[ทดลองอ่าน] บันทึก (ไม่ลับ) ฉบับซูเปอร์สตาร์ ตอนที่ 77

巨星手记
บันทึก (ไม่ลับ) ฉบับซูเปอร์สตาร์

 

อวี่เซี่ยวหลานซาน เขียน
ธมน แปล
get-sem วาด

 

— โปรย —

หลังจาก ฟางเล่อจิ่ง มีผลงานการแสดงหลายเรื่อง
เขาก็ได้รับเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในเทศกาลภาพยนตร์จีน
ฟางเล่อจิ่ง เองก็ตั้งเป้าหมายจะคว้ารางวัลนี้เช่นกัน
เพื่อลดคำครหาของผู้คนยามที่เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ เหยียนข่าย
แต่เขาดันต้องเผชิญกับดาราอาวุโสที่เป็นตัวเต็งอีกคน
แล้วเขาจะคว้ารางวัลนี้และเปิดเผยความสัมพันธ์ของเขากับ เหยียนข่าย ได้อย่างราบรื่นหรือไม่

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

77 นายรู้สึกไหมว่ามีอะไรแปลกๆ!

ไม่ต้องบอกบอสจริงเหรอ!

 

ผ่านไปนานแต่เร็กก็ยังเข้าไม่ถึงบทบาทสักที ทำให้ฉากนี้เริ่มถ่ายทำช้ากว่าเวลาที่คาดไว้หนึ่งชั่วโมง

“เล่อเล่อ” เสิ่นหานพึมพำ “ฉันกังวลอะ”

“เขาต้องกังวลกว่านายแน่” ฟางเล่อจิ่งบีบนวดไหล่ให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย “ไม่เป็นไร เร็กแสดงเป็นตัวเขาเอง เทคเดียวผ่านแน่”

เสิ่นหานได้ยินคำพูดนั้นก็อยากร้องไห้กว่าเดิม ฉันกลัวเขาเป็นตัวเองเกินไปจนลืมว่ากำลังถ่ายหนังนี่แหละ

ถ้าถูกอัดคว่ำขึ้นมาจริงๆ จะทำอย่างไร แค่คิดก็อนาถแล้ว แถมฉันยังกินข้าวไม่อิ่มด้วย

“หานหาน เริ่มได้” อันเซลพยักหน้าให้สัญญาณ

เร็กค้อมตัวให้เสิ่นหานเล็กน้อยด้วยความสุภาพ ดูไม่เหมือนพวกมาเฟียเลยสักนิด แม้แต่สายตายังดูอ่อนโยนสุดๆ

เพราะงั้นเสิ่นหานเลยผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย ดูใช้ได้นี่

“แอ็กชัน!” หลังตีสเลท[1] เร็กก้มหน้าทำอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง พริบตาที่เงยหน้าอีกครั้ง สายตาเขาก็เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม รอยบากคดเคี้ยวดุดันบนใบหน้าเสริมให้ดูน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม เห็นแวบเดียวก็กลัวจนแทบร้องไห้

เสิ่นหานอึ้งค้าง ทว่าไม่รอให้เขาพูดบท เร็กก็กระชากคอเสื้อหิ้วเขาขึ้นมาเหมือนลูกไก่ ก่อนโยนทิ้งไปด้านข้าง

เพราะงั้นเสิ่นหานที่ยังไม่ได้เข้าสู่บทบาทเลยสักนิดจึงลอย ฟิ้ว! ไปกองบนเบาะนุ่ม สำลักฝุ่น ปิดจมูกไอค็อกแค็ก

“คัต!” อันเซลนิ่วหน้า “เร็ก หานหานยังไม่ได้พูดบทเลย นายรีบเกินไป”

เสิ่นหานตะเกียกตะกายขึ้นจากเบาะ ศีรษะและใบหน้าเต็มไปด้วยฝุ่น

ช่างแต่งหน้ารีบช่วยเติมเครื่องสำอางให้เขา ส่วนเร็กดูทำตัวไม่ถูก “ขอโทษที ผมประหม่าไปหน่อย”

“ไม่เป็นไร” เสิ่นหานส่ายหน้า ส่งยิ้มเป็นมิตรให้เขา

ขณะถ่ายทำครั้งที่สอง เร็กจดจ่อรอเสิ่นหานพูดบทให้จบก่อน และถ่ายทำได้อย่างราบรื่นในที่สุด แต่ฉากต่อไปก็ถูกสั่งคัตอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

“เร็ก ท่าทางของนายดูปลอมเกินไป” อันเซลส่ายหน้าพร้อมขมวดคิ้ว

ทีแรกเสิ่นหานอยากจะทุบอกแล้วร้องบอกว่าไม่เป็นไร คุณต่อยผมได้เต็มที่ แต่พอเห็นท่อนแขนล่ำๆ ของเร็กแล้วก็ต้องชะงัก กลืนคำพูดนั้นลงไป…หากอีกฝ่ายเอาจริงขึ้นมา ตัวเองคงต้องไปต่อขากรรไกรที่โรงพยาบาล บางทีอาจต้องปลูกถ่ายฟันใหม่ด้วย

“ถ่ายอีกรอบ” อันเซลร้องบอก

สิ้นเสียงตีสเลท เสิ่นหานเงยหน้ามองเร็ก ดวงตาเต็มไปด้วยประกายน้ำตาแห่งความดื้อรั้น มือทั้งสองกำแน่น ทั้งร่างสั่นเทิ้ม สะกดกลั้นความโกรธและความอัปยศไว้สุดขีด

“ก้มหน้าลง” เร็กย่างสามขุมเข้าใกล้ ดวงตาแดงก่ำดุจเลือด

“แก ไอ้ฆาตกรคลุ้มคลั่ง” แผ่นอกของเสิ่นหานกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง เหมือนกำลังลนลาน “ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าฉัน ว่าจริงๆ มันเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น ฉันจะเอาเรื่องทั้งหมดไปบอกตำรวจ ให้แกกับพวกของแกตกนรกไปด้วยกัน!”

เร็กแสยะยิ้ม “ในเมืองนี้ มีแต่พวกโง่เท่านั้นแหละที่เชื่อตำรวจ”

อันเซลกลั้นหายใจ ดวงตาจับจ้องไปยังจอมอนิเตอร์

“ฉันจะให้แกได้ชดใช้!” เสิ่นหานคำรามใส่เขา จากนั้นหันหลังหวังจะวิ่งหนี กลับถูกเร็กกระชากแขนไว้แล้วเหวี่ยงหมัดใส่ใบหน้า

เสิ่นหานกุมจมูก เลือดไหลออกมาตามง่ามนิ้ว

“คัต!” อันเซลตกใจ รีบลุกขึ้นวิ่งเข้าไปดู

เลือดกำเดาหยดติ๋งๆ ลงบนพื้น ใครบางคนในที่นั้นส่งเสียงร้องตกใจ อู๋เฟยรีบหยิบถุงน้ำแข็งจากด้านข้างประคบลงบนจมูกของเสิ่นหาน ฟางเล่อจิ่งเองก็ดึงทิชชูเปียกมาเช็ดนิ้วมือเขาให้สะอาด

“เป็นยังไงบ้าง” อันเซลเอ่ยถาม

“ไม่เป็นไรครับ” เสิ่นหานอุดจมูกไว้ “ไม่ต้องห่วง ประคบเย็นเดี๋ยวก็ดีขึ้น”

ทุกคนต่างเข้ามาห้อมล้อมเสิ่นหาน เร็กเจ้าของร่างสูงสองเมตรยืนอยู่อีกด้าน เริ่มเสียใจที่ตอบรับคำเชิญเข้าร่วมแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้…บางที ตัวเขาอาจไม่เหมาะจริงๆ

“เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยในกองถ่าย นายไปพักก่อนเถอะ” อันเซลตบบ่าเขา “รอเสิ่นหานหายแล้วค่อยถ่ายต่อ”

เร็กพยักหน้าแล้วนั่งลงอีกด้าน ก่อนเปิดขวดน้ำ

“เทคเมื่อกี้เป็นยังไงบ้างครับ” ฟางเล่อจิ่งถามผู้กำกับ “ในเมื่อหานหานถูกต่อยจริง ก็น่าจะสมจริงมากใช่ไหมครับ” ผ่านได้ในเทคเดียวแน่ๆ

อันเซลส่ายหน้า “เร็กเดินไม่ถูกตำแหน่ง ตอนคว้าหานหานมา หลังเขาบังกล้องไปเต็มๆ” ยังไม่รอให้ตัวเองสั่งคัต เขาก็ปล่อยหมัดเข้าให้แล้ว

ฟางเล่อจิ่งหันมองเสิ่นหานแวบหนึ่ง

จมูกของเสิ่นตุ๊บป่องมีผ้าก๊อซยัดไว้ เขานั่งตัวตรงรับการประคบน้ำแข็งอยู่บนเก้าอี้ ท่าทางดูเคร่งขรึมสุดๆ

ฟางเล่อจิ่งปวดหัว แม้ว่าเลือดกำเดาจะหยุดไหลแล้ว แต่ยากจะรับประกันได้ว่าการถ่ายทำครั้งหน้าจะไม่เกิดโศกนาฏกรรมแบบนี้อีก

จะเป็นอย่างนี้ตลอดก็ไม่ใช่เรื่อง…

“Hi” สองนาทีถัดมา ฟางเล่อจิ่งเดินไปแล้วส่งเครื่องดื่มให้เร็ก

“หานหานเป็นยังไงบ้าง” เร็กถาม

“ไม่เป็นไรแล้ว” ฟางเล่อจิ่งนั่งลงข้างๆ เขา “ผู้กำกับจะถ่ายซีนต่อไปก่อน ให้เขาได้พักอีกหน่อย”

เร็กถอนหายใจ “ขอโทษจริงๆ”

“ให้ผมลองซ้อมสามฉากนั้นกับคุณดูไหม” ฟางเล่อจิ่งเสนอ

“คุณ?” เร็กได้ยินก็แปลกใจ

“อื้อ” ฟางเล่อจิ่งพยักหน้า “ตอนนี้ยังไม่มีคิวที่ผมต้องถ่าย อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำอยู่ดี”

“ขอบคุณ ผมยินดีมาก” เร็กผายมือพร้อมเอ่ย “แต่ถ้าคุณบาดเจ็บอีกคน ผู้กำกับต้องโกรธแน่”

“ไม่หรอกครับ” ฟางเล่อจิ่งหัวเราะ “ผมเป็นวิชาป้องกันตัว”

“เล่อเล่อคุยอะไรกับเร็กเหรอ” เสิ่นหานมองคนทั้งคู่อยู่ไกลๆ ด้วยความสงสัยสุดๆ

เฝิงฉู่ช่วยเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าเขา “เล่อเล่อไปซ้อมบทกับเร็ก ซ้อมตำแหน่งสักสองสามรอบ นายจะได้ไม่โดนเขาต่อยอีก”

“เหรอ” เสิ่นตุ๊บป่องซาบซึ้งทันที แต่ก็เป็นห่วงเล็กน้อย “แล้วถ้าเขาเกิดบาดเจ็บขึ้นมาจะทำยังไง” ถึงเวลาไม่ดุ เร็กจะดูอ่อนโยนแค่ไหน แต่ต่อยใครขึ้นมาก็โหดสุดๆ เหมือนกัน มือขวาอย่างกับใบพัดเหล็กที่น็อกอีกฝ่ายได้ในหมัดเดียว เมื่อครู่เขายังไม่ทันรู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ถูกต่อยจนเลือดออกจมูกเสียแล้ว

“ไม่หรอก” เฝิงฉู่บอก “เล่อเล่อมีพื้นฐานศิลปะป้องกันตัว คนทั่วไปต่อยเขาไม่โดนหรอก”

เสิ่นหานยังคงไม่วางใจ เอามืออุดจมูกแล้วมองดูต่อไป

ถึงก่อนหน้านี้ผู้กำกับจะอธิบายเส้นระบุตำแหน่งบนพื้นให้ฟังหลายครั้งแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ผลเท่าการฝึกซ้อมจริง เนื่องจากฟางเล่อจิ่งเคยต่อบทกับเสิ่นหานมาแล้ว เลยคุ้นเคยกับบทพูดของเขาทีเดียว โดยพื้นฐานจึงไม่มีปัญหาใดๆ ในการซ้อมบทกับเร็ก

ครั้งที่เจ็ดที่ถูกโยนลงไปบนเบาะนุ่มอย่างแรง ฟางเล่อจิ่งลุกขึ้นมานั่งแล้วชูสองนิ้วให้เขา “ครั้งนี้สมบูรณ์แบบ”

“ขอบคุณ” เร็กผ่อนลมหายใจโล่งอก ก่อนนั่งลงข้างๆ อีกฝ่ายแล้วยิ้มอย่างซึ้งใจ

ครึ่งชั่วโมงถัดมา เสิ่นหานเติมหน้าจัดทรงผมเรียบร้อยก็กลับไปยังจุดถ่ายทำอีกครั้ง

หลังฝึกซ้อมกับฟางเล่อจิ่งหลายรอบจนนับไม่ถ้วน ครั้งนี้เร็กจึงแสดงได้เป็นมืออาชีพสุดๆ แต่เดิมการสวมบทแก๊งมาเฟียไม่ได้สร้างแรงกดดันใดๆ ให้เขาอยู่แล้ว และหลังจากจับความรู้สึกของบทและหาขอบเขตได้ เขาก็แทบแสดงผ่านทุกซีนได้ในเทคเดียว

เสิ่นหานเองก็โล่งอกได้ในที่สุด

“ทำได้ดีมาก” ผู้กำกับตบไหล่ฟางเล่อจิ่งเบาๆ พร้อมเอ่ยชม “เธอเก่งมาก รู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะพาคนอื่นเข้าถึงบทบาทได้ ยอดเยี่ยมจริงๆ”

“เพราะผมเข้าใจหานหาน เลยสวมบทเป็นเขาได้เต็มที่ ทำให้เร็กจับความรู้สึกได้” ฟางเล่อจิ่งยิ้ม “ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่เร็วขนาดนี้”

ฉากของทั้งคู่ในวันนี้มีไม่เยอะเท่าไหร่ และการถ่ายทำก็เสร็จสิ้นเกือบทั้งหมดภายในห้าโมงเย็น หลังจากกลับโรงแรมอาบน้ำแล้ว เสิ่นหานมุดตัวเข้าไปในที่นอน ปวดเมื่อยไปหมดทั้งร่าง

“นอนเถอะ” ฟางเล่อจิ่งนั่งลงข้างๆ เขา ยื่นมือไปลองวัดอุณหภูมิบนหน้าผากอีกฝ่าย “ข่าวร้าย นายหาเรื่องใส่ตัวจนจากเวียนหัวกลายเป็นมีไข้แล้ว”

เสิ่นหานหน้าซีดเล็กน้อย เหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เป็นคนละคนกับที่กระโดดโลดเต้นในกองเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนโดยสิ้นเชิง เขาเป็นหวัดอยู่แล้ว แถมถูกทุบตีนับครั้งไม่ถ้วน พอเหงื่อออกก็ต้องตากลม จนเริ่มทนไม่ไหว ล้มป่วยอย่างน่าสงสาร

“หลับตา” ฟางเล่อจิ่งพูด

เสิ่นตุ๊บป่องน้อยอกน้อยใจ “ยังไม่ได้กินข้าวเลย”

ฟางเล่อจิ่ง “…”

เสิ่นหานมองเขาด้วยสายตาอ่อนแรงและคาดหวัง

เรื่องนี้มันสำคัญมากนะ ทำไมถึงลืมได้ลงคอ

“อยากกินอะไร” ฟางเล่อจิ่งถาม

เสิ่นหานตอบ “หมูสามชั้นน้ำแดง”

“ไม่ได้” ฟางเล่อจิ่งปฏิเสธ “มันเกินไป นายกินได้แค่ข้าวต้ม”

เสิ่นหานประท้วงในใจ

ในเมื่อไม่ฟังความเห็นฉันอยู่แล้ว งั้นจะถามทำไม ฉันแค่อยากกินหมูสามชั้นน้ำแดง

ฟางเล่อจิ่งไปเตรียมอาหารผู้ป่วยให้เขา

ครึ่งชั่วโมงถัดมา อู๋เฟยยกข้าวต้มกุ้งและเครื่องเคียงเข้ามา รวมถึงหมูแดงอบน้ำผึ้ง เสิ่นหานนั่งบนเตียงห่อตัวด้วยผ้านวม กินฮวบๆ จนเกลี้ยง

เป็นหวัดก็ต้องกินเยอะๆ เดี๋ยวไม่มีภูมิต้านทาน!

“เอาอีกไหม” อู๋เฟยถาม

เสิ่นหานได้ยินก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถามอย่างไม่ไว้ใจ “ฉันกินได้อีกเหรอ”

เฝิงฉู่ที่อยู่อีกด้านได้ยินเข้าก็เกือบจะน้ำตาไหล หานหานน่าเวทนาจัง

หลังจากกินซาลาเปาผักกาดหมูก้อนโตอีกสองก้อนแล้ว ในที่สุดเสิ่นหานก็พอใจ เขาล้างปากแล้วมุดกลับเข้าไปในที่นอน เริ่มพักผ่อนเพื่อพักฟื้นอย่างแน่วแน่

“พวกพี่เองก็ไปพักผ่อนเถอะ” ฟางเล่อจิ่งว่า “วันนี้ทุกคนเหนื่อยมากแล้ว”

“คืนนี้ให้ฉันดูแลหานหานไหม” เฝิงฉู่เอ่ย “นายยังต้องถ่ายหนัง ควรพักผ่อนให้เต็มที่”

“ไม่เป็นไร พี่เหนื่อยกว่าผมอีก” ฟางเล่อจิ่งยิ้ม “วางใจน่า ผมไม่เหนื่อยหรอก”

“งั้นถ้ามีอะไรก็เรียกฉันได้ตลอดนะ” เฝิงฉู่ตบไหล่เขา ก่อนหันหลังออกจากห้องไป

คงเพราะไม่สบายและเวียนหัว เสิ่นหานเลยไม่ได้เตะผ้าห่ม ถึงขนาดนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย เขาตะแคงขดตัวเป็นกุ้งแห้ง ดูบอบบางน่าเอ็นดู

ฟางเล่อจิ่งลองวัดอุณหภูมิจากหน้าผากเขาอีกครั้ง เมื่อแน่ใจว่าอุณหภูมิไม่เพิ่มขึ้นถึงกลับไปนั่งอ่านบทต่อบนเตียงข้างๆ ผ่านไปสักพัก หน้าจอมือถือสว่างวาบแจ้งเตือนว่ามีข้อความใหม่

[ออกมาคุยกันได้ไหมครับ]

เร็ก? ฟางเล่อจิ่งมึนงงเล็กน้อย เขาหันไปมองเสิ่นหาน เมื่อเห็นว่าไร้วี่แววที่อีกคนจะตื่นขึ้นมาเร็วๆ นี้ จึงคว้าเสื้อคลุมออกจากห้องไปเงียบๆ

“ไง” โรงแรมมีดาดฟ้าขนาดใหญ่ เร็กกำลังจิบชา หลังจากมองเห็นเขาก็ทักทายด้วยรอยยิ้ม

ฟางเล่อจิ่งนั่งลงตรงข้ามเขา “มีธุระกับผมเหรอครับ”

“เปล่าหรอก แค่อยากขอบคุณเรื่องเมื่อตอนกลางวันน่ะ” เร็กยื่นถ้วยชามาให้ ด้วยนิ้วมือที่ใหญ่และทรงพลัง ทำให้จอกบางเฉียบเหมือนจะถูกบีบให้แตกละเอียดในนาทีถัดมา

“ไม่เป็นไร ผมทำเพราะอยากช่วยหานหาน” ฟางเล่อจิ่งหัวเราะ “ยังมีอีกเรื่อง นี่มันจอกเหล้าครับ”

สีหน้าของเร็กดูงุนงงเล็กน้อย

“จอกหยกสะท้อนแสงแบบนี้ เขาเอาไว้ดื่มเหล้าน่ะ” ฟางเล่อจิ่งโคลงจอกในมือแล้วอธิบายอีกรอบ

เร็กหลุดหัวเราะ “ผมบอกโรงแรมว่าอยากได้มารับรองเพื่อนจากทางตะวันออก แล้วพวกเขาก็เอาสิ่งนี้มาให้”

“ขอบคุณ อย่างน้อยใบชาก็ไม่เลวเลย” ฟางเล่อจิ่งวางจอกลง หางตาเหลือบเห็นรอยสักรอบแขนของเขาเลยเอ่ยชม “ดูเท่มากเลยนะครับ”

“มีทั้งหมดเจ็ด” เร็กเลิกคิ้ว “ผมติดคุกมาเจ็ดปี เพิ่งออกมาเมื่อสามเดือนก่อน”

ฟางเล่อจิ่ง “…”

แค็กๆ

“ขอโทษที ดูเหมือนผมไม่ควรพูดเรื่องนี้” เร็กว่า “ทีแรกผมทำงานเป็นพนักงานยกของที่ร้านในเมืองแห่งหนึ่ง สุดท้ายผู้กำกับติดต่อผมมาและเสนอค่าตอบแทนให้อย่างงาม บอกผมว่ามาเป็นนักแสดงรับเชิญที่นี่ได้”

“ถือเป็นประสบการณ์พิเศษ” ฟางเล่อจิ่งยักไหล่ “อีกอย่าง คุณมีพรสวรรค์ และแสดงได้ดีมาก”

“แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น” เร็กหัวเราะลั่น “ไม่งั้นคงไม่ทำให้เพื่อนคุณบาดเจ็บหรอก”

เสิ่นตุ๊บป่องจามในความฝัน ก่อนกอดหมอนแล้วพลิกตัว

หยางซีหล่อจนฝันถึงไม่หวาดไม่ไหวเลย ไม่ใช่แค่อยากจูบแลกลิ้นอย่างเดียวนะ แต่อยากกอดด้วย ยุ่งเหยิงสุดๆ

เนื่องจากช่วงนี้ทุกคนต่างเหน็ดเหนื่อย ดังนั้นหลังจากถ่ายทำฉากนี้เสร็จ อันเซลเลยให้ทุกคนพักหนึ่งวัน แม้เป็นช่วงเวลาสั้นๆ แค่วันเดียว แต่ก็ถือเป็นสวัสดิการที่ไม่เลวเลย

 

แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา เสิ่นหานดันผ้านวมหนาๆ บนร่างออกแล้วลุกขึ้นนั่ง รู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย

ฟางเล่อจิ่งนอนบนเตียงอีกหลัง หลับพริ้มอย่างมีความสุข

เสิ่นหานครุ่นคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าต้องปลุกเขา…ถ้ายังหลับต่อละก็ จะหมดเวลาบุฟเฟต์อาหารเช้าของโรงแรม ตื่นขึ้นมาไม่มีอะไรกิน แบบนั้นมันโหดร้ายเกินไป

“ง่วง” ฟางเล่อจิ่งลืมตาอย่างงัวเงีย ก่อนยื่นมือไปแตะหน้าผากของอีกฝ่าย “ไม่มีไข้แล้วเหรอ”

“ฉันหายดีแล้ว” เสิ่นหานฉุดเขาขึ้นมา “ตื่นเร็วเข้า ไปกินอาหารเช้ากัน”

“นายไปกินเถอะ ฉันขอนอนต่ออีกหน่อย” ฟางเล่อจิ่งหาวหวอดในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง ดูไม่มีชีวิตชีวาเอาเสียเลย

ขอบตาดำคล้ำของเขาทำเอาเสิ่นหานช็อก “เมื่อคืนฉันกวนนายเหรอ”

“หือ?” ฟางเล่อจิ่งขยี้ตา “กวนอะไรฉัน เปล่าสักหน่อย”

“แล้วทำไมนายถึงหน้าเหมือนของขาดอย่างนี้ล่ะ” เสิ่นหานเอ่ยถาม

ฟางเล่อจิ่งสีหน้าแข็งทื่อ มองเขาด้วยสายตาหมดคำพูด

“อ๊ะ เอ้ย” เสิ่นตุ๊บป่องแก้คำพูดใหม่ทันท่วงที “ฉันหมายถึงนอนไม่พอน่ะ” อย่าสนใจรายละเอียดพวกนี้เลย แค่เข้าใจก็พอ

“เมื่อคืนฉันมัวแต่คุยดึกไปหน่อย” ฟางเล่อจิ่งล้มตัวกลับไปบนเตียง “กว่าจะกลับมาก็เกือบตีสี่”

“ว้าว” เสิ่นหานทอดถอนใจ “บอสนี่รักนายจริงๆ ไม่อยากเชื่อว่าจะคุยจนดึกดื่น” เสียงที่มาจากอีกฟากฝั่งของมหาสมุทร นี่มันพระเอกละครรักวัยรุ่นชัดๆ

ฟางเล่อจิ่งว่า “ฉันคุยกับเร็ก”

“กับใครนะ!” เสิ่นหานแคะหู คิดว่าตัวเองฟังผิดไปแน่ๆ

“เร็ก” ฟางเล่อจิ่งใช้ผ้าห่มคลุมโปง “นายไปกินอาหารเช้าเถอะ ไม่ต้องสนใจฉัน”

“เดี๋ยวก่อน นายคุยกับเร็กจนถึงตีสี่เนี่ยนะ” เสิ่นหานออกแรงฉุดเขาออกมาพร้อมเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ “พวกนายเพิ่งรู้จักกัน คุยอะไรกันนานขนาดนั้น”

“คุยเรื่องอดีตของเขา” ฟางเล่อจิ่งยังคงหาวไม่หยุด

สีหน้าของเสิ่นตุ๊บป่องดูซับซ้อนสุดๆ ปริมาณข้อมูลที่โถมเข้ามาทำให้เขาประมวลผลไม่ทันไปชั่วขณะ

“เห็นผีหรือไง” ฟางเล่อจิ่งโบกมือไปมาตรงหน้าเขา

“คุยทั้งคืนเนี่ยนะ” เสิ่นหานนั่งขัดสมาธิลงฝั่งตรงข้ามแล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “นายรู้ไหมว่าสถานการณ์นี้หมายความว่าอะไร”

ฟางเล่อจิ่งตอบ “ก็แค่คุยกันทั่วไป”

“งั้นฉันจะเอาเรื่องนี้ไปบอกบอส!” เสิ่นตุ๊บป่องล้วงมือถือออกมาเตรียมรายงานให้เห็นจะๆ

“นี่ๆๆ!” ฟางเล่อจิ่งแย่งมือถือจากเขา “เรื่องนี้มีอะไรต้องเล่าเป็นพิเศษล่ะ”

“คราวก่อนนายยังโทร.หาหยางซีแค่จะเล่าว่าฉันเขี่ยผักทิ้งตอนกินข้าวได้เลย” เสิ่นหานยอกย้อนอย่างมีน้ำหนักทันที “แค่ทิ้งผักใบเดียวยังเอาไปเล่าได้ เรื่องที่นายไปคุยกับหนุ่มล่ำทั้งคืนยิ่งไม่ต้องพูดถึง!” ร้ายแรงระดับสูงสุดเลยละ เข้าใจไหม

ฟางเล่อจิ่งถูกคำว่า ‘หนุ่มล่ำ’ สองคำแสกเข้าหน้า

“คราวหน้าคราวหลังอย่าเที่ยวไปคุยกับคนแปลกหน้าดึกดื่นตามอำเภอใจแบบนี้อีก” เสิ่นหานเตือนด้วยความหวังดี

ฟางเล่อจิ่งเอาหมอนปิดหน้า ไม่อยากเสวนากับเขาอีกต่อไป

สามนาทีให้หลังก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตูเบาๆ

“มาแล้วครับๆ” เสิ่นหานคิดว่าเป็นอู๋เฟย อู๋เจี้ยน ไม่ก็เฝิงฉู่ เลยวิ่งไปเปิดประตูในสภาพคาบแปรงสีฟันไว้ หลังจากเปิดประตูก็ต้องตะลึง “เร็ก?”

“ไม่เห็นพวกคุณที่ห้องอาหารเลยแวะมาดู” เร็กทักอย่างมีมารยาท “วันนี้คุณรู้สึกยังไงบ้าง”

เสิ่นหานตอบ “วันนี้ผมรู้สึกดีสุดๆ เลย”

“เร็ก?” ฟางเล่อจิ่งได้ยินความเคลื่อนไหวเลยเดินออกมา “อรุณสวัสดิ์ครับ”

“อรุณสวัสดิ์” เร็กก้าวยาวๆ เข้ามาด้านใน

เสิ่นหานยืนจังงังอ้าปากค้างอยู่หน้าประตู ทำไมถึงเข้ามาล่ะ ฉันยังไม่ได้เชิญนายสักหน่อย!

“ไม่สบายเหรอ” เร็กนิ่วหน้าเล็กน้อย “คุณดูเพลียๆ”

“…ผมไม่เป็นไร” ฟางเล่อจิ่งเหลือบมองเสิ่นหานด้วยหางตา

เสิ่นตุ๊บป่องได้สติทันที เขาถือแปรงสีฟันมายืนข้างฟางเล่อจิ่ง พร้อมจัดการทุกเมื่อ!

“อยากให้ผมช่วยสั่งมื้อเช้าให้พวกคุณไหม” เร็กไม่ได้เดินหน้าต่อ

“ไม่ต้องหรอก” เสิ่นหานเอ่ยอย่างจริงจัง “เรากะจะออกไปกินข้างนอกกัน”

เร็กไม่ได้มองมาทางเขาเลย เอาแต่ถามฟางเล่อจิ่ง “แถวนี้มีร้านพิซซ่าอร่อยๆ อยู่เจ้าหนึ่ง”

เสิ่นตุ๊บป่องประท้วงในใจ อิตาลีก็มีพิซซ่าแสนอร่อยเต็มสองข้างทางนั่นแหละ!

“ขอบคุณ” ฟางเล่อจิ่งเอ่ย “แต่วันนี้ผมมีธุระส่วนตัวนิดหน่อย คงจะยุ่งมาก”

เร็กได้ยินดังนั้นก็ยิ้มและไม่ได้คะยั้นคะยอไปมากกว่านั้น

หลังมองส่งเขาออกจากห้องไป เสิ่นหานก็ค่อยๆ ย่องไปล็อกกลอนแล้วคล้องโซ่ จากนั้นรีบหันมามองฟางเล่อจิ่งด้วยสายตาทำนองว่า ‘เป็นไง บอกแล้วใช่ไหมว่าเขาต้องวางแผนทำมิดีมิร้ายแน่ เกือบจบเห่แล้ว มาเฟียหนุ่มล่ำรอยสักเต็มตัวสูงสองเมตร เราสู้เขาไม่ได้แน่ๆ นายเกือบถูกฉุดไปเป็นเมียหัวหน้าแก๊งแล้วนะ ไม่มีอะไรชอกช้ำไปกว่านี้อีกแล้ว จะไม่เรียกให้บอสมาช่วยจริงๆ เหรอ’

ฟางเล่อจิ่ง “…”

ฟางเล่อจิ่ง “…”

ฟางเล่อจิ่ง “…”

“เล่อเล่อ!” เสิ่นหานขยับเข้าไปใกล้เขาบนโซฟา

ฟางเล่อจิ่งเอ่ยอย่างใจเย็น “เราคิดมากไปเองหรือเปล่า”

“ไม่เลยสักนิด” เสิ่นหานว่า “ต้องเรียกฟิลลิปส์มาไหม”

“เรียกเขามาทำไม” ฟางเล่อจิ่งขมวดคิ้ว “ผู้กำกับรำคาญเขา กว่าจะหาเรื่องไล่เขาได้ไม่ใช่ง่ายๆ” ยังไม่ทันพ้นสองวัน ถ้าเรียกกลับมาอีก กองถ่ายได้อลหม่านอีกแน่ บางทีผู้กำกับอาจจะอกแตกตายเลยก็ได้

“บอสเคยบอกไว้ว่าถ้ามีปัญหาอะไรให้เรียกหาออกัสตินได้ตลอด” เสิ่นหานว่า “โทร.หาเขาดีไหม”

“แค่เพราะเร็กชวนเราไปกินมื้อเช้าเนี่ยนะ” ฟางเล่อจิ่งเบิกตากว้าง

“ไม่ใช่เรา นายคนเดียว” เสิ่นหานรีบเคลียร์ตัวเอง “ไม่เกี่ยวกับฉัน ฉันเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้คุยกับเจ้าล่ำนั่นทั้งคืนสักหน่อย”

ฟางเล่อจิ่งใช้หมอนอิงฟาดหัวเขา

“โอ๊ย” เสิ่นตุ๊บป่องที่เพิ่งหายไข้มึนไปเล็กน้อย

“เอาละ ลืมเรื่องนี้ไปซะ” ฟางเล่อจิ่งดึงแก้มของเขาด้วยสองมือ

“ฉันลืมแล้วมีประโยชน์อะไร นายต้องทำให้เร็กลืมต่างหาก” เสิ่นหานถูกดึงจนใบหน้าบิดเบี้ยวเลยพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง

“อาจแค่เข้าใจผิดก็ได้” ฟางเล่อจิ่งว่า “ในกองมีสาวเซ็กซี่ตั้งเยอะขนาดนั้น”

“แต่เขาไม่ได้ชวนสาวเซ็กซี่ไปกินข้าวสักหน่อย” เสิ่นหานไหวพริบเป็นเลิศ “เมื่อวานโคโค่ใส่กระโปรงสั้นจู๋ยังไม่เห็นจะอ่อยสำเร็จเลย”

ฟางเล่อจิ่งชะงักไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยอีกครั้ง “ไม่งั้นคงเพราะฉันสอนการแสดงให้เขาละมั้ง”

“แล้วทำไมเขาไม่ไปหาผู้กำกับโดยตรงเลยล่ะ” เสิ่นหานถามกลับ “อีกอย่าง เมื่อวานฉันเป็นคนถูกเขาต่อยจนเลือดพุ่งด้วย!” ยังไม่เห็นชวนไปกินพิซซ่าแสนอร่อยเป็นมื้อเช้าด้วยเลย!

ฟางเล่อจิ่ง “…”

เสิ่นหานสบตาเขาอย่างจริงจัง

นาทีถัดมา ฟางเล่อจิ่งเป็นฝ่ายยอมแพ้ “โอเค ฉันก็รู้สึกว่าสายตาเขาดูแปลกๆ ต่อไปเราจะทำยังไง” เมื่อคืนเขายังคิดว่าไม่มีอะไร เช้านี้ไม่รู้ว่าเพราะเสิ่นหานพูดเตือนหรือด้วยเหตุผลอย่างอื่น เขาถึงรู้สึกว่าเร็กดูกระตือรือร้นไปหน่อย

“งั้นนายบอกว่าตัวเองกำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ไหมล่ะ” เสิ่นตุ๊บป่องเปล่งวาจาชวนทึ่งอย่างไม่ทำให้ผิดหวัง

“หา?” ฟางเล่อจิ่งตะลึงงัน

พลังมโนพิสดารขั้นเทพ

“นายมาจากประเทศเก่าแก่ลึกลับที่มีอารยธรรมยาวนานกว่าห้าพันปีเลยนะ” เสิ่นหานว่า “เพราะนายอยากเข้าถึงนิพพานเลยมีความรักไม่ได้ ถึงยังไงเขาก็ฟังไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว” ก็คนโดนอำเป็นชาวต่างชาตินี่นา

คำตอบของเขาทำเอาฟางเล่อจิ่งเหมือนถูกฟ้าผ่าจนมึนไปหมด

“ต้องทำยาอายุวัฒนะสักหน่อยไหม” เสิ่นหานถามต่อ “จะยังไงก็กินต่อหน้าเขาสักเม็ด” เท่ระเบิดไปเลย เราจะกลายเป็นเทพเซียน!

“นายหุบปากดีกว่านะ” ฟางเล่อจิ่งปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย

“แล้วจะทำยังไง ถ้าเขาชอบนายจริงๆ ปฏิเสธไปก็ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายก็บอกเขาไม่ได้อยู่ดีว่านายคบกับบอสอยู่” เสิ่นหานวิเคราะห์อย่างจริงจัง อีกอย่างบอสไม่มีทางต่อยชนะเขาแน่

เสียงหึ่งๆ ดังวนในหัวฟางเล่อจิ่ง ทำไมถึงเกิดเรื่องพรรค์นี้ได้

“ต้องบอกเฝิงฉู่ไหม” เสิ่นหานถาม

“ห้ามเด็ดขาด!” ฟางเล่อจิ่งกอดหมอนอิงลุกขึ้นนั่ง “ไม่ต้องบอกใครทั้งนั้น” ไม่ว่าบอกเฝิงฉู่ ฟิลลิปส์ หรือออกัสติน สุดท้ายต้องรู้ถึงหูเหยียนข่ายแน่

จินตนาการไม่ออกเลย

“งั้นตอนนี้จะทำยังไง” เสิ่นหานมองเขา

“เขายังไม่ได้ทำอะไรนี่ ก็ปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปก่อนแล้วกัน” ฟางเล่อจิ่งตอบ “ค่อยว่ากันทีหลัง”

“ก็ได้ นายตัดสินใจเอง” เสิ่นหานติดกระดุมให้เขาเรียบร้อย “แต่ระวังไว้หน่อยดีกว่า”

ฟางเล่อจิ่งพยักหน้า ก่อนสวมรองเท้าแตะแล้วไปล้างหน้าล้างตา

“พี่” เสิ่นหานต่อสายกลับประเทศอย่างรวดเร็ว

“มีอะไร” หลัวลี่ถาม

เสิ่นตุ๊บป่องเอ่ยปาก “ผมมีเรื่องอยากขอร้องพี่”

แค่ได้ยิน หลัวลี่ก็ปวดหัว “เรื่องผู้จัดการคนก่อนของนายอีกแล้วเหรอ ตอนนี้เขาร่วมมือกับคุณจาน ต้าเหยียนกรุ๊ปค่อยๆ รอดพ้นปัญหาแล้ว น่าจะคลี่คลายได้ในอีกไม่ช้า”

“จริงเหรอ” เสิ่นหานได้ยินก็อึ้งไป คลี่คลาย แปลว่า…หยางซีจะได้กลับมาก่อนกำหนด?!

“คุณจานเส้นสายแข็งแกร่งมาก” หลัวลี่ว่า “นานวันเข้าก็ยิ่งมีคนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ อีกไม่นาน ฉันเองก็จะถอนตัวแล้ว ถึงยังไงเราก็ไม่ได้มีส่วนอะไรด้วย ขืนยุ่งต่อไป วันหน้าคงถอยไม่ได้แล้ว”

 

 

[1] กระดานที่ใช้เขียนข้อมูลไว้โชว์ให้กล้องบันทึกในการถ่ายทำภาพยนตร์

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า