巨星手记
บันทึก (ไม่ลับ) ฉบับซูเปอร์สตาร์
อวี่เซี่ยวหลานซาน เขียน
ธมน แปล
get-sem วาด
— โปรย —
ฟางเล่อจิ่ง ไม่รู้ว่าระหว่างเขากับประธานบริษัทตงหวนเอ็นเตอร์เทนเมนต์
ยักษ์ใหญ่แห่งวงการอุตสาหกรรมบันเทิง
ดวงชะตาไม่สมพงษ์กันหรืออย่างไร
ทุกครั้งที่เจอกันถึงได้มีแต่เรื่องซวยซ้ำซวยซ้อน!
ถึงกระนั้นอีกฝ่ายก็ยังเอาแต่ตามติดเขาไม่เลิก ช่างน่าเหนื่อยใจจริง ๆ
คงเป็นเพราะต้องการดึงตัวเขาเข้าวงการบันเทิงให้ได้ละสิท่า
ต้องให้ย้ำว่า ไม่! สักกี่รอบถึงจะเข้าใจกันนะว่าผมอยากเป็นแค่พนักงานบริษัทกินเงินเดือนธรรมดา ๆ
••••••
เหยียนข่าย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ฟางเล่อจิ่ง
ถึงมักจะทำให้เขาอารมณ์ดีจนหัวเราะไม่หยุด
เวลาเห็นสีหน้าอีกฝ่ายที่อยากจะด่าเปิง แต่ต้องกล้ำกลืนฝืนทน
นี่มันช่างทำให้มีความสุขซะจริง หึ ๆ
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 2 มีคนว่านายปัญญาอ่อน!
เวรเอ๊ย!
เมื่อเห็นชายหนุ่มตรงหน้าฉีกยิ้มสดใส เหยียนข่ายก็ส่ายหน้าในใจแล้วเดินอ้อมตัวเขาไป
เอ๊ะ ทำไมไปแล้วล่ะ ฟางเล่อจิ่งชะงัก หรือว่าถูกจับได้แล้ว?
เหยียนข่ายเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เมื่อเห็นชายหนุ่มยังคงยืนมองตัวเองอยู่ที่เดิมเลยหันกลับไปบอกด้วยความหวังดี “อายุเท่านี้ควรไปตั้งใจเรียนหนังสือ สังคมมันน่ากลัว ถ้าอยากออกมาเผชิญโลกก็ต้องฉลาดหน่อย”
ฟางเล่อจิ่งตอบทันที “ผมซื่อมาตั้งแต่เด็ก ใครพูดอะไรก็เชื่อหมด” หลอกง่ายสุดๆ เลยนะ กล้าๆ หน่อย รีบเข้ามาเลย!
ทำเอาเหยียนข่ายสำลักไปอีกครั้ง
ฟางเล่อจิ่งมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย เอ่ยอย่างแน่วแน่ “ผมอยากเป็นซูเปอร์สตาร์!”
เหยียนข่ายสูดหายใจเข้าลึก เขาไม่อยากจะเสวนากับอีกฝ่ายต่อแล้วจึงก้าวยาวๆ ผ่านถนนคนเดินไปยังลานจอดรถ
ฟางเล่อจิ่งรู้สึกเสียดายอยู่ลึกๆ คิดว่าตัวเองจะกำจัดรังโจรได้อีกหนึ่งเสียอีก
ระวังตัวมากเหมือนกันแฮะ…เชอะ คงจะทำจนชำนาญแล้วสิท่า!
หลังจากเดินเล่นในแอปเปิลสโตร์ได้ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าเวลาผ่านไปพอสมควรแล้ว ฟางเล่อจิ่งจึงนั่งรถไฟใต้ดินกลับมหาวิทยาลัยตามลำพัง ตั้งใจว่าจะไปแก้วิทยานิพนธ์ต่อ เนื่องจากช่วงปีสี่เขาไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศมาครึ่งปี ทำให้พลาดโอกาสในการสมัครงานไปไม่น้อย ตอนที่กลับมา รูมเมทต่างได้ที่ฝึกงานและย้ายออกกันไปหมดแล้ว เขาเองเลยหาคอนโดเล็กๆ นอกมหาวิทยาลัยเพื่อพักคนเดียวชั่วคราว
ถึงคอนโดนั้นจะมีขนาดค่อนข้างเล็กแต่ก็เก็บกวาดเป็นระเบียบเรียบร้อย ฟางเล่อจิ่งนั่งกัดกล่องนมอยู่ข้างๆ คอมพิวเตอร์ ถือโอกาสเช็กอีเมลสักหน่อยก่อนจะลงมือแก้วิทยานิพนธ์ เขาพบว่ามีอีเมลฉบับหนึ่งส่งมาจากภรรยาของอาจารย์ บอกว่าสตูดิโอของตัวเองรับงานโฆษณาชิ้นหนึ่ง ต้องการผู้ชายหนึ่งคนไปเป็นตัวประกอบ ค่าตอบแทนไม่เลวเลยจึงถามเขาว่าสนใจหรือไม่
เนื่องด้วยรูปลักษณ์อันโดดเด่น ฟางเล่อจิ่งจึงค่อนข้างเป็นที่รู้จักทันทีหลังจากเข้ามหาวิทยาลัย บวกกับภรรยาของอาจารย์เป็นผู้รับผิดชอบสตูดิโอถ่ายโฆษณาแห่งหนึ่ง เขาเลยเคยตามไปถ่ายกราฟิกโฆษณามาไม่น้อย แม้ว่าจะเป็นเพียงตัวประกอบเล็กๆ ทั้งหมด แต่เขาไม่ได้สนใจสิ่งที่เรียกว่าวงการบันเทิงอยู่แล้ว และยินดีลำบากทำงานเพื่อแลกค่าขนมเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
ครั้งนี้ก็เช่นกัน หลังจากแน่ใจว่าสถานที่ถ่ายทำอยู่ภายในเมือง ทั้งยังใช้เวลาเพียงวันเดียว ฟางเล่อจิ่งจึงตอบรับทันที ถือเป็นการหาเงินชดเชยค่าไอพ็อดที่สูญเสียไปในวันนี้
เขียนวิทยานิพนธ์ไปได้ไม่ถึงสองบรรทัด โทรศัพท์มือถือก็เริ่มสั่นครืดๆ ฟางเล่อจิ่งเห็นเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จักเลยแปลกใจเล็กน้อย เสียงหวานของผู้หญิงดังขึ้นหลังจากรับสาย “ขอโทษนะคะ ใช่เสี่ยวเฉียนหรือเปล่าคะ”
ใครคือเสี่ยวเฉียน ฟางเล่อจิ่งชะงักไปพักหนึ่ง ขณะที่กำลังจะบอกว่าโทร.ผิด จู่ๆ ในสมองกลับสว่างวาบขึ้นมาพลันนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังมีชื่อ ‘เฉียนหม่านชาง’ อันเจิดจรัสอยู่ด้วย เลยกลับลำได้ทันเวลา เขาเอ่ยเสียงสดใส “ใช่แล้วครับ ผมเอง คุณเป็นใคร”
“ฉันเป็นฝ่ายวางแผนประชาสัมพันธ์ของบริษัทเทียนเฉินเอนเตอร์เทนเมนต์ค่ะ” หญิงสาวเสียงหวานเอ่ยอย่างออดอ้อนต่อ “ดึกแบบนี้ รบกวนคุณหรือเปล่า”
“ไม่รบกวนครับ คุณว่ามาได้เลย” ฟางเล่อจิ่งดึงเอาเชอร์รี่กล่องหนึ่งออกมาจากตู้เย็น
“ตอนแรกฉันอยากติดต่อมาอีกทีพรุ่งนี้เช้า แต่หลังจากท่านประธานของเราได้อ่านข้อมูลของคุณแล้วรู้สึกว่ายอดเยี่ยมมากเลยให้ฉันโทร.มาตอนนี้เลย” อีกฝ่ายบอก “กลัวว่าถ้าช้าไปคุณจะถูกคู่แข่งดึงตัวไปซะก่อน”
ฟางเล่อจิ่งคายเม็ดเชอร์รี่ออกมา พูดด้วยรอยยิ้มเจิดจ้า “ผมก็คิดว่าผมยอดเยี่ยมอยู่เหมือนกัน แค่มองก็เห็นความเป็นซุป’ตาร์แล้ว”
อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนกับตะลึงในระดับความมั่นอกมั่นใจของเขา แต่ไม่นานก็ปรับอารมณ์กลับมาเหมือนเดิม “ตามระเบียบแล้ว ทางเรามีขั้นตอนตรวจสอบที่เข้มงวดมากเวลาจะเซ็นสัญญากับศิลปิน แต่เนื่องจากครั้งนี้ท่านประธานเอ่ยปากด้วยตัวเอง ดังนั้นคุณสามารถมาเซ็นสัญญาได้อาทิตย์นี้เลย”
“ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” ฟางเล่อจิ่งถาม “แล้วผมจะได้ถ่ายหนังเมื่อไหร่”
อีกฝ่ายตอบ “หลังจากคุณเซ็นสัญญาเรียบร้อยก็เริ่มถ่ายได้ทันที”
ฟางเล่อจิ่งตั้งหน้าตั้งตาคอย “แล้วมีฉากเลิฟซีนหรือเปล่า”
อีกฝ่ายเงียบไปอีกครั้ง ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะตอบ “เรื่องนี้ยังไม่สามารถบอกได้ในตอนนี้ ต้องดูการเตรียมการของบริษัท”
ฟางเล่อจิ่งกลั้นขำไว้ ถึงแม้จะอยากแกล้งแหย่เธอต่ออีกสักหน่อย แต่ก็กลัวว่าถ้าพูดเยอะไปจะเผยพิรุธจนเสียงาน เขาคุยต่ออีกสองสามประโยคจึงวางสาย จากนั้นไปชงกาแฟมาถ้วยหนึ่งแล้วลงมือแก้วิทยานิพนธ์ต่อ เขาถือโอกาสค้นดูในเว็บไซต์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแห่งนี้อยู่อันดับต้นๆ ของประเทศ โอกาสหางานในอนาคตก็ค่อนข้างมาก ดังนั้นถึงแม้เพื่อนๆ รอบตัวจะพากันได้ที่ทำงานแล้ว ตัวเขาเองจึงไม่ได้รู้สึกร้อนใจเท่าไหร่
วันถ่ายโฆษณาที่นัดกับภรรยาของอาจารย์ไว้คือวันพุธ ทีมงานเป็นเพื่อนร่วมงานเก่า ด้วยเหตุนี้จึงต่างคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ฟางเล่อจิ่งตามไปกินมื้อเช้าด้วยกันแล้วเอ่ยถาม “จะถ่ายตอนไหนเหรอ”
“น่าจะต้องรออีกสักพัก” ผู้ช่วยจัดแสงบอก “นักแสดงนำยังไม่มาเลย”
“เสิ่นหาน?” ฟางเล่อจิ่งถาม เขาเคยเห็นแผนการถ่ายทำโฆษณาเลยพอจำได้
“ใช่ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พี่หลี่กำลังติดต่ออยู่” ผู้ช่วยจัดแสงตอบ “รอไปก่อนละกัน”
ฟางเล่อจิ่งพยักหน้า ไม่ได้คัดค้านอะไร อย่างไรเขาก็ตั้งใจจะใช้เวลาทั้งวันอยู่ที่นี่อยู่แล้ว เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างยุ่งกับการแก้ไขจุดบกพร่อง ฟางเล่อจิ่งเลยถอยไปด้านหลังแล้วหามุมเงียบๆ เพื่อเล่นเกม หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง แบตโทรศัพท์ใกล้จะหมดแล้วนักแสดงนำกลับยังไม่มา
“จบกัน ดูท่าวันนี้จะถ่ายไม่ได้แล้ว” ผู้ช่วยจัดแสงนั่งลงข้างๆ พลางส่งน้ำขวดหนึ่งให้
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ฟางเล่อจิ่งถาม
“เห็นว่าไม่สบาย ลุกจากเตียงไม่ไหว” ผู้ช่วยจัดแสงส่ายหน้า “ใครจะไปรู้ว่าเกิดเรื่องอะไร นักแสดงหน้าใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว ยังไม่ทันมีชื่อเสียงเท่าไหร่ก็วางฟอร์มซะแล้ว”
“เล่อเล่อ” พี่หยางเดินมาหา “เสิ่นหานถ่ายไม่ได้แล้ว ไม่งั้นนายถ่ายแทนดีมั้ย”
“ผม?” ฟางเล่อจิ่งมึนงง
ผู้ช่วยจัดแสงเองก็อึ้งไป “จะเปลี่ยนตัวเหรอ”
“เปล่าหรอก เซ็นสัญญากับเสิ่นหานไปแล้ว” พี่หยางหลุดหัวเราะ “แต่ในเมื่อเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว เล่อเล่อเองก็อยู่ ถ้างั้นลองถ่ายสักรอบหนึ่งก่อน ดูว่าไอเดียมันโอเคมั้ยดีกว่า เผื่อมีปัญหาตอนถ่ายทำจริงจะได้แก้ไขได้”
“เอางั้นเหรอ” ฟางเล่อจิ่งพยักหน้า “ได้ครับ ไม่มีปัญหา”
สตูดิโอให้ความสำคัญกับงานโฆษณาตัวนี้มาก แค่ไอเดียที่แตกต่างกันก็ปาเข้าไปเจ็ดแปดอย่างแล้ว ฟางเล่อจิ่งถ่ายไปทีละแบบตามอัลบั้มภาพ เขาถ่ายซ้ำไปซ้ำมาจนถึงสองสามทุ่มกว่าจะเสร็จ ทุกคนไปแผงขายอาหารข้างทางด้วยกัน เนื่องจากวันพรุ่งนี้ฟางเล่อจิ่งยังต้องไปพบที่ปรึกษาเลยกลับมหาวิทยาลัยไปก่อน เขาได้รับข้อความตอนอยู่บนรถไฟใต้ดิน [เราคิดว่านายเก่งกว่าเสิ่นหานอีก!]
คำพูดนี้ไม่ใช่การแกล้งชมไปตามมารยาท แต่เป็นความเห็นที่ออกมาจากใจคนทั้งกองถ่าย หากวิจารณ์ด้วยใจที่เป็นกลางแล้ว ถึงแม้ว่าทั้งสองคนต่างยังใหม่กับเส้นทางนี้และรูปร่างหน้าตาดีมากทั้งคู่ แต่เสิ่นหานกลับให้ความรู้สึกเหมือนเด็ก ในขณะที่เครื่องหน้าของฟางเล่อจิ่งดูมีมิติกว่า ใบหน้าด้านข้างเรียกได้ว่าไร้ที่ติทำให้ได้เปรียบกว่ามากในการถ่ายกราฟิกโฆษณา
หลังจากผ่านไปนาน ในที่สุดกองถ่ายก็ได้รับข้อความตอบกลับจากฟางเล่อจิ่ง [ขอบคุณครับ]
เฮ้ๆ ทำไมถึงตอบแค่ขอบคุณล่ะ เราพูดเรื่องจริงนะ! แทนที่จะได้รับการตอบกลับอันกระตือรือร้นตามที่หวัง ที่แผงขายอาหาร ทุกคนในกองถ่ายเลยพากันรุมกระหน่ำอย่างดุเดือด จนภายในครึ่งชั่วโมง ฟางเล่อจิ่งก็ได้รับข้อความมากมายนับไม่ถ้วนเช่นว่า [นายไม่คิดจะเข้าวงการบันเทิงจริงๆ เหรอ] [ไม่อยากถ่ายเลิฟซีนกับเซียวมีมีหรือไง!] [ช้าก่อนคนกล้า ให้พวกเราได้ก้าวไปสู่อนาคตที่ยิ่งใหญ่ด้วยกันเถอะ!] [บางทีถ้าผู้ว่าจ้างเห็นภาพตัวอย่างแล้วอาจจะเปลี่ยนเอาเสิ่นหานออกเลยก็ได้นะ!] ทำเอาเขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เขาไม่ได้ต่อต้านวงการบันเทิง แค่ไม่ชอบชีวิตที่ไม่มีความเป็นส่วนตัวหลังจากมีชื่อเสียง เพราะงั้นเลยไม่เคยคิดจะย่างกรายเข้าไป เปรียบเทียบกันแล้ว อันที่จริงเขาชอบที่จะเข้างานเก้าโมงเช้า เลิกงานห้าโมงเย็น ไปดื่ม ไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆ หลังจากเลิกงานได้ทุกวันมากกว่า ไม่ใช่เจอแต่แสงไฟหน้ากล้องและการปั้นหน้าตอบคำถามไปวันๆ
ไม่ตอบกลับเราจริงๆ เหรอเนี่ย… หลังจากทุกคนในกองรออยู่นาน เมื่อเห็นว่าครั้งนี้ไม่มีแม้แต่คำว่า ‘ขอบคุณ’ เลยพากันคร่ำครวญทันที
ใจร้ายชะมัด เราอุตส่าห์คึกคักกันตั้งนาน!
จะว่าไปก็บังเอิญ ผู้ว่าจ้างงานโฆษณาในครั้งนี้คือตงหวนเอนเตอร์เทนเมนต์ของเหยียนข่ายพอดี เสิ่นหานเป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่บริษัทเพิ่งดึงตัวมาและถูกตั้งความหวังไว้สูงลิบ
ด้วยฐานะหนึ่งในกลุ่มสื่อชั้นนำของประเทศ แน่นอนว่าไม่อาจนำอาคารสำนักงานของตงหวนเอนเตอร์เทนเมนต์ไปเทียบกับพวกบริษัทต้มตุ๋นได้เลย หลังจากเหยียนข่ายจัดการงานของทั้งวันเสร็จเรียบร้อยก็มายืนอยู่หน้ากระจกหน้าต่างบานสูง มองดูไฟรถยนต์ที่เคลื่อนไปมาบนถนน เขารู้สึกสมองล้าเล็กน้อย ขณะกำลังคิดว่าจะไปดื่มอะไรที่บาร์สักแก้วดีหรือไม่นั้นก็มีคนมาเคาะประตู
“ประธานเหยียน” คนที่มาคือลูกน้องคนเก่งของเขา ชื่อว่าป๋ายอี้
“มีอะไร” เหยียนข่ายกลับไปนั่งหลังโต๊ะทำงาน
“เจอเด็กใหม่คนหนึ่ง” ป๋ายอี้ยื่นแฟ้มเอกสารมาให้ “ช่วงนี้เสิ่นหานป่วย สตูดิโอโฆษณาที่นัดไว้เรียบร้อยแล้วเลยหาคนมาถ่ายเพื่อดูแนวทางแทนไปก่อน ฉันว่าดูเหมาะกว่าเสิ่นหานอีก”
“จริงเหรอ” เหยียนข่ายแปลกใจ “แต่เสิ่นหานเป็นคนที่นายเลือกเองนะ”
“แค่พูดตามความจริง” ป๋ายอี้ตอบ “เขาดูดีกว่าเสิ่นหาน แววตาก็ดูใสซื่อกว่า”
เหยียนข่ายกวาดตามองรูปถ่ายแล้วชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด
“เป็นยังไง” ป๋ายอี้ถาม “ฉันถามที่สตูดิโอแล้ว เขาเป็นนักศึกษาที่จะเรียนจบปีนี้ พวกเราลองมาให้เซ็นสัญญาดูก็ได้”
เหยียนข่ายมองรูปถ่ายบนโต๊ะราวกับคิดอะไรบางอย่าง เด็กหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว รอยยิ้มงดงามใสซื่อบริสุทธิ์ แววตาสุกใสจนเห็นก้นบึ้งเหมือนกับไม่เคยแปดเปื้อนมลทินใดๆ
“ประธานเหยียน?” เมื่อเห็นเหยียนข่ายเงียบไปนาน ป๋ายอี้เลยลองเรียกเขาอีกครั้ง
“ไม่ผ่าน” เหยียนข่ายปิดแฟ้มเอกสาร
“ทำไมล่ะ” ป๋ายอี้ไม่เข้าใจ “นายคิดว่ารูปออกมาไม่ดีเหรอ”
“รูปน่ะดีมาก แล้วเขาก็เหมาะกว่าเสิ่นหานจริงๆ” เหยียนข่ายตอบ “แต่ไม่ผ่านอยู่ดี”
ป๋ายอี้เงียบ
ไม่นึกเลยว่าจะไม่แม้แต่บอกเหตุผลกับฉัน
นายยังเอาแต่ใจได้มากกว่านี้อีกมั้ย
“อนาคตก็ไม่คิดจะเซ็นสัญญากับเขาอยู่ดี” เหยียนข่ายพูด “บริษัทไม่ต้องการศิลปินไร้สมอง”
ไร้สมองตรงไหน จากข้อมูลที่สืบมา นั่นน่ะนักศึกษาดีเด่นชัดๆ! ป๋ายอี้คำรามในใจ แค่มองแวบเดียวแล้วบอกว่าคนอื่นไร้สมอง นายยังไหวมั้ยเนี่ย!
“ไปได้แล้ว” เหยียนข่ายบอก “ไอเดียไม่เลว เอาแบบนี้แหละ”
ป๋ายอี้พยักหน้าแล้วออกไป จากนั้นต่อสายหาหยางเทียน “ประธานเหยียนบอกว่าไอเดียไม่เลว เอาเป็นแบบนี้แหละ รอให้เสิ่นหานฟื้นตัวแล้วค่อยนัดเวลาถ่ายทำอีกที”
“เล่อเล่อไม่โอเคเหรอ” พี่หยางไม่ยอมแพ้
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ฉันตัดสินใจได้” ป๋ายอี้บอก “พูดกับนายตรงๆ แล้วกัน ประธานเหยียนรู้สึกว่านายแบบของนายคนนี้ไม่ฉลาดพอ”
เห็นแค่รูปก็รู้ว่าไม่ฉลาดพอแล้วเรอะ หยางเทียนยกยิ้มมุมปาก นี่มันพวกดูโหงวเฮ้งตามข้างทางหรือไง
หลังจากวางสายแล้ว เพื่อนร่วมงานกลุ่มหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ก็เฮโลกันเข้ามา “เป็นไงบ้าง”
“ไม่ผ่าน” หยางเทียนพูด “เขาคิดว่าเล่อเล่อดูไม่ฉลาดพอ”
“เล่อเล่อยังฉลาดไม่พอ? ฉันว่าเขาไหวพริบดีกว่าเสิ่นหานตั้งเยอะ!” มีคนเป็นเดือดเป็นร้อนขึ้นมา
เมื่อพูดแบบนั้นออกไปทุกคนที่นั่นก็เห็นด้วยทันที! ทุกคนพากันแสดงความเห็นว่า จริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเหยียนข่ายกันแน่ถึงได้เอ่ยคำพูดไร้สาระพรรค์นี้ออกมา สรุปแล้วเล่อเล่อไม่ฉลาดตรงไหน เขามันโคตรฉลาดชัดๆ เข้าใจ๊! เพราะฟางเล่อจิ่งได้รับความนิยมอย่างมากในสตูดิโอ เรื่องนี้เลยแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว จากแรกสุดที่ ‘เหยียนข่ายคิดว่าเล่อเล่อไม่ฉลาดพอ’ ก็ค่อยๆ ลุกลามและแปลกขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นที่ว่าทันทีที่ฟางเล่อจิ่งก้าวเข้ามาในวันรุ่งขึ้นก็ได้ยินหนังคนละม้วนว่า “พอเหยียนข่ายเห็นรูปก็ตัดสินว่านายปัญญาอ่อน!”
ดังนั้นฟางเล่อจิ่งที่มารับค่าตอบแทนด้วยความดีใจจึงอึ้งค้างเป็นหินไปในทันที