแค่คุณเชื่อฟัง รับรองว่าไม่มีปัญหา” โก่วซื่อเหมารับประกัน “ผมจะพยายามทำให้คุณได้ไปเมืองคานส์ภายในสามปีให้ได้!”
ฟางเล่อจิ่งคลี่รอยยิ้มอ่อนเยาว์อย่างรวดเร็วแล้วตามโก่วซื่อเหมาเข้าประตูไป
“ไม่มีลิฟต์เหรอ” ขณะยืนอยู่ตรงตีนบันได ฟางเล่อจิ่งก็สงสัยขึ้นมาอีก
ขณะที่โก่วซื่อเหมายังคงครุ่นคิดว่าจะแถเอาตัวรอดอย่างไร อีกฝ่ายกลับตระหนักขึ้นมาได้เอง “เข้าใจๆ สำนักงานย่อยนี่นะ ก็ต้องประหยัดเป็นธรรมดา”
โก่วซื่อเหมาน้ำตาแทบไหล เขาไม่ได้เจอคนหลอกง่ายแบบนี้มานานแล้ว
ไฟเซ็นเซอร์ตรงบันไดติดๆ ดับๆ แถมบางครั้งยังช็อร์ตจนเกิดเสียงอย่างกับกำลังถ่ายหนังผี หลังจากปีนไปถึงชั้นสี่อย่างกระหืดกระหอบ ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงที่หมายปลายทาง ‘เทียนเฉินอินเตอร์เนชั่นแนล เอนเตอร์เทนเมนต์ เซ็นเตอร์’
“ผอ.หลิว” โก่วซื่อเหมาพาฟางเล่อจิ่งเข้ามาในห้องแล้วบอกกับชายวัยกลางคนคนหนึ่ง “นี่คือเด็กใหม่ที่ผมเพิ่งเจอมา คุณลองดูสิ”
“สวัสดีครับ ผอ.หลิว” ฟางเล่อจิ่งรู้งานสุดๆ แย้มยิ้มสดใส
ชายวัยกลางคนเส้นผมมันแผล็บขยับเข้ามามองฟางเล่อจิ่งอย่างละเอียด ทันใดนั้นก็ตบโต๊ะ
ฟางเล่อจิ่งตกใจ เอ่ยเสียงสั่น “ผะ…ผะ…ผมไม่ผ่านเหรอ”
“ถ้าคุณไม่ผ่านแล้วใครจะผ่าน นี่มันใบหน้าระดับพระเอกเลยนะ!” ชายวัยกลางคนส่งเสียงก้องกังวานราวกับค้นพบดินแดนใหม่ก็ไม่ปาน
“จริงเหรอครับ” ฟางเล่อจิ่งดีใจกับข่าวดีเกินคาด “ผมเป็นพระเอกได้ตั้งแต่ตอนนี้เลยเหรอ”
“ทำไมจะไม่ได้ คุณนี่แหละพระเอก!” ชายวัยกลางคนตบโต๊ะ “เดี๋ยวเริ่มจากถ่ายรูปโปรโมตก่อน เราไม่ต้องรับละครโทรทัศน์หรอก ขึ้นจอเงินไปเลย ถึงเวลานั้นจะให้ซูนั่วมาเป็นตัวประกอบคอยซัปพอร์ตคุณ!”
ฟางเล่อจิ่งเองก็พลอยตื่นเต้นตามไปด้วย “ขอบคุณครับ ผอ. ผมจะตั้งใจถ่ายแน่นอน”
“ผมวางตัวคนไว้เรียบร้อยแล้ว รายละเอียดที่เหลือพวกคุณคุยกันต่อแล้วกัน ผมยังต้องไปพบผู้กำกับจงอีก จะหารือเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องต่อไปของเขาสักหน่อย” ชายวัยกลางคนลุกขึ้นยืนและเอ่ยแนะนำอย่างจริงใจ “ตั้งใจทำงานล่ะ ผมเชื่อมั่นในตัวคุณนะ”
ฟางเล่อจิ่งรีบพยักหน้า “ผมจะตั้งใจแน่นอนครับ!”
“เอาบัตรประชาชนมาด้วยหรือเปล่า” หลังจากชายวัยกลางคนจากไปแล้ว โก่วซื่อเหมาถามเขา
“เอามา!” ฟางเล่อจิ่งล้วงบัตรประชาชนออกมาจากกระเป๋าสตางค์
โก่วซื่อเหมารับมา กวาดตาอ่านแล้วขมวดคิ้ว “คุณชื่อเฉียนหม่านชางเหรอ ชื่อนี้ไม่ผ่าน มันฟังดูบ้านๆ ไปหน่อย อนาคตต้องตั้งชื่อในวงการ”
“อื้อๆ แล้วแต่ทางบริษัทเลย” ฟางเล่อจิ่งทำหน้าตาน่าเอ็นดู
“พกเงินมาหรือเปล่า” โก่วซื่อเหมาถาม
“เอามาๆ” ฟางเล่อจิ่งพยักหน้า จากนั้นถึงฉุกคิดได้ว่า “จะเอาเงินไปทำอะไร”
“เมื่อกี้ไม่ได้ยินที่ผอ.หลิวพูดหรือไง” โก่วซื่อเหมาถาม “ตอนนี้คุณยังไม่ได้เซ็นสัญญา ถ้าถ่ายรูปโปรโมตก็ยังตัดเงินจากบัญชีไม่ได้ ได้แต่ต้องออกเงินเองไปก่อน”
“ต้องจ่ายเงินด้วยเหรอ” ฟางเล่อจิ่งลังเล
“เงินแค่นี้ก็เสียดายแล้วหรือไง” โก่วซื่อเหมามองเขาด้วยสายตาเหมือนมองพวกบ้านนอก “ไว้อนาคตคุณได้เป็นซูเปอร์สตาร์เมื่อไหร่ ค่าตอบแทนแทบจะสตาร์ตที่เจ็ดหลักทั้งนั้น”
“เจ็ดหลัก?” ฟางเล่อจิ่งหน้ามืดตาลาย “งั้น…งั้นต้องจ่ายเท่าไหร่…” เขาอดถูมือไปมาไม่ได้ นั่นนับไม่หวาดไม่ไหวเชียวนะ!
โก่วซื่อเหมาฉวยโอกาสพูด “หกร้อยไคว่[1]“
ฟางเล่อจิ่งมอบกระเป๋าสตางค์ให้อีกฝ่ายด้วยสองมือ
ทุกอย่างดำเนินไปท่ามกลางบรรยากาศชื่นมื่น หลังจากจ่ายค่าถ่ายรูปเรียบร้อยและกรอกแบบฟอร์มสองสามแผ่น ฟางเล่อจิ่งก็ออกจากบริษัทด้วยความดีใจ แล้วตรงไปยังร้านกาแฟแห่งหนึ่ง
“เป็นไงบ้าง” ชายร่างสูงคนหนึ่งกำลังรอเขาอยู่
“สำเร็จ!” ฟางเล่อจิ่งยื่นปากกาอัดเสียงให้เขา “ผมเพิ่งมาถึงถนนคนเดินได้ไม่ทันไรก็มีมิจฉาชีพคนหนึ่งเข้าหาผมแล้ว…ไม่สิ ควรจะเป็นสองคนมากกว่า!”
“สองคน?” ชายคนนั้นสงสัย
“ใช่ มีคนหนึ่งเข้ามาหาผมก่อน คุยไปได้สักพักจู่ๆ ก็มีอีกคนโร่เข้ามา ยืนกรานจะพาผมไปบริษัทพวกเขาให้ได้ แถมสองคนนี้ไม่เหมือนกันด้วย คนหนึ่งท่าทางเจ้าเล่ห์ อีกคนหล่อ” ฟางเล่อจิ่งว่าจบก็สงสัย “ผมดูโง่มากเลยหรือไง” ไม่อย่างนั้นทำไมถึงได้มีคนเข้ามาแย่งกันเยอะแบบนี้ เหมือนจังหวะบันเทิงที่มีพวกต้มตุ๋นเยอะเกินแต่คนโง่ดันมีไม่พอ
ชายคนนั้นหลุดหัวเราะ “ไม่ถูกจับได้ใช่มั้ย”
“แน่นอนอยู่แล้ว พี่ยังไม่ไว้ใจฝีมือการแสดงของผมอีกหรือไง” ฟางเล่อจิ่งภาคภูมิใจสุดๆ
“อืม ฉันไว้ใจอยู่แล้ว ตอนเด็กเคยโดนนายหลอกไปเยอะ” ชายคนนั้นโบกมือเรียกบริกรแล้วสั่งสเต๊กกับสปาเกตตีให้เขา
“พี่” ฟางเล่อจิ่งดื่มเครื่องดื่มไปพลางเอ่ยถาม “พวกพี่ตั้งใจจะลงมือเมื่อไหร่”
“ตอนนี้หลักฐานยังไม่พอ น่าจะยังต้องลำบากนายอีกสักสองสามครั้ง” ชายคนนั้นพูด “มิจฉาชีพพวกนี้มีเครือข่ายโยงใยไปทั่ว ทั้งยังอาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย ต้องมั่นใจเต็มร้อยถึงจะสามารถกำจัดไปถึงต้นตอได้”
“อื้ม” ฟางเล่อจิ่งท่าทางสบาย ๆ “เรื่องเล็กน่า!”
“นายเองก็ใกล้จะเรียนจบแล้ว เรื่องหางานเป็นยังไงบ้าง” ชายคนนั้นถามต่อ
“เลิกพูดถึงเหอะ ผมยุ่งอยู่กับวิทยานิพนธ์ตลอด ไม่มีเวลาไปหางานเลย” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฟางเล่อจิ่งห่อเหี่ยวขึ้นมาทันที “ทำไมตอนแรกผมถึงได้เลือกเรียนการเงินนะ จริงๆ น่าจะไปเรียนติดฟิล์มหน้าจอโทรศัพท์ตรงสะพานลอย[2]!”
ชายคนนั้นยิ้มพร้อมส่ายหน้า เขามองนาฬิกาสักพัก “ฉันต้องไปสถานีตำรวจต่อ ไม่อยู่ส่งนายนะ กินเสร็จเรียบร้อยก็รีบกลับมหา’ลัยล่ะ”
“เดินทางปลอดภัยนะครับ” ฟางเล่อจิ่งพยักหน้า มองส่งเขาออกจากร้านกาแฟไป จากนั้นก็กินสเต๊กพลางถอนหายใจ
เรื่องหางานอะไรเทือกนั้น สู้ตายไปเลยยังดีกว่า
หลังจากกินอาหารเสร็จแล้วยังพอมีเวลา แถมตอนนี้เป็นช่วงเร่งด่วนหลังเลิกงานพอดี ฟางเล่อจิ่งไม่อยากไปเบียดเสียดในรถไฟใต้ดิน เลยใช้เวลาเตร็ดเตร่ไปมาบนถนนคนเดินและแวะซื้อปลาหมึกย่างหนึ่งไม้บนแผงลอยระหว่างทาง
กินปิ้งย่างกลางลมพัดเบาๆ ชีวิตสุดแสนจะฟิน!
หลังจากสบายอกสบายใจ ฟางเล่อจิ่งก็ล้วงกระดาษทิชชูจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเช็ดปาก จากนั้นโยนไอพ็อดทิ้งในถังขยะไปส่งๆ แล้วฮัมเพลงเดินต่อไปข้างหน้า
เอ๊ะ?
ฉิบหาย!
พอได้สติ ฟางเล่อจิ่งพลันรู้สึกตื้อในอก ผู้เชี่ยวชาญพูดไว้ไม่ผิดจริงด้วยที่ว่ากินของปิ้งย่างเยอะเกินจะส่งผลต่อระดับสติปัญญา
ไอพ็อดที่มีสายหูฟังพันอยู่โผล่ออกมาจากมุมเล็กๆ ของถังขยะ ฟางเล่อจิ่งลังเลสักพักแล้วไปขอตะเกียบจากแผงร้านปิ้งย่างมาคู่หนึ่ง เตรียมจะช่วยชีวิตมันออกมา!
ดังนั้นตอนที่เหยียนข่ายเลิกงานออกมาจากบริษัทจึงเห็นเด็กหนุ่มที่เจอเมื่อตอนกลางวันกำลังก้มตัวคุ้ยถังขยะอย่างใจจดใจจ่ออยู่ตรงถนนเยื้องฝั่งตรงข้าม
หรือว่าเมื่อตอนบ่ายโดนหลอกจนหมดสภาพเลยอยากจะหาเงินคืนด้วยการเก็บขยะ? เหยียนข่ายงุนงงและรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่เมื่อตอนกลางวันตัวเองไม่พยายามรั้งอีกฝ่ายไว้มากกว่านี้ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นแค่นักศึกษาคนหนึ่ง ช่วยไม่ได้ที่จะไม่รู้เรื่องรู้ราว
ฟางเล่อจิ่งคีบไอพ็อดขึ้นมาด้วยความระมัดระวังแล้วมองดูสักพัก จากนั้นโยนกลับลงไปโดยไม่ลังเล
น้ำจิ้มปิ้งย่างดูน่าขนลุกไปหน่อย ไม่เอาแล้วดีกว่า
โคตรของโคตรซวยเลยจริงๆ!
เขาอดแหงนหน้ามองฟ้าแล้วทอดถอนใจไม่ได้!
หลังจากโยนตะเกียบทิ้งลงถังขยะก็เห็นแอปเปิลสโตร์อยู่ข้างๆ ขณะที่ฟางเล่อจิ่งกำลังคิดจะเข้าไปดูเครื่องใหม่กลับรู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองตัวเองอยู่ จึงหันไปทันทีแล้วสบตากับเหยียนข่ายพอดิบพอดี
เฮ้ๆ สิบแปดมงกุฎสมัยนี้ตั้งใจทำงานกันขนาดนี้แล้วเหรอ! หลังจากเห็นอีกฝ่ายชัดเจน ฟางเล่อจิ่งชะงักไปครู่หนึ่งพลันเกิดความคิดมากมายขึ้นในใจ ไม่นึกเลยว่าเย็นขนาดนี้แล้วจะยังขยันทำงานกันอยู่อีก ช่างเป็นอาชีพที่น่านับถือจริงๆ
เหยียนข่ายไม่อาจไปยุ่งเรื่องของเขาได้อยู่แล้วเลยหมุนตัวตั้งใจจะไปลานจอดรถ แต่ฟางเล่อจิ่งกลับวิ่งเหยาะๆมาอยู่ตรงหน้าเขา “เดี๋ยวก่อน!”
“มีธุระ?” เหยียนข่ายขมวดคิ้วถาม
“อื้อๆ” ฟางเล่อจิ่งยิ้มจนตาหยี “เมื่อบ่ายคุณอยากได้ผมเข้าสังกัดไม่ใช่เหรอ งั้น…เราคุยกันหน่อยเป็นไง”
[1] คำเรียกภาษาพูดของหน่วยเงินหยวนของจีน
[2] อาชีพที่นิยมอาชีพหนึ่งของประเทศจีน โดยจะตั้งแผงติดฟิล์มโทรศัพท์ที่ใต้สะพานลอย