[ทดลองอ่าน] บันทึก (ไม่ลับ) ฉบับซูเปอร์สตาร์ ตอนที่ 75

巨星手记
บันทึก (ไม่ลับ) ฉบับซูเปอร์สตาร์

 

อวี่เซี่ยวหลานซาน เขียน
ธมน แปล
get-sem วาด

 

— โปรย —

หลังจาก ฟางเล่อจิ่ง มีผลงานการแสดงหลายเรื่อง
เขาก็ได้รับเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในเทศกาลภาพยนตร์จีน
ฟางเล่อจิ่ง เองก็ตั้งเป้าหมายจะคว้ารางวัลนี้เช่นกัน
เพื่อลดคำครหาของผู้คนยามที่เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ เหยียนข่าย
แต่เขาดันต้องเผชิญกับดาราอาวุโสที่เป็นตัวเต็งอีกคน
แล้วเขาจะคว้ารางวัลนี้และเปิดเผยความสัมพันธ์ของเขากับ เหยียนข่าย ได้อย่างราบรื่นหรือไม่

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

75 กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนอง!

สร้างกระแสเองก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา!

 

“เธอจะไปหาประธานเหยียน?” ซือซวงซวงได้ยินดังนั้นก็นิ่วหน้า ก่อนเอ่ยเตือน “ดูเหมือนเขาจะไม่เต็มใจเจอเรานะ”

“คนที่เขาไม่เต็มใจเจอคือพี่ ไม่ใช่ ‘เรา’” หนิงเฟยลั่วยิ้ม “ท่านประธานของตงหวนเอนเตอร์เทนเมนต์ผู้น่าเกรงขามมีปากเสียงกับผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างฉัน ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไปมีแต่จะทำให้คนหัวเราะ”

“เธอจะทำอะไร” ซือซวงซวงถาม

หนิงเฟยลั่วหยิบมือถือแล้วโทร.หาเหยียนข่าย

“คุณหนิง” ผู้ที่รับสายยังคงเป็นเลขาฯของเหยียนข่ายเช่นเคย “คุณซือไม่ได้บอกคุณเหรอคะ ช่วงนี้ประธานเหยียนยุ่งมาก ไม่ว่างรับสายไม่สำคัญแบบนี้ และหลังจากนี้กรุณาอย่ารบกวนเขาอีก ไม่อย่างงั้นเราคงต้องให้ตำรวจจัดการ”

“งั้นฝากคุณบอกประธานเหยียนด้วยว่าฉันอยากแก้ไขความเข้าใจผิดจากใจจริง” หนิงเฟยลั่วเอ่ย “ถ้าเขาไม่เต็มใจรับฟังต่อหน้า งั้นคงมีสื่อและชาวเน็ตที่เต็มใจรับฟัง ถึงเวลานั้น เกิดฉันเผลอพูดอะไรผิดไป ความเข้าใจผิดคงมีแต่จะเพิ่มขึ้น”

ซือซวงซวงตกตะลึง พูดตามตรง เธอรู้ว่าหนิงเฟยลั่วมักทำตัวอวดดีเสมอ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ตอนเผชิญหน้ากับเหยียนข่าย หล่อนจะยังตรงไปตรงมาขนาดนี้

“ประธานเหยียน” เลขาฯปิดลำโพง ถ่ายทอดคำพูดของหนิงเฟยลั่วคร่าวๆ

“ชาวเน็ตกับสื่อ?” เหยียนข่ายได้ยินก็ขำ “ถามเวลาและสถานที่กับเธอ”

“คุณหนิง” เลขาฯคลายมือ “ไม่ทราบว่าคุณต้องการเจรจาที่ไหนคะ”

“คืนนี้สองทุ่ม ที่ร้านกาแฟ ME” หนิงเฟยลั่วเสยผม “ที่นั่นค่อนข้างเงียบ”

“ได้ค่ะ ฉันจะแจ้งประธานเหยียนให้” เลขาฯกล่าว “คุณหนิง กรุณาอย่าผิดนัด”

“ฉันจะไปตรงเวลา” หนิงเฟยลั่วปรายตามองซือซวงซวง น้ำเสียงหวานขึ้นสามระดับ “รับรองว่าประธานเหยียนรอไม่นานแน่นอน”

หลังเลขาฯวางสายก็ขนลุกไปทั้งตัว…ฉันไม่ใช่ประธานเหยียนสักหน่อย จะอ้อนก็อ้อนให้ถูกคนสิ ไหวปะเนี่ย

“ขอบใจมาก” เหยียนข่ายวางมือถือบนโต๊ะ

“บอสจะไปจริงๆ เหรอคะ” เลขาฯอดอยากรู้ไม่ได้จึงเอ่ยถาม โดนศิลปินแถวรองตัวเล็กๆ ข่มขู่ ดูไม่เหมือนนิสัยของบอสสักนิด

“เธอคิดว่าไงล่ะ” เหยียนข่ายกระตุกมุมปาก

เลขาฯไม่พูดอะไร ฉันไม่รู้ไงถึงได้ถาม

 

ประธานเหยียนรับปากว่าจะคุยกับเธอ?” ซือซวงซวงประหลาดใจ

“คืนนี้สองทุ่ม ที่ร้านกาแฟ ME” หนิงเฟยลั่วมองอีกฝ่าย ก่อนเอ่ยอย่างเฉื่อยชา “ฉันบอกแต่แรกแล้วว่าประธานตงหวนเอนเตอร์เทนเมนต์ไม่อะไรกับผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างฉันหรอก”

“โอเคๆ ขอแค่เขายอมคุยกับเธอ จะอะไรก็ได้” ซือซวงซวงเองก็โล่งอก นั่งลงข้างอีกฝ่าย “อยากให้ฉันไปเป็นเพื่อนหรือเปล่า”

“ให้พี่ไปเป็นเพื่อนฉัน?” หนิงเฟยลั่วคล้องแขนอีกฝ่ายแล้วเอ่ยเย้า “เรื่องบางอย่างทำกันสองคนดีกว่าไหม”

“แม่ตัวดี เรื่องนี้จะล้อเล่นไม่ได้” ซือซวงซวงนิ่วหน้า “ไม่มีใครรู้ว่าประธานเหยียนคิดอะไรกันแน่ ตอนนี้สิ่งที่พวกเราต้องทำคือทำให้เขาหายโกรธ อย่าก่อเรื่องอีกเด็ดขาด”

“ฉันไม่ใช่แค่จะทำให้เขาหายโกรธ” หนิงเฟยลั่วบีบคางอีกฝ่ายบิดไปมา “แต่จะดับร้อนให้เขาด้วย”

ซือซวงซวงปวดหัว “ฉันว่า…”

“เขาปฏิเสธพี่แต่ตกลงจะพบฉัน นี่เป็นข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุดแล้ว” หนิงเฟยลั่วลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปห้องน้ำ “ฉันจะแช่น้ำสักหน่อย พี่ไปลาผู้กำกับหลิว คิวพรุ่งนี้ฉันไม่ถ่ายแล้ว”

แม้ซือซวงซวงยังไม่แน่ใจ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายมั่นใจแบบนี้ เลยพลอยรู้สึกมีหวังไปด้วย เธอคิดว่าบางทีอาจมีแสงสว่างรออยู่ที่ปลายอุโมงค์จริงๆ ก็ได้…อย่างไรเสียรูปลักษณ์ของหนิงเฟยลั่วก็สะดุดตา รูปร่างก็ไม่เลว หลังรับเล่นเรื่อง ลั่วเสิน ยิ่งมีคนตามจีบเพิ่มขึ้นไม่น้อย ทั้งถือตัว เฉยชา และสง่างาม จัดเป็นประเภทที่พวกเศรษฐีชื่นชอบ

 

สองทุ่ม ซือซวงซวงขับรถพาหนิงเฟยลั่วมาถึงร้าน ME ตรงเวลา ร้านกาแฟแห่งนี้ตั้งอยู่ในตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่ง เนื่องจากราคาที่สูงลิ่ว คนที่มามีเพียงคนในแวดวงธุรกิจ เวลาปกติจึงค่อนข้างเงียบสงบ อีกอย่างเจ้าของร้านยังเป็นเพื่อนสนิทของเหยียนข่าย นี่เป็นเหตุผลหลักที่หนิงเฟยลั่วเลือกนัดพบที่ร้านนี้…หวังจะลดอคติของเหยียนข่ายให้ได้มากที่สุด

“คนที่คุณนัดยังไม่มา ไม่ทราบว่าต้องการสั่งเครื่องดื่มอะไรก่อนไหมคะ” พนักงานถามอย่างสุภาพ

“เลมอนโซดา” หนิงเฟยลั่ววางเมนูคืน “ขอบคุณ”

“ด้วยความยินดีค่ะ” ไม่นานพนักงานก็นำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้เธอ “มีอะไรเรียกฉันได้ตลอดเวลานะคะ”

หนิงเฟยลั่วพยักหน้า ก่อนคว้านิตยสารเล่มหนึ่งมาเปิดอ่านไปพลางๆ เวลาค่อยๆ ผ่านไปจนกระทั่งสองทุ่มครึ่ง ในที่สุดเสียงฝีเท้าก็ดังมาจากตีนบันได เพียงแต่เหมือนจะไม่ได้มีคนเดียว และไม่น่าใช่เหยียนข่าย

หนิงเฟยลั่วนิ่วหน้าเล็กน้อย เธอเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง ขณะที่คิดว่าจะโทร.ไปดีหรือไม่ ประตูห้องรับรองก็ถูกผลักเปิดออก

“คุณหนิงคะ แขกของคุณมาถึงแล้ว” พนักงานปรับแสงโคมไฟให้สว่างขึ้นเล็กน้อย ก่อนเบี่ยงตัวพร้อมเอ่ย “เชิญด้านในค่ะ”

จากนั้นเธอก็เห็นหัวหน้ากองบ.ก.นิตยสาร FEEL เดินเข้ามาตามด้วยผู้สื่อข่าวชื่อดังของนิตยสารในแวดวงอีกเจ็ดแปดเจ้าอย่าง สตาร์แฟชั่น VINTAGE และ ภาพจากหนัง รวมถึงบ.ก.หนังสือพิมพ์ห้าแห่งและบ.ก.เว็บไซต์บันเทิงอีกสี่แห่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีผู้สื่อข่าวจากสถานีโทรทัศน์ที่มาพร้อมกล้องถ่ายรูปอีกสองคนด้วย

“คุณหนิง” ป๋ายอี้เดินเข้ามาเป็นคนสุดท้าย สองมือสอดในกระเป๋ากางเกงพลางโค้งตัวเล็กน้อย แล้วพูดพร้อมรอยยิ้ม “ประธานเหยียนได้ยินว่าคุณต้องการแก้ไขความเข้าใจผิด เลยตั้งใจเชิญสื่อมาโดยเฉพาะ ไม่ทราบว่าเราจะเริ่มกันเลยไหมครับ”

ภายในห้องเงียบกริบ หนิงเฟยลั่วหน้าแดงสลับซีดขาวอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายเธอก็คว้ากระเป๋าอย่างแรงก่อนผลักผู้คนให้พ้นทางแล้ววิ่งออกจากห้องไป

“เป็นอะไรไป” ซือซวงซวงรอเธออยู่ที่ลานจอดรถชั้นใต้ดิน หลังเห็นอีกฝ่ายก็ต้องตกใจ

“ขับรถกลับบ้าน” หนิงเฟยลั่วกำกระเป๋าถือไว้แน่น โกรธจนตัวสั่นไปทั้งร่าง

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” ซือซวงซวงจับไหล่ของเธออย่างร้อนรน “ประธานเหยียนทำอะไรเธอใช่ไหม”

“หุบปาก!” หนิงเฟยลั่วที่ถูกแทงใจดำระเบิดคำพูด “ฉันให้ขับรถกลับ ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง”

“ท่าทีแบบนี้หมายความว่าไง” ซือซวงซวงเบิกตากว้าง “ฉันเป็นผู้จัดการของเธอนะ!”

“ผู้จัดการ? ถ้าพี่ไม่ว่างมากจนไปยั่วโมโหเหยียนข่ายเข้า คืนนี้ฉันจะถูกคนมากมายขนาดนั้นทำให้อับอายหรือไง” หนิงเฟยลั่วเค้นคำพูดลอดไรฟัน “ฉันจะบอกพี่ไว้นะ วางท่ากับฉันให้มันน้อยๆ หน่อย”

“ฉันยั่วโมโหเหยียนข่ายงั้นเหรอ ทีแรกฉันแค่แนะนำ แต่เธอตกลงเอง วันๆ เอาแต่ฝันอยากจะเป็นสะใภ้ของตงหวน สุดท้ายเป็นไง หน้าแตกละสิ คืนนี้แต่งตัวมาฟรีเลยสิ” ซือซวงซวงของขึ้นจนพูดจาแดกดันโดยไม่ระวังปาก “พูดกันดีๆ ไม่ได้ ทะเลาะกับฉันแล้วเธอจะดังขึ้นมาหรือไง”

หนิงเฟยลั่วโยนกระเป๋าถือใส่อีกฝ่ายอย่างจังก่อนลงจากรถ

ซือซวงซวงเดือดดาล เธอนั่งอยู่บนเบาะคนขับ มองอีกฝ่ายวิ่งออกจากลานจอดรถไป ริมฝีปากสั่นระริก

“มาๆ ทุกคนเชิญชิมอันนี้ครับ” ภายในร้าน ME ป๋ายอี้ไล่รินกาแฟทีละแก้ว “เห็นว่าราคาแพงลิบ คืนนี้ประธานเหยียนเป็นเจ้ามือ ทุกคนไม่ต้องเกรงใจ”

หน้าใหญ่ใจโตจริงๆ

เพื่อการนัดหมายกับเหยียนข่ายครั้งนี้ คืนนี้หนิงเฟยลั่วเลยแต่งตัวนานเป็นพิเศษ ชายกระโปรงสีขาวพลิ้วไปตามแรงลม รองเท้าส้นสูงก็สูงถึงห้านิ้วเต็มๆ ไอ้สวยน่ะสวย แต่เดินไม่สะดวกเท่าไหร่ และในความเป็นจริง หลังเธอเดินออกจากลานจอดรถได้ไม่ถึงสิบนาที ก็เริ่มเสียใจแล้วว่าทำไมถึงเขวี้ยงกระเป๋าถือทิ้ง สิบนาทีถัดมา เธอนั่งลงข้างทางรอซือซวงซวงขับรถมารับ

เพียงแต่ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว กลับไม่เห็นรถเก๋งคันคุ้นตาโผล่มาเลย

 

ภายในคอนโดที่อยู่อีกด้าน เหยียนข่ายกำลังเล่นหมากรุกกับฟางเล่อจิ่ง พร้อมแบ่งกันกินปีกไก่ทอดหนึ่งถัง แถมมีโคล่าแคลอรีสูงสุดๆ ด้วย

หากเสิ่นตุ๊บป่องเห็นละก็ ต้องเสียใจจนน้ำตาไหลแน่

โลกของคนผอมนี่น่ารังเกียจจริงๆ

“เอาละ หยุดกินได้แล้ว” เหยียนข่ายป้องมือเขาไว้ “กินอาหารขยะเยอะเกินไม่ดีต่อสุขภาพ”

“อยากกินอีก” ฟางเล่อจิ่งมองเขาอย่างไร้เดียงสา

เหยียนข่าย “…”

สายตาแบบนี้ 

ฟางเล่อจิ่งได้ปีกไก่ชิ้นถัดมาอย่างราบรื่น แถมยังดูดนิ้วด้วย

“ชนะแล้ว” เหยียนข่ายวางหมากลงไป

“อื้อ คุณชนะ” ฟางเล่อจิ่งว่า “ยินดีด้วยครับ”

“แล้ว?” เหยียนข่ายเบิกตากว้าง “แค่ยินดีแค่นี้? ตกลงกันแล้วไงว่าคนชนะจะได้รางวัล”

“รางวัลคือคุณกินปีกไก่ที่เหลือให้หมด” ฟางเล่อจิ่งส่งแก้วกับถังไปให้ “ให้โคล่าด้วย ไม่ต้องเกรงใจ”

เหยียนข่ายคว้าอีกคนเข้ามาในอ้อมกอด

ฟางเล่อจิ่งสบตากับเขา ริมฝีปากมันแผล็บ นิ้วมือก็เช่นกัน

หลังจากเงียบไปห้าวินาที บอสก็ให้ข้อสรุป “กระเดือกไม่ลง”

ฟางเล่อจิ่งอดขำไม่ได้ ถูไถศีรษะไปบนตัวอีกฝ่าย

“บริษัทเตรียมทุกอย่างให้นายแล้ว” เหยียนข่ายดึงกระดาษทิชชูเปียกออกมา บรรจงเช็ดทำความสะอาดนิ้วมือให้เขา “ไฟลต์อังคารหน้า”

“อื้อ” ฟางเล่อจิ่งมองเขา “ผมจะดูแลตัวเองให้ดี คุณก็เหมือนกันนะครับ”

“มีอะไรก็โทร.หาออกัสตินได้เลย” เหยียนข่ายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อ “ส่วนฟิลลิปส์ อยู่ให้ห่างเท่าไหร่ยิ่งดี”

“โอเคครับ” ฟางเล่อจิ่งโอบรอบลำคอของอีกคน “แทมเบอร์บอกว่าเขาจะอยู่ที่นี่ต่ออีกสักระยะ”

“ผู้อาวุโสจานกลับมาครั้งนี้ คงมีแผนการของตัวเอง” เหยียนข่ายเอ่ย “ฉันเองก็ไม่สะดวกถามรายละเอียด”

“แล้วเทียนจี้เอนเตอร์เทนเมนต์ล่ะครับ” ฟางเล่อจิ่งถาม

“เห็นว่าติดต่อกับผู้อาวุโสจานตลอด สื่อเองก็ได้ข่าวเหมือนกัน แต่คงไม่เขียนอะไรจนกว่าจะได้รับการยินยอม” เหยียนข่ายว่า “ไม่ใช่แค่เพราะสถานะของคุณจานหรอก แต่เพื่อไว้ทุกข์ให้กับอุบัติเหตุในตอนนั้นด้วย”

“สรุปคือ ไม่ว่าเทียนจี้จะทำอะไร คุณต้องระวังตัวนะครับ” ฟางเล่อจิ่งบอก “อย่าให้ถูกเอาเปรียบเด็ดขาด”

“ตกลง” เหยียนข่ายพยักหน้า “วางใจเถอะ วันพุธหน้าพ่อก็กลับมาแล้ว จากนิสัยของเขา อย่าว่าแต่ถูกเอาเปรียบจริงๆ เลย ต่อให้ไม่ถูกหลอกใช้ เขาก็แค้นฝังหุ่นอยู่ดี”

คำบอกเล่าของอีกฝ่ายทำเอาฟางเล่อจิ่งหัวเราะ “ฟังดูเหมือนคุณลุงจะโหดกว่าคุณอีกนะ”

“ทุกคนต่างมีวิธีรับมือต่างกันไป” เหยียนข่ายเขี่ยจมูกของอีกฝ่าย

“ครั้งนี้คุณลุงจะมาอยู่นานแค่ไหนครับ” ฟางเล่อจิ่งถาม

“ยังไม่แน่ใจ แต่น่าจะอยู่หลายวันหน่อย” เหยียนข่ายบอก “พ่อนับถือผู้อาวุโสจานมาก ครั้งนี้กว่าจะหาโอกาสได้ไม่ใช่ง่ายๆ”

“ดีเหมือนกัน” ฟางเล่อจิ่งพูด “มีคุณลุงอยู่ด้วย คุณจะได้สบายขึ้นหน่อย”

“อาจไม่เป็นอย่างนั้น” เหยียนข่ายนั่งลงพร้อมกอดเขาไว้ “ไม่ต้องคิดถึงเรื่องสบายเลย บางทีคงมีงานเพิ่มอีกเท่าตัว”

ฟางเล่อจิ่งได้ยินก็มุ่นคิ้ว ตอนนี้งานยุ่งพอแล้ว ทำไมยังมีงานเพิ่มอีก

“เป็นห่วงเหรอ” เหยียนข่ายจับมือเขา

ฟางเล่อจิ่งคิดครู่หนึ่ง “ก็นิดหน่อย”

ด้วยคิดไม่ถึงว่าเขาจะยอมรับตรงไปตรงมาแบบนี้ ทำเอาเหยียนข่ายหลุดขำ “งั้นจูบปลอบหน่อย”

ฟางเล่อจิ่งขยับเข้าไปประทับจูบที่ริมฝีปากของเขาอย่างแผ่วเบา

พอคิดว่าเดี๋ยวต้องห่างกันครึ่งปีหรืออาจนานกว่านั้น ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรจุกที่อก

เหยียนข่ายโอบรอบแผ่นหลังเขาไว้แล้วค่อยๆ จูบลึกซึ้งกว่าเดิม

แสงไฟสลัวราง ทั้งสองกอดกันแน่นอยู่บนพรมสีขาว เป็นภาพที่งดงามและหวานซึ้ง

 

และเสิ่นตุ๊บป่องก็จะต้องแยกจากคนที่ชอบเหมือนกัน ความเศร้าของเขาดูจะน้อยกว่ามาก เพราะเจ้าตัวยังคงยุ่งกับการก่อกวนหยางซี ใส่กางเกงในตัวเดียววิ่งไปทั่วห้องเหมือนเดิม

“ไปนอน” หยางซีวางเอกสารลง

“ไม่ง่วง” เสิ่นหานสวมกอดเขาจากด้านหลัง เพิ่งอาบน้ำเสร็จ นุ่มนิ่มหอมฟุ้งไปทั้งตัว ควรค่าแก่ถูกสัมผัสสุดๆ

“ไม่ง่วงก็ต้องนอน” หยางซีลุกขึ้นยืนแล้วอุ้มเขาเดินไปทางห้องนอน

“แล้วนายล่ะ” เสิ่นหานถามพร้อมทำตาปริบๆ

หยางซีจับเขายัดเข้าที่นอน “อีกเดี๋ยวฉันค่อยนอน”

เสิ่นหานใช้มือและเท้าเกาะเกี่ยวเขาไว้เหมือนกับหมึก บ่งบอกว่าไม่ยอมปล่อยเด็ดขาด

หยางซี “…”

เสิ่นหานกระถดบั้นท้ายไปมา กางเกงในตัวจิ๋วชวนให้วาบหวามจริงๆ

หยางซียื่นมือไปจัดผมที่ยุ่งเหยิงของเขาให้เรียบร้อย “ฉัน…”

พูดไม่ทันจบประโยค เสิ่นหานก็ขยับเข้าไปจูบเขาด้วยความเร่าร้อนสุดๆ!

เพราะงั้นหยางซีที่ทีแรกตั้งใจจะทำงานต่อจึงต้องใช้เวลาในห้องนอนไปอีกหนึ่งชั่วโมง

ดุเดือดเสียยิ่งกว่าอะไร

“เหนื่อยหรือเปล่า” หลังเสร็จกิจ หยางซีโน้มหน้าลงจูบเขา

หน้าท้องของเสิ่นหานมีชายผ้าห่มคลุมอยู่ นัยน์ตายังเหลือหยาดน้ำของความน้อยใจ

หยางซีสงสาร โอบกอดเขาไว้แนบอกแล้วตบเบาๆ “เด็กดี นอนซะ”

“รู้สึกดีจัง” เสิ่นตุ๊บป่องเอ่ยสรุปหลังจากได้สติ

หยางซีคิดว่าตัวเองหูฝาด “หือ?”

“มันดีมากเลย” เสิ่นหานตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ เอ่ยอย่างจริงจัง “พยายามทำให้ดีต่อไปนะ”

หยางซี “…”

“นวดให้หน่อย” เสิ่นหานดึงมือของเขามาวางที่บั้นเอว ตัวเองขยับไปอยู่ข้างๆ พร้อมส่งเสียงหงุงหงิงเหมือนลูกสุนัขตัวเล็กๆ

หยางซีหัวเราะเบาๆ มือใหญ่วางบนเอวของอีกคนแล้วนวดอย่างเบามือ ดวงตาทอประกายอ่อนโยน

เสิ่นหานสบายตัวจนหลับตาลง ไม่แม้แต่จะสนใจเอ่ยเย้าหยางซีอีก ก่อนเข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างรวดเร็ว

ภายในฝันเต็มไปด้วยความหอมหวานราวกับสายไหม

 

วันรุ่งขึ้น การถ่ายทำของกองละคร ลั่วเสิน เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เนื่องจากเกิดปัญหากับตัวนางเอกกะทันหัน

หนิงเฟยลั่วนอนอยู่บนเตียง สีหน้าเยือกเย็นจนเกือบจะแข็งทื่อ ซือซวงซวงนั่งบนโซฟา เปิดอ่านนิตยสารที่ถือไว้ เมื่อวานหนิงเฟยลั่วยั่วโทสะเธอจริงๆ เธอจึงขับรถกลับมาถึงโรงแรมของกองถ่ายโดยไม่สนใจอีกฝ่าย จนกระทั่งช่วงเช้ามืดที่ฝนตกหนักถึงไปตามหาแถวริมถนนและพากลับมาโดยไม่พูดอะไรกันเลยตลอดทาง

“หลังจากนี้ก็ถ่ายละครของเธอไป ไม่ต้องกังวล เรื่องที่เหลือฉันจะจัดการเอง” ซือซวงซวงเปิดปากทำลายความเงียบ “แต่มีข้อแม้ เธอห้ามติดต่อกับประธานเหยียนอีกเด็ดขาด”

หนิงเฟยลั่วถูกแทงใจดำ เหลือบมองอีกฝ่ายด้วยความโมโห

“ฉันรู้ว่าเธอคงไม่ไปหาเขาอีก แค่เตือนไว้เท่านั้น” ซือซวงซวงส่งแก้วน้ำให้เธอ “ผู้กำกับหลิวรับปากว่าจะช่วยคุยกับประธานเหยียนให้ พวกเขารู้จักกันส่วนตัว ประธานเหยียนคงเห็นแก่หน้าเขาบ้าง”

หายากที่หนิงเฟยลั่วจะไม่ก้าวร้าวใส่เธอ…ตั้งแต่เกิดเรื่องจนมาถึงวันนี้ เธอจำต้องปล่อยความคิดเพ้อฝันที่มีต่อตงหวนเอนเตอร์เทนเมนต์ไปชั่วคราว และขอให้เรื่องทั้งหมดจบลงเงียบๆ ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไร เวลานี้ไม่มีใครตอบได้แน่ชัด

ใกล้พลบค่ำ หลิวมั่วนัดซือซวงซวงไปยังร้านอาหารของโรงถ่ายหนังตามที่คาดไว้ “ประธานเหยียนไม่คิดจะคุยเรื่องนี้เลย”

“อะไรคือไม่คิดจะคุย” ซือซวงซวงได้ยินก็อึ้ง ไม่คิดจะคุยกับเธอยังพอเข้าใจได้ แต่ทำไมไม่แม้แต่จะเห็นแก่หน้าผู้กำกับ

“ประธานเหยียนเกลียดการถูกลอบกัดที่สุด โดยเฉพาะจากศิลปินหญิง” หลิวมั่วเอ่ย “ตอนเซี่ยฉิงก็ไปสะกิดต่อมโมโหเขา จนตอนนี้ยังไม่หายโกรธดีเลย เธอนี่เก่งนะ ตามมาติดๆ” แถมร้ายแรงกว่าครั้งก่อนอีก

“ผู้กำกับหลิว เรื่องนี้เราไม่รู้มาก่อนจริงๆ” ซือซวงซวงเอ่ยอย่างกระวนกระวาย “ฉัน…”

“พอๆ มาถึงขนาดนี้ เธอเลิกพูดตามมารยาทได้แล้ว” หลิวมั่วว่า “รู้ไม่รู้ไม่สำคัญ รีบคิดว่าจะแก้ปัญหายังไงต่างหากที่ควรทำ”

“แล้วฉันจะแก้ปัญหายังไง” ซือซวงซวงหน้านิ่วคิ้วขมวด “ผู้กำกับหลิว คุณต้องช่วยฉันนะ”

“เรื่องนี้ฉันช่วยเธอไม่ได้จริงๆ” หลิวมั่วผายมือ “นั่นองค์ชายแห่งตงหวนนะ ใครจะกล้าไปมีเรื่องด้วย”

“งั้นจะให้มองเฟยเฟยโดนคว่ำบาตรไปทั้งอย่างนี้เหรอคะ” ซือซวงซวงเค้นถาม

“เธอคิดว่าฉันเห็นชอบงั้นเหรอ นั่นเป็นนางเอก ลั่วเสิน นะ” หลิวมั่วเอ่ย “แต่ในทางกลับกัน ฝั่งนักลงทุนของละครเรื่องนี้เป็นเพื่อนของเหยียนข่าย ถ้าแก้ปัญหาเรื่องนี้ไม่ได้ เกรงว่าบทนางเอกคง…”

“อย่านะ อย่า ฉันจะหาวิธีสะสางเรื่องนี้ให้เรียบร้อย” ซือซวงซวงหน้าซีดเผือด จากนิสัยและกำลังทรัพย์ของเหยียนข่ายแล้ว เธอไม่สงสัยเลยสักนิดว่าอีกฝ่ายจะทำเรื่องแบบนั้น

“งั้นก็ดี ฉันเองก็ไม่อยากมีปัญหา” หลิวมั่วโล่งใจ “แก้ปัญหาภายในสามวัน ทุกอย่างจะโอเค”

“สามวัน?” ซือซวงซวงได้ยินก็นิ่งค้าง “แต่ฉันยังไม่มีหนทางเลย”

“ขนาดนี้แล้วเธอยังต้องหาทางอะไรอีก” หลิวมั่วปวดหัว “บอกตรงๆ เลยนะ ว่าที่สะใภ้ของตงหวนขี้หึงมาก เห็นว่าเรื่องนี้ทำเอาเจ้าตัวโกรธจนไม่ยอมกินอะไรไปสามวัน ประธานเหยียนเลยพลอยอารมณ์เสียไปด้วย ตอนนี้ที่บริษัทแทบจะไม่มีใครกล้าคุยกับเขาแล้ว”

ซือซวงซวงเหงื่อตก นั่งเงียบไปนาน

“เธอเองก็เลิกคิดว่าตัวเองบริสุทธิ์ได้แล้ว ฝั่งประธานเหยียนมีหลักฐานเป็นกอง” หลิวมั่วตบไหล่เธอเบา ๆ ก่อนเรียกพนักงานมาคิดเงิน “เต็มที่สามวัน ไม่งั้นฉันก็ไม่อาจรับประกันบทนางเอกของเฟยเฟยได้”

ซือซวงซวงนั่งบนเก้าอี้ยาวเพียงลำพัง จนกระทั่งผ่านไปสองชั่วโมงถึงกลับโรงแรม

 

ความจริงยังไม่ทันครบกำหนดสามวัน บ่ายวันรุ่งขึ้น ซือซวงซวงก็ออกแถลงการณ์ ยอมรับว่าเรื่องทั้งหมดเป็นการร่วมมือสร้างกระแสระหว่างตัวเองกับเหลยถิงสตูดิโอ…อันที่จริงก่อนหน้านี้ เธอวางแผนไว้ว่าหากเกิดปัญหาอะไรขึ้น จะผลักความรับผิดชอบทั้งหมดให้ปาปารัสซี่ และจ่ายเงินจำนวนมหาศาลไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้ เธอก็รู้ดีว่าไม่ใช่แค่อยากผลักเรื่องทั้งหมดให้พ้นตัวแล้วจะทำได้ ท่าทีของเหยียนข่ายบ่งบอกชัดเจนว่า หากเธอคิดหนี ผลลัพธ์จะร้ายแรงยิ่งกว่าเดิม

เหมือนที่หลิวมั่วพูดไว้ ในเมื่อต้องการขอโทษ ก็ต้องแสดงถึงความจริงใจ และจนถึงตอนนี้ เธอถึงเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าอะไรที่เรียกว่ารับกรรมที่ก่อไว้

“เมื่อกี้พี่วินโทร.มา บอกว่านายไม่อ่อนโยนกับผู้หญิงเลย” ภายในสำนักงานใหญ่ของตงหวนเอนเตอร์เทนเมนต์ ป๋ายอี้ส่งแฟ้มเอกสารมาให้ “งานโปรโมตสินค้าที่เขาเซ็นสัญญากับหนิงเฟยลั่วไปตอนแรก ตอนนี้ยกเลิกหมดเรียบร้อย”

“ทำไมต้องยกเลิก” เหยียนข่ายพลิกดูแฟ้มเอกสาร “อยากจ้างก็จ้างไปสิ ฉันไม่ขัดข้องอะไรสักหน่อย”

“นายก็พูดง่าย” ป๋ายอี้มองเขาอย่างวิงวอน “สินค้าที่จะโปรโมตคือครีมอาบน้ำ เขาต้องการคนที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ตอนนี้อีกฝ่ายเป็นข่าวฉาวใหญ่โตขนาดนี้ ใครจะยังกล้าจ้าง”

“ที่บอกว่าอ่อนโยนกับผู้หญิงน่ะ เขาไว้ใช้กับผู้หญิงดีๆ ไม่ใช่ผู้หญิงที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อไต่เต้าแบบนี้” เหยียนข่ายมองเขา “ทีหน้าทีหลังบอกเขาว่าอย่าใช้คำมั่วซั่ว”

“ได้” ป๋ายอี้รับคำอย่างจริงจัง “ฉันจะส่งหนังสือ รวมสำนวนสุภาษิต ไปให้เขาด่วนเลย”

เหยียนข่ายส่ายหน้าแล้วอ่านเอกสารต่อ

“ตอนนี้จดหมายขอโทษของซือซวงซวงกลายเป็นประเด็นร้อนไปแล้ว” ป๋ายอี้นั่งลงฝั่งตรงข้าม “แล้วก็ ดูท่าความนิยมของหนิงเฟยลั่วคงร่วงไปสักพัก” ส่วนอนาคตจะเรียกกลับได้หรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่อง

แม้ว่าซือซวงซวงจะรับเอาความผิดทั้งหมดไว้ที่ตัวเองกับเหลยถิงสตูดิโอ ไม่ได้โยงถึงหนิงเฟยลั่วแม้แต่น้อย แต่ชาวเน็ตไม่ได้โง่ อ่านข่าวบันเทิงมานานก็พอมีความรู้พื้นฐานอยู่บ้าง…น่ากลัวว่าบนโลกนี้คงไม่มีการสร้างกระแสครั้งไหนที่ผู้จัดการวางแผนคนเดียวโดยที่ศิลปินไม่รู้เรื่องด้วย

เพราะงั้นทุกคนจึงพากันมาค่อนขอดในเว็บบอร์ดว่า [เสแสร้งเป็นผู้หญิงไร้เดียงสาเกือบเนียนแล้ว แต่ตัวเองดันสร้างข่าว ตกลงอยากดังขนาดไหนกันแน่ ถึงคุณชายแห่งตงหวนจะทั้งหล่อ ทั้งรวย แต่คนเขามีแฟนอยู่แล้วเข้าใจไหม แค่คิดแย่งก็ต่ำช้าเหลือทนแล้ว]

เวลาต่อมา ชาวเน็ตตาดีจับผิดตำแหน่งที่หนิงเฟยลั่วยืนในรูปได้อย่างชาญฉลาด รวมไปถึงท่าโพสต่างๆ ตอนอยู่ในบาร์ที่ดูเหมือนไม่ตั้งใจแต่ความจริงกลับจงใจสุดๆ ราวกับเป็นกลุ่มนักสืบเชอร์ล็อค โฮล์มส์ พวกโอตาคุมากมายนับไม่ถ้วนต่างอกหักเพราะเรื่องนี้ จากนางฟ้าผู้เยือกเย็นกลายเป็นหญิงร้อยเล่ห์ภายในคืนเดียว พวกแกลองมาสัมผัสความรู้สึกผิดหวังแบบนี้สิ ใจแทบสลายอยู่แล้ว

เพราะเสียงต่อว่าต่อขานเยอะเกินไป หนิงเฟยลั่วจึงล้างโฮมเพจและตัดขาดกับโลกภายนอกเสียเลย

จนกระทั่งตอนนี้เอง เหยียนข่ายถึงโพสต์สเตตัส บอกว่าไม่อยากเห็นเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สาม เพราะ “ภรรยาของผมจะโกรธมาก”

คำว่าภรรยาอะไรนี่มันแยงตาประชาชีชะมัด!

ฟางเล่อจิ่งหน้าแดงลามไปยังใบหู ก่อนมุดหัวเข้าไปในผ้าห่ม

“เป็นอะไร” เหยียนข่ายกอดเขา น้ำเสียงเจือแววขบขัน

ฟางเล่อจิ่งใช้เท้ายันอีกฝ่ายผ่านผ้าห่ม “ที่แท้ก็ภรรยาของฉันนี่เอง” เหยียนข่ายฉุดเขาออกมา “จูบสามีหน่อยสิ”

ฟางเล่อจิ่งบีบปากเขา

“พรุ่งนี้นายก็ต้องไปแล้ว” เหยียนข่ายแนบหน้าผากเข้ากับอีกคน “เดินทางปลอดภัยนะ”

“อื้อ” ฟางเล่อจิ่งกอดเขา รู้สึกแสบร้อนที่ปลายจมูกขึ้นมา

เหมือนทำใจไม่ได้นิดหน่อย

เหยียนข่ายจับมือของเขา ก้มหน้าลงจูบบนเส้นผมอ่อนนุ่ม

เม็ดฝนโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า หยดลงบนขอบหน้าต่าง ชะล้างฝุ่นละอองชั้นบางๆ ออกไป ให้ความรู้สึกสดชื่นและเย็นสบาย

 

บ่ายวันรุ่งขึ้น ฟางเล่อจิ่งและเสิ่นหานพร้อมผู้ช่วยก็บินไปอิตาลีด้วยกัน ในบรรดาแอร์โฮสเตสมีคนที่เป็นแฟนคลับของทั้งคู่ เลยจัดการตัดพวกครีม เนย และแฮมออกจากอาหารของเสิ่นตุ๊บป่อง แล้วเปลี่ยนเป็นผักใบเขียวให้โดยเฉพาะ โหดร้ายที่สุด

เสิ่นหานร้าวรานใจ ไม่นึกเลยว่าแม้แต่การจะกินอาหารครบชุดสักมื้อบนเครื่องบินยังกลายเป็นเรื่องเพ้อฝัน ชีวิตไร้ความหวังแบบนี้ ฉันไม่ได้อยากกินผักกวางตุ้งเลยสักนิด

“ฉันขอนอนสักพัก” ฟางเล่อจิ่งสวมผ้าปิดตา

“รู้สึกไม่ดีเหรอ” เสิ่นหานเป็นห่วง

“อือ” ฟางเล่อจิ่งตอบ “เวียนหัวนิดหน่อย”

เสิ่นหานสงสัย “นายได้กินเนื้อยังเวียนหัวอีกเหรอ”

ฟางเล่อจิ่ง “…”

สองเรื่องนี้มันเกี่ยวกันตรงไหน

“ฉันกินผักยังไม่เวียนหัวเลย” เสิ่นหานเอ่ยเสริม ทั้งที่กินเนื้อสัตว์ก็น่าจะแข็งแรงกว่าแท้ๆ

ฟางเล่อจิ่งสวมหูฟังเงียบๆ ตัดขาดจากเสียงของอีกฝ่าย

เสิ่นหานหยิบยาหม่องออกจากกระเป๋ากางเกง แล้วทาบริเวณขมับให้เขา

แอร์โฮสเตสที่อยู่ข้างๆ ถูกความน่ารักจู่โจมจนใจเจ็บ ตุ๊บป่องของเรานี่น่าเอ็นดูจริงๆ อยากขโมยกลับไปซ่อนที่บ้านชะมัด

ฟางเล่อจิ่งเมาเครื่อง เฝิงฉู่ อู๋เฟย และอู๋เจี้ยนก็พักผ่อน เสิ่นหานที่เหลือตัวคนเดียวเลยเบื่อสุดๆ ไม่ว่านั่งยังไงก็ไม่สบายตัว จนดูเหมือนผู้ป่วยสมาธิสั้น

“นายเลิกขยับได้แล้ว” ฟางเล่อจิ่งใช้ผ้าห่มคลุมหัวอย่างหมดแรง

เสิ่นหานตัวแข็งทื่อทันที

“ขอบใจ” ฟางเล่อจิ่งไม่แม้แต่จะลืมตา

เสิ่นหานหันไปมองรอบๆ อยากหาอะไรทำชะมัด

ก่อนจะสบกับดวงตาสีฟ้าคู่หนึ่งพอดี

 

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า