巨星手记
บันทึก (ไม่ลับ) ฉบับซูเปอร์สตาร์
อวี่เซี่ยวหลานซาน เขียน
ธมน แปล
get-sem วาด
— โปรย —
หลังจาก ฟางเล่อจิ่ง มีผลงานการแสดงหลายเรื่อง
เขาก็ได้รับเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในเทศกาลภาพยนตร์จีน
ฟางเล่อจิ่ง เองก็ตั้งเป้าหมายจะคว้ารางวัลนี้เช่นกัน
เพื่อลดคำครหาของผู้คนยามที่เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ เหยียนข่าย
แต่เขาดันต้องเผชิญกับดาราอาวุโสที่เป็นตัวเต็งอีกคน
แล้วเขาจะคว้ารางวัลนี้และเปิดเผยความสัมพันธ์ของเขากับ เหยียนข่าย ได้อย่างราบรื่นหรือไม่
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
79 ภารกิจแสนยากของเสิ่นตุ๊บป่อง!
ควรรู้ไว้นะว่าคุณยายหกน่ะโหดมาก!
ด้วยความต่างของเวลา ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศเวลานี้จึงมีไม่มากนัก แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น คอมเมนต์ใต้สเตตัสก็ยังคงเพิ่มขึ้นทวีคูณ ถึงขนาดมีคนตามมาที่โฮมเพจต่างประเทศของผู้ช่วยสาว ขอร้องให้เธอถ่ายรูปแล้วแชร์ให้ดูเยอะๆ ด้วยซ้ำ เราอยากเห็นจะแย่แล้ว
อย่างไรเสียในยุคที่อินเทอร์เน็ตก้าวหน้าแบบนี้ ไม่มีอะไรยากสำหรับประชากรชาวเน็ต
และเนื่องจากเสิ่นหานที่อยู่ในรูปดูช่างเอาใจใส่ ทำเอาทุกคนอดคร่ำครวญไม่ได้ว่าน่าเอ็นดูชะมัด น่าจับแต่งงานเข้าบ้านเสียเดี๋ยวนี้ แฟนคลับบางส่วนถึงขั้นลงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาให้เขาตกลงปลงใจแต่งงานกับฟางเล่อจิ่ง ก่อนจะถูกแฟนคลับคนอื่นๆ โต้แย้ง…ตุ๊บป่องของเราจะแต่งงานกับเล่อเล่อได้ยังไง เล่อเล่อเองก็เป็นฝ่ายรับ ฝ่ายรับสองคนคบกันไม่มีทางมีความสุขหรอก ต้องหาฝ่ายรุกให้พวกเขาคนละคน!
การอนุมานนี้ช่างสมเหตุสมผลเหลือเกิน
ฟางเล่อจิ่งถือโทรศัพท์มือถืออย่างพูดไม่ออก วิธีโยนระเบิดขั้นเทพนี่มัน
ส่วนเสิ่นหานมองเขาด้วยสายตาเจ็บปวด…ที่แท้ทุกคนก็มองเขาออกแต่แรก เสียแรงที่ฉันปิดบังอย่างดีมาตลอด
รู้สึกพ่ายแพ้ชะมัด ชีวิตของฉันนับจากนี้ต้องมืดมนขึ้นแน่ๆ
รู้สึกผิดต่อฐานะนักแสดงมืออาชีพจริงๆ
“เล่อเล่อ ยังเข้าฉากต่อไหวไหม” ครู่ต่อมา อันเซลก็เข้ามาถามด้วยตัวเอง
ฟางเล่อจิ่งพยักหน้า “ไม่มีปัญหาครับ”
“ลำบากหน่อยนะ” อันเซลเอ่ย “แคทเธอรีนพอจะจับความรู้สึกได้แล้ว เธอลองพาให้เข้าถึงบทให้มากขึ้นดู เรามาพยายามให้ผ่านในเทคเดียวกัน”
“ครับ” ฟางเล่อจิ่งวางแก้วน้ำแล้วลุกขึ้นยืน เฝิงฉู่ช่วยใส่เสื้อกันความเย็นตัวใหม่ให้เขาเรียบร้อยก็หยิบเสื้อเชิ้ตเปียกโชกตัวนั้นมาจากอีกด้าน
เสิ่นหานใช้มือถูแก้มของอีกฝ่าย “สู้ๆ”
“อื้อ” ฟางเล่อจิ่งสวมเสื้อเชิ้ตตัวนั้นเรียบร้อยก็สูดหายใจเข้าลึก ก่อนก้าวยาวๆ ออกจากห้องไป
ทันใดนั้นลมแรงก็พัดหวีดหวิวเข้ามาแทบทะลุผ่านเสื้อผ้าบางๆ ทิ่มแทงเข้าในกระดูกราวกับมีด คงเพราะเขาอยู่ใกล้เครื่องทำความร้อนนานเกินไป ฟางเล่อจิ่งเลยรู้สึกว่าครั้งนี้ยากกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก
“เป็นไง” เฝิงฉู่กังวล
“ไม่เป็นไร” ฟางเล่อจิ่งส่ายหน้าแล้วกัดฟันเข้าไปยืนท่ามกลางสายลมสักพัก ในที่สุดก็ฝืนปรับตัวได้
“ต้องขอโทษนายจริงๆ” ก่อนเริ่มถ่ายทำ แววตาของแคทเธอรีนเต็มไปด้วยความเสียใจ
“ไม่เป็นไรครับ” ฟางเล่อจิ่งยิ้ม ไม่ได้กล่าวโทษอะไรมากไปกว่านั้น ใครก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ ยิ่งกว่านั้น แม้เธอจะไม่ต้องตากฝน แต่เสื้อผ้าที่ใส่ก็บางมาก การยืนในคืนหนาวเหน็บแบบนี้คงไม่สนุกเท่าไหร่
“เตรียมตัวถ่าย” ผู้ช่วยบอก
“เรามาพยายามกันเถอะ” แคทเธอรีนสวมกอดเขาเบาๆ ครู่หนึ่งแล้วหันหลังกลับเข้าไปในรถ
ฟิลลิปส์กดสวิตช์ปล่อยน้ำ ปรับทิศทางของหัวฉีดเล็กน้อย แล้วประคองแก้วกาแฟร้อนไว้อุ่นมือพร้อมมองไปข้างนอกอย่างเป็นห่วง
“แอ็กชัน!” แผ่นสเลทถูกเคาะเป็นครั้งที่ห้า บอดี้การ์ดเปิดประตูรถแล้วค้อมตัวเล็กน้อยเพื่อเชิญวินเซอร์
แองเจโลที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยโคลน ถูกผลักไปอยู่เบื้องหน้าเธอ
“เธอชื่ออะไร” น้ำเสียงของวินเซอร์เรียบเฉย เหมือนไม่ได้ใส่ใจเด็กหนุ่มตรงหน้า
“แองเจโล” เลือดบนหน้าผากไหลไปกับสายฝน หยดลงบนเสื้อเชิ้ตหยดแล้วหยดเล่า แผ่ขยายเป็นวงสีแดงอ่อน
เมื่อเห็นฟันของเขาสั่นกระทบกันไม่หยุด มือขวาที่สวมถุงมือกำมะหยี่ของวินเซอร์ก็บีบคางเขาเบาๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงดูแคลน “เธอกลัวอะไร”
คนอื่นที่อยู่ห่างออกไปต่างตกตะลึง ก่อนหน้านี้ไม่มีบทพูดนี้นี่นา เปลี่ยนบทเหรอ
“ผู้กำกับ?” ผู้ช่วยหันมองสำรวจเขา
อันเซลโบกมือเล็กน้อยเป็นการห้าม แล้วปล่อยให้ทั้งสองแสดงต่อไป
“ผมไม่ได้กลัว” ริมฝีปากแองเจโลซีดขาว ผมซอยสีดำเปียกฝนจนแนบลงไปกับแก้ม แผ่นอกสะท้อนขึ้นลงอย่างรุนแรง “เพราะหิวและหนาว”
วินเซอร์คลายมือ ใบหน้าฉายแววยิ้มหยัน “น่าขัน เด็กหนุ่มที่ไม่มีอันจะกินบอกว่าตัวเองรู้ความลับของมิสเตอร์นอร์ตันผู้ใจบุญ เมืองนี้มีคนบ้าอยู่ทุกประเภทจริงๆ สินะ”
“เวลาห้านาที สำหรับคุณคงไม่มีอะไรเสียหาย” แองเจโลเอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้ “อีกอย่าง ผมรับประกันว่าไม่โกหกแน่นอน”
“เธอแน่ใจ? ฉันไม่อยากได้ยินเรื่องโกหกที่บรรจงปั้นแต่งขึ้นมาหรอกนะ” วินเซอร์จุดบุหรี่ มองอีกฝ่ายพร้อมเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “บอกตามตรง ผู้ชายทุกคนที่พยายามหลอกฉัน ไม่ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขาจะเป็นอะไร ก็ไม่มีใครพบจุดจบที่ดี”
“ผมแน่ใจ” แผ่นอกของแองเจโลกระเพื่อมรุนแรง ทว่ากลับไม่หลบตาแม้แต่น้อย
“ดี” วินเซอร์กระตุกมุมปากก่อนหันหลังกลับขึ้นรถ “จำไว้ เธอมีเวลาแค่ห้านาที เพราะงั้นอย่าพูดอะไรไร้สาระ”
“ขอบคุณครับ” แองเจโลพรูลมหายใจโล่งอก ในที่สุดมือที่กำไว้แน่นตลอดก็คลายออก
บอดี้การ์ดเปิดประตูรถแล้วผลักเขาเข้าไป
“โอเค!” อันเซลตะโกนสั่งคัต “รอบนี้เยี่ยมมาก”
“ขอบคุณพระเจ้า” ในที่สุดหัวใจของเฝิงฉู่ที่ขึ้นมาจุกที่ลำคอก็กลับไปอยู่ที่เดิม “ในที่สุดก็ผ่านสักที” ถ้ายืดเยื้อต่อไปมีหวังได้เป็นลมแน่
“เอาตามความรู้สึกนี้ มา อีกรอบ” อันเซลพูดกับฟางเล่อจิ่ง “ดวงตาของเธอสวยมาก ยังเพิ่มความมั่นใจในแววตาได้อีกนะ ฉันจะถ่ายโคลสอัป[1]เยอะหน่อย”
“ได้ครับ” ฟางเล่อจิ่งดื่มน้ำหวานอุ่นๆ สองสามอึกก่อนจะส่งแก้วคืนเฝิงฉู่ แล้วเริ่มเตรียมตัวถ่ายทำอีกครั้ง
“เฮ้อ” เสิ่นหานมองนาฬิกาข้อมือแล้วถอนหายใจออกมาจากก้นบึ้ง
“เป็นอะไร” เฝิงฉู่มองเขา
“จะห้าทุ่มแล้ว” เสิ่นตุ๊บป่องเอ่ยอย่างเสียดาย “งานเลี้ยงอาหารบุฟเฟต์คงจบไปนานแล้ว” ซาชิมิชั้นเลิศกับหอยเม่น แถมมีเชฟมิชลินอีก ไม่ได้เห็นอะไรสักอย่าง เหมือนชีวิตร่วงหล่นสู่ก้นเหว เหมือนมุมกำแพงที่ฝุ่นจับเต็มไปหมด
เฝิงฉู่ได้ยินก็งุนงง “แล้วทำไมนายไม่ไปกินล่ะ คืนนี้ไม่มีซีนของนายสักหน่อย” แม้ต้องรักษารูปร่าง แต่กินอาหารทะเลเป็นครั้งคราวก็ไม่น่าเป็นอะไรนี่นา
“พี่ไม่เข้าใจ” ดวงตาของเสิ่นหานลึกล้ำราวกับกวีผู้หนึ่ง
เฝิงฉู่ “…”
นายไม่พูดแล้วฉันจะเข้าใจได้ยังไง
“สมบูรณ์แบบ” อันเซลผงกศีรษะพึงพอใจ หลังจากจับความรู้สึกได้ การถ่ายเสริมเทคที่เหลือก็ดำเนินไปราบรื่น เพียงไม่นานก็เสร็จสิ้นแผนการถ่ายทำทั้งหมด ผู้ช่วยของแคทเธอรีนนำเสื้อโค้ตตัวหนามาห่อตัวเธออย่างรวดเร็ว ส่วนฟางเล่อจิ่งนั่งบนเก้าอี้ ให้สไตลิสต์ช่วยเป่าผมให้แห้ง
“มาๆๆ เปลี่ยนเสื้อผ้า” เสิ่นหานดึงถุงช็อปปิ้งออกมาหนึ่งใบ
“นายเอามาตอนไหนเนี่ย” ฟางเล่อจิ่งสงสัย
“ไม่สำคัญหรอก” เสิ่นหานสะบัดเสื้อผ้ากางออก สินค้าแบรนด์ดังรุ่นใหม่ล่าสุด แค่มองก็รู้ว่าหรูหรามีระดับ
“นี่ไม่ใช่เสื้อผ้าของฉันใช่ไหม” ฟางเล่อจิ่งถาม
“ฉันฝากอู๋เฟยไปซื้อให้นาย รีบใส่สิ” เสิ่นหานเร่งรัด
ฟางเล่อจิ่งงงหนักกว่าเดิม “ทำไมต้องซื้อเสื้อผ้าให้ฉัน”
เสิ่นหานตอบอย่างจริงจัง “เพื่อรำลึกถึงมิตรภาพชั่วกัลปาวสานของเรา” ชวนให้ตื้นตันชะมัด
ฟางเล่อจิ่งลองวัดอุณหภูมิบนหน้าผากอีกฝ่าย
เสิ่นหานจะช่วยเขาใส่เสื้อผ้า
“ไม่ต้องเปลี่ยนแล้ว” เฝิงฉู่เอ่ยขึ้นจากอีกด้านก่อนหยิบเสื้อขนเป็ดตัวโคร่งมาห่อตัวเขา “แค่สิบนาทีก็ถึงโรงแรมแล้ว รีบอาบน้ำอุ่นแล้วนอน ไม่งั้นได้เป็นหวัดแน่”
“ไม่ได้ๆ” เสิ่นตุ๊บป่องลนลาน ไม่มีใครให้ความร่วมมือสักคน ทำไมเป็นแบบนี้ได้เนี่ย
แม้แต่เรื่องเล็กๆ แบบนี้ยังทำให้ดีไม่ได้ ยายหกต้องไล่เขาออกแน่
เร็กผลักประตูเข้ามาพร้อมโกโก้ร้อนในมือ ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ใครอีกคนก็รีบร้อนพุ่งพรวดเข้ามาจนเกือบชนเขาล้ม
“โทษทีๆ” ฟิลลิปส์รีบหยุดฝีเท้า
เร็กสะบัดน้ำร้อนบนมือออก แค่เห็นเขาก็รู้สึก…ปวดหัวแล้ว
แต่ครั้งนี้ฟิลลิปส์ไม่ได้ตามตอแยอีกฝ่ายนัก เขาวิ่งไปอยู่ข้างๆ ฟางเล่อจิ่ง “พร้อมไปหรือยัง”
“พร้อมแล้ว” ฟางเล่อจิ่งพยักหน้าก่อนถามด้วยความสงสัย “ว่าแต่ นายรอฉันทำไม” ไม่ได้พักโรงแรมเดียวกันสักหน่อย จะบอกว่าทางผ่านก็ไม่ใช่
“ไป” ฟิลลิปส์ลากเขาไปข้างนอก
เสิ่นตุ๊บป่องเบิกตากว้าง ยังไม่ได้ให้เล่อเล่อสวมชุดใหม่เลยนะ ทำไมไปซะแล้ว กลับมาก่อน!
“นี่ๆ!” เนื่องจากฟิลลิปส์นิสัยพิสดารมาแต่ไหนแต่ไร เฝิงฉู่จึงตามไปโดยไม่ลังเล “นายจะพาเล่อเล่อของฉันไปไหน”
“นั่นสิ เราจะไปไหนกัน” ฟางเล่อจิ่งเองก็งุนงงไม่น้อย “ดึกมากแล้วนะ”
“ไปแล้วนายจะรู้เอง” ฟิลลิปส์ดึงเขาวิ่งจนตัวปลิวราวกับสายลมไร้การควบคุม
“ไม่เอา!” ฟางเล่อจิ่งใช้มือข้างหนึ่งรั้งต้นไม้ไว้ “ฉันไม่สนใจสาวเซ็กซี่ ไม่อยากฟังนายเล่าเรื่องด้วย รีบปล่อยฉันกลับโรงแรมไปอาบน้ำนอนเดี๋ยวนี้!”
เร็กและเฝิงฉู่ตามหลังมา ผู้กำกับและทีมงานคนอื่นในกองถ่ายที่ได้ยินเสียงเอะอะก็มองมาทางนี้ด้วยความสงสัยใคร่รู้
“นายไปเที่ยวบาร์คนเดียวเถอะ” ฟางเล่อจิ่งสลัดจากเขาได้ก็ออกวิ่ง
“เดี๋ยวก่อน!” ฟิลลิปส์คว้าแขนเขาไว้ ก่อนกระซิบลอดไรฟัน “มีคนรอนายอยู่แถวนี้”
“ใคร” ฟางเล่อจิ่งได้ยินก็ตะลึงงัน
“คิดว่าไง จะเป็นใครได้ล่ะ” เห็นคนอื่นๆ มุงเข้ามา ฟิลลิปส์เลยตัดสินใจก้มตัวแบกเขาขึ้นบ่าก่อนสาวเท้าวิ่งออกไป
เพื่อนร่วมงานที่เฝ้าดูรอบๆ ถึงกับตกใจจนอ้าปากค้าง
นี่มันลักพาตัวนักแสดงนำต่อหน้าต่อตา
เร็กไล่ตามด้วยสีหน้าอึมครึม
“ไม่เป็นไรหรอก” เสิ่นหานออกแรงดึงเขาเต็มที่
“…” ด้วยรู้ดีถึงความสัมพันธ์ของเขากับฟางเล่อจิ่ง เร็กจึงหยุดฝีเท้าอย่างสองจิตสองใจ
“ไม่เป็นไรหรอก ฟิลลิปส์อยากเซอร์ไพรส์เล่อเล่อน่ะ” เสิ่นตุ๊บป่องส่งสายตาสุดจริงใจ เพราะงั้นพี่ชาย พี่อย่าเข้าไปยุ่งดีกว่า บอสน่ะโหดมาก โมโหทีเรี่ยวแรงมหาศาล เอาชายถึกสิบคนมาฉุดก็ฉุดไม่อยู่
“นายรู้เหรอว่าเล่อเล่อจะไปทำอะไร” เฝิงฉู่ที่ตามมาเช่นกันได้ยินเขาพูดประโยคนี้พอดี
“เป็นเรื่องดีแล้วกัน” เสิ่นหานถูจมูก “เอาละๆ แยกย้าย”
เร็กพยักหน้าก่อนหันหลังกลับห้องไปเงียบๆ ไม่ถามอะไรมากกว่านั้น
“ไม่ได้ นายต้องบอกฉันว่ามันเกิดอะไรขึ้น” เฝิงฉู่กลับไม่ปล่อยผ่านง่ายๆ เขาดึงเสิ่นหานไม่ปล่อย ในฐานะผู้ช่วยมืออาชีพ เขาปวดหัวกับเรื่องชอบหายตัวของฟางเล่อจิ่งจริงๆ ถึงบริษัทจะบอกว่าไม่ต้องเข้มงวดเกินไป แต่อย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นศิลปินในความดูแลของตัวเอง ถูกปิศาจสติไม่ดีพาตัวไปกลางดึกแบบนั้น ไม่ว่าคิดจากมุมไหนก็ยังวางใจไม่ได้อยู่ดี ต้องถามให้ชัดเจน
“ก็ได้ แต่พี่ห้ามบอกคนอื่นนะ” เสิ่นหานยอมลงให้ กระซิบกระซาบข้างๆ หู
“ยายหก?” เฝิงฉู่ได้ยินก็อึ้ง “ไม่ใช่คุณยายอายุหกเจ็ดสิบเหรอ สุขภาพก็ไม่ดี ทำไมยังนั่งเครื่องบินสิบยี่สิบชั่วโมงมาหาได้” มันจะเกินไปหน่อยหรือเปล่า
“ใช่ ผมก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน” เสิ่นหานพยักหน้าอย่างสงบ “คงเป็นเพราะพลังแห่งครอบครัว” น่าซาบซึ้ง เห็นได้บนหนังสือพิมพ์บ่อยๆ
เฝิงฉู่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ครั้งหน้าถ้ามีโอกาส ต้องไปเห็นคุณยายคนนี้กับตาตัวเองให้ได้
“ตกลงรถของนายอยู่ที่ไหน” ฟางเล่อจิ่งอึดอัดมากที่ถูกแบกแล้ววิ่งไปแบบนี้ กระเพาะของเขากดอัดอยู่บนบ่าอีกคน หายใจไม่ออกจนแทบอ้วกอยู่รอมร่อ
“ไม่ต้องนั่งรถ ใกล้แค่นี้เอง” ฟิลลิปส์วางเขาลงบนพื้น ก่อนเอ่ยพร้อมหอบแฮกๆ “ถึงแล้ว ที่นี่แหละ”
“ถึงแล้ว?” ฟางเล่อจิ่งหันไปมองรอบๆ “แล้วคนล่ะ”
“อยู่ข้างบน” ฟิลลิปส์ล้วงคีย์การ์ดมาแตะประตูอิเล็กทรอนิกส์ของคอนโดตรงหน้า แล้วตรงไปยังชั้นสี่ ก่อนโค้งคำนับด้วยท่าทางแสนสุภาพ มือขวาแตะบนแผ่นอก “ขอให้คุณมีค่ำคืนอันแสนสุขนะครับ”
ฟางเล่อจิ่งมองหมายเลขห้องตรงหน้า รู้สึกราวกับเป็นความฝัน
ฟิลลิปส์กดกริ่งหน้าประตู จากนั้นเข้าลิฟต์ไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมโบกมือให้เขา “พรุ่งนี้เช้าฉันจะมารับ” วินาทีที่ประตูลิฟต์กำลังจะปิด เขาเอ่ยขึ้นมาอีก “ในห้องคือออกัสติน!” แหย่ให้สบายอารมณ์สักหน่อย
ฟางเล่อจิ่ง “…”
จริงจังปะเนี่ย
ประตูห้องถูกใครบางคนดึงเปิด เหยียนข่ายก้มตัวลงมาประสานสายตากับเขา ดวงตาเต็มไปความรักใคร่อันคุ้นเคย
ฟางเล่อจิ่งมองเขาตาไม่กะพริบ รู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง
เหยียนข่ายจูงเขาเข้ามาในห้องแล้วล็อกประตู ก่อนเอ่ยถามข้างหูอีกฝ่ายอย่างขบขัน “จำฉันไม่ได้หรือไง”
“ทำไมคุณ…” ฟางเล่อจิ่งไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี ก่อนหน้านี้บอกว่างานที่บริษัทยุ่งมากจนไม่มีเวลามาหาแท้ๆ ไม่คิดเลยว่าวันถัดมาจะได้เจอกันแล้ว
“แกล้งนายเล่นน่ะ ตอนนั้นฉันอยู่สนามบินแล้ว อยากจะเซอร์ไพรส์นาย” เหยียนข่ายจูบเขา “เป็นไง ดีใจไหม”
“อื้อ” ฟางเล่อจิ่งตาแดงเล็กน้อย ซุกหน้าไปกับแผงอกของอีกฝ่าย
“เลิกพูดดีกว่า ไปอาบน้ำก่อน” เหยียนข่ายอุ้มเขาเดินไปทางห้องน้ำ “เปียกน้ำเย็นนานขนาดนั้น เดี๋ยวเป็นหวัดเอา”
“คุณดูผมถ่ายหนังด้วยเหรอ” ฟางเล่อจิ่งได้ยินก็แปลกใจ
“ห้องนี้อยู่ค่อนข้างสูง ตรงระเบียงมองเห็นกองถ่ายได้พอดี” เหยียนข่ายวางเขาลงบนพรมในห้องน้ำ แน่นอนว่ามีข้อมูลลับๆ จากเสิ่นตุ๊บป่อง นักสืบชั้นยอดด้วย แต่ในแง่มิตรภาพที่ต้องรักษาความลับของกันและกัน เหยียนข่ายเลยรักษาสัจจะ ไม่พูดเรื่องนี้
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เสิ่นหานกำลังเดินสำรวจห้องอาหารอันว่างเปล่าของโรงแรม ก่อนหยิบเมนูอาหารมาดูแล้วถอนหายใจด้วยความเสียดาย…ตอนแรกคิดว่าตัวเองจะได้เห็นภาพอันซาบซึ้งที่คู่รักได้มาพบกัน คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันเห็นอะไร เล่อเล่อก็ถูกฟิลลิปส์แบกไปแล้ว! ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ สู้เขาอยู่กินบุฟเฟต์อาหารทะเลที่โรงแรมยังดีเสียกว่า เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง ขาดทุนชะมัด
“สวัสดี” จู่ๆ น้ำเสียงเป็นมิตรก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“สวัสดีครับ” เสิ่นหานหันไปมองก็เห็นคุณลุงท่าทางใจดีคนหนึ่ง
“ห้องอาหารจวนจะปิดแล้ว” คุณลุงเอ่ยเตือน
“ผมจะไปเดี๋ยวนี้ครับ” เสิ่นหานขอโทษพร้อมยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนหันหลังเตรียมเดินออกไป
“เธอยังไม่ได้กินมื้อเย็นเหรอ” คุณลุงพลันถามขึ้น
“…” เสิ่นหานชะงักฝีเท้า
“ฉันอาจจะเลี้ยงข้าวเธอคนเดียวได้นะ” คุณลุงยื่นมือให้พร้อมรอยยิ้ม “ฉันชื่อเจน เป็นเชฟของโรงแรมนี้”
เสิ่นหานเบิกตากว้าง “จริงเหรอครับ”
“จริงสิ” คุณลุงเชฟดูท่าจะดีใจเหมือนกัน…ความจริงเขาเห็นจากกล้องวงจรปิดในห้องครัวตั้งแต่เสิ่นหานเดินเข้าห้องอาหารมาแล้ว และลงความเห็นจากสัญชาตญาณอันเฉียบแหลมบางอย่างว่า เจ้าหนุ่มคนนี้คงอยากกินมากจริงๆ!
เชฟมักชื่นชอบนักกินที่มีความรู้ด้านอาหาร ดังนั้นเสิ่นหานจึงได้รับเชิญให้เข้าด้านหลังครัวของโรงแรมเป็นครั้งแรกในชีวิต
“เธอโชคดีมาก นี่เป็นกุ้งล็อบสเตอร์ที่เตรียมไว้สำหรับงานเลี้ยงวันพรุ่งนี้” คุณลุงเชฟปรุงอาหารที่เคาน์เตอร์อย่างชำนาญ “แถมยังมีซุปครีมทรัฟเฟิลชั้นดีด้วยนะ”
“ขอบคุณครับ” เสิ่นตุ๊บป่องแทบหลั่งน้ำตา ไม่คิดเลยว่าจะได้กิน โชคดีเกินไปแล้ว
“ดูเหมือนเธอจะชอบอาหารมากเลยนะ” เชฟจัดวางหน่อไม้ฝรั่ง ใบหน้าประดับรอยยิ้มที่มีแต่คนรักการกินเท่านั้นถึงจะเข้าใจ “เพราะงั้นฉันเลยชอบเธอเหมือนกัน”
เสิ่นหานคลี่ผ้าเช็ดปากพร้อมจับมีดและส้อมอย่างอารมณ์ดี
ถูกต้อง ผมน่ะรักอาหารที่สุดเลย!
ถ้าอนาคตมีโอกาส ตัวเองจะเป็นเจ้ามือเลี้ยงหม้อไฟหมาล่าคุณลุงแน่ๆ แถมเป็ดย่างอีกมื้อให้ด้วยเลย!
“โอเค” คุณลุงเชฟจับมือกับเขาอย่างเป็นมิตร “ไว้ครั้งหน้าเราไปกินเป็ดย่างกัน”
และขณะเดียวกับที่เสิ่นหานกำลังเพลิดเพลินกับอาหารเลิศรสอย่างอิ่มเอมใจอยู่นั้น เหยียนข่ายกำลังนั่งคุกเข่าบนเตียง บรรจงพันแผลบนข้อศอกให้ฟางเล่อจิ่ง…คงเพราะอากาศตอนถ่ายทำเย็นเกินไป เลยไม่ทันสังเกตว่าแขนถูกเสียดสีจนเป็นแผล กระทั่งแช่น้ำร้อนถึงรู้สึกเจ็บจนสะท้าน
“เสร็จแล้ว” เหยียนข่ายแปะเทปติดแผลเรียบร้อย “ถ้าพรุ่งนี้ยังเป็นแบบนี้อยู่ ฉันจะพานายไปหาหมอ”
“แค่แผลนิดเดียวเอง” ฟางเล่อจิ่งลูบใบหน้าของอีกคน “ไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวก็หายแล้ว”
เหยียนข่ายเก็บผ้าก๊อซและยาใส่ถุงแล้ววางไว้ด้านหนึ่ง หัวคิ้วยังคงขมวดเล็กน้อย…เนื่องจากภาพยนตร์เรื่องนี้ ฟางเล่อจิ่งรับบทเป็นชายหนุ่มฐานะต่ำต้อย อีกทั้งรอบตัวยังมีแต่พวกมาเฟียป่าเถื่อน จึงมักมีฉากต่อสู้บ่อยครั้ง แม้ผู้กำกับและกองถ่ายจะใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยมากพอ แต่ก็ยากจะหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ได้ ร่างกายเลยมีรอยฟกช้ำดำเขียวไม่น้อย แค่เห็นก็เจ็บแทนแล้ว
เหยียนข่ายถอนหายใจ เอื้อมมือไปดึงเขาเข้ามากอดแนบอก “วันนี้หนาวแย่เลยใช่ไหม” แม้ว่าตัวเองจะยืนอยู่ไกล ทว่ายังคงมองเห็นสถานการณ์ในกองถ่ายได้อย่างชัดเจน ต้องเห็นเขาล้มจมโคลนครั้งแล้วครั้งเล่า ย่อมไม่สบอารมณ์อยู่แล้ว ถึงขั้นคิดจะไปชิงตัวเขากลับมาเลยด้วยซ้ำ
“ค่อยยังชั่ว ตอนนี้ไม่หนาวแล้ว” ฟางเล่อจิ่งพิงแผงอกของเขา “อุ่นจัง”
“พรุ่งนี้ยังต้องถ่ายหรือเปล่า” เหยียนข่ายลูบแผ่นหลังของเขา
“มีซีนเดียวตอนบ่ายครับ แต่ถ้าจะขอผู้กำกับลา ก็น่าจะปรับเปลี่ยนได้” ฟางเล่อจิ่งวาดแขนคล้องรอบลำคออีกฝ่าย “ผมจะอยู่กับคุณหนึ่งวัน”
“อืม” เหยียนข่ายพยักหน้า ช่วยจัดผมซอยสั้นให้เรียบร้อย “นอนเถอะ”
“ไม่ง่วง” ฟางเล่อจิ่งเอ่ยถาม “คุณมาอิตาลีครั้งนี้ คุณลุงไม่โกรธเอาเหรอ”
“เขาไม่สนใจฉันหรอก” เหยียนข่ายว่า “ตั้งแต่กลับมา เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับคุณจาน ไม่ก็ไปเล่นหมากรุกที่บ้านป๋ายอี้ ไม่ค่อยได้อยู่บ้านหรอก อีกอย่างฉันไม่ใช่เด็กๆ แล้วด้วย”
ฟางเล่อจิ่งหลุดขำ “ฟังเหมือนคุณถูกเก็บมาเลี้ยงเลย”
“แบบนี้แหละดีแล้ว” เหยียนข่ายบีบนวดต้นคอของอีกฝ่าย “ถ้าเขาเอาแต่ถามเรื่องความสัมพันธ์ของเราทั้งวัน นั่นน่ะปวดหัวของจริง”
“ตอนนี้ยังถามอยู่หรือเปล่าครับ” ฟางเล่อจิ่งเงยหน้ามองเขา
“บอกไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะพานายไปหาช่วงคริสต์มาส” เหยียนข่ายเอ่ย “เสียดายที่เกิดเรื่องกับกองถ่าย เหตุการณ์ผิงลั่ว แล้วนายรับเล่นหนังเรื่องใหม่ซะก่อน เลยต้องยืดเวลาออกไป” พ่อของเขาไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่แม่ของเหยียนข่ายกลับไม่ใช่ แรกเริ่มเธอต่อว่าพฤติกรรมไม่รักษาคำพูดของลูกชายคนรองอย่างรุนแรง ก่อนมีท่าทีอ่อนลงแล้วบอกว่าตัวเองนับคืนนับวันรอ สุดท้ายกลับไม่เป็นดังหวังจนทำเธอใจสลาย ไม่แน่อาจต้องทำบายพาสหัวใจเลยด้วยซ้ำ
“อย่าคิดว่าตัวเองเป็นโรคที่แค่ได้ยินมาสิครับ” เหยียนข่ายไม่ตระหนกแม้แต่น้อย ยังคงเฉียบแหลมไม่ไว้หน้าเหมือนเคย
“อันไท่เองก็โกรธลูกชายของเขาจนล้มป่วยเหมือนกัน วันก่อนเพิ่งผ่าตัดหัวใจเสร็จไป” น้ำเสียงคุณนายเหยียนหนักแน่น “ทำไมแม่จะเป็นบ้างไม่ได้”
ประธานเหยียนทนไม่ไหว “อันไท่จะเจ็ดสิบแล้ว แม่ไปเทียบกับเธอเนี่ยนะ”
“ก็ใช่น่ะสิ!” หลังถูกตอกกลับอย่างเย็นชาถึงสองครั้ง ราชินีโมลี่ นางเอกชื่อดังในอดีตก็ประทับร่างทันที “สรุปคือไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง แกต้องพาเขามาเจอฉันวันคริสต์มาส ไม่งั้นก็ตัดแม่ตัดลูกกัน!” รุนแรงสุดๆ
“พ่อ” เหยียนข่ายก้าวยาวๆ เข้าห้องหนังสือก่อนยัดโทรศัพท์มือถือให้ แล้วเดินออกนอกห้องไป “แม่บอกว่ามีเรื่องด่วนจะคุยด้วย”
“ฮัลโหล” นายท่านเหยียนรับมือถือมา
“ฮัลหลง ฮัลโหลอะไร รีบคืนมือถือให้ลูกไปซะ ฉันไม่อยากคุยกับคุณ!” คุณนายเหยียนโหดเหี้ยมอำมหิต
นายท่านเหยียนเอ่ยอย่างตกใจ “ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยแท้ๆ!” ไม่ต้องทำท่ารังเกียจชัดเจนขนาดนี้ได้ไหม
แต่ดูเหมือนคุณนายเหยียนจะไม่แยแสเรื่องนี้
เพราะงั้นทั้งสองเลยต่อล้อต่อเถียงกัน
น่าสงสารจริงๆ
หลังจากผ่านไปหลายครั้ง ด้วยความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ ท้ายที่สุดนายท่านเหยียนก็ตกปากรับคำว่าจะช่วยลูกชายเกลี้ยกล่อมภรรยาของตัวเอง ส่วนโมลี่ที่ถูกโจมตีทั้งสองทางก็ยอมให้เลื่อนเวลาไปในที่สุด
ไม่ง่ายเลยจริงๆ
“จะเลื่อนไปเป็นเมื่อไหร่ครับ” ฟางเล่อจิ่งถามเขา
“อย่างน้อยรอให้หนังเข้าฉายก่อนแล้วกัน” เหยียนข่ายลูบศีรษะอีกฝ่าย “ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล”
“อื้อ” ฟางเล่อจิ่งมองเขาพร้อมรอยยิ้ม “ผมจะพยายามครับ”
“ไม่ง่วงจริงเหรอ” เหยียนข่ายมองเขา
“ไม่ง่วง” ฟางเล่อจิ่งซบบนอกอีกฝ่าย…ความจริงก่อนหน้านี้เขาเหนื่อยมาก แต่พอได้เห็นหน้าอีกคน กลับไม่อยากนอนเลยสักวินาที
“ก็ได้” เหยียนข่ายจูบลงบนหน้าผากเขาแล้วอุ้มขึ้นมา
ใบหูของฟางเล่อจิ่งร้อนผ่าวเล็กน้อย มองเขาด้วยดวงตาระยิบระยับ
วินาทีถัดมา เหยียนข่ายกลับวางเขาลงบนผ้าห่ม ส่วนตัวเองพลิกลงจากเตียง
แววตาของฟางเล่อจิ่งดูงุนงงเล็กน้อย
ทำไมไปแล้วล่ะ
เหยียนข่ายหยิบกล่องขนาดเล็กออกจากกระเป๋าเสื้อแล้วกลับมาที่เตียงก่อนสวมกอดเขาจากด้านหลัง “ฉันให้”
“อะไรเหรอครับ” ฟางเล่อจิ่งถาม
“เซอร์ไพรส์ที่เตรียมให้นายน่ะ” เหยียนข่ายยัดกล่องใบเล็กใส่มืออีกคน “ลองเปิดดูว่าถูกใจหรือเปล่า”
กล่องบรรจุสีแดงขนาดเล็กน่ารักและประณีต ฟางเล่อจิ่งใช้นิ้วหัวแม่มือสัมผัสกระดุมทองแดง ก่อนหันกลับมาอย่างแปลกใจ
“อีกครึ่งเดือนจะถึงวันเกิดนาย” เหยียนข่ายกดจูบลงบนหน้าด้านข้างของเขา แล้วหัวเราะเบาๆ ชิดริมหู “แต่ฉันคงไม่ได้อยู่ถึงตอนนั้น ที่บริษัทมีประชุมพอดี ฉันเลยต้องให้ของขวัญล่วงหน้า สุขสันต์วันเกิดนะ”
ฟางเล่อจิ่งหัวเราะ “ขอบคุณนะครับ”
“ลองเปิดสิ” เหยียนข่ายเกยคางบนลาดไหล่ของอีกฝ่าย “ฉันเลือกอยู่นานมาก ไม่อนุญาตให้ไม่ชอบ” เขานิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสริม “ไม่ชอบก็ต้องทำเป็นชอบ”
ที่สุดแห่งความเผด็จการจริงๆ
ถ้าเสิ่นตุ๊บป่องรู้เข้า ต้องอดคร่ำครวญว่า “เหมือนในนิยายจริงด้วย เขียนได้สมจริงสุดๆ” ไม่ได้แน่
[1] เทคนิคถ่ายภาพระยะใกล้เพื่อให้เห็นรายละเอียดต่างๆ ชัดเจนยิ่งขึ้น