Time Mover
타임무버
야스 ยาสึ เขียน
พัชรวดี ประเสริฐไพบูลย์ แปล
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
Time Mover ตอนที่ 1
ว่ากันว่าความตายมักมาในช่วงเวลาที่ไม่ได้คาดคิดเสมอ ต่อให้เป็นคนไข้ป่วยใกล้ตายก็ยังไม่รู้ว่าวันสุดท้ายของตัวเองจะเป็นวันนี้หรือพรุ่งนี้ ยิ่งถ้าต้องตายด้วยอุบัติเหตุ ไม่ใช่โรคภัยไข้เจ็บ แน่นอนว่าผู้เกี่ยวข้องและผู้คนรอบข้างย่อมต้องตื่นตกใจ
ผมทอดสายตามองใบหน้าที่อยู่ในรูปถ่ายอย่างนิ่งเงียบ
ผู้หญิงที่กำลังยิ้มอยู่ในกรอบรูปตรงนั้นเป็นใบหน้าที่ผมรู้จักเป็นอย่างดีและคุ้นเคยมาก ต่อให้หลับตาก็นึกออกทันที เธอคือแม่ของผม จนถึงเมื่อวานนี้แม่ยังยิ้มพร้อมถามว่า ‘กลับมาจากโรงเรียนแล้วเหรอ’ อยู่เลย แต่ทำไมตอนนี้ถึงไม่อาจเห็นใบหน้านั้นได้แล้ว กลับต้องมองดูจากรูปถ่ายแบบนี้
ผมหันหน้าไปมองพ่อที่นั่งพิงกำแพงเหมือนหมดแรง ใบหน้าของพ่อเต็มไปด้วยความสับสนคล้ายไม่รู้ว่าต้องทำใจยอมรับการตายอย่างกะทันหันของแม่ยังไง เมื่อจ้องมองใบหน้าที่ดูเหมือนแก่ลงสิบปีภายในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้นแล้ว ผมก็หันกลับไปมองแม่ที่อยู่ในกรอบรูปอีกครั้ง
ครอบครัวผมเคยเป็นครอบครัวที่รักใคร่กลมเกลียว
ตอนเด็กถึงบ้านเราจะไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็รักใคร่กันดี พอเข้าโรงเรียนประถมฐานะทางบ้านก็ลำบากขึ้น เพราะพ่อเริ่มทำธุรกิจใหม่ แต่พวกเราต่างก็เป็นกำลังใจให้กัน จะเรียกว่าเป็นครอบครัวต้นแบบเลยก็ว่าได้ ตอนเข้าโรงเรียนมัธยมต้น ธุรกิจของพ่อเริ่มเข้าที่ และในตอนที่ธุรกิจเริ่มขยับขยายใหญ่จนเรียกได้ว่าเป็นธุรกิจขนาดกลาง พ่อก็เริ่มกลับบ้านดึกขึ้นเรื่อย ๆ แต่ผมก็ไม่ได้มีปัญหาทางบ้านเพราะเรื่องนั้น และแม้แต่ช่วงนี้ที่สถานการณ์บริษัทไม่ค่อยดี ทำให้บางทีพ่อก็อารมณ์เสียมากหรือโวยวายเสียงดังอย่างหงุดหงิดบ่อย ๆ ตอนอยู่ที่บ้าน แม่ก็จะหัวเราะพร้อมบอกว่าพ่อเหนื่อย แม่เข้าใจและพยายามทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย ไม่มีแม้แต่การเถียงกันระหว่างพ่อกับลูกชายหรือการทะเลาะกันของสามีภรรยาอย่างที่เห็นได้ทั่วไปเป็นปกติในครอบครัวอื่น
หรือเป็นเพราะไม่เคยมีปัญหาอะไรเลยหรือเปล่า ความทุกข์ทรมานแบบนี้เลยมาหาผมแทน ถ้าจะเป็นแบบนั้น สู้ให้ทะเลาะกัน เถียงกันเสียงดังเหมือนครอบครัวอื่นยังดีเสียกว่า การตายของใครสักคนในครอบครัวเป็นความเจ็บปวดที่ต่างจากความยากจนหรือความขัดแย้งในครอบครัวมาก
– ลูกชายของฉันเป็นเด็กกตัญญูค่ะ
แม่พูดอย่างภูมิใจและยิ้มเขินอายเป็นประจำ
– จนถึงตอนนี้ก็ไม่เคยสร้างปัญหาสักครั้ง ไม่มีเรื่องที่ทำให้ต้องกังวลด้วย ไม่เคยต้องสั่งให้ตั้งใจเรียนก็ตั้งใจด้วยตัวเอง ไม่ได้บังคับให้เรียนพิเศษหรือส่งไปโรงเรียนกวดวิชา แต่ก็เรียนได้ดีโดยไม่ต้องเป็นห่วง ถึงขนาดที่บางครั้งก็ลืมไปเลยว่าตัวเองกำลังเลี้ยงลูกอยู่เลยละค่ะ
แม้ว่าแม่จะทำเป็นเหมือนไม่ได้ภาคภูมิใจตอนพูด แต่แม่ก็ทำหน้าอิ่มอกอิ่มใจเสมอ เวลาที่แม่ให้ผมยืนอยู่ข้าง ๆ แล้วพูดแบบนั้นให้พวกคุณป้าในหมู่บ้านฟัง ผมกลับเก้อเขินยิ่งกว่า ถ้าสะกิดสีข้างเพื่อส่งสัญญาณบอกให้หยุดพูด แม่ก็มักจะขยิบตาให้ผมและยิ้มเล็กน้อย
ถึงแม้ว่าแม่จะพูดแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้มีสิ่งใดที่ผมทำดีถึงขั้นควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกกตัญญูเลย ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ผมจะทำดีให้มากกว่านี้
คนที่คิดแบบนั้นคงไม่ได้มีแค่ผมคนเดียว พ่อที่ช่วงนี้กลับบ้านดึกและเอาแต่หงุดหงิดบ่อย ๆ เวลาอยู่ที่บ้านก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดเหมือนกัน ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้คงจะทำดีให้มากกว่านี้อีกหน่อย พ่อคงกำลังคิดแบบนั้นอยู่เหมือนกัน
พ่อควรจะทำดีกับแม่ให้มากกว่านี้นะครับ เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่แม่ก็จะพูดว่า ‘สามีของฉันดีที่สุด ลูกของฉันดีที่สุด’ และให้ตัวเองสำคัญรองลงมาเป็นที่สามเสมอ แม่ไม่เคยให้ตัวเองเป็นที่หนึ่งเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่แม่กลับพบกับความตายเป็นคนแรกสุด เรื่องแบบนี้ไม่ต้องเป็นอันดับแรกจะดีกว่า
ผมใช้แขนเสื้อเช็ดแก้มที่น้ำตากำลังไหลลงมาอย่างลวก ๆ แล้วจ้องมองไปยังใบหน้าที่อยู่ในรูปถ่าย
ทำไมแม่ต้องไปซูเปอร์มาร์เก็ตในเวลานั้น ทำไมต้องไปเดินอยู่ที่ถนนตรงนั้น ทำไมต้องเป็นเวลานั้นและทางนั้น
แม่น่าจะฟังคำพูดของพ่อที่บอกว่าอยากดื่มเบียร์เย็น ๆ สักกระป๋องแบบผ่าน ๆ แต่แม่กลับรับฟังคำพูดนั้นแล้วไปหาเสื้อโค้ตมาใส่ทันที แม้ว่าแม่จะมองค้อนพ่อและถามว่า จะอยากดื่มเบียร์อะไรในวันอากาศหนาวแบบนี้ แต่ก็หยิบกระเป๋าสตางค์ออกจากบ้านไปโดยไม่บ่นว่าขี้เกียจหรือไม่อยากไป
ผมถามแม่ว่าให้ผมไปแทนไหม แม่ก็ตอบมาว่าอากาศหนาวจะออกไปทำไมพลางโบกมือปฏิเสธ แม้อากาศจะหนาวเกินกว่าจะให้ลูกออกไป แต่ตัวเองกลับทำหน้าตาแน่วแน่ที่จะออกไป อีกทั้งยังถามว่า อยากกินอะไรไหม ซื้อของกินเล่นมาให้ดีไหม เพราะกลัวจะหิวตอนดึก ถึงผมบอกว่าจะไปแทนในตอนแรก แต่จริง ๆ ก็ไม่ได้อยากออกไปอยู่แล้ว เลยโบกมือส่ง ๆ ปล่อยให้แม่ออกไป
ถ้าหากไม่ใช่แม่ แต่เป็นผมที่ออกไป คงจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้หรือเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้น ตอนนี้จะกำลังมองหน้าแม่แทนรูปถ่ายของแม่หรือเปล่า ผมก้มหน้าที่น้ำตากำลังไหลพิงลงบนบ่าของพ่อโดยที่ยังหาคำตอบไม่ได้
“ยอง ไปพักหน่อยเถอะ”
พ่อพูดด้วยเสียงแหบแห้งพร้อมลูบหัวผม ทันทีที่ผมส่ายหัวอย่างไร้เรี่ยวแรง พ่อก็เดาะลิ้นแล้วจับบ่าผมให้เงยหน้าขึ้น
“ไปงีบสักหน่อยเถอะ ไม่งั้นเดี๋ยวจะเป็นลมไป”
“ใช่ เข้าไปนอนในห้องพักเจ้าภาพสักหน่อยเถอะ หน้าซีดหมดแล้ว”
น้าที่ไปตักของกินเล่นใส่จานฟอยล์มานิดหน่อยแล้วกลับมาวางจานลงพร้อมกับพูดเสริมคำพูดของพ่อ ผมส่ายหัวอีกครั้ง แต่น้าดึงผมให้ไปที่ห้องพัก ผมเดินโซเซเข้าไปในห้องพักนั้น ไม่มีแรงแม้แต่จะสะบัดมือของผู้หญิงออก น้าปูเบาะนอนบนพื้นให้ แล้วดึงมือผมให้นั่งลงบนนั้น
“งีบสักหน่อย ถ้าหลานเป็นลมขึ้นมา แม่ของหลานจะหลับตาลงได้อย่างสบายใจเหรอ”
น้ายิ้มเล็กน้อยพร้อมเสยผมของผมขึ้นให้ แต่รอยยิ้มนั้นดูแห้ง ๆ ไม่รู้ว่ากำลังยิ้มหรือร้องไห้
“ถึงจะเสียใจและเหนื่อยยังไงก็ต้องมีสติ ถ้ามัวแต่สติหลุดอยู่แบบนี้จะมีอะไรดีขึ้นมา”
น้าให้ผมนอนลงและเอาหมอนมารองใต้หัว หลังจากนั้นก็ดึงผ้าห่มมาห่มให้ แล้วน้าก็ถอนหายใจ
“งีบสักหน่อย ได้หลับสักแป๊บหนึ่งแล้วค่อยตื่นก็ยังดี เข้าใจไหม ตื่นมาแล้วก็ไปหาอะไรกินสักหน่อยนะ”
น้าตบหน้าอกผมเบาๆ ประมาณสองครั้งแล้วลุกขึ้น จากนั้นก็หันมามองผมครั้งหนึ่งก่อนปิดไฟ ตามด้วยปิดประตูเบา ๆ เสียงดังหนวกหูหายไปในทันทีราวกับถูกสกัดกั้น ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย และมืดจนมองไม่เห็นอะไรเลย ไม่รู้กระทั่งว่าผมลืมตาหรือหลับตาอยู่
ตอนแรกไม่แน่ใจว่าในสถานการณ์แบบนี้จะนอนหลับหรือเปล่า แต่พอหลับตาอยู่ในความมืดก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว
ถ้าหลับไปแล้วตื่นขึ้นมาอาจจะมีอะไรเปลี่ยนไปก็ได้ ความเศร้าของผมจะหายไป และทุกอย่างที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพียงความฝัน พ่อจะกลับมาที่บ้านแล้วบ่นจุกจิกเพราะธุรกิจกำลังลำบาก ส่วนแม่ก็ยิ้มด้วยสีหน้าที่เข้าอกเข้าใจเหมือนเดิม
ทว่าตอนที่ลืมตาขึ้นมาแล้วเผชิญหน้ากับความมืด ทำให้รู้ว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนไปทั้งนั้น
ผมยกมือขึ้นมาแล้วใช้ฝ่ามือปิดหน้า ความอัดอั้นเอ่อล้นในอก ความเป็นจริงที่ไม่อยากยอมรับ แต่ไม่ว่ายังไงความจริงก็ไม่เปลี่ยนแปลง
ผมยันมือแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น ร่างกายแข็งทื่อไปชั่วครู่ สัมผัสของหมอนที่รู้สึกจากใต้ฝ่ามือต่างจากเดิม จำได้ว่าปูเบาะนอนและหลับไปในห้องพักเจ้าภาพ แต่ตอนนี้กลับนอนอยู่บนเตียง อะไรกัน ระหว่างหลับพ่อพาผมออกมาจากงานศพกลับมาที่บ้านเหรอ ไม่ใช่หรอก ต่อให้หลับสนิทราวกับหมดสติยังไง แต่ไม่มีทางที่จะไม่รู้ตัวว่ามีคนพาออกมาขนาดนั้น
ผมยืดตัวขึ้นแล้วลงจากเตียงในความมืด คงจะมีผ้าม่านกันแสงปิดอยู่ จึงไม่มีแม้แต่แสงจันทร์ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง มองเห็นแสงสลัวส่องเข้ามาทางช่องประตูซึ่งเป็นแสงที่มาจากที่ที่เดาว่าน่าจะเป็นห้องนั่งเล่น ผมเดินอย่างระวังไปจับลูกบิดประตูแล้วหมุน
ประตูเปิดออกโดยไม่มีเสียง พอก้าวออกมาจากห้องนอนหนึ่งก้าวก็หยุดการเคลื่อนไหวเพราะรูปลักษณ์ของบ้านที่แปลกตา ไม่เคยเห็นมาก่อนแม้แต่ครั้งเดียว ที่นี่คือที่ไหน เป็นที่ที่ไม่เคยมาและไม่อยู่ในความทรงจำ น่าจะเป็นที่ที่มีคนอยู่อาศัยแน่ ๆ แต่ไม่รู้ว่าผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
ผมก้าวเท้าเดินอย่างระมัดระวังอีกครั้ง ห้องนั่งเล่นมืดและรกมากราวกับเคยมีพายุไต้ฝุ่นพัดผ่าน ตู้โชว์คว่ำอยู่บนพื้น กระจกก็แตก เศษกระจกกระจายทั่วห้องนั่งเล่น โซฟาที่ดูราคาแพงก็ขาดจนนุ่นหลุดออกมา สภาพดูไม่น่านั่งได้แล้ว
หันไปมองห้องครัวที่มีแสงไฟสลัวส่องออกมาคล้ายว่าเปิดไฟทิ้งไว้ แกร๊ก เสียงแก้วที่ดังขึ้นทำลายความเงียบทำให้รู้ว่ามีคนอยู่ ผมค่อย ๆ เดินไปทางห้องครัวทีละก้าวอย่างระมัดระวัง
“ตื่นแล้วเหรอ”
ตอนแรกคิดว่าจะแอบดูว่ามีใครอยู่ แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายจะไวต่อการเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อยและรู้ตัวทันที เสียงผู้ชายที่จู่ ๆ ก็ดังขึ้นทำให้ผมตกใจหลบหลังกำแพง พอพักหายใจครู่หนึ่งก็คิดขึ้นได้ว่าไม่มีเหตุผลต้องหลบ เพราะยังไงก็ถูกจับได้แล้ว เลยยื่นหน้าเข้าไปในห้องครัวอีกครั้ง เป็นผู้ชายที่เพิ่งเคยเห็นครั้งแรก ดูจากท่าทางน่าจะอายุประมาณยี่สิบตอนปลายหรือไม่ก็สามสิบตอนต้น ผู้ชายคนนั้นใส่ชุดสูท แค่ไม่ได้สวมเสื้อสูทตัวนอก เขารินเหล้าใส่แก้วแล้วดื่มด้วยสีหน้าที่ดูเหนื่อยล้านิดหน่อย หันมามองผมแล้วยกยิ้มมุมปาก
“คงไม่มีทางที่นายจะสำนึกผิดอยู่แล้ว ครั้งนี้ก็คงคิดว่าจะทำให้ฉันซวยยังไงอีกบ้างใช่ไหมล่ะ”
เป็นการตำหนิ ผู้ชายที่เพิ่งเคยเจอครั้งแรกกำลังพูดราวกับรู้จักผมดีอย่างน่าแปลกใจ ผมมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ แต่ก็เป็นคนที่ไม่ได้อยู่ในความทรงจำจริง ๆ
“มานี่มา ดื่มสักแก้วสิ”
ผู้ชายคนนั้นดื่มเหล้าในแก้วที่ถืออยู่จนหมด จากนั้นก็รินเหล้าสีน้ำตาลลงไปครึ่งแก้วแล้วยื่นมาให้ผม คงไม่ได้ยื่นมาให้ดื่มจริง ๆ ใช่ไหม ผมมองเขาอย่างงุนงง เมื่อรู้ว่าเขาพูดจริงก็ส่ายหัว
“แค่…น้ำเปล่าก็พอครับ”
ผู้ชายคนนั้นมองมาด้วยสีหน้าสับสนนิดหน่อยเพราะคำพูดของผม จากนั้นก็ลุกขึ้นไปเติมน้ำที่เครื่องกรองน้ำมาหนึ่งแก้ว เขาวางแก้วลงข้างแก้วเหล้าแล้วมองผมด้วยแววตาเหมือนกำลังครุ่นคิด ทำให้ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเดินไปหน้าโต๊ะ
ผมยื่นมือออกไปจับแก้วน้ำยกขึ้นพลางมองผู้ชายคนนั้น รอยย่นผุดขึ้นที่หว่างคิ้วของเขาเหมือนกำลังจมอยู่กับความคิดโดยไม่ละสายตาจากผม เมื่อแก้วน้ำแตะที่ปาก ริมฝีปากก็เปียกชุ่มด้วยน้ำเย็น เย็นมากจนแทบเวียนหัว แต่ก็หอมหวานสุด ๆ ผมดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว หลังจากยังลังเลครู่หนึ่ง ก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามผู้ชายคนนั้นอย่างระมัดระวัง
เป็นสถานการณ์ที่ไม่เข้าใจอะไรเลย ทำให้มีเรื่องสงสัยมากมาย ผมกำลังคิดหาคำพูดอยู่ ผู้ชายคนนั้นก็ยังคงจ้องมองผมโดยไม่พูดอะไรเหมือนเดิม
“ที่นี่อยู่ใกล้งานศพไหมครับ ผมต้องกลับไป พ่อพาผมมาที่นี่เหรอครับ”
ผมเหลือบมองนาฬิกาบนข้อมือของผู้ชายคนนั้น เป็นช่วงเช้ามืดแล้ว ตอนเช้าจะต้องเคลื่อนศพไปที่หลุมฝังศพ จึงต้องกลับไปถึงที่งานก่อนหน้านั้น
“พูดพล่ามเรื่องอะไร”
สีหน้าของผู้ชายคนนั้นน่ากลัวขึ้นมาทันทีจากที่เคยนิ่งเฉย พอคิดว่าผมพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า จึงลองคิดทบทวนคำที่เพิ่งพูดออกไปเมื่อกี้ แต่ก็ไม่มีเนื้อหาส่วนใดที่น่าจะทำให้เขาอารมณ์เสียเลย
“ผมเป็นเจ้าภาพงานศพครับ ไม่ควรออกมานอกงานนานขนาดนี้”
“ซอมุนยอง”
ชื่อของผมที่ออกมาจากปากผู้ชายคนนั้นทำให้ผมมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง
“นี่เป็นเกมใหม่รึไง”
เหอะ ผู้ชายคนนั้นส่งเสียงแสดงความหงุดหงิดพร้อมมองผมด้วยสายตาดุดัน
“ผมบอกว่าผมต้องกลับไปที่งานศพไงครับ ผมนอนพอแล้ว เพราะงั้นให้ผมไปสักทีเถอะครับ”
พ่อคงฝากไว้ว่าให้ผมมานอนที่นี่ แต่ผมนอนพอแล้วอย่างที่พูด ไม่มีความรู้สึกอยากอยู่ที่นี่ต่อ มีแค่ความรู้สึกอยากกลับไปที่งานศพเท่านั้น
“…งานศพของใคร”
ถามเพราะไม่รู้จริง ๆ เหรอ หรือแค่จะพูดจาเล่นลิ้นกันแน่ ผมจ้องผู้ชายคนนั้นด้วยสีหน้าบึ้งตึงไม่แพ้สีหน้าหงุดหงิดของเขา
“งานศพแม่ผมครับ ตอนเช้าจะต้องเคลื่อนศพไปที่สุสาน เพราะงั้นผมต้องกลับไปตอนนี้”
แววตาของผู้ชายคนนั้นสั่นไหวกับคำพูดของผม เวรเอ๊ย เขาสบถคำหยาบออกมาพลางจ้องหน้าผมราวกับกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง ดูไม่มีทีท่าว่าจะลุกจากเก้าอี้ คงไม่คิดที่จะไปส่ง ถ้าอย่างนั้นถึงต้องกลับเองยังไงผมก็ต้องกลับไป
พอลุกจากเก้าอี้ จู่ ๆ ก็เพิ่งรู้ตัวว่าเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ไม่ใช่ชุดเดิม จำได้แม่นว่าตอนแรกใส่ชุดสูทสีดำแน่นอน แต่ตอนนี้กลับเป็นชุดนอนผ้าไหมสีฟ้า คงมีคนเปลี่ยนชุดนอนให้ด้วย ไม่อยากเชื่อว่าระหว่างที่ถูกพาตัวจากงานศพมาที่นี่ อีกทั้งตอนถูกเปลี่ยนชุดให้ก็ยังไม่รู้สึกตัว แย่มากจริง ๆ
“ชุดของผมอยู่ไหนครับ”
ผู้ชายคนนั้นดูเหมือนไม่คิดจะตอบ เขาหยิบแก้วเหล้ายกดื่มและพิงตัวกับพนักเก้าอี้ จากนั้นก็เอียงคอ เอาแต่มองผมอย่างเดียว
“ผมขอยืมค่าแท็กซี่หน่อยนะครับ เดี๋ยวผมให้พ่อคืนให้ทีหลัง”
ผู้ชายคนนั้นไม่ตอบอะไรเลยราวกับกลายเป็นคนใบ้ไปชั่วขณะ เหมือนกับผู้ชมที่กำลังชมละครเวทีอยู่ ทำให้รู้สึกเหมือนตัวผมที่อยู่ตรงหน้ากลายเป็นนักแสดงตลกที่ขึ้นโชว์เดี่ยว
“ไม่รู้จริง ๆ ว่านายคิดอะไรอยู่กันแน่”
ในที่สุดเขาก็ยอมพูดสักทีหลังจากเงียบไปสักพัก แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่เหมือนกันนั่นแหละ ไม่รู้เลยว่าเขาพูดแบบนี้เพราะมีแผนการอะไรกันแน่ คิ้วผมขมวดโดยอัตโนมัติ
“จะพูดให้ฟังอีกครั้งนะครับ ผมเป็นเจ้าภาพจัดงานศพ เพราะงั้นไม่ควรหายไปจากงานนาน และตอนเช้าก็จะต้องย้ายศพไปที่สุสาน ผมต้องกลับไปตอนนี้ ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ก็เถอะ แต่ถ้าผมไม่เปลี่ยนชุดแล้วกลับไปตอนนี้อาจจะไปสายก็ได้”
“ไม่คิดว่าช้าเกินไปแล้วรึไง”
ที่บอกว่าช้าเกินไปหมายถึงการมาเร่งเขาในช่วงเวลาแบบนี้เพื่อไปงานศพหรือเปล่า แต่เขาก็ไม่ได้นอนอยู่ สภาพกำลังตื่นอยู่เต็มตา อาจจะเช้าเกินไปสำหรับการเดินทาง แต่ผมก็ไม่ได้ขอให้ผู้ชายที่กำลังดื่มเหล้าไปส่งสักหน่อย ผมแค่ถามถึงชุดของตัวเองแล้วก็ยืมค่ารถแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง
“แค่ให้ผมยืมค่ารถ…”
“แล้วนายจะไปไหน”
“ผมบอกไปแล้วนี่ครับว่าต้องไปงานศพแม่ ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมคุณถึงเป็นแบบนี้”
“ฉันต่างหากที่ไม่เข้าใจว่าทำไมนายถึงเป็นแบบนี้”
ผู้ชายคนนั้นใช้มือกดที่หว่างคิ้วพร้อมกับพูดอย่างเหนื่อยล้า
“กำลังเลียนแบบคนสติไม่ดีรึไง หรือว่าความจำเสื่อม”
“ผมไม่มีอารมณ์จะล้อเล่น…”
“ฉันต่างหาก! ที่ต้องพูดแบบนั้น”
ผมตั้งใจจะพูดโดยแฝงความไม่พอใจแล้วนะ แต่ผู้ชายคนนั้นกลับขึ้นเสียงขัดคำพูดของผม ไม่รู้เหตุผลที่ผู้ชายคนนั้นโมโหเลยจริง ๆ ผมมองเขาด้วยสีหน้าตกใจ ฮู่ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่เหมือนกำลังพยายามระงับโทสะ
“แม่ของนายตายไปแล้วเมื่อสี่ปีก่อน ต่อให้นายไปตอนนี้ก็ไม่มีงานศพ ไม่มีการเคลื่อนศพ ไม่มีอะไรทั้งนั้น”
ผมไม่เข้าใจคำพูดของผู้ชายคนนั้นแม้แต่คำเดียว บอกว่าเมื่อสี่ปีก่อนงั้นเหรอ เป็นไปไม่ได้ เป็นคำพูดที่เหลวไหลมาก แต่ก็ไม่ได้พูดออกไปว่า อย่าเอาเรื่องแบบนี้มาโกหกหรือล้อเล่นสิครับ
คิดว่าไม่ควรสนใจแล้วออกจากที่นี่ไปขึ้นแท็กซี่ดีกว่า พอไปถึงงานศพค่อยเรียกพ่อออกมาจ่ายเงินให้ก็ได้ หรือถ้าไม่ได้ก็เดินกลับไปเสียเลยแล้วกัน พอคิดแบบนั้นผมก็วิ่งออกไปทางประตูบ้าน แต่แปลกตรงที่เปิดประตูไม่ได้ ด้านในมีกลอนประตูดิจิทัลติดอยู่ ต้องกดรหัสถึงจะเปิดได้
ผมมองปุ่มกดรหัสอย่างรู้ว่าหมดหนทางแล้วหันไปมองผู้ชายคนนั้น เขานั่งเฉยด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าทีนี้จะทำยังไงดีล่ะ เขาเป็นคนที่แปลกมาก ผมรู้สึกไม่ชอบขึ้นมาโดยสัญชาตญาณอย่างบอกไม่ถูก โทรศัพท์ล่ะ โทร.ไปหาพ่อดีกว่า ผมหันกลับไปทางห้องนั่งเล่น แล้วก็เห็นโทรศัพท์ที่พังกระจายอยู่บนพื้นห้องนั่งเล่นซึ่งรกไม่เป็นระเบียบ ลองต่อสายโทรศัพท์แล้วยกหูขึ้น แต่ไม่ได้ยินเสียงสัญญาณเลย
“คุณ…ลักพาตัวผมมาเหรอครับ”
ผมหันไปมองผู้ชายคนนั้นแล้วถาม เขาถึงกับส่งเสียง เหอะ แล้วขำออกมาเพราะคำถามของผม
“ให้มันน้อย ๆ หน่อย”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ปล่อยผมไปเถอะครับ ผมต้องไปงานศพ”
ไม่รู้ว่าเสียงเริ่มสั่นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ตอนพูดต้องกลั้นเสียงสะอื้นที่ขึ้นมาจุกตรงคอ ทันใดนั้นเขาก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า
“ซอมุนยอง ซอมุนยอง ซอมุนยอง”
เขาเรียกชื่อผมถึงสามครั้ง เป็นการเรียกที่ใกล้เคียงกับการพึมพำเหมือนไม่ได้ตั้งใจเรียกผมจริง ๆ
“ตอนเช้าต้องเคลื่อนศพแม่ไปที่สุสาน ผมต้องไปงานศพ”
ผมพูดพลางใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมา ผู้ชายคนนั้นถอนหายใจพร้อมลุกจากเก้าอี้ ผมตกใจจึงผงะถอยหลังไปเหยียบเศษแก้วที่อยู่บนพื้นจนร้องออกมาสั้น ๆ ขณะเดียวกันผู้ชายคนนั้นก็วิ่งเข้ามาหาผมทันที
“ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร แล้วก็จะไม่แจ้งความด้วย แค่ปล่อยผมไปเถอะครับ”
เลือดไหลหยดลงพื้น ผู้ชายคนนั้นนั่งคุกเข่าตรงหน้าผม เขาจับเท้าข้างที่เลือดกำลังไหลยกขึ้น ผมจึงต้องจับไหล่ของเขาไว้โดยอัตโนมัติเพื่อทรงตัวขณะกำลังเอนจะล้ม
“เงียบเถอะ เลือดไหลแล้ว”
“ผมต้องไปจริง ๆ ครับ”
จากที่ก้มมองพื้น ผู้ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมามองผม เขาหรี่ตาเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง สายตาที่จับจ้องมาของเขาทำให้ถึงกับหายใจไม่ออก จิ๊ เขาเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจอีกครั้ง
ผู้ชายคนนั้นลุกยืนแล้วอุ้มผมขึ้นมาด้วย ถึงแม้ว่าผมจะเจริญเติบโตค่อนข้างช้า แต่ยังไงก็เป็นผู้ชายที่อายุสิบเก้าปีแล้ว แต่เขากลับอุ้มผมได้อย่างง่ายดายแล้วเดินเข้าไปในห้องที่ผมเพิ่งออกมาเมื่อกี้ แต๊ก เสียงเปิดไฟดังขึ้น จากนั้นเขาก็วางผมลงบนเตียง ก่อนจะออกไปที่ห้องนั่งเล่น ครู่หนึ่งก็กลับเข้ามา ในมือของเขามีกล่องปฐมพยาบาลสีขาว
“คิดยังไงถึงเดินไปเหยียบแก้ว”
เขาพูดหลังจากยกฝ่าเท้าของผมขึ้น เอาหน้าเข้ามาใกล้จนเกือบจะโดนจมูกอยู่แล้ว เมื่อลมหายใจของเขาเป่ารดลงที่ฝ่าเท้า นิ้วเท้าก็พลันหงิกงอโดยอัตโนมัติทันที
“ฉันจะเอาแก้วออก อย่าขยับ”
ผู้ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน จากนั้นก็เอาแหนบในมือเขี่ยแผล อึก ผมร้องออกมาและตัวแข็งทื่อ รู้สึกได้ถึงความเจ็บและความร้อนระอุที่ไต่ขึ้นมาถึงใบหน้า
“คงต้องเย็บแผล”
“อ๊ะ เจ็บ!”
ผมร้องตะโกนเสียงดัง กำผ้าปูที่นอนแน่น เพราะผู้ชายคนนั้นเทยาฆ่าเชื้อที่เท้าผมรวดเดียว พยายามจะสะบัดเท้าออกจากมือของผู้ชายคนนั้น แต่เขาคว้าข้อเท้าของผมไว้ได้ก่อน ฟู่ เขาเป่าลมออกมาทำให้ความเจ็บบรรเทาลง แต่ก็ยังรู้สึกแสบร้อนเหมือนเดิม
เขาแปะผ้าก๊อซปิดบริเวณแผลแล้วพันผ้าพันแผลอย่างชำนาญ ผมนิ่งเงียบมองการกระทำของเขาโดยไม่พูดอะไรสักคำ เขาปิดกล่องปฐมพยาบาลแล้วลุกขึ้น เดินไปทางตู้เสื้อผ้าที่อยู่มุมหนึ่งของห้อง
“แปลกใหม่ดีนะ”
เมื่อเทียบกับห้องนั่งเล่นรก ๆ ห้องนี้ถือว่าสะอาดมากทีเดียว ไม่สิ อาจเป็นเพราะไม่มีอะไรให้รกก็ได้ เนื่องจากในห้องนี้มีแค่เตียงเดี่ยวหนึ่งหลังกับตู้เสื้อผ้าหนึ่งตู้
“แปลกใหม่มากจริง ๆ ไม่รู้ว่าครั้งนี้นายจะมาไม้ไหนอีก…แต่จะเล่นตามน้ำด้วยก็ได้”
ผู้ชายคนนั้นยิ้มเยาะ พึมพำเสียงดังเกินกว่าจะบอกว่าเป็นการพูดคนเดียว แต่ก็เบาเกินกว่าจะบอกว่าพูดกับผม
“ใส่ซะ”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาและโยนเสื้อโค้ตที่หยิบออกมาจากตู้เสื้อผ้าให้ผม
เขาอุ้มผมขึ้นเหมือนกับตอนพามาที่ห้องนี้ แล้วเปิดประตูบ้านที่ผมพยายามจะออกไปแต่เปิดไม่ได้ จากนั้นก็ออกไปข้างนอก ตอนแรกนึกว่าเป็นบ้านธรรมดา ไม่สิ คิดว่าเป็นบ้านที่ค่อนข้างกว้าง ความจริงเป็นบ้านก็ถูกต้องแล้ว แต่ไม่ธรรมดา และก็ไม่ได้คับแคบ ข้างนอกมีบ้านอีกหลังที่กว้างยิ่งกว่า ดูเหมือนว่าฝั่งนั้นจะเป็นบ้านหลัก ส่วนตรงนี้เป็นบ้านหลังเล็กที่แยกออกมา
ถึงจะเป็นช่วงเช้ามืดแต่หลายจุดในบ้านเปิดไฟอยู่ มองเห็นคนที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่บ้าง แต่ไม่ได้สบตากับใคร
ผู้ชายคนนั้นอุ้มผมเดินไปขึ้นรถคันหนึ่งในบรรดารถที่จอดเรียงแถว พอวางผมลงที่เบาะข้างคนขับ เขาก็ขึ้นไปนั่งที่ฝั่งคนขับแล้วสตาร์ตรถ เขายังทำหน้าโมโหเหมือนเดิม เพราะแบบนั้นผมก็เลยไม่กล้าถามออกมาว่า ดื่มเหล้าแล้วขับรถได้ด้วยเหรอครับ ผมนั่งที่เบาะข้างคนขับอย่างเรียบร้อย ลูบกระดุมด้านหน้าเสื้อโค้ตที่คลุมอยู่บนตัว
“เมื่อกี้…คุณพูดเล่นใช่ไหมครับ”
ตอนนี้เป็นเวลารุ่งสาง เพราะเป็นฤดูที่ก้ำกึ่งระหว่างฤดูหนาวกับฤดูใบไม้ผลิ ทำให้ถึงจะเป็นช่วงรุ่งสางแต่ก็ยังมืดเหมือนเดิม รถออกมานอกประตูรั้วแล้ววิ่งเข้าสู่ถนนกว้างในไม่ช้า ผมหันไปถามผู้ชายคนนั้นจากตอนแรกที่มองทางมืดสนิทซึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วนอกหน้าต่างด้วยสีหน้านิ่งเฉย
“อะไร”
“ที่คุณบอกว่าผ่านไปสี่ปีแล้ว”
ไม่รู้ว่าพูดแบบนั้นเพราะรำคาญหรือเพราะจะไม่ปล่อยผมไป แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะโกหกเรื่องเหลวไหลได้ขนาดนั้น คิดอีกทีก็ไม่มีเหตุผลที่ผู้ชายคนนั้นต้องไม่อยากปล่อยผมไปสักหน่อย อาจเป็นเพราะรำคาญก็ได้ แต่ดูจากที่สุดท้ายก็ให้ผมขึ้นรถแล้วขับให้ด้วยตัวเองแบบนี้ ก็เหมือนไม่น่าจะรำคาญถึงขั้นโกหกแบบนั้น ทำไมเขาถึงพูดแบบนั้นกันแน่
“ฉันจะโกหกแบบนั้นไปเพื่ออะไร”
“ผมถึงได้ถามไงครับ”
ผมพูดเหมือนต่อว่าผู้ชายคนนั้นที่ย้อนถาม
“คุณไม่ใช่…พนักงานบริษัทพ่อผมใช่ไหมครับ”
คนที่เป็นพนักงานบริษัทคงไม่อยู่บ้านหรูขนาดนั้น เงินเดือนเดือนหนึ่งยังไม่พอแม้แต่ค่าบำรุงรักษาบ้านหลังนั้นแน่นอน ผู้ชายคนนั้นจิ๊ปากแสดงความไม่พอใจแทนการตอบคำถามของผม
เขาไม่พูดอะไรเลย ไม่ว่าจะถามอะไรก็คงไม่ตอบตามตรงแน่นอน ผมจึงเลิกถามแล้วมองผู้ชายคนนั้นเงียบ ๆ
ดูอายุไม่เยอะเท่าไหร่ น่าจะประมาณสามสิบ คิ้วที่เข้มกับดวงตาคมทำให้ภาพลักษณ์ดูดุนิดหน่อยก็จริง แต่ใบหน้าโดยรวมดูสุภาพสบายตา อาจเป็นเพราะอายุยังไม่เยอะใบหน้าจึงไม่มีริ้วรอยเลย ไม่สิ มีรอยที่หว่างคิ้วเพราะทำหน้าบึ้งตึงตั้งแต่เมื่อกี้ยังไม่หายอย่างกับรอยสัก ผิวก็ดี ไม่มีสิวสักเม็ด แม้หน้าตาดูเหนื่อยล้านิดหน่อยแต่ก็ไม่แย่ เห็นตอนยืนขึ้นตัวก็เหมือนจะสูง แรงเยอะถึงขนาดอุ้มผู้ชายอายุสิบเก้าเดินได้สบาย ๆ เห็นกล้ามเนื้อแขนที่แน่นตึงอยู่ใต้แขนเสื้อเชิ้ตขาวแล้ว หุ่นก็คงจะดีด้วย
มองแค่แวบเดียว คำเรียกอย่างลูกชายเศรษฐีหรือไฮโซก็ผุดขึ้นมาเลย ผมยังคงมืดแปดด้านว่าตัวเองลืมตาตื่นขึ้นมาในบ้านของผู้ชายคนนี้ได้ยังไง
“จ้องอะไรขนาดนั้น ทำอย่างกับคนเพิ่งเคยเจอครั้งแรกไปได้”
ทั้ง ๆ ที่มองด้านหน้าตลอด แต่ก็ยังรู้สึกว่ามีคนมองสินะ
“ก็เพิ่งเคยเจอครั้งแรกจริง ๆ นี่ครับ”
“ทำตัวแปลกไม่หยุดจริง ๆ”
ผู้ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงปนตำหนิอย่างกับผมกำลังโกหก ก็เพิ่งเคยเห็นหน้าครั้งแรกจริง ๆ นี่นา คำพูดของผมก็แฝงความหมายนั้นตลอด แต่เขาทำเหมือนผมกำลังพูดจาไร้สาระ ต่อให้บอกเขาอีกรอบว่าเพิ่งเคยเห็นหน้าครั้งแรกจริง ๆ ก็ไม่คิดว่าจะได้คำตอบอื่นกลับมา จึงเลือกปิดปากเงียบแทนคำตอบเหมือนกับที่เขาเคยทำ