[ทดลองอ่าน] บันทึก (ไม่ลับ) ฉบับซูเปอร์สตาร์ ตอนที่ 106

巨星手记
บันทึก (ไม่ลับ) ฉบับซูเปอร์สตาร์

 

อวี่เซี่ยวหลานซาน เขียน
ธมน แปล
get-sem วาด

 

— โปรย —

หลังจากพลาดตำแหน่งราชาแห่งวงการในเทศกาลภาพยนตร์ยุโรปคราวก่อน
ฟางเล่อจิ่ง ก็ถูกเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งนี้อีกครั้ง
แต่ก่อนที่จะถึงการประกาศรางวัล
เขาต้องถ่ายรายการร่วมกับคู่ปรับอย่าง เว่ยอี้ ผู้อยู่เบื้องหลังดราม่าต่างๆ
เว่ยอี้ โจมตีหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ เพื่อขุดคุ้ยจุดด่างพร้อยมาขัดขวางเส้นทางความก้าวหน้าของอีกฝ่าย
แต่การโจมตีนั้นก็ไม่ใช่ง่ายๆ เมื่อฝั่งเขาเองก็พบปัญหาใหญ่จากปาปารัสซี่คนสนิท

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

 

106 ระหว่างรายการผจญภัยดำเนินไป!

พลังของตากล้อง แฟนคลับผู้คลั่งรัก!

 

เนื่องจากผู้ผลิตรายการนี้มีเส้นสายกว้างขวางในวงการ และพยายามเต็มที่ที่จะสร้างรายการนี้ให้เป็นรายการอันดับหนึ่ง ดังนั้นดาราที่เชิญมาในอีพีแรกจึงล้วนเป็นคนที่กำลังอยู่ในความนิยมทั้งสิ้น นอกจากฟางเล่อจิ่งกับเสิ่นหานแล้ว ยังมีศิลปินอื่นอีกห้าคน รวมเป็นชายห้าคนหญิงสองคน ทันทีที่โปรโมตภาพโปสเตอร์ลงบนอินเทอร์เน็ตก็ถูกแชร์ต่อเป็นจำนวนมาก… ถึงไม่ใช่แฟนคลับ แต่แค่ได้ดูหน้าตาก็ฟินแล้ว

ตามแผนการเดิม ทีมงานตั้งใจแบ่งผู้เข้าร่วมออกเป็นกลุ่มเอและกลุ่มบี แต่พอพิจารณาถึงความจริง สุดท้ายก็ตัดสินใจยกเลิกการแบ่งกลุ่ม และให้หัวหน้าทีมนำพาทุกคนเข้าร่วมผจญภัยแทน ความจริงกติกาของรายการนั้นไม่มีอะไรมาก แค่ไปตามสถานที่ต่างๆ ตามคำใบ้ที่แตกต่างกัน ค้นหาชิ้นส่วนแผนที่เพื่อไปยังสถานที่ปลายทาง และค้นหาตราผู้ชนะหลังไปถึงจุดหมาย ด้วยคำนึงถึงความปลอดภัยของศิลปิน จึงมีแพทย์และขบวนรถคอยติดตามตลอดทาง หากไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็ออกจากการแข่งขันได้ทุกเมื่อ

สถานที่ถ่ายทำอยู่ที่เกาะเฟยลู่ซึ่งล้อมรอบด้วยภูเขาสามด้านและอีกด้านติดกับทะเล มีทิวทัศน์สวยงาม อาหารทะเลอุดมสมบูรณ์ไม่แพ้เกาะต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่เนื่องจากเกาะแห่งนี้ยังอยู่ในช่วงพัฒนา และไม่ได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้ามาท่องเที่ยว จึงยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก…ทางรัฐบาลท้องถิ่นเองเลยอยากใช้โอกาสนี้เพิ่มชื่อเสียงให้เกาะเฟยลู่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับประเทศ จึงสนับสนุนและให้ความร่วมมือในทุกด้าน

อากาศช่วงปลายเดือนเมษายนไม่ถือว่าหนาวจัด แต่ก็ไม่ได้อุ่นมาก ก่อนเริ่มทำกิจกรรมหนึ่งวัน ผู้เข้าร่วมทุกคนต่างมาพักที่โรงแรมบนเกาะ หลังอาบน้ำเสร็จ เสิ่นหานสวมชุดนอนขนปุกปุยมุดตัวเข้าในที่นอน “หนาวจัง”

“ระบบทำความร้อนของโรงแรมยังอยู่ระหว่างการทดสอบ ทำอะไรไม่ได้” ฟางเล่อจิ่งยัดกระเป๋าน้ำร้อนสามสี่ใบให้อีกฝ่าย “นอนให้เต็มที่ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”

“ไม่ง่วง ฉันนอนบนเครื่องบินมาตลอดทางแล้ว” เสิ่นหานหยิบโทรศัพท์มือถือมาเลื่อนดู

“ทุกคนขอให้ฉันดูแลนายให้ดี” ฟางเล่อจิ่งเอนกายลงข้างๆ

“ทำไมถึงไม่เป็นฉันที่ดูแลนาย” เสิ่นตุ๊บป่องไม่พอใจ ฉันอยู่วงการบันเทิงมานานกว่าแท้ๆ ฉันเป็นรุ่นพี่นะ!

ฟางเล่อจิ่งตอบ “เพราะฉันไม่ขี้หนาว”

เสิ่นหานลองจับมืออีกฝ่ายดู มันอุ่นมาก ไม่เย็นสักนิดเดียว!

“แถมฉันยังใส่ชุดนอนแขนสั้นอีกต่างหาก” ฟางเล่อจิ่งเหยียดแขนออก

เสิ่นหานครุ่นคิดสักครู่ ก่อนเอ่ยอย่างมั่นใจ “บอสต้องให้นายกินของอะไรแปลกๆ แน่” ไฟปรารถนาถึงแผดเผาร้อนรุ่มไปทั้งตัวจนใส่แขนสั้นในหน้าหนาวได้!

เป็นการอนุมานที่สมเหตุสมผลเอามากๆ สมกับเป็นตุ๊บป่องเจ้าหลักการ

ฟางเล่อจิ่งข่มอารมณ์อยากทุบเขาสักทีไว้แล้วพลิกตัวเข้าหาผนัง “นอน”

เสิ่นหานที่รู้สึกเบื่อเริ่มเลื่อนดูหน้าโฮมเพจส่วนตัวของตัวเอง ก่อนไปที่โฮมเพจส่วนตัวของฟางเล่อจิ่ง ก็เห็นว่ามีแฟนคลับจำนวนมากแสดงความคิดเห็นไว้ พากันบอกว่าตุ๊บป่องของเราลดน้ำหนักมาทั้งปี เขาคงอ่อนแอมากแน่ๆ เล่อเล่อต้องดูแลเขาให้ดีนะ! จากนั้นคนใจกว้างก็มาพลีชีพเล่าประสบการณ์ซ่อนขนมของตัวเองสมัยฝึกทหาร พร้อมกำชับว่าเล่อเล่อต้องคอยป้อนอาหารให้ตรงเวลา อย่าให้ตุ๊บป่องหิวจนเป็นลมตกทะเล สมกับเป็นเหล่ามัมหมี[1]ผู้มากประสบการณ์จริงๆ

เสิ่นหานทุบเตียงด้วยความน้อยใจ ทำไมบรรยายซะเหมือนฉันปัญญาอ่อนเลย

“ถ้านายขยับตัวอีกละก็ ฉันจะโยนนายไปไว้บนโซฟา” ฟางเล่อจิ่งขู่อย่างเนิบช้า

เสิ่นหานตัวแข็งทื่อทันที อย่านะ!

ฟางเล่อจิ่งปิดไฟ “ราตรีสวัสดิ์”

เสิ่นหานพลิกตัวเงียบๆ ในความมืด ยังคงปลดปล่อยความคิดไปกับจินตนาการ

แหงสิ ที่นายไม่ขยับไปขยับมา เพราะนายไม่หนาวนี่!

เป็นคนโปรดมีบอสคอยหนุนหลังถึงได้ทำตัวหยิ่งยโส เอาแต่ใจยิ่งกว่าใคร

นี่มันปิศาจจอมแก่น[2]ชัดๆ

 

หกโมงเช้าวันรุ่งขึ้น ทีมงานโทร.แจ้งให้ทุกคนรวมตัวกันที่สนามตอนเจ็ดโมงตรง หลังทั้งสองทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย เสิ่นหานที่กินลูกอมกลิ่นมินต์เข้มข้นไปสามเม็ดยังคงสะลึมสะลือ เขาหาวหวอดไปตลอดทางและถูกฟางเล่อจิ่งหิ้วขึ้นรถไป

“อาหารเช้า” เฝิงฉู่ยื่นถุงกระดาษสีน้ำตาลสองถุงมาจากเบาะหน้า “เวลาน้อย คงต้องกินบนรถ”

“ขอบคุณมาก” ฟางเล่อจิ่งรับมา ก่อนเสียบหลอดนมให้เสิ่นหาน

“ฉันกับหยางซีจะตามไปพร้อมขบวนรถ มีอะไรก็โทร.หาได้ตลอด แต่เห็นว่าบางพื้นที่บนภูเขาจะไม่มีสัญญาณ” เฝิงฉู่เอ่ย “ยังไงก็ดูแลตัวเองให้ดี ไม่ว่าเมื่อไหร่ ความปลอดภัยสำคัญที่สุด”

“อื้อ” ฟางเล่อจิ่งพยักหน้า “ไม่ต้องห่วง เราจะระวัง”

“มีอีกเรื่อง” เฝิงฉู่เตือน “ถึงเว่ยอี้จะไม่ได้ปะทะกับหานหานโดยตรงหลังกลับเข้าวงการบันเทิงรอบนี้ แต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้เรื่องความขัดแย้งเมื่อหลายปีก่อน พอโปรโมตปุ๊บก็เป็นที่ถกเถียงในโลกออนไลน์ทันที พอรายการออกอากาศเมื่อไหร่ คงมีสื่อและชาวเน็ตจับจ้องเยอะ เพราะงั้นต้องระวังเรื่องความสัมพันธ์เป็นพิเศษ พยายามอย่าให้ตกเป็นประเด็น”

“หลี่จิ้งเคยเตือนแล้ว” ฟางเล่อจิ่งยิ้ม “ผมรู้ว่าควรรับมือยังไง”

“ถูกเผง” เสิ่นหานเบะปาก “ใครจะสนเจ้านั่น”

“จำได้รึเปล่าว่าก่อนออกเดินทาง ฉันบอกนายว่ายังไง” หยางซีขับรถพลางถาม

“จำได้!” เสิ่นหานตาเป็นประกาย

หยางซียกยิ้มมุมปาก แล้วเหยียบคันเร่ง

รถเก๋งสีขาวโลดแล่นไปตามทางหลวงริมชายฝั่ง พระอาทิตย์ขึ้นสว่างเรืองรองไปทั้งขอบฟ้า

นอกจากเว่ยอี้แล้ว ศิลปินที่เข้าร่วมรายการอีกสี่คนมาจากสายงานที่แตกต่างกัน เจี่ยงอีป๋ายเป็นนักร้องในมหาวิทยาลัยที่เดบิวต์ผ่านการประกวด มู่เถียนเป็นคุณหนูลุคน่ารักเรียบร้อย อู๋เวยเวยคว้ารางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่องหนึ่งเมื่อปีก่อนในบทพี่สาวข้างบ้าน ที่รู้จักดูแลผู้อื่นในชีวิตจริงเช่นกัน นอกจากที่ว่ามายังมีศิลปินอีกคนคือเย่เฟิงอู่ ลูกผสมแปดเชื้อชาติผู้มีดวงตาลึกล้ำราวกับหุบเหว กล้ามหน้าท้องก็ชวนให้อิจฉาเอามากๆ

“ลูกผสมแปดเชื้อชาติ!” เสิ่นหานที่นั่งบนรถมองฟางเล่อจิ่งอย่างจริงจัง “นายเคยเจอเขาหรือเปล่า”

“ไม่เคย” ฟางเล่อจิ่งส่ายหน้า

เสิ่นหานเอ่ย “พอเข้าวงการปุ๊บก็ถ่ายหนังอีโรติกเกย์ฟอร์มยักษ์เลย เขาดังมาก ผู้กำกับจงชอบรูปลักษณ์ของเขามากเลยแหละ”

“ไม่เคยเห็นเขากับผู้กำกับจงร่วมงานกันเลย” ฟางเล่อจิ่งว่า

“เพราะประธานมู่เอาแต่หึงน่ะสิ” เสิ่นหานเล่า “พูดถึงทีไรก็ขู่ว่าจะถอนทุนทุกที” ร้ายกาจชะมัด

ดังนั้นผู้กำกับจงเลยพลาดโอกาสร่วมงานกับพระเอกลูกครึ่งที่ดีที่สุดในใจของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า

ไม่สบ!

อารมณ์!

ชะมัด!

มันน่า!

หย่านัก!

“เล่อเล่อ” ผู้ช่วยของทีมงานกำลังรออยู่ด้านนอก อีกฝ่ายเปิดประตูรถให้ทั้งสองด้วยรอยยิ้ม “ได้เวลาพอดีเลย”

“ทุกคนมากันครบแล้วเหรอ” ฟางเล่อจิ่งและเสิ่นหานลงจากรถ

“เกือบครบแล้ว มู่เถียนกับเวยเวยต้องแต่งหน้าบางๆ ส่วนผู้ชายไม่ต้อง” ผู้ช่วยเอ่ย “วันนี้บนเกาะลมแรงมาก เซตผมไปลมก็พัดจนยุ่งอยู่ดี อยากเข้าไปดื่มชาก่อนไหม”

ฟางเล่อจิ่งพยักหน้า แล้วไปที่ห้องรับรองพร้อมเสิ่นหาน

“หานหาน” เย่เฟิงอู่นั่งไขว่ห้างอยู่ใกล้ประตูอย่างสบายอารมณ์ ดูหล่อเหลาและมีเสน่ห์

เสิ่นหานแนะนำฟางเล่อจิ่งและเย่เฟิงอู่ให้รู้จักกัน จากนั้นก็เห็นเจี่ยงอีป๋ายผลักประตูเดินเข้ามา เขาสวมแว่นตากรอบดำเหมือนกับในโทรทัศน์ หลังเห็นทั้งสามก็เดินเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้ม “Hi”

แม้นอกจากเสิ่นหานและเย่เฟิงอู่แล้ว คนอื่นๆ ต่างไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่อย่างไรก็เป็นคนในวงการทั้งนั้น จึงง่ายที่จะหาเรื่องมาคุยกัน หลังจากนั้นสิบกว่านาที มู่เถียนและอู๋เวยเวยก็คล้องแขนกันมาอย่างสนิทสนม ผู้ช่วยทีมงานมองนาฬิกาข้อมือแวบหนึ่ง แล้วยืนคุยโทรศัพท์อยู่อีกด้าน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าโทร.หาใคร

“ทำไมเว่ยอี้ยังไม่มา” เมื่อฝ่ายนั้นวางสายเรียบร้อย มู่เถียนก็ถามด้วยความสงสัย

“เห็นว่าไม่สบาย เลยไปฉีดยาลดไข้ที่โรงพยาบาลก่อน” ผู้ช่วยทีมงานบอก “แต่ไม่ทำให้เสียเวลาหรอก เขามาถึงหน้าประตูแล้ว”

“ไม่สบายแล้วยังจะเข้าร่วมรายการอีก จะเป็นอันตรายหรือเปล่า” มู่เถียนเอ่ย

“ใครจะไปรู้” ผู้ช่วยทีมงานทำหน้าเครียด “ฉันจะลองถามผู้กำกับดูว่าเขาว่ายังไง”

เสิ่นหานเบ้ปากเอ่ยเสียงเบา “ลูกไม้ตื้นๆ”

“หือ?” ฟางเล่อจิ่งได้ยินไม่ชัด

“ไม่มีอะไร” เสิ่นหานตอบ “เดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟัง”

ฟางเล่อจิ่งตบไหล่ปลอบใจเขาเบาๆ

แม้ไม่รู้ว่าทำไม แต่ดูจากท่าทางของอีกฝ่ายแล้ว คงไม่พ้นเรื่องเว่ยอี้อีกแน่ๆ

“เว่ยอี้ไม่สบาย ไข้ขึ้น?” หลังทราบข่าว ผู้กำกับกัวของทางรายการก็ตกใจ

“ใช่ เพิ่งได้รับสายเมื่อกี้” ผู้ช่วยเอ่ย “บอกว่าเพิ่งไปฉีดยาที่โรงพยาบาลมา”

แม้มีแสงแดด แต่อุณหภูมิยังคงต่ำมากอยู่ดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องบันทึกภาพบนเขาและริมทะเลตลอดทั้งรายการ ทั้งยังต้องตั้งแคมป์กลางแจ้งตอนกลางคืนอีก ผู้กำกับกัวกลุ้มสุดๆ “เคยบอกให้หมั่นออกกำลังกาย อย่าให้เป็นหวัดเด็ดขาดแท้ๆ ทำไมถึงหน้างานยังมีคนไม่สบายอีก”

“ผู้กำกับกัว” ขณะที่หลายคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น รถสปอร์ตสีน้ำเงินคันหนึ่งก็แล่นเข้ามา เว่ยอี้ที่สวมเสื้อกันหนาวขนเป็ดตัวหนาและผ้าพันคอก้าวลงจากรถ “ขอโทษครับที่เรามาสาย”

“ยังไม่ถือว่าสายอะไร แต่เมื่อกี้อาคุนบอกว่านายมีไข้?” ผู้กำกับถามอย่างกังวล “เป็นอะไรมากหรือเปล่า”

“ไม่เป็นอะไรครับ อุณหภูมิบนเกาะตอนกลางวันต่างกับตอนกลางคืนไปหน่อย เลยเป็นหวัดจนได้” เว่ยอี้ยิ้ม “แต่ฉีดยาไปแล้ว หมอบอกว่าไม่มีปัญหา”

“นายแน่ใจนะ” ผู้กำกับยังคงไม่วางใจ

“ผมคงไม่เอาร่างกายตัวเองมาล้อเล่นหรอกครับ” เว่ยอี้ตอบ “อีกอย่างจะให้ตารางของทุกคนต้องวุ่นวายเพราะผมคนเดียวไม่ได้”

“ก็ได้” มาถึงขั้นนี้แล้ว หากเปลี่ยนกำหนดการอีกคงเป็นเรื่องเพ้อฝันอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นผู้กำกับกัวจึงเอ่ย “งั้นนายไปอัดช่วงเปิดรายการก่อน เราจะอธิบายว่านายไม่สบาย หลังจากนี้ถ้าไม่ไหวก็ขอถอนตัวได้ตลอดเวลา”

“ขอบคุณครับ” เว่ยอี้พยักหน้า เขาเหลือบดูเวลาพร้อมเอ่ย “ใกล้เริ่มแล้วใช่หรือเปล่า”

ผู้กำกับกวักมือเรียกผู้ช่วย สั่งให้เขาไปบอกศิลปินคนอื่นๆ ให้เตรียมตัว

ไม่กี่นาทีถัดมา ทุกคนก็มาถึงสถานที่อัดรายการ เนื่องจากเว่ยอี้ไม่สบายอยู่ เลยไม่ได้เปลี่ยนมาใส่เสื้อทีมที่ทางรายการสั่งทำให้เหมือนกันทุกคน เขายังคงสวมเสื้อขนเป็ดตัวใหญ่ เพียงแต่พันผ้าพันคอเหมือนคนอื่นเท่านั้น

“นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม” เย่เฟิงอู่ถามอย่างเป็นห่วง

“ไม่เป็นอะไร เดินไปสักพัก เดี๋ยวเหงื่อออกก็หายแล้ว” เว่ยอี้ยิ้ม “ขอบคุณมาก”

“เราจะดูแลนายเอง ถ้าไปต่อไม่ไหวก็บอกได้เลย” เย่เฟิงอู่ตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ แล้วหันไปจัดกระเป๋าเป้ของตัวเอง

เสี่ยวเสวียนรับหน้าที่พิธีกรควบตำแหน่งผู้รายงานภาคสนามด้วย หลังแนะนำรายการและจับฉลากเลือกหัวหน้าทีมเสร็จ ก็ให้เวลาผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนพูดอะไรสั้นๆ ตามธรรมเนียม ซึ่งไม่เพียงช่วยปลุกขวัญกำลังใจ แต่ยังเป็นการโปรโมตรายการอีกด้วย

เย่เฟิงอู่หัวหน้าทีมสดใหม่รับไมโครโฟน “หวังว่าทุกคนจะทำภารกิจสำเร็จ” ยังคงนิสัยลึกลับพูดน้อยเหมือนเคย ตรงกับลักษณะพิเศษของลูกผสมแปดเชื้อชาติจริงๆ

มู่เถียนยิ้มสดใส “ถึงทุกคนจะคิดว่าฉันอาจถอนตัวเร็วที่สุด แต่ฉันจะพยายามอดทนให้ถึงที่สุดค่ะ”

เจี่ยงอีป๋ายเปิดกระเป๋าเป้ออก “เพื่อไม่ให้หลงทาง ผมพกเข็มทิศมาด้วยสี่อัน” เขาเคยไปผิดเวทีสมัยที่เข้าร่วมการประกวด เดินวนอยู่สามรอบจนจบการแสดง สุดท้ายก็ยังหาประตูทางออกไม่เจอ แฟนคลับหัวเราะจนตัวงอ ขณะเดียวกันก็ตีตราภาพจำว่าเขาเป็นสุดยอดคนหลงทิศ

อู๋เวยเวยชูมือยอมแพ้ “ฉันเป็นพวกโง่ตรรกะ เรื่องหาเบาะแสโปรดข้ามฉันไปเลย แต่ฉันสัญญาว่าจะดูแลทุกคนอย่างดี”

“ผมดีใจมากครับที่ได้ร่วมรายการนี้” เว่ยอี้เอ่ย “เชื่อว่าทุกคนจะเข้ากันได้ดีแน่นอน”

“ตอนเด็กผมเคยดูรายการผจญภัยบ่อยๆ ตอนนี้ถือว่าฝันเป็นจริงแล้วครับ” ฟางเล่อจิ่งยิ้ม “เพราะงั้นเลยตั้งตาคอยช่วงเวลาสามวันนี้มาก”

“หานหานล่ะ” พิธีกรส่งไมโครโฟนให้

เสิ่นหานครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ถ้ายังปั่นแฮชแท็กอีกจะเลิกคบแล้วนะ”

ไม่นานคลิปนี้ก็ถูกทีมงานนำไปโปรโมตบนเว็บไซต์ทางการ หลังแฟนคลับของเสิ่นหานดูก็พากันตบโต๊ะฉาด หัวเราะกันน้ำหูน้ำตาไหล ก่อนพากันปั่นแฮชแท็ก #เตรียมเหวี่ยงแหจับตุ๊บป่อง กันอย่างสนุกสนานกว่าเดิม พร้อมภาพเวอร์ชันตัวจิ๋ว…นางเงือกอวบอ้วนพลัดตกลงไปในน้ำระหว่างการผจญภัย ก่อนถูกแหช้อนขึ้นมา ใบหน้ากลมเหมือนซาลาเปาชวนให้บีบเล่นชะมัด!

น่ารักจนเลือดกำเดาแทบพุ่ง!

แน่นอน ตอนนี้เสิ่นหานยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น สัญญาณโทรศัพท์บนเกาะไม่ดีเท่าไหร่ บวกกับเริ่มถ่ายรายการอย่างเป็นทางการแล้ว เขาจึงไม่ได้ดูมือถือเลย

เบาะแสแรกเป็นภาพหงส์แผดเผากลางกองไฟ ทุกคนวิเคราะห์กันอย่างรวดเร็วว่าสถานที่ถัดไปคือหุบเขาหั่วเฟิ่ง[3]ที่อยู่ทางตอนเหนือของเกาะ จึงพากันสะพายกระเป๋าเป้มุ่งหน้าไปยังจุดหมาย ในฐานะหัวหน้าทีม เย่เฟิงอู่ย่อมต้องดูแลลูกทีมทุกคน เลยถามเว่ยอี้ว่าต้องการความช่วยเหลือหรือไม่

“ไม่ต้อง” เว่ยอี้ตอบ “ฉันดีขึ้นมากแล้ว นายไปดูแลผู้หญิงสองคนเถอะ”

เย่เฟิงอู่พยักหน้าแล้วเดินเข้าไปช่วยแบ่งเบาสัมภาระของมู่เถียนและอู๋เวยเวย

“เหนื่อยไหม” ฟางเล่อจิ่งถามเสิ่นหาน

“ยังไหว” เสิ่นหานรัดสายกระเป๋าให้แน่น คว้ากอหญ้าแล้วปีนขึ้นไปบนทางลาดต่ำ “ฉันเคยฝึกหนักมาก่อน ไม่มีปัญหา”

ฟางเล่อจิ่งยิ้มแล้วเดินลุยป่าไปพร้อมอีกฝ่าย

นอกจากเพื่อการรับชมในวงกว้างแล้ว อีกหนึ่งบทบาทของรายการ เซเลบ discover คือส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวในท้องถิ่น ดังนั้นเส้นทางที่ทีมงานเลือกจึงค่อนข้างวิบาก…แบบนี้ถึงจะได้วิวที่สวยงาม วันแรกทุกคนต่างยังไม่มีประสบการณ์ ตอนเดินทางไกลไปจนถึงหุบเขาหั่วเฟิ่งและพบชิ้นส่วนแผนที่ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง เห็นเมฆครึ้มตั้งเค้ารางๆ ที่เส้นขอบฟ้า ไกด์ที่ร่วมเดินทางบอกว่าอาจมีพายุ ทางที่ดีให้พักค้างแรมในหุบเขา

“แต่เรายังเหลืออีกหนึ่งที่นะ” มู่เถียนเอ่ย “ถ้าไม่ได้แผนที่ชิ้นถัดไป ภารกิจวันพรุ่งนี้จะหนักขึ้นมาก”

“จริงด้วย” เจี่ยงอีป๋ายเองก็เอ่ย “สถานที่ถัดไปอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่ ตอนนี้ยังพอมีแสงสว่างอยู่บ้าง เดินหน้าต่อดีกว่าไหม”

“ไม่ได้” เย่เฟิงอู่ปฏิเสธ “ไกด์บอกว่าอาจมีพายุ เราไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศ ถ้าไปต่ออาจเกิดอันตราย”

“งั้นพรุ่งนี้ก็ต้องไปสามที่ในวันเดียวสิ” มู่เถียนทำหน้าวิตก

“คงต้องตามนี้แหละ ความปลอดภัยต้องมาก่อน” เย่เฟิงอู่ตอบ “กางเต็นท์กันเถอะ”

ฟางเล่อจิ่ง เสิ่นหาน เว่ยอี้ และอู๋เวยเวยไม่คัดค้าน มู่เถียนกับเจี่ยงอีป๋ายจึงต้องยอมรับเสียงข้างมาก ทุกคนหาพื้นที่ในหุบเขาที่ลมพัดไม่ถึง เตรียมตัวตั้งแคมป์พักแรม

มู่เถียนและอู๋เวยเวยต่างเป็นผู้หญิงไม่มีประสบการณ์ตั้งแคมป์ และไม่สันทัดเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ ขณะเสิ่นหานหยิบอุปกรณ์ของตัวเองออกจากกระเป๋าสะพาย ก็เห็นมู่เถียนกำลังปลุกปล้ำกับเต็นท์ของตัวเอง เลยลุกขึ้นไปช่วยเธอก่อน

“ขอบคุณนะ” มู่เถียนทุลักทุเลเล็กน้อย

“ไม่เป็นไร” เสิ่นหานทำตามคู่มือ ไม่นานก็ขึ้นโครงสำเร็จ จากนั้นเขากับมู่เถียนก็ช่วยกันสะบัดผ้ากันลมออก

กล้องหลายตัวตามมาเก็บภาพ เว่ยอี้ที่อยู่อีกด้านเพียงเหลือบมองแวบหนึ่งก่อนก้มหน้ายุ่งกับงานของตัวเองต่อ

“อ๊ะ!” มู่เถียนเผลอเหยียบผ้ากันลมเลยสะดุดล้มลงบนพื้น

คนอื่นพากันมองมาทางนี้ เสิ่นหานรีบพยุงเธอขึ้นมา เย่เฟิงอู่ก็ทิ้งของในมือแล้วเข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” เสิ่นหานประคองเธอไปนั่งอีกด้าน

“ไม่เป็นไรๆ” มู่เถียนโบกมือ “ฉันไม่ระวังเอง”

เว่ยอี้ตอกสมอบกตัวสุดท้ายเสร็จก็ลุกขึ้นพร้อมก้าวยาวๆ เข้ามาหา ตอนเดินผ่านจุดตั้งเต็นท์ของเสิ่นหาน เขายื่นเท้าเตะตัวล็อกสีเขียวถุงหนึ่งกลิ้งหลุนๆ ตกเขาไป

ทุกคนกำลังรุมล้อมมู่เถียนเลยไม่มีใครสังเกตเห็น

“ฉันไม่เป็นอะไรจริงๆ” เมื่อเห็นทุกคนพากันเดินเข้ามาหา มู่เถียนเองก็เก้อเขิน รีบลุกขึ้นยืนทันที “แค่ล้มเอง”

“ให้หมอมาดูอาการหน่อยไหม” เย่เฟิงอู่ถาม

“ไม่ต้องหรอก” มู่เถียนเอ่ย “ฉันใส่ชุดหลายชั้น ไม่ได้บาดเจ็บอะไร”

เมื่อแน่ใจว่าเธอไม่เป็นอะไรแล้ว คนที่เหลือก็โล่งใจ ทุกคนร่วมด้วยช่วยกันกางเต็นท์ให้มู่เถียน ไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย เสิ่นหานกลับไปยังจุดตั้งเต็นท์ของตัวเอง กางคู่มือออกแล้วหยิบโครงค้ำออกมา

หลังช่วยมู่เถียนกางเต็นท์เสร็จ เสิ่นหานก็ทำตามขั้นตอนอย่างชำนาญและตั้งโครงสำเร็จอย่างรวดเร็ว ขณะเตรียมยึดเต็นท์ให้มั่นคง กลับหาตัวล็อกเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ เลยหยิบถุงบรรจุภัณฑ์มาเขย่า แต่ไม่มีอะไรออกมาอยู่ดี!

เอ๋! เสิ่นหานมึนงง ก็ตรวจดูแล้วนี่นา! อีกอย่างถึงแม้ตัวเองลืม หยางซีก็น่าจะสังเกตเห็นสิ ทำไมอยู่ๆ ถึงหายไปได้

“หาอะไรอยู่” ฟางเล่อจิ่งเดินเข้ามา

“ตัวล็อกหายไป” เสิ่นหานหน้าเครียด

ฟางเล่อจิ่งช่วยเขาหาดูอีกรอบ ก็ยังไม่มีเหมือนเดิม!

คนอื่นทยอยกางเต็นท์เสร็จเรียบร้อย มีเพียงเสิ่นหานที่ยังมีปัญหา เย่เฟิงอู่เดินเข้ามาถาม “เกิดอะไรขึ้น”

“ขาดส่วนประกอบเต็นท์ กางไม่ได้” เสิ่นหานตอบ

เย่เฟิงอู่นิ่วหน้า “ก่อนออกเดินทางก็ย้ำแล้วนี่ว่าให้ตรวจดูของทุกอย่างให้เรียบร้อย”

“ขอโทษ ฉันเลินเล่อไปหน่อย” เสิ่นหานก้มหน้ายอมรับคำติแต่โดยดี

ทีมงานเตรียมเต็นท์สำรองไว้ แต่ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดเรื่องตั้งแต่วันแรก ขบวนรถขนเสบียงเลยอยู่นอกหุบเขาทั้งหมด…อีกอย่างตามกติกาแล้ว พวกเขาขอความช่วยเหลือจากคนนอกได้ก็ต่อเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขันเท่านั้น เสิ่นหานจึงได้แต่รับผิดชอบความผิดพลาดของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม ผู้ชมสมัยนี้ไม่เหมือนสิบกว่าปีก่อน จะโกงก็ไม่อาจทำอย่างโจ่งแจ้ง ไม่อย่างนั้นหากผลลัพธ์ดูปลอมเกินไปมีแต่จะถูกเหน็บแนมเท่านั้น

“งั้นเรานอนเต็นท์เดียวกันก็ได้” ฟางเล่อจิ่งเอ่ย “ถึงจะเบียดหน่อย แต่ไม่มีปัญหา”

“คงมีแต่วิธีนี้แล้วแหละ” เย่เฟิงอู่พยักหน้า ก่อนเรียกทุกคนมาเตรียมทำอาหาร ฟางเล่อจิ่งช่วยเสิ่นหานเก็บข้าวของ “ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว แก้ปัญหาได้ก็พอ”

“อือ” เสิ่นตุ๊บป่องดูห่อเหี่ยว

ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะมีปัญหาเป็นคนแรก ทั้งที่เขาเตรียมตัวมาอย่างดีแท้ๆ!

ระหว่างเว่ยอี้กำลังล้างผักในถังน้ำ ฟางเล่อจิ่งเหลือบมองเขาอยู่นอกระยะที่กล้องจะจับภาพได้ แล้วดึงเสิ่นหานไปอีกด้าน ก่อนออกเดินทาง เขาตรวจดูแล้วว่ากระเป๋าของพวกเขาทั้งคู่ไม่มีปัญหา ตอนนี้จู่ ๆ ตัวล็อกกลับหายไป เหมือนมีใครกลั่นแกล้งอย่างชัดเจน

ส่วนคนที่ว่าเป็นใครนั้น…หัวคิ้วของฟางเล่อจิ่งขมวดมุ่นเล็กน้อยเมื่อนึกได้ว่าก่อนหน้านี้เว่ยอี้เดินผ่านจุดตั้งเต็นท์ของเสิ่นหาน

“ฉันไปล้างหม้อก่อนนะ” เสิ่นหานอุ้มหม้อใบใหญ่ไปข้างๆ ถังน้ำ

เมื่อฟางเล่อจิ่งหั่นเนื้อเรียบร้อยก็ถือโอกาสไปเข้าห้องน้ำโทร.หาอู๋เซวียน

หลังจากนั้นห้านาที โทรศัพท์มือถือของตากล้องหลักก็เริ่มส่งเสียงดัง “พี่เสียวหม่า ฉันเอง”

“เซวียนเซวียน?” ตากล้องลุกขึ้นยืนด้วยความกระฉับกระเฉงทันที! ใครๆ ในวงการต่างรู้ว่าเขาเป็นแฟนคลับผู้คลั่งไคล้อู๋เซวียน ระดับความบ้าคลั่งเหมือนอายุสิบแปดอีกครั้ง

“อื้อ” อู๋เซวียนตอบพร้อมรอยยิ้ม “พี่กำลังถ่ายรายการ เซเลบ discover อยู่เหรอ”

“ใช่ เธอเห็นข่าวจากในเน็ตเหรอ” ตากล้องดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ รู้สึกเหมือนมีนางฟ้าโทร.มาหา!

“ฉันขอร้องพี่สักเรื่องได้ไหม” อู๋เซวียนถาม

“ได้อยู่แล้ว เรื่องอะไรล่ะ” ตากล้องทุบอกรับปาก “ขอแค่เป็นสิ่งที่ฉันทำได้ก็ได้ทุกอย่าง”

“ช่วยถ่ายเว่ยอี้เยอะขึ้นได้ไหม” อู๋เซวียนว่า “ไม่ใช่แบบที่ไว้ออกรายการ แต่เป็นกิจวัตรประจำวันทั่วไปน่ะ”

“ได้น่ะได้ แต่ทำไมต้องถ่ายเขาด้วย” หัวใจตากล้องเหมือนถูกทิ่มแทง

“เพื่อนสนิทนอกวงการของฉันชอบเว่ยอี้ จะถึงวันเกิดของเธอแล้ว ฉันเลยอยากเตรียมคลิปที่ไม่มีให้เห็นทั่วไปบนอินเทอร์เน็ตไว้เป็นของขวัญน่ะ” อู๋เซวียนว่า “แบบนี้ไม่ถือว่าผิดกฎใช่ไหม”

“ไม่อยู่แล้ว!” เมื่อได้ยินว่าไม่ใช่อู๋เซวียนที่อยากเห็นเว่ยอี้ ตากล้องพลันฟื้นคืนชีพอีกครั้ง “ก่อนถ่ายรายการตามปกติ ฉันรับรองว่าจะช่วยเพื่อนสนิทของเธอตามติดเว่ยอี้ทุกฝีก้าวเลย!”

“ขอบคุณจริงๆ ค่ะ” อู๋เซวียนกำชับ “อย่าลืมว่าต้องเก็บเป็นความลับนะ”

“ไม่มีปัญหา” ตากล้องกำโทรศัพท์มือถือแน่นด้วยใบหน้าแดงแจ๋ อยากวิ่งพล่านไปรอบๆ เหลือเกิน

“ไว้กลับมาเมื่อไหร่ ฉันขอเลี้ยงข้าวพี่นะ” อู๋เซวียนหัวเราะคิกคัก “พี่เสียวหม่ามีเวลาหรือเปล่า”

ตากล้องพยักหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย มีอยู่แล้ว

“พี่หม่าลืมกินยาหรือไง” อู๋เวยเวยที่ยืนอยู่ไม่ไกลตกใจ

“คงกินยาเกินขนาดละมั้ง” มู่เถียนเองก็รู้สึกว่าเขาดูคึกคักไปหน่อย

ฟางเล่อจิ่งปรุงซุปอยู่อีกด้านด้วยท่าทีเรียบเฉย มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย

ทางรายการกำหนดให้แต่ละคนทำอาหารคนละหนึ่งอย่าง เย่เฟิงอู่ทำสเต๊กหมูแฮมเบิร์ก มู่เถียนทำไข่ผัดมะเขือเทศ อู๋เวยเวยทำสลัดผักป่า เจี่ยงอีป๋ายทำแฮมผัดข้าวโพด เว่ยอี้เนื่องจากไม่สบายจึงรับหน้าที่หุงข้าวเท่านั้น

“เรียบร้อย” ฟางเล่อจิ่งหยิบไก่นึ่งเกลือออกมาจากหม้อ “เสิร์ฟได้!”

เสิ่นหานยกซุปไข่สาหร่ายขึ้นโต๊ะเช่นกัน ถึงไม่ได้มากมายเท่าไหร่ แต่ทุกคนที่เดินทางมาทั้งวันกลับกินกันอย่างเอร็ดอร่อย ตอนฟางเล่อจิ่งตักข้าว เขาแอบกดข้าวให้เสิ่นตุ๊บป่องแน่นๆ อีกฝ่ายจะได้ไม่ต้องคอยวิ่งไปหาหม้อข้าวภายใต้การจับตามองของตากล้อง

“หานหาน ถามหน่อยสิ อาหารที่เล่อเล่อทำกับหยางซีทำ ของใครอร่อยกว่ากันคะ” พิธีกรถือโอกาสซักถาม

เสิ่นหานทอดทิ้งหยางซีอย่างไม่ลังเล “เล่อเล่อ!”

ทุกคนที่นั่นหัวเราะ พิธีกรหันไปถามเว่ยอี้ต่อ “เว่ยเว่ยยังไปต่อไหวไหม”

“สบายมากครับ แค่เป็นหวัดเอง” เว่ยอี้ทำท่าชูสองนิ้วไปทางกล้อง “ทุกคนไม่ต้องห่วงนะครับ”

“หัวหน้าทีม!” พิธีกรส่งไมโครโฟนให้เย่เฟิงอู่ “ระยะเวลาตอนนี้ผ่านไปเกือบหนึ่งในสามแล้ว ไม่ทราบว่าใครคือลูกทีมที่ดีที่สุดในความคิดของคุณคะ”

“ทุกคนทำได้ดีมาก” เย่เฟิงอู่ตอบ “หวังว่าจะรักษาขวัญกำลังใจแบบนี้ไว้ต่อไป”

“ห้ามตอบแบบทางการค่ะ” พิธีกรเอ่ย “งั้นฉันเปลี่ยนวิธีถามแล้วกัน ถ้าต้องให้คะแนน คุณจะให้คะแนนใครมากที่สุด ตอบได้แค่คนเดียวนะ”

“เลือกได้แค่คนเดียวเหรอครับ” เย่เฟิงอู่กวาดตามองลูกทีม “เล่อเล่อแล้วกัน เขามีทักษะการเอาตัวในป่าดีมาก แถมดูแลเพื่อนในทีมคนอื่นได้ด้วย”

“ยินดีกับเล่อเล่อที่เป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดของวันนี้ ไม่ทราบว่ามีอะไรอยากพูดไหมคะ” พิธีกรถาม

“หวังว่าพรุ่งนี้ท้องฟ้าจะสดใส และหาแผนที่อีกสามชิ้นที่เหลือได้สำเร็จครับ” ฟางเล่อจิ่งตอบ “และขอฝากอะไรถึงตากล้องหน่อย อย่าคิดว่าเราไม่รู้ว่าพวกคุณคอยแอบถ่ายตลอดนะ ฝากลบภาพผมคาดเข็มขัดภายในหนึ่งชั่วโมงด้วยนะครับ”

ทุกคนหัวเราะลั่นขึ้นมาอีก อู๋เวยเวยเอ่ยประท้วง “พี่หม่า แอบถ่ายมันไม่ดีนะ!”

“เราแอบถ่ายแค่ศิลปินชายเท่านั้นแหละ” ตากล้องรีบชูมือสาบาน

“ทำไมล่ะ!” เจี่ยงอีป๋ายเอ่ยติดตลก “งั้นผมขอสมัครเข้าทีมผู้หญิงด้วยแล้วกัน”

ฟางเล่อจิ่งซดน้ำซุปพลางเหลือบมองเว่ยอี้ ก็เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายดูเปลี่ยนไป เลยพลอยยกยิ้มมุมปากไปด้วย

ร้อนรนไปเถอะ

คิดกลับไปกลับมาหลายรอบ เมื่อเว่ยอี้แน่ใจว่าตอนตัวเองเตะถุงส่วนประกอบนั่นคงไม่ถูกถ่ายไว้ ถึงพยายามเลิกกังวล แต่ก็ไม่มีอารมณ์กินอาหารต่ออยู่ดี เลยอ้างว่าไม่สบายตัวแล้วขอกลับไปพักที่เต็นท์

พี่เสียวหม่าแบกกล้องตามถ่ายไปตลอดทาง

เว่ยอี้หันกลับไปด้วยความแปลกใจ “ทำไมต้องถ่ายผมด้วย” ขอตัวมาพักแล้วนี่นา

พี่เสียวหม่าตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “ภาพเบื้องหลัง”

ทำเอาเว่ยอี้สะอึกไปนิด และคิดว่าหากปฏิเสธจะดูไม่ดี เลยจำต้องปล่อยให้อีกฝ่ายเดินตามหลัง

หลังกินอาหารเรียบร้อย ท้องฟ้าก็มืดสนิท เย่เฟิงอู่กำกับให้ทุกคนเก็บอุปกรณ์ทำครัวและสำรองเสบียงไว้ จากนั้นต่างคนก็ต่างไปล้างหน้าแปรงฟันกลับไปพักผ่อน เมื่อฟางเล่อจิ่งและเสิ่นหานเบียดเข้าไปในเต็นท์ที่แต่เดิมเป็นเต็นท์สำหรับพักคนเดียว ก็แออัดอย่างเลี่ยงไม่ได้ โชคดีที่ทั้งคู่ไม่ได้รูปร่างสูงใหญ่ จึงไม่เป็นปัญหาอะไรนัก

“ราตรีสวัสดิ์ครับ” หลังเก็บภาพทุกคนเข้านอนเรียบร้อย การเดินทางในวันแรกก็จบลงอย่างเป็นทางการ ฟางเล่อจิ่งรูดซิปเต็นท์เสร็จก็ตรวจดูเกลียวยึดแต่ละอันอีกรอบ พอแน่ใจว่าไม่มีปัญหาอะไรจึงสอดตัวเข้าในถุงนอน

“เหนื่อยจัง” เสิ่นหานสวมหมวกใส่นอนเหมือนอย่างเคย และยัดเยียดให้ฟางเล่อจิ่งหนึ่งใบเพื่อไม่ให้อีกคนโดนลมจนไม่สบาย

“พรุ่งนี้ก่อนกล้องมาถ่าย อย่าลืมเตือนฉันให้ถอดหมวกด้วยล่ะ” ฟางเล่อจิ่งเอ่ย “มันดูตลก”

“กลัวอะไร สุขภาพสำคัญที่สุด” เสิ่นหานจริงจัง

“ไม่มีสัญญาณจริงด้วย” ฟางเล่อจิ่งหยิบโทรศัพท์มือถือมาดู “ไม่ขึ้นสักขีด”

“นายจะโทร.หาบอสเหรอ” เสิ่นหานตะแคงตัวมาถาม

“เปล่า” ฟางเล่อจิ่งปฏิเสธ

เสิ่นตุ๊บป่องเบ้ปาก “มนุษย์อย่างพวกนายนี่เสแสร้งจริงๆ”

ฟางเล่อจิ่งยัดโทรศัพท์มือถือกลับเข้ากระเป๋าเป้ “จริงสิ วันนี้พอนายได้ยินว่าเว่ยอี้ป่วย นายพึมพำอะไร”

“ฉันบอกว่าลูกไม้ตื้นๆ” เสิ่นหานตอบ “เขาใช้มุกนี้มาตั้งนานแล้ว ไม่กี่ปีก่อนตอนเราเล่นลูกบอลเดินบนน้ำด้วยกัน เขาก็ป่วยแต่ยืนกรานจะแข่งขันแบบนี้แหละ ตอนนั้นฉันกับเขายังไม่มีชื่อเสียงอะไร และเป็นรายการต้นทุนต่ำ คงไม่มีใครจำได้”

“แกล้งป่วยจนติดเป็นนิสัยได้ด้วยเหรอ” ฟางเล่อจิ่งช่วยจัดหมวกใส่นอนของอีกฝ่ายให้เข้าที่

“แกล้งป่วยมีข้อดีเยอะจะตาย” เสิ่นหานตอบ “ไม่ต้องแบกของหนัก ไปไหนก็ได้รับการดูแล ทำไม่ดีก็ไม่มีใครว่า อีกอย่างพอรายการออกอากาศ เขาต้องใช้ลูกไม้นี้มาสร้างกระแสแน่นอน” ลูกไม้ที่ว่าเพื่อไม่ให้ทีมต้องเสียเวลา ถึงไม่สบายก็ยังฝืนทน ไม่ว่าพูดยังไงก็สมควรได้รับการยกย่อง ดึงดูดความสนใจได้สบายๆ

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องสนใจเขา” ฟางเล่อจิ่งเอ่ย “เหลือเวลาอีกสองวัน คิดซะว่าเขาเป็นอากาศธาตุก็พอ”

“อื้อ” เสิ่นหานพยักหน้า “ขอบคุณนะที่ให้ที่พักพิงกับฉัน”

ฟางเล่อจิ่งหลุดขำ ยื่นมือออกไปปิดไฟ “ไม่เป็นไร ราตรีสวัสดิ์”

“ราตรีสวัสดิ์” เสิ่นหานสูดจมูกก่อนผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว

เนื่องจากแผนการในวันแรกสำเร็จไปเพียงครึ่งเดียว หกโมงเช้าวันรุ่งขึ้น สมาชิกทุกคนจึงถูกปลุกเพื่อเตรียมตัวไปจุดหมายที่สอง

“เล่อเล่อ หานหาน ตื่นได้แล้ว” พิธีกรส่งเสียงเรียกจากด้านนอกเต็นท์

“จะไปเดี๋ยวนี้ครับ” ฟางเล่อจิ่งโยนหมวกใส่นอนไปไว้อีกด้าน ก่อนฉุดเสิ่นหานขึ้นมา “ตื่นได้แล้ว”

“ง่วงจัง” เสิ่นหานออกแรงบิดขี้เกียจ ก่อนรูดซิปเต็นท์เปิด โผล่หัวออกไปทักทายอย่างงัวเงีย “อรุณสวัสดิ์ครับ”

ไม่มีอะไรน่าเอ็นดูไปกว่าหมวกใส่นอนอีกแล้ว!

ถึงไม่ใช่แฟนคลับของเสิ่นหาน แต่พิธีกรก็รู้สึกอยากจะบีบแก้มอีกฝ่ายเหลือเกิน!

น่ารักจนหัวใจของสาวน้อยแทบกระดอนออกมา!

หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ลูกทีมทุกคนก็เก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยและพากันมุ่งหน้าไปยังจุดหมายถัดไป

ยอดเขานางฟ้าซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกล

อุณหภูมิตอนเช้าตรู่เย็นกว่าตอนกลางวัน ใบหน้ากว่าครึ่งของเว่ยอี้ซ่อนอยู่ใต้ผ้าพันคอ ท่าทางไม่ได้ดูดีกว่าเมื่อวานเท่าไหร่

“อยากให้ทุกคนช่วยแบกกระเป๋าให้ไหม” เย่เฟิงอู่ถาม

เสิ่นตุ๊บป่องได้ยินก็ฮึดฮัดในใจ ใครอยากช่วยเขาแบกของ!

เว่ยอี้กลับไม่ตกลง “ไม่ต้องหรอก ฉันสะพายเองได้ ไม่เป็นไร”

“ทุกคนเร่งหน่อย” เย่เฟิงอู่พูดเสียงดัง “เราต้องไปถึงยอดเขานางฟ้าก่อนเก้าโมง ถึงจะเหลือเวลาพอสำหรับแผนการของวันนี้”

ถึงแม้เส้นทางนี้จะไม่ไกลนักแต่กลับวิบากมาก ผู้ชายยังดีหน่อย ทว่าช่วงหลังๆ มู่เถียนกับอู๋เวยเวยดูอ่อนแรงลงเล็กน้อย เย่เฟิงอู่รับกระเป๋าของทั้งคู่มาขณะปีนทางลาดชัน และแบ่งให้ลูกทีมคนอื่นๆ ช่วยถือชั่วคราว…แน่นอนว่ายกเว้นเว่ยอี้ที่ป่วยอยู่

“ระวังหน่อยนะ” ฟางเล่อจิ่งปีนขึ้นทางลาดเอียงไปก่อน จากนั้นยื่นมือมาดึงคนที่เหลือขึ้นมาทีละคน

“ขอบใจนะ” เว่ยอี้ยิ้มแล้วยื่นมือให้เขา

“ไม่เป็นไร” ขณะที่ฟางเล่อจิ่งกำลังจะดึงเขาขึ้นมา เท้าของเว่ยอี้กลับลื่น ทำให้น้ำหนักของร่างกายเพิ่มขึ้นฉับพลันจนเกือบกระชากฟางเล่อจิ่งตกลงไปด้วย

“ระวัง!” มู่เถียนตกใจ

ฟางเล่อจิ่งใช้มือซ้ายยึดต้นไม้ข้างตัวไว้ มือขวาลื่นหลุดจากอีกฝ่ายทันที เขาประคองร่างตัวเองไว้มั่น ส่วนเว่ยอี้คว้ากอหญ้าแห้งข้างตัว ไม่ได้เป็นอะไรเช่นกัน เพียงโงนเงนเล็กน้อยเท่านั้น

ทุกคนพากันถอนหายใจโล่งอก เว่ยอี้ปีนหินกระโดดขึ้นมา “เมื่อกี้ไม่ทันระวังเลยลื่น นายไม่บาดเจ็บใช่ไหม”

“ไม่อยู่แล้ว” ฟางเล่อจิ่งสะบัดข้อมือ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยินดีด้วยนะ ในที่สุดอุณหภูมิร่างกายก็กลับมาเป็นปกติแล้ว ทุกคนเขาเป็นห่วงกันตลอด”

“จริงเหรอ” เจี่ยงอีป๋ายได้ยินก็ยื่นมือมาแตะหน้าผากวัดอุณหภูมิอีกฝ่ายทันที ก่อนพูดอย่างประหลาดใจ “จริงด้วย ไม่มีไข้แล้ว”

“ฉันเองก็รู้สึกดีขึ้นมาก” เว่ยอี้ผละออกจากมือของอีกฝ่าย “ที่แท้ก็ไม่มีไข้แล้ว”

“นายหายก็ดีแล้ว” เสิ่นหานยิ้มตาหยี ดูจริงใจสุดๆ

เดินหน้าไปได้สักพักก็พบหุบเขาที่พอจะหลบลมได้พอดี ดังนั้นเย่เฟิงอู่เลยสั่งให้หยุดพักที่นี่สักสิบห้านาที จากนั้นค่อยเดินทางต่อ

ทุกคนกินซีเรียลบาร์กับช็อกโกแลตเพิ่มพลัง ตากล้องเองก็ยุ่งอยู่กับการกินขนมปัง เสิ่นหานเลยถามเสียงเบาช่วงที่ไม่มีใครสังเกต “เมื่อกี้เว่ยอี้ตั้งใจใช่ไหม”

ฟางเล่อจิ่งพยักหน้า “เขาจะดึงฉัน”

“น่ารังเกียจชะมัด” เสิ่นตุ๊บป่องโกรธ!

“มันเป็นที่ราบ ถึงฉันร่วงลงไปก็ไม่เป็นอันตราย เขาคงแค่อยากเห็นฉันเสียหน้า” ฟางเล่อจิ่งเอ่ย “ไม่งั้นถ้าเขาไม่ได้ตั้งใจ พอฉันคลายมือ เขาคงไม่มีทางได้สติคว้ากอหญ้าเร็วขนาดนั้นหรอก” ในเมื่ออีกฝ่ายคว้าไว้ได้ แปลว่าก่อนลื่น เขาหาวิธีป้องกันตัวไว้แล้ว

เสิ่นหานบีบเว่ยอี้จนเละอยู่ในความคิด

“แต่ฉันเองก็เตรียมพร้อมเหมือนกัน เขาทำอะไรฉันไม่ได้หรอก” ฟางเล่อจิ่งแบ่งช็อกโกแลตครึ่งหนึ่งให้เขาแล้วถือโอกาสเหลือบมอง

“ทำไมคุณถึงเอาแต่ตามถ่ายผมตลอดเวลา” เว่ยอี้มองกล้องตรงหน้าอย่างหมดคำพูด

ตากล้องตอบเหมือนเดิม “ภาพเบื้องหลัง”

“แล้วทำไมไม่ถ่ายคนอื่น” เว่ยอี้ถามต่อ

ตากล้องตอบ “เดี๋ยวถ่าย”

เดี๋ยวถ่ายแกก็ไปถ่ายสิ! เว่ยอี้ไฟสุมทรวงแต่ชักสีหน้าไม่ได้ จำต้องรักษาภาพลักษณ์ชายหนุ่มรูปงามต่อไป เพื่อไม่ให้โดนถ่ายซีนน่าขำแล้วถูกเผยแพร่ลงบนอินเทอร์เน็ต

อึดอัดชะมัด

 

[1] เพี้ยนมาจากคำว่า mommy ที่แปลว่าแม่ เป็นคำเรียกกลุ่มแฟนคลับที่ชื่นชมหรือรักศิลปินคนนั้นเหมือนเป็นลูกในไส้

[2] คำแสลงของชาวจีน ใช้พูดถึงคนที่ชอบโปรยเสน่ห์ให้คนอื่นหลงจนหัวปักหัวปำ

[3] หรือเฟิ่งหวง ในภาษาจีนหมายถึงหงส์ไฟหรือหงส์แดง สัตว์วิเศษตามความเชื่อของชาวจีน และสัตว์มงคลตัวแทนของเพศหญิง

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า