巨星手记
บันทึก (ไม่ลับ) ฉบับซูเปอร์สตาร์
อวี่เซี่ยวหลานซาน เขียน
ธมน แปล
get-sem วาด
— โปรย —
หลังจาก ฟางเล่อจิ่ง มีผลงานการแสดงหลายเรื่อง
เขาก็ได้รับเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในเทศกาลภาพยนตร์จีน
ฟางเล่อจิ่ง เองก็ตั้งเป้าหมายจะคว้ารางวัลนี้เช่นกัน
เพื่อลดคำครหาของผู้คนยามที่เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ เหยียนข่าย
แต่เขาดันต้องเผชิญกับดาราอาวุโสที่เป็นตัวเต็งอีกคน
แล้วเขาจะคว้ารางวัลนี้และเปิดเผยความสัมพันธ์ของเขากับ เหยียนข่าย ได้อย่างราบรื่นหรือไม่
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
76 ดารารับเชิญผู้ทุ่มเท!
โศกนาฏกรรมของเสิ่นตุ๊บป่อง!
คุ้นหน้าจังแฮะ…เสิ่นหานผงะไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน
เมื่อเห็นเขาจ้องมาที่ตัวเองไม่วางตา อีกฝ่ายก็ค้อมหัวให้เขาเล็กน้อย เธอเป็นสาวผมบลอนด์วัยยี่สิบกว่า
เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองเหมือนจะเสียมารยาท เสิ่นหานก็ยิ้มขอโทษ แล้วละสายตากลับมานั่งตัวตรง ทว่ากลับต้องหันไปอีกครั้งหลังจากผ่านไปไม่ถึงสามวินาที เพราะในที่สุดเขาก็นึกออกแล้วว่าคนคนนี้คือใคร!
แคทเธอรีนเป็นนางแบบชื่อดังระดับโลกและเป็นนางเอกในภาพยนตร์เรื่องหนึ่งของอันเซลด้วย เธอมีชื่อเสียงทั้งในแวดวงแฟชั่นและวงการภาพยนตร์ เข้าร่วมเวทีเดินแบบแบรนด์เนมมากมาย แถมยังเคยเดินแบบคู่กับซูนั่วอีกด้วย
“สวัสดีค่ะ” แคทเธอรีนยิ้มพร้อมทักทายเขาด้วยภาษาจีน “ฉันรู้จักคุณ”
มีคนคุยด้วยแล้ว! เสิ่นหานวางผ้าห่มลงด้านข้างแล้วลุกขึ้นเดินไปหาอีกฝ่ายโดยไม่ลังเล
ในที่สุดข้างกายก็เงียบสงบ ฟางเล่อจิ่งพันร่างด้วยผ้าห่มแล้วหลับไปอย่างมีความสุข
ตอนตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เสิ่นตุ๊บป่องก็คุยถูกคอกับแคทเธอรีนเรียบร้อย ทั้งสองกำลังแลกช่องทางการติดต่อกันอย่างคึกคัก
ฟางเล่อจิ่ง “…”
นี่มันอะไรกัน
อู๋เฟยและอู๋เจี้ยนนั่งโอดครวญอยู่ด้านหลังเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่อยากเชื่อว่าก่อนหน้านี้ลูกพี่จะกลัวหานหานหาแฟนไม่ได้ มาดูตอนนี้ ตีสนิทเก่งกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว เห็นเงียบๆ แต่พอเอาจริงกลับตกซูเปอร์โมเดลระดับโลกมาได้ ใครจะไปสู้
“เล่อเล่อ” เสิ่นหานหย่อนก้นกลับลงมานั่ง “นายตื่นแล้วเหรอ”
“พวกนายรู้จักกันมาก่อนเหรอ” ฟางเล่อจิ่งเหลือบมองไปทางแคทเธอรีนก็เห็นเธอกำลังห่มผ้านอนหลับอยู่
“เปล่า” เสิ่นหานว่า “เพิ่งรู้จักเมื่อกี้ เธอเพิ่งจบทริปท่องเที่ยวกำลังจะกลับบ้าน อีกเดี๋ยวจะไปเป็นนักแสดงรับเชิญบทเจ๊ใหญ่แก๊งมาเฟีย ใน THE SUNSET เหมือนกัน มีบทคู่กับนายด้วย” เจ๊ใหญ่อะไรแบบนี้ดูห้าวหาญดีจัง อิจฉาสุดๆไปเลย
“จริงเหรอ” ฟางเล่อจิ่งแปลกใจเล็กน้อย
“อื้อ” เสิ่นหานพยักหน้า “แล้วก็ เธอชวนเราไปกินพายแอปเปิลที่บ้านเธอด้วย”
คืบหน้าไวอะไรขนาดนั้น…
ฟางเล่อจิ่งนึกถึงการโหวตคัดเลือกของนิตยสารบันเทิงช่วงก่อนหน้านี้ขึ้นมา
เป็นขวัญใจสาวรุ่นพี่จริงๆ ไม่แบ่งเก่าแบ่งใหม่ ไม่แบ่งว่าในหรือต่างประเทศ
เครื่องบินลงจอดบนรันเวย์อย่างมั่นคง ออกัสตินจัดหาคนขับรถไว้เรียบร้อยแล้ว จึงพาทุกคนตรงไปพักผ่อนที่โรงแรม และเดินทางไปสถานที่ถ่ายทำเช้าวันพรุ่งนี้
“เหนื่อยจัง” ฟางเล่อจิ่งล้มตัวลงบนเตียง ไม่อยากขยับตัวสักนิด
เสิ่นหานมองเขาอยู่ข้างเตียงด้วยสายตาวาววับ
“…นายจะทำอะไร” ฟางเล่อจิ่งถามอย่างระแวดระวัง
“หิว” เสิ่นหานนั่งแหมะอยู่ข้างๆ เขา แล้วเอ่ยชวนอย่างกระตือรือร้น “เราไปหาอะไรกินกันเถอะ”
“ไปหาอู๋เฟย” ฟางเล่อจิ่งดึงผ้าห่มปิดหน้า
“แต่นายนอนมาตลอดทางแล้วนะ” เสิ่นหานไม่ยอม
“ฉันยังนอนต่อได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง” น้ำเสียงของฟางเล่อจิ่งฟังดูไร้เรี่ยวแรง
“ก็ได้” เสิ่นหานยอมลงให้ ก่อนยื่นมือไปคว้าเมนูอาหารบนโต๊ะ “งั้นฉันสั่งอะไรให้นายกินหน่อยแล้วกัน”
“ขอบใจ” ฟางเล่อจิ่งไม่อยากลืมตา
เสิ่นหานสั่งอาหารเสร็จก็หมดอาลัยตายอยาก ล็อกอินเข้าโฮมเพจส่วนตัวแล้วโพสต์สเตตัส [เล่อเล่อเมาเครื่อง…]
พร้อมแนบรูปฟางเล่อจิ่งที่ห่อตัวด้วยผ้านวมผืนใหญ่ โผล่ออกมาแค่เส้นผมขยุ้มหนึ่งที่ทำให้อยากลูบ
ครู่ถัดมา แฟนคลับพากันคอมเมนต์ว่า [มันไม่สมเหตุสมผล คนที่เมาเครื่องควรเป็นตุ๊บป่องแท้ๆ ทำไมถึงกลับกันได้]
“นายดูนี่” เสิ่นหานนั่งขัดสมาธิลงข้างๆ เขาแล้วพูดอย่างขึงขัง “ทุกคนคิดเหมือนกันว่าฉันที่กินผักควรเป็นคนเมา”
ฟางเล่อจิ่งไร้เรี่ยวแรง ไม่อยากคุยกับเขาจริงๆ
ห้านาทีถัดมา มือถือสั่นครืดๆ หมายเลขที่โทร.เข้าเป็นเบอร์ไม่รู้จัก
ใครกัน…เสิ่นหานสงสัยเล็กน้อยก่อนกดรับ “ใครครับ”
“เหยียนข่าย” ปลายสายตอบ
เสิ่นตุ๊บป่องลุกพรวดด้วยความตกใจทันที!
ทำไมบอสถึงโทร.หาเขาล่ะ
เขาต้องหลอนไปเองแน่ๆ
“เล่อเล่อเมาเครื่องเหรอ” เหยียนข่ายถาม
“ครับ” เสิ่นหานเหลือบมองคนข้างกายแล้วพูดเสียงเบา “เหมือนเขาจะหลับอยู่”
“จะคุยกับฉันเหรอ” ฟางเล่อจิ่งลืมตา
ตื่นอยู่ก็ดี! เสิ่นหานน้ำตาคลอเบ้า รีบยัดโทรศัพท์ใส่มืออีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
คุณยายหกนี่น่ากลัวชะมัด
เขาอยากวิ่งไปนั่งสงบจิตสงบใจบนชักโครกสักพัก
“หานหาน” ห้านาทีถัดมา ฟางเล่อจิ่งเคาะประตูอยู่ด้านนอก “หยางซีโทร.หานาย”
เสิ่นหานเปิดประตูพรวด แล้วพูดด้วยความจริงใจสุดขีด “ตัดทิ้งได้ตามสบาย นายคุยกับบอสได้นานเท่าที่ต้องการเลย จะคุยทั้งวันก็ไม่มีปัญหา” ตราบใดที่แบตมือถือยังไม่หมดน่ะนะ
ฟางเล่อจิ่งเขกกะโหลกอีกฝ่ายอย่างหมดคำพูด ก่อนกลับไปล้มตัวนอนบนเตียง
เสิ่นหานวิ่งไปรับสายที่ระเบียง “ทำงานอยู่เหรอ”
“เปล่า” หยางซีตอบ “เตรียมไปหาผู้อาวุโสจาน”
“แทมเบอร์?” เสิ่นหานแปลกใจ “เรื่องต้าเหยียนเหรอ”
“ต้องไปถึงรู้” หยางซีตอบ “ตอนนี้ฉันขับรถอยู่”
“งั้นถ้าคุยเสร็จแล้ว อย่าลืมโทร.หาฉันนะ” เสิ่นหานบอก
“ได้” หยางซีหัวเราะ “ไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
“อื้อ” เสิ่นหานวางสายอย่างเชื่อฟัง ก่อนเดินเล่นไปทั่วอย่างพลังงานล้นเหลือ
ทำไมทุกคนถึงอยากให้ฉันไปพักผ่อนนักนะ ทั้งที่ไม่อยากนอนแท้ๆ แถมยังอยากวิ่งสักหนึ่งกิโลเมตรด้วยซ้ำ
พลังงานที่มาจากผักนี่ช่างเหลือแหล่จริงๆ
ภายในโรงแรมที่ประเทศจีน แทมเบอร์กำลังอ่านหนังสือพิมพ์ ครู่ต่อมาผู้ช่วยก็มาเคาะประตู “ท่านครับ แขกมาถึงแล้ว”
“ผู้อาวุโสจาน” หยางซีเดินเข้ามาในห้อง แสดงความเคารพอีกฝ่าย
“นั่งสิ” แทมเบอร์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทำตัวตามสบาย คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเองก็ได้”
“ขอบคุณครับ” หยางซีนั่งลงฝั่งตรงข้าม “คุณเรียกผม มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”
“ก่อนหน้านี้หานหานเคยมาหาฉันด้วยเรื่องของเธอ” แทมเบอร์เอ่ย “เขาน่าจะบอกเธอแล้ว”
หยางซีพยักหน้า
“ความจริงถึงเขาไม่มาหาฉัน ฉันก็คงเรียกหาเธออยู่ดี” แทมเบอร์ส่งไวน์แก้วหนึ่งให้เขา “รู้ไหมว่าเพราะอะไร”
หยางซีลองทาย “เพราะสองพี่น้องตระกูลเจ่อเหรอครับ”
แทมเบอร์อดหัวเราะไม่ได้ “เธอฉลาดจริงๆ”
“นี่เป็นความเกี่ยวข้องเพียงอย่างเดียวระหว่างผมกับคุณ” หยางซีเอ่ยตรงไปตรงมา
“เกี่ยวกับเหตุระเบิดตอนนั้น เธอรู้มากน้อยแค่ไหน” แทมเบอร์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้
“ไม่มากเท่าไหร่ครับ” หยางซีตอบ “ตอนนั้นผมยังเรียนอยู่ เคยเห็นข่าวที่เกี่ยวข้องจากหนังสือพิมพ์เท่านั้น” ส่วนข่าวลือต่างๆ บนอินเทอร์เน็ตที่ตามมาหลังจากนั้น ส่วนใหญ่ผ่านความคิดเห็นของนักข่าวมาอีกขั้น จึงไม่ถือเป็นมูลความจริง และเห็นเป็นเพียงเรื่องเล่าเท่านั้น
“แล้วเบื้องหลังความร่ำรวยของไห่ซานกรุ๊ปล่ะ” แทมเบอร์มองเขา
“ไห่ซานกรุ๊ป?” หยางซีได้ยินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนความเป็นไปได้อย่างหนึ่งจะแล่นเข้ามาในหัว…เดิมทีไห่ซานเป็นเพียงโรงงานเล็กๆ ทว่าภายหลังกลับขยายกิจการใหญ่โตในชั่วข้ามคืน เมื่อนับเวลาดูดีๆ แล้ว มันเป็นปีที่สองหลังจากเหตุระเบิดของบริษัทฮว่าเฟิงพอดี ส่วนสองพี่น้องเจ่อซานและเจ๋อไห่ ก็เดินบนเส้นทางแห่งความรุ่งเรืองอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่นั้น
“เรื่องบางอย่างไม่จำเป็นต้องพูดออกมาตรงๆ” แทมเบอร์ยิ้ม “แต่ในเมื่อมีเป้าหมายเดียวกัน บางทีพวกเราอาจร่วมมือกันได้”
หยางซีพยักหน้ารับ “ผมเข้าใจความหมายของคุณ”
“ยินดีที่ได้ร่วมงาน” แทมเบอร์ยื่นมือออกไปก่อนเอ่ยอย่างจริงใจ “หวังว่าเธอจะแก้ปัญหาได้เร็วที่สุด แล้วรีบกลับไปอยู่ข้างๆ เสิ่นหาน เขารอเธอเสมอ”
หยางซีหลุดขำ แล้วกระชับมือกับเขา “ขอบคุณมากครับ”
ถึงได้บอกว่าคิดจะปิดเรื่องความรักต่อหน้าเจ้าพ่อวงการบันเทิงนั้นเป็นไปไม่ได้จริงด้วย…
ค่ำคืนค่อยๆ คืบคลานเข้ามา ในที่สุดเสิ่นหานที่กระโดดโลดเต้นมาทั้งวันก็สงบลง นอนหลับอ้าปากกางแขนกางขา แถมขยับเปลี่ยนท่าไปมาไม่หยุดก่อนจบที่กลิ้งลงไปกองบนพื้น…แต่ก็ยังไม่ตื่นอยู่ดี
ความสามารถเหนือชั้นจริงๆ ฟางเล่อจิ่งลุกขึ้นมาดื่มน้ำกลางดึกด้วยความสะลึมสะลือ ทำเอาเกือบเหยียบเสิ่นตุ๊บป่อง
เสิ่นหานยังคงหลับสนิทอย่างมีความสุข ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเกือบถูกเหยียบหน้าเข้าให้แล้ว
ฟางเล่อจิ่งลากเขาขึ้นเตียงอย่างยากลำบาก
เสิ่นหานลืมตางัวเงีย “นายจะทำอะไร”
“นอน” ฟางเล่อจิ่งช่วยห่มผ้าให้เขา “ห้ามกลิ้งไปมาอีก!”
“อ้อ” เสิ่นหานรับคำอย่างว่าง่าย กอดผ้าห่มแล้วหลับต่อ
ฟางเล่อจิ่งออกไปรินน้ำนอกห้อง ยังไม่ทันดื่มเสร็จก็ได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหวดังมาจากห้องนอน ทำเอาเขาตกใจ รีบวิ่งเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
เสิ่นหานกุมหัวไว้ ตะเกียกตะกายขึ้นจากพื้นก่อนฟ้องเสียงตัดพ้อ “หัวกระแทก”
ฟางเล่อจิ่งเริ่มเห็นใจหยางซีจากก้นบึ้งหัวใจ
ใครเขานอนจนมีสภาพนี้บ้าง…
“หานหานนอนแปลกที่ไม่ค่อยได้น่ะ” วันรุ่งขึ้น หยางซีที่รับรู้เรื่องราวทั้งหมดกำลังตอบสาย “ไม่เป็นไร นอนสักสองสามวัน พอปรับตัวได้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว อย่าลืมกำชับให้เขาดื่มนมล่ะ”
“โอเค” ฟางเล่อจิ่งรับคำ ครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยเสริม “เรื่องดื่มนมคงไม่ต้องให้ผมคอยดูหรอก” เผลอๆอีกคนอาจขอดื่มสักสองแก้วเองด้วยซ้ำ เขารู้สึกได้
หยางซีหลุดขำ
เสิ่นหานประคบถุงน้ำแข็ง สายตาเจือแววขุ่นเคืองเล็กน้อย
ยังไม่ทันเริ่มถ่ายก็เสียโฉมเสียแล้ว น่าอนาถชะมัด
หมู่บ้านที่ใช้ถ่ายทำอยู่ไม่ไกลจากมิลานเท่าไหร่ ราวๆ บ่ายโมง คนขับรถก็พาทุกคนไปส่งที่กองถ่าย
“Hi!” ฟิลลิปส์โรยตัวลงมาจากฟ้า ทักทายอย่างอารมณ์ดี
เมื่อเห็นใบหน้ายิ้มแย้มสดใสของเขา ฟางเล่อจิ่งกับเสิ่นหานต่างคิดอย่างปลงตก กะแล้วว่าต้องโผล่มา
“ฉันมาต้อนรับพวกนายโดยเฉพาะเลยนะ” ฟิลลิปส์กางแขนสองข้างอย่างกระตือรือร้นก่อนเข้าไปกอดทั้งสองไว้แน่น “แถมฉันยังพักที่กองถ่ายตลอดด้วย”
“ออกัสตินอนุญาตแล้วเหรอ” ฟางเล่อจิ่งถาม
ฟิลลิปส์ส่งยิ้มกว้าง ต้องไม่อนุญาตอยู่แล้วสิ
ฉันแอบหนีมาน่ะ
“ยินดีต้อนรับ” อันเซลยิ้มพร้อมเดินลงมาจากชั้นบน “รู้สึกยังไงบ้าง”
“รู้สึกดีมากครับ” เสิ่นหานตอบพร้อมประคบน้ำแข็งไปด้วย
“หน้าผากเธอเป็นอะไร” อันเซลขมวดคิ้ว
เสิ่นหานเอ่ยตามความจริง “บวมครับ” ตอบได้ตรงสุดๆ
อันเซลพินิจดูครู่หนึ่งก่อนเอ่ยแซว “ฉันว่าถ่ายฉากที่เธอถูกทำร้ายก่อนได้เลยนะ”
“ผมเล่นเป็นคนซ้อมเอง!” ฟิลลิปส์ชูมือสองข้าง กระหายจะมีส่วนร่วมอย่างยิ่ง
แต่ไม่มีใครสนใจเขาสักนิด
น่าเวทนาสุดๆ
ทางกองถ่ายเตรียมการทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว นักแสดงเข้าประจำที่แล้วเช่นกัน หลังงานเลี้ยงต้อนรับอันเรียบง่าย กระบวนการถ่ายทำก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ เนื่องจากฟางเล่อจิ่งและเสิ่นหานเคยร่วมงานกับอันเซลมาแล้ว และมีประสบการณ์การแสดงมาไม่น้อย ทำให้เข้าถึงบทบาทได้รวดเร็ว ในฐานะนักแสดงนำ ตารางการถ่ายทำของทั้งสองแน่นเอี้ยดทุกวัน แต่กว่าจะได้รับโอกาสนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขาจึงไม่เหน็ดเหนื่อยอะไร
“ฮัดชิ้ว” ครึ่งเดือนให้หลัง เสิ่นหานห่อตัวในผ้าห่มพร้อมกับจามออกมา
“อ้าปาก” ฟางเล่อจิ่งถือแก้วน้ำ ยัดยาใส่ปากอีกฝ่าย
เสิ่นหานกลืนลงไปแต่โดยดี ก่อนขดตัวกลับเข้าไปในที่นอนอย่างเซื่องซึม
เป็นหวัดซะแล้ว
“ยังดีที่ไม่มีไข้” ฟางเล่อจิ่งนั่งลงข้างๆ “พรุ่งนี้จะไปถ่ายต่อหรือเปล่า อยากปรับตารางหน่อยไหม นอนพักให้เต็มที่สักวัน”
“ไม่ต้อง หลับสักตื่นเดี๋ยวก็ดีขึ้น” เสิ่นหานดึงกระดาษทิชชูมาเช็ดน้ำมูก “ความสามารถในการฟื้นตัวของฉันแข็งแกร่งจะตาย”
“ก็ได้ งั้นนายรีบพักผ่อนเถอะ” ฟางเล่อจิ่งห่มผ้าให้อีกฝ่าย “มีอะไรก็เรียกฉัน”
เสิ่นตุ๊บป่องหลับตาลง เพียงไม่นานก็หลับสนิทไป ทั้งยังฝันถึงหยางซีตลอดคืน
ก่อนที่เช้าวันถัดมา เจ้าตัวจะเวียนหัวหนักกว่าเดิม
“หรือว่ายาไม่ได้ผล” ฟางเล่อจิ่งหยิบถุงบรรจุภัณฑ์มาอ่านคำแนะนำ
เสิ่นหานครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยอย่างจริงจัง “ฉันคิดว่าเพราะหยางซีหล่อเกินไป” มัวแต่มองตลอดคืนมันเกินจะรับไหว ทำเอาใจสั่น เวียนหัวตาลาย
ฟางเล่อจิ่งได้ยินดังนั้นก็เหวอไปชั่วขณะ ก่อนลองแตะวัดอุณหภูมิจากหน้าผากอีกฝ่าย
“โอเคใช่ไหม”เสิ่นหานถาม
“ไม่มีไข้ แต่สีหน้านายดูแย่มาก” ฟางเล่อจิ่งนิ่วหน้า “งั้นไม่ต้องไปถ่ายแล้วดีกว่า”
“ไม่ต้องห่วง ไม่เป็นไรหรอก” เสิ่นหานเดินไปแปรงฟันที่ห้องน้ำ ถือโอกาสล้างหน้าเรียกสติตัวเองด้วยน้ำเย็นสักหน่อย
“อรุณสวัสดิ์” อันเซลมาถึงสถานที่ถ่ายทำ และกำลังคุยกับหนุ่มล่ำสันร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง พอเห็นทั้งคู่ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขอแนะนำ นี่คือเร็ก จะเล่นเป็นโรบิน หัวหน้ามาเฟีย”
“สวัสดีครับ” เร็กค้อมตัวเล็กน้อยให้ทั้งสองพร้อมเอ่ยทักทาย เขามีรอยสักลากยาวตั้งแต่ลำคอจนถึงแขน แถมใบหน้ายังมีรอยบาก แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคนดีแค่ไหน
ทำเอาเสิ่นหานรู้สึกคุ้นเคยเหมือนได้เจอพี่ชายตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
“นายแน่ใจนะว่าจะต่อยกับเขา” ขณะที่ผู้กำกับและเร็กกำลังคุยเรื่องบทกันอยู่ ฟางเล่อจิ่งก็ส่งน้ำมาให้
“พูดให้ถูกคือไม่ใช่ต่อยกับเขา” เสิ่นหานว่า “แต่เป็นฉันถูกเขาต่อยฝ่ายเดียว” อนาถสุดๆ
“แต่นายไม่สบายอยู่นะ” ฟางเล่อจิ่งนิ่วหน้า
“ไม่เห็นเกี่ยว เขาไม่ได้ต่อยฉันจริงๆ สักหน่อย” เสิ่นหานว่า “อีกอย่าง เห็นเขาแล้วรู้สึกคุ้นเคยนิดๆ ด้วย”
“คุ้นเคย?” ฟางเล่อจิ่งตกใจ “ทำไมนายถึงคุ้นเคยกับคนเขาไปทั่ว”
“นายไม่เข้าใจ” เสิ่นหานกระดกน้ำแล้วพูดขมุบขมิบ “ตอนเด็ก ลูกพี่ลูกน้องอัดฉันบ่อยๆ”
ฟางเล่อจิ่ง “…”
ทำไมถึงเล่าเรื่องแบบนี้ด้วยหน้าตาภาคภูมิใจขนาดนั้น ไม่เห็นน่าอิจฉาสักนิด
ขณะที่ทั้งสองกำลังแต่งหน้า เฝิงฉู่ก็เข้ามาเตือน “ไม่ต้องรีบ อาจจะเลื่อนเวลาถ่ายทำไปครึ่งชั่วโมง”
“ทำไมล่ะ” ฟางเล่อจิ่งถาม
“ผู้กำกับยังคุยบทกับเร็กอยู่ เขายังเข้าไม่ถึงบทบาท” เฝิงฉู่นั่งลงกินแฮมเบอร์เกอร์อยู่ฝั่งตรงข้าม
หอมจัง! เสิ่นหานดมเต็มที่ รู้สึกอยากกินหน่อยๆ
“ผมไม่เคยได้ยินชื่อนักแสดงคนนี้มาก่อน” ฟางเล่อจิ่งเอ่ยขึ้นเรื่อยเปื่อย ว่ากันตามเหตุผลแล้ว หน้าตาเป็นเอกลักษณ์ขนาดนี้ หากเคยเห็นก็น่าจะจำได้ แต่ตัวเองกลับไม่มีความทรงจำเลยสักนิด
“เพราะจริงๆ เขาไม่ใช่นักแสดงไง” เฝิงฉู่ว่า “เป็นพวกมาเฟียจริงๆ”
เสิ่นตุ๊บป่องได้ยินดังนั้นก็อ้าปากค้าง “หา?”
“เพื่อความสมจริง” เฝิงฉู่บอก “เขาเพิ่งออกจากคุก ผู้กำกับไปเชิญมาจากซิซิลีด้วยตัวเอง นี่เป็นการแสดงครั้งแรกของเขา”
“จบเห่” เสิ่นหานหันไปมองฟางเล่อจิ่งด้วยท่าทางสิ้นหวัง “ฉันจะถูกมาเฟียสูงสองเมตรตัวจริงแถมไม่มีประสบการณ์การแสดงมาก่อนอัดเละกับพื้น ไม่ทราบว่านายอยากพูดอะไรหน่อยไหม”
ฟางเล่อจิ่งตบไหล่อีกฝ่ายอย่างเห็นใจ ก่อนเอ่ยจากใจจริง “ดูแลตัวเองดีๆ นะ”