[ทดลองอ่าน] บันทึก (ไม่ลับ) ฉบับซูเปอร์สตาร์ ตอนที่ 78

巨星手记
บันทึก (ไม่ลับ) ฉบับซูเปอร์สตาร์

 

อวี่เซี่ยวหลานซาน เขียน
ธมน แปล
get-sem วาด

 

— โปรย —

หลังจาก ฟางเล่อจิ่ง มีผลงานการแสดงหลายเรื่อง
เขาก็ได้รับเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในเทศกาลภาพยนตร์จีน
ฟางเล่อจิ่ง เองก็ตั้งเป้าหมายจะคว้ารางวัลนี้เช่นกัน
เพื่อลดคำครหาของผู้คนยามที่เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ เหยียนข่าย
แต่เขาดันต้องเผชิญกับดาราอาวุโสที่เป็นตัวเต็งอีกคน
แล้วเขาจะคว้ารางวัลนี้และเปิดเผยความสัมพันธ์ของเขากับ เหยียนข่าย ได้อย่างราบรื่นหรือไม่

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

78 ถ่ายทำในคืนฝนตก!

จะมีอะไรน่าดึงดูดไปกว่าซาชิมิ!

 

“อันตรายมากเหรอ” เสิ่นหานค่อนข้างกังวล ทำไมฟังดูร้ายแรงขนาดนี้

“ไม่ถึงกับอันตรายหรอก แต่มันค่อนข้างซับซ้อนจริงๆ ยากที่คนนอกจะเข้าไปจัดการ” หลัวลี่เอ่ย “ถ้ามีคุณจานอยู่ ต้าเหยียนกรุ๊ปคงดีขึ้นมาก ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่”

“ตอนนี้แทมเบอร์ช่วยหยางซีแบบเปิดเผยหรือเปล่า” เสิ่นหานถามอย่างอยากรู้

“เปล่า” หลัวลี่ตอบ “เรื่องทั้งหมดเป็นไปอย่างลับๆ อีกฝ่ายเหมือนไม่คิดจะเผยตัว”

เสิ่นหานได้ยินก็สงสัย “แล้วพี่รู้ได้ยังไง”

หลัวลี่ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนตอบ “ผู้จัดการของนายเป็นคนมาหาฉันเอง”

“หา?” เสิ่นตุ๊บป่องได้ยินก็อึ้งไป ก่อนทักท้วงทันควัน “ผมเคยบอกให้พี่เก็บเป็นความลับไม่ใช่เหรอ” ไม่คิดเลยว่าจะถูกหยางซีรู้เข้า เรื่องเล็กๆ แค่นี้ยังทำให้ดีไม่ได้ เสียชื่อพลเมืองดีผู้เคารพกฎหมายชะมัด!

“ฉันเก็บเป็นความลับนะ” หลัวลี่ยืนยันความบริสุทธิ์

“แล้วทำไมเขาถึงไปหาพี่!” เสิ่นหานท่าทางซีเรียส เก็บความลับไม่ได้เรื่อง น่าฟ้องคุณป้ากับคุณน้าให้พี่โดนบ่นสักสามเดือนจริงๆ

“นายให้ฉันช่วยเขา ไม่ได้ให้ฉันคอยดูอย่างเดียวสักหน่อย” หลัวลี่เคาะปลายบุหรี่ “ในเมื่อต้องลงมือ เป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะไม่รู้สึกตัว ฉันไม่ได้มีพลังวิเศษ แล้วเขาก็ไม่ได้โง่”

ไม่โง่อยู่แล้ว ไม่ใช่แค่ไม่โง่ ยังฉลาดมากด้วย เป็นถึงผู้ชายของฉันเลยนะ! เสิ่นตุ๊บป่องลูบจมูก “แล้วเขาโกรธหรือเปล่า”

หลัวลี่งุนงง “ทำไมเขาต้องโกรธ”

เสิ่นหานคิดในใจ เพราะผมไม่ได้บอกเขาน่ะสิ ถูกปิดบังแบบนี้ จะโกรธก็ไม่แปลก

“เขาแค่ขอบคุณฉัน แล้วบอกว่าต่อจากนี้จะร่วมมือกับคุณจาน” หลัวลี่เล่า “ฉันเองจะได้วางมืออย่างสบายใจ” ถึงอย่างไรก็ดูไม่มีเหตุผลให้ยื่นมือเข้าไปยุ่งอีก

ค่อยยังชั่วที่ไม่โกรธ…เสิ่นหานนั่งโยกตัวไปมาบนเก้าอี้ “ขอบคุณมากครับพี่”

“มีเรื่องอื่นอีกไหม” หลัวลี่ถาม

“ไม่มีแล้ว” เสิ่นหานส่ายหัวพลันนึกขึ้นได้ “มีๆๆ!”

หลัวลี่เหนื่อยใจ “ตกลงมีหรือไม่มี” ทำไมถึงได้ป้ำๆ เป๋อๆ ตั้งแต่เด็กจนโตแบบนี้

“มี” เสิ่นหานปิดประตูระเบียง ก่อนกระซิบ “พี่รู้จักเร็กไหม”

“ไม่รู้จัก” หลัวลี่ตอบ “เร็กเป็นใคร เพิ่งเจอเหรอ”

“พี่จะไม่รู้จักได้ยังไง เขาเป็นพวกมาเฟียที่ซิซิลี หน้าตาน่ากลัวสุดๆ แถมมีรอยแผลเป็นบนหน้าด้วย เจ็ดปีก่อนเขาถูกตำรวจจับเข้าคุก เพิ่งได้ออกมา” เสิ่นหานเล่าอย่างมีความหวัง “ผมเล่าละเอียดขนาดนี้ พี่น่าจะรู้จักเขาใช่ไหม”

หลัวลี่กัดฟันตอบ “แล้วทำไมฉันถึง ‘น่าจะ’ รู้จักเขา”

“เพราะเขาเหมือนพี่ไง” เสิ่นหานตอบโดยไม่ต้องคิด แต่พอพูดไปแล้วกลับรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง เขาต้องถูกพี่ชายเล่นงานแน่ เลยเอ่ยขึ้นอีกอย่างมีชั้นเชิง “เป็นพลเมืองดีที่เคารพกฎหมายเหมือนกันไง แถมยังตัวสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลาอย่างกับนายแบบชื่อดังระดับโลกเหมือนกันด้วย” ความสามารถในการประจบเป็นเลิศ

หลัวลี่เอ่ยเสียงเย็น “เลิกอ้อมค้อม ไม่งั้นฉันจะวางแล้ว” โหดร้ายเหมือนเคย

เสิ่นหานจำต้องหยุดเยินยอพี่ชายไว้ชั่วคราวก่อนเล่า “ผู้กำกับเชิญมาเฟียคนหนึ่งมาเป็นตัวประกอบ ฉันรู้สึกเหมือนเขาจะชอบเล่อเล่อ”

หลัวลี่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนสูดลมหายใจเข้าลึก “นายยุ่งกับเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ” จุกจิกได้มากกว่านี้อีกไหม เขาไม่ได้มาชอบนายสักหน่อย

“ฉันต้องยุ่งอยู่แล้วสิ” เสิ่นหานท่าทางจริงจัง “ถ้าเขาลักพาตัวเล่อเล่อขึ้นมาจะทำยังไง” ผลที่ตามมามันร้ายแรงนะ

“แล้ว?” หลัวลี่สะกดอารมณ์ พยายามทำตัวให้อ่อนโยนที่สุด…เพราะภรรยาของเขานั่งถักผ้าพันคออยู่ฝั่งตรงข้าม จะแสดงท่าทีโหดเหี้ยมเกินไปไม่ได้

ไดแอนเปลี่ยนสีไหมพรมก่อนถักผ้าพันคอให้เขาต่อ

“ไม่งั้นพี่ช่วยหาบอดี้การ์ดให้สักคนได้ไหม” เสิ่นหานเสนอ

“อู๋เฟยกับอู๋เจี้ยนก็อยู่” หลัวลี่ว่า “นายให้ดูแลเขาสักคนก็ได้”

“เหรอ” เสิ่นหานตอบ “แต่ฉันอยากได้ที่ดูน่ากลัวหน่อย สูงสักสองเมตรครึ่ง กล้ามแน่นจนเสื้อปริแบบนั้นน่ะ” เวลายืนแล้วเหมือนเป็นป้อมปราการทะมึนที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยสุดๆ

หลัวลี่วางสายไปอย่างสุดจะทน

เสิ่นหาน “…”

ไร้เยื่อใยความเป็นพี่น้องจริงๆ

คุณป้าต้องเก็บพี่มาเลี้ยงแน่ๆ

“หานหานเป็นยังไงบ้าง” คงเห็นท่าทีแปลกประหลาดของอีกคน ไดแอนจึงถามด้วยความสงสัย

“ไม่มีอะไร” หลัวลี่นั่งลงข้างๆ เขา “แค่คิดว่าเขาซื่อบื้อไปหน่อย”

ไดแอน “…”

วางสายทีไรก็พูดประโยคนี้ตลอด คราวหน้าลองเปลี่ยนคำพูดบ้างก็ได้นะ

 

เนื่องจากเร็กเป็นเพียงตัวประกอบเลยไม่มีบทบาทนัก และถ่ายเสร็จสิ้นเกือบทั้งหมดในหนึ่งสัปดาห์ให้หลัง หลังซีนสุดท้าย อันเซลตบบ่าเขา “เยี่ยมมาก บางทีนายน่าจะลองเก็บไปคิดเรื่องอยู่วงการนี้ดูนะ อาจจะไปได้สวยก็ได้”

“ขอบคุณครับ” เร็กยิ้ม “เหมือนที่คุณพูดไว้ตอนแรก นี่เป็นประสบการณ์ที่ยากจะลืม และสนุกมากด้วย”

“หลังจากนี้จะไปที่ไหน” อันเซลถามเขา “ถ้านายไม่อยากกลับไปเป็นพนักงานยกของในชุมชนอีก ฉันช่วยแนะนำงานใหม่ให้นาย แล้วหาโอกาสแสดงหนังต่อได้นะ”

“ผมอยากพักสักระยะ” เร็กเอ่ย “ที่หมู่บ้านแห่งนี้แหละครับ ผมมีเพื่อนอยู่ที่นี่พอดี”

“ก็ดีเหมือนกัน” อันเซลเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ยินดีต้อนรับกลับกองถ่ายเสมอนะ เรายังต้องอยู่ที่นี่อีกสักระยะ ถึงย้ายไปถ่ายที่อื่น”

เร็กพยักหน้า ก่อนจะชนกระป๋องเบียร์ที่อยู่ในมือกับอีกฝ่าย

เสิ่นหานวิ่งกลับไปอยู่ข้างๆ ฟางเล่อจิ่งอย่างลับๆ ล่อๆ ทำหน้าเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราว

ฉันไม่ได้คิดจะแอบฟังจริงๆ นะ

“เป็นอะไรไป” ฟางเล่อจิ่งยัดบราวนีที่เหลือครึ่งก้อนใส่ปากเขา

“ฉันเพิ่งได้ยินผู้กำกับคุยกับเร็ก” เสิ่นหานแก้มตุ่ยเหมือนหนูแฮมสเตอร์ ดูกินอย่างเอร็ดอร่อย “เหมือนเขาจะอยากอยู่ต่อ”

“อยู่ต่อ?” ฟางเล่อจิ่งไม่เข้าใจ “เขาถ่ายหมดทุกซีนแล้ว จะอยู่ต่อทำอะไร”

เสิ่นหานมองเขาด้วยสายตายากจะคาดเดา

นายคิดว่าไงล่ะ

ฟางเล่อจิ่งสีหน้าแข็งทื่อ

อ้อ

“ต่อไปนายไปไหนต้องพาฉันไปด้วย” เสิ่นหานกำชับ ท่าทางมาดแมนสมชายสุดๆ

ฟางเล่อจิ่งหยิบเศษถั่วออกจากมุมปากเขา ก่อนทุบไปทีอย่างอดไม่ไหว

เจ้าคนกากสกิลการต่อสู้ติดลบเอ๊ย

“ฉันกลับมาแล้ว!” ครู่ถัดมา รถสปอร์ตสีแดงคันหนึ่งก็แล่นมาจอดที่กองถ่าย ฟิลลิปส์วิ่งลงมาอย่างดีอกดีใจ เสื้อลายดอก หมวกฟางปีกกว้าง พร้อมด้วยแว่นกันแดดกรอบสีขาวที่ดูโอเวอร์ แถมคล้องพวงดอกไม้หลากสีสันไว้บนคอ แผ่ออร่าแฟชั่นริมทะเลสุดๆ

เสิ่นหานถึงกับตะลึง “ถ้าจำไม่ผิด ผู้กำกับให้เขาไปมิลานไม่ใช่เหรอ” ทำไมเหมือนเพิ่งกลับจากฮาวายอย่างไรอย่างนั้น

“ลุคใหม่ เป็นไง” ฟิลลิปส์พิงประตูรถพร้อมโพสท่า “ฉันรู้จักสาวเซ็กซี่คนหนึ่งที่มิลาน เธอเป็นดีไซเนอร์เสื้อผ้าจากเกาะลึกลับ”

เมื่อเห็นแว่นกรอบหนาสีขาวของเขา ทำเอาคนเงียบกริบไปทั้งแถบ ก่อนแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง

ตกใจแทบบ้า

“Hi!” เมื่อไม่ได้รับเสียงกรี๊ดตามที่คาดหวังไว้ ฟิลลิปส์ก็ไม่สบอารมณ์อย่างมาก เลยเดินไปหาอันเซลด้วยความลิงโลด “คุณว่า…โอ้ว ชิท!”

กล้วยครึ่งลูกถูกเหยียบจนเละ ร่างของฟิลลิปส์ลอยขึ้นก่อนพุ่งตรงเข้าไปในอ้อมแขนของเร็ก

รองเท้าแตะลอยหวือจากฟากฟ้าจนเกือบกระแทกเข้ากับศีรษะของอันเซล

เร็กวางเขาลงบนพื้นด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์

ฟิลลิปส์ที่เท้าเปล่าเปลือยยังคงไม่หายตกใจ

เสิ่นหานเก็บรองเท้าแตะขึ้นมาเงียบๆ แล้วเอาไปวางข้างๆ เท้าของเขา

“ขอบคุณครับ” ฟิลลิปส์เอ่ย

“ไม่เป็นไร” เสิ่นหานว่าจบถึงพบว่าคนที่อีกฝ่ายเอ่ยขอบคุณเหมือนจะไม่ใช่ตัวเอง

ฟิลลิปส์ยิ้มกว้าง มองเร็กด้วยสีหน้าเปล่งประกาย

“ไม่เป็นไร” เร็กหันหลัง ก้าวยาวๆ ออกจากกองถ่ายไป

ฟิลลิปส์ตามไปโดยไม่ลังเล ดูอารมณ์ดีสุดๆ “ขออนุญาตแนะนำตัวเองหน่อยนะ”

ทำเอาเสิ่นหานต้องมองอีกฝ่ายใหม่

แล้วสาวเซ็กซี่ที่เล่าไว้ล่ะ

“การถ่ายทำวันนี้พอแค่นี้แหละ” อันเซลเองขี้เกียจสนใจเขา “พยากรณ์อากาศบอกว่าเร็วๆ นี้อากาศจะเย็นลง ทุกคนระวังเป็นหวัดด้วย”

 

เวลาล่วงเลยมาถึงช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ต้นฤดูหนาว เดิมทีอุณหภูมิก็ไม่ได้สูงอยู่แล้ว ตกกลางคืนยิ่งหนาว ทีแรกอันเซลอยากจะเลื่อนมาถ่ายฉากที่ฟางเล่อจิ่งต้องตากฝนก่อน แต่แคทเธอรีนที่เล่นคู่กับเขายังปรับตารางเวลาไม่ได้ เลยทำได้แค่เลื่อนออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า

กระแสลมหนาวมาเยือนตามเวลา บนพื้นมีชั้นสีขาวเพิ่มขึ้นมาแทบจะในชั่วข้ามคืน เฝิงฉู่ทำน้ำขิงหวานแจกจ่ายให้ทุกคนในกอง

“ฉันขอสองแก้ว” เสิ่นตุ๊บป่องเรียกร้อง

ฟางเล่อจิ่งยื่นแก้วของตัวเองให้เขาทันที…ทั้งเผ็ด ทั้งหวาน เลี่ยนจะแย่ กลัวว่าจะกินไม่หมดพอดี

“ไม่ได้ นายต้องดื่มให้หมด” เสิ่นหานว่า “พรุ่งนี้แคทเธอรีนจะเข้ากอง เธอมีเวลาแค่สองวัน ถึงอากาศจะหนาวแค่ไหนก็ต้องถ่ายให้จบ”

“ฉันแข็งแรงดี” ฟางเล่อจิ่งว่า

“ถึงแข็งแรงก็ไม่ได้” เสิ่นหานจับตาดูเขา “รีบดื่มให้หมด นายเองก็ต้องดื่มสองแก้วเหมือนกัน”

ฟางเล่อจิ่งจำใจกระดกรวดเดียวแล้วห่อตัวด้วยผ้าห่มพร้อมอ่านบทต่อ

 

ในเรื่อง แคทเธอรีนรับบทเป็นหญิงคนรักของคนใหญ่คนโต บุคลิกเป็นคนทั้งดีทั้งร้าย มีเส้นสายไม่น้อยทั้งฝั่งดีและเลว ส่วนฟางเล่อจิ่งรับบทเป็นแองเจโลที่พบอุปสรรคระหว่างสืบหาความจริงแทนน้องชาย และต้องได้รับความช่วยเหลือจากเธอ ตัวตนและสถานะของทั้งคู่แตกต่างกันเกินไป ทำให้ไม่อาจเจอกันแบบปกติได้ ดังนั้นฉากแรกที่เข้าคู่กันคือวินเซอร์ซึ่งรับบทโดยแคทเธอรีนเดินออกมาจากร้านอัญมณี กำลังจะก้าวขึ้นรถภายใต้การคุ้มกันของบอดี้การ์ด ในตอนนั้นเอง ฟางเล่อจิ่งก็พรวดพราดออกมาจากมุมอับ เกิดเป็นเรื่องราวความขัดแย้งในเวลาถัดมา

เพื่อขับให้โทนภาพยนตร์มืดหม่นยิ่งขึ้น รวมถึงให้สอดคล้องกับฤดูกาลที่วางไว้ ฉากนี้เลยจำเป็นต้องเกิดขึ้นท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ รถน้ำถูกจัดเตรียมไว้ ฟิลลิปส์ที่ห่อตัวด้วยเสื้อโค้ตกระโดดลงมาจากห้องคนขับ

“ฝากด้วย” อันเซลพอใจกับประสิทธิภาพการทำงานของเขา

“ไม่เป็นไร” ฟิลลิปส์ดึงกระดาษทิชชูออกมาสั่งน้ำมูกเสียงดัง

อันเซลถอยห่างจากเขาด้วยท่าทีเรียบเฉย

“คุณแน่ใจนะว่าต้องการฝนเทียม” ฟิลลิปส์อดไม่ไหวจริงๆ เลยถามออกไปอีกครั้ง “หนาวขนาดนี้ แถมผมรู้สึกว่ามันไม่จำเป็นขนาดนั้น” หากทำเล่อเล่อหนาวจนป่วยละก็ ได้ถูกใครบางคนจับเชือดแน่

“เธอคิดว่าไม่จำเป็นเพราะเธอไม่ใช่ผู้กำกับ” อันเซลพูดตรงสุดๆ

ฟิลลิปส์เถียงในใจ คุณคิดว่าจำเป็น เพราะคุณไม่ใช่นักแสดงไงเล่า

ตากฝนในสภาพอากาศแบบนี้ จะแช่แข็งจนไม่สบายเข้าจริงๆ หรือเปล่า

“ช่วงนี้เธอไปหาเร็กบ่อยเหรอ” ผู้กำกับมองเขา

ฟิลลิปส์รีบพยักหน้าหงึกหงัก ดูท่าทางมีความสุขมาก “เมื่อคืนเรากินมื้อค่ำด้วยกันด้วย” แม้จะห่างกันค่อนข้างไกล แต่ถึงอย่างไรก็เป็นร้านฟาสต์ฟู้ดร้านเดียวกัน

อันเซลเริ่มครุ่นคิดว่าต้องหาข้ออ้างให้ออกัสตินมาเอาตัวเขากลับไปไหม

 

“มา อ้าปาก กินยา” เสิ่นหานถือแก้วน้ำแล้วทอดถอนใจ ชีวิตที่เอาแน่เอานอนไม่ได้แบบนี้มันช่าง…

ฟางเล่อจิ่งดื่มยาชงแก้หวัด “นายจะไปที่กองหรือเปล่า”

“ต้องไปสิ” เสิ่นหานรับแก้วมาจากมืออีกฝ่าย

“วันนี้ไม่มีซีนของนายนี่ ข้างนอกมันหนาว” ฟางเล่อจิ่งเอ่ย “อยู่โรงแรมดีกว่า”

“ไม่ได้ๆ” เสิ่นหานยืนกราน “ฉันต้องไป นานๆ ทีจะมีโอกาส”

“โอกาสอะไร” ฟางเล่อจิ่งงุนงง

เผลอหลุดปากจนได้ เสิ่นหานทำหน้าไร้เดียงสา “ฉันหมายถึง โอกาสเรียนรู้จากนายไง” คำตอบดูเป็นงานเป็นการตามแบบฉบับ

ฟางเล่อจิ่งนั่งยองๆ จัดกระเป๋าอยู่ด้านหนึ่ง “จะมีงานเลี้ยงบุฟเฟต์ที่โรงแรมตอนหนึ่งทุ่ม เชฟมิชลินทำซาชิมิชั้นยอดและหอยเม่นด้วยตัวเองเลยนะ นายแน่ใจเหรอว่าจะไปกองถ่ายกับฉัน”

เสิ่นหานได้ยินก็ตาโต “มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ”

“มีสิ” ฟางเล่อจิ่งบอก “มีบอกไว้บนใบปลิวของห้องอาหาร”

เสิ่นหานตกสู่สถานการณ์สับสน ซาชิมิชั้นยอดกับหอยเม่น

อยากกินจัง

“ฉันไปละ” ฟางเล่อจิ่งถือกระเป๋าแล้วลุกขึ้นยืน

“…รอฉันเดี๋ยว!” เสิ่นหานเปลี่ยนรองเท้า

“นายแน่ใจนะว่าจะไม่ไปกิน” ฟางเล่อจิ่งแปลกใจมาก ผิดกับนิสัยปกติโดยสิ้นเชิงเลยแฮะ เขาควรจะกระโดดโลดเต้นไปห้องอาหารไม่ใช่หรือไง

เสิ่นหานเม้มปากแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้าโศก “ไม่กิน!”

ฟางเล่อจิ่งแตะหน้าผากอีกฝ่ายเพื่อวัดอุณหภูมิ

“พอๆ รีบไป” เสิ่นหานดันเขาแล้วเดินออกนอกห้องไป รีบถ่ายให้เสร็จ บางทีอาจกลับมาทันช่วงท้ายของงานเลี้ยงก็ได้

ทีมงานในกองถ่ายมาถึงกันเกือบครบแล้ว และเคลียร์พื้นที่โดยรอบเรียบร้อย แคทเธอรีนกำลังแต่งหน้า มีเสื้อโค้ตขนเป็ดตัวหนาห่อหุ้มบนตัว หลังจากเห็นทั้งสองเดินเข้ามาก็เอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้มบาง “Hi!”

“Hi” เสิ่นหานตอบ “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”

“ช่วงนี้ฉันยุ่งมากเลย” แคทเธอรีนเงยหน้าเล็กน้อยให้ช่างแต่งหน้าเติมอายแชโดว์ เนื่องจากต้องเล่นเป็นนายหญิงของเจ้าพ่อแห่งศตวรรษ การแต่งหน้าของเธอในครั้งนี้จึงทั้งงามชดช้อยและดูสูงศักดิ์

เทียบกับเสื้อผ้าหน้าผมของเธอแล้ว ของฟางเล่อจิ่งดูเรียบง่ายกว่ามาก มีฉากหนึ่งที่เขาต้องถูกบอดี้การ์ดกระทืบในโคลน ดังนั้นกองถ่ายจึงเตรียมเสื้อเชิ้ตสีขาวไว้สองโหลเต็มๆ เผื่อต้องถ่ายทำใหม่

เสิ่นหานเปรย “ถ้าบอสเห็นต้องสงสารจับใจแน่”

ฟางเล่อจิ่งสำลัก

แม้ว่าที่นี่ไม่มีใครฟังภาษาจีนออก แต่นายช่วยอย่าพูดโต้งๆ แบบนี้ได้ไหม

หลังแต่งหน้าทำผมเรียบร้อย ท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืดลง ภายในร้านอัญมณีสว่างไสว หลังจากผู้กำกับบรีฟฉากนี้เสร็จก็เอ่ยถาม “ยังติดตรงไหนไหม”

“ไม่แล้วครับ” ฟางเล่อจิ่งส่ายหน้าก่อนเหลือบมองแคทเธอรีนแวบหนึ่ง…เมื่อเทียบกับนางแบบชื่อดังที่ดูเลิศเลอเพอร์เฟ็กต์บนเครื่องบินคนนั้นแล้ว ตอนนี้เธอดูเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้น แม้แค่นั่งเฉยๆ แต่เธอกลับแสดงท่าทีได้งามสง่าสมบูรณ์แบบตามที่ผู้กำกับต้องการ

“ยินดีที่ได้ร่วมงานนะ” แคทเธอรีนยิ้มบางพร้อมจับมือกับเขา “ฉันไม่ได้ถ่ายหนังมานานแล้ว หวังว่าจะไม่เกิดความผิดพลาด”

ฟางเล่อจิ่งเองก็ยิ้ม “ยินดีที่ได้ร่วมงานครับ”

“แอ็กชัน!”

“มิสวินเซอร์ที่เคารพ ครั้งหน้าเชิญที่ร้านของเราอีกนะครับ” พนักงานร้านในชุดยูนิฟอร์มเปิดประตูก่อนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม

ฝนห่าใหญ่เทกระหน่ำลงจากฟ้า บอดี้การ์ดชุดดำรีบกางร่ม วินเซอร์วางมือลงบนแขนอีกฝ่ายเบาๆ พร้อมยกชายกระโปรงเดินลงมา ท่วงท่าสง่างามราวกับหงส์ดำ

รองเท้าส้นสูงสีแดงกระทบขั้นบันไดทีละขั้น บอดี้การ์ดคุ้มกันเธอไปส่งถึงข้างตัวรถ ก่อนเตรียมเปิดประตู

“มิสวินเซอร์!” ชายหนุ่มคนหนึ่งพุ่งตัวออกมาจากหัวมุม ผมสั้นสีดำเปียกโชกไปด้วยหยาดฝน เสื้อเชิ้ตสีขาวเห็นได้ชัดเป็นพิเศษในเวลาค่ำคืน

วินเซอร์มุ่นคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้สนใจอีกฝ่าย เธอก้มตัวเข้าไปนั่งในรถ

“ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณครับ!” ชายหนุ่มถูกบอดี้การ์ดขวางไว้ แต่ยังคงพยายามวิ่งไปข้างหน้า

“ออกรถ” วินเซอร์เอ่ยเสียงเรียบ

เมื่อชายหนุ่มเห็นคนขับสตาร์ตรถก็ยิ่งร้อนรน ใช้มือข้างหนึ่งจับแขนบอดี้การ์ดไว้แล้วก้มลงกัดอย่างแรง

“แม่งเอ๊ย!” บอดี้การ์ดก่นด่าเสียงเบา ก่อนเตะหนักๆเข้าที่ท้องของเขา ชายหนุ่มล้มลงบนพื้น นอนตัวงอด้วยความเจ็บปวด

เลือดสดๆ ที่ไหลจากแขนยิ่งเพิ่มความโกรธให้มากขึ้น บอดี้การ์ดยกเท้าเหยียบไปบนหน้าของเขาแล้วเอ่ย “ไอ้เด็กระยำ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”

“ผมรู้ความลับเกี่ยวกับมิสเตอร์นอร์ตัน!” น้ำโคลนผสมกับหยาดฝนไหลผ่านมุมปาก ชายหนุ่มรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดตะโกนออกไป

“คัต!” อันเซลลุกขึ้นยืน

บอดี้การ์ดรีบดึงฟางเล่อจิ่งขึ้นมาแล้วส่งกระดาษทิชชูให้เขาเป็นการขอโทษ

เฝิงฉู่ อู๋เฟย และอู๋เจี้ยนเองก็รีบวิ่งเข้ามา ส่งเสื้อโค้ตขนเป็ดและน้ำขิงที่เตรียมไว้ให้อีกฝ่าย

ฟางเล่อจิ่งกลั้วปาก หนาวจนร่างกายสั่นเทิ้ม

แม้จะสวมเสื้อป้องกันความหนาวที่ใช้สำหรับถ่ายทำโดยเฉพาะไว้ในเสื้อเชิ้ตอีกทีก็ไม่ช่วยอะไรนัก การตากฝนในคืนฤดูหนาว แถมต้องนอนบนพื้นอีก มีแค่ไม่กี่คนหรอกที่จะทนไหว

เสิ่นหานใช้ผ้าขนหนูอุ่นเช็ดหน้าให้เขา ดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี

ส่วนเร็กยืนมองเขาเงียบๆ อยู่อีกฟาก

ฟิลลิปส์นั่งในห้องคนขับรถน้ำ ค่อยๆ จิบกาแฟร้อน

“แสดงดีมาก” อันเซลกล่าว “ไม่ว่าจะบล็อกกิ้งหรือสีหน้าท่าทางต่างยอดเยี่ยมมาก ถ่ายเพิ่มอีกเทคก็เป็นอันเสร็จ” เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุไม่คาดฝันตอนตัดต่อ ปกติแล้วจึงต้องถ่ายทำทุกฉากสองรอบป้องกันไว้ก่อน และเพื่อให้ฟางเล่อจิ่งตากฝนน้อยลง เขาจึงเลือกนักแสดงบทบอดี้การ์ดและคนขับรถอย่างพิถีพิถัน อย่างน้อยก็ลดจำนวนครั้งที่ต้องถ่ายซ้ำจากความผิดพลาดของคนอื่น

“พร้อมไหม” ห้านาทีถัดมา ผู้ช่วยผู้กำกับเข้ามาถาม

ฟางเล่อจิ่งผงกศีรษะรับ “ไม่มีปัญหาครับ” อาศัยช่วงที่ร่างกายยังไม่อุ่นเต็มที่ถ่ายทำให้เสร็จอีกครั้งจะดีที่สุด

ด้วยมีประสบการณ์จากการถ่ายในครั้งแรกแล้ว การถ่ายทำในรอบที่สองจึงเป็นไปอย่างราบรื่น ยิ่งไปกว่านั้นยังเข้าถึงบทบาทได้ดีกว่ารอบแรกอีกด้วย ทีแรกผู้กำกับค่อนข้างกังวลกับฉากคืนกลางสายฝนนี้ แต่เมื่อเห็นว่าเริ่มต้นได้อย่างราบรื่นเลยถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก

ฉากถัดมาเป็นฉากที่แคทเธอรีนและฟางเล่อจิ่งเผชิญหน้ากันท่ามกลางสายฝน…หลังได้ยินว่าชายหนุ่มบ้าบิ่นผู้นี้รู้ความลับของนอร์ตัน วินเซอร์ก็ลงจากรถและพูดคุยกับเขา

ประตูรถถูกเปิดออกอีกครั้ง หลังจากวินเซอร์ก้าวลงมา ก็เดินเข้ามาหาโดยมีบอดี้การ์ดห้อมล้อม

ชายหนุ่มถูกบอดี้การ์ดหิ้วขึ้นมาจากพื้นและผลักไปด้านหน้าวินเซอร์

สายฝนเทกระหน่ำจากฟากฟ้า ชะล้างคราบเลือดและโคลนบนใบหน้าของเขา

“เธอชื่ออะไร” วินเซอร์เอ่ยถามอย่างเย่อหยิ่ง

“แองเจโล” แผ่นอกของชายหนุ่มกระเพื่อมไหวอย่างรุนแรง เสื้อเชิ้ตที่เดิมเป็นสีขาวมอมแมมเละเทะไปหมด

“ไร้ชื่อเสียง” วินเซอร์คีบบุหรี่ไว้ก่อนพ่นควันด้วยท่วงท่าสง่างาม “ฉันไม่คิดว่าเธอจะรู้ความลับยิ่งใหญ่อะไร เพราะงั้นทางที่ดีคิดให้รอบคอบก่อนพูด ผู้ชายทุกคนที่หลอกฉัน ไม่มีใครพบจุดจบที่ดีสักราย”

“คัต!” ผู้กำกับลุกขึ้นยืน

ฟางเล่อจิ่งชะงักครู่หนึ่งก่อนหันไปมอง

“ของเธอไม่มีปัญหา” อันเซลกางร่มเดินเข้ามาแล้วพูดกับแคทเธอรีน “ท่าทางของเธอมันอ่อนหวานเกินไป ไม่สะท้อนด้านแข็งกร้าวและโหดเหี้ยมของวินเซอร์เลยสักนิด เข้าใจที่ฉันจะสื่อไหม”

แคทเธอรีนยักไหล่เป็นการขอโทษ “ขอโทษค่ะ คงเพราะฉันทำความเข้าใจได้ไม่ดีพอ”

“อยากให้ฉันอธิบายให้ฟังอีกรอบไหม” อันเซลถาม

“คิดว่าไม่เป็นไรค่ะ” แคทเธอรีนยิ้ม “ฉันเข้าใจสิ่งที่คุณต้องการ”

“ดีมาก” อันเซลพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เตรียมถ่ายใหม่!”

เฝิงฉู่ช่วยเช็ดหน้าให้ฟางเล่อจิ่ง กางร่มแล้วกลับมายังจุดพักอีกครั้ง

และความจริงก็ได้รับการพิสูจน์อย่างรวดเร็ว แม้ว่าแคทเธอรีนจะดูมั่นใจมาก แต่อันที่จริงเธอไม่ได้เข้าใจความหมายของอันเซลอย่างถ่องแท้

เพราะการถ่ายทำรอบที่สองถูกสั่งคัตอีกครั้ง รอบที่สามและสี่ก็เช่นกัน

การถ่ายทำจำต้องหยุดลงชั่วคราว อาศัยช่วงที่ผู้กำกับกำลังอธิบายบทกับแคทเธอรีน เสิ่นหานยัดกระเป๋าอุ่นมือที่ไม่รู้ว่าเอามาจากไหนใส่อ้อมแขนของฟางเล่อจิ่ง “หนาวไหม”

“พอไหว” ความจริงตอนอยู่กลางฝนเขากลับไม่หนาวเท่าไหร่ แต่พอเข้าห้องปุ๊บถึงสั่นไปทั้งร่าง

เฝิงฉู่ช่วยเช็ดผมของเขาให้แห้ง แล้วโยนเสื้อเชิ้ตเปียกโชกกับเสื้อป้องกันความหนาวไปไว้อีกด้าน จากนั้นใช้เสื้อขนเป็ดมาห่อร่างของเขาอย่างมิดชิด

“เดี๋ยวผมก็ต้องออกไปถ่ายแล้ว” ฟางเล่อจิ่งจาม “เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวแบบนี้จะยิ่งเป็นหวัดเอา”

“จะปล่อยให้หนาวแบบนี้ก็ไม่ได้เหมือนกัน” เมื่อเห็นเขาตากฝนครั้งแล้วครั้งเล่า เฝิงฉู่เองก็ไม่สบอารมณ์เล็กน้อย

“ไม่เป็นไร เรื่องปกติ” ฟางเล่อจิ่งปลอบใจเขา “อีกอย่างผมก็ไม่ได้เป็นอะไรด้วย”

เฝิงฉู่ส่ายหน้าก่อนรินชาร้อนส่งให้

“เล่อเล่อ นายไม่เป็นไรใช่ไหม” เมื่อได้ยินผู้กำกับบอกว่ายังไม่ต้องใช้รถน้ำ ฟิลลิปส์เลยเดินเข้ามาหาเขา

“นาย ไอ้ตัวการน่ารังเกียจ” เสิ่นตุ๊บป่องต่อว่าเขาทันที

ฟิลลิปส์เบิกตาโพลง “เกี่ยวอะไรกับฉัน” ฉันแค่ขับรถน้ำเองนะ!

ฟางเล่อจิ่งอดขำไม่ได้ “ฉันไม่เป็นไร ขอบใจ”

“เร็ก?” เมื่อฟิลลิปส์เห็นใครอีกคนก็ต้องตกตะลึง “ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่”

เร็กหันหลังเดินออกไป

“เดี๋ยวก่อน” ฟิลลิปส์ไม่ถือสาท่าทีเสียมารยาทของเขาเลยสักนิด รีบสาวเท้าตามไปด้วยความกระตือรือร้นสุดๆ

เสิ่นหานมองเขาอย่างหมดคำพูด ก่อนใช้สองมืออุ่นๆ กุมใบหน้าของฟางเล่อจิ่งไว้

ผู้ช่วยร่างเล็กที่อยู่อีกด้านเห็นว่าน่ารักดีเลยหยิบมือถือมาถ่ายรูปไว้แล้วถามว่าโพสต์ลงบนอินเทอร์เน็ตได้หรือเปล่า

“ได้สิ” เสิ่นหานตอบทันที

“ได้” ฟางเล่อจิ่งเองก็พยักหน้ารับเช่นกัน

ผู้ช่วยล็อกอินเข้าโฮมเพจด้วยความตื่นเต้นแล้วโพสต์ภาพนั้นลงไป

แม้เป็นเว็บไซต์ของต่างประเทศ ก็หยุดยั้งการติดตามของแฟนๆ ไม่ได้ ภายในสิบนาทีหลังจากนั้น รูปนี้เลยถูกแชร์ไปถึงแพลตฟอร์มบันเทิงในประเทศ แฟนคลับพากันกุมหน้ากรีดร้องกันไปเป็นแถบ

อบอุ่นอะไรขนาดนี้!

ทนไม่ไหวแล้วนะ

 

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า