Time Mover
타임무버
야스 ยาสึ เขียน
พัชรวดี ประเสริฐไพบูลย์ แปล
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
“เมื่อวานได้ยินเรื่องจากหมอยุนว่าอาการของเธอแปลกนิดหน่อย”
หมอยุน คงจะหมายถึงคุณหมอที่เจอเมื่อวาน ที่บอกว่าอาการแปลกคือยังไง ผมเอียงคอด้วยความสงสัย สายตาของชายสูงวัยเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นภายในพริบตา
“อายุฉันไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว มีชีวิตอยู่มานาน พบเจอเรื่องมากมาย เห็นคนมาเยอะ แล้วก็ได้รู้อะไรเยอะแยะ ตอนนี้บางทีก็มองอนาคตออกคร่าว ๆ โดยที่ไม่ต้องเคยเห็นหรือเคยประสบมาก่อน เธอ…อยู่กับเจ้าลูกชายฉันไม่ได้หรอก เพราะเห็นชัดว่าเธอจะเกาะเจ้านั่นกินแน่ ๆ ไม่ใช่ความผิดของเธอซะทีเดียว เป็นความผิดของเจ้าจูโดด้วยเหมือนกัน แต่เจ้านั่นเคยฟังฉันที่ไหน”
ไม่รู้ว่าชายสูงวัยพูดด้วยจุดประสงค์อะไรก็เลยฟังเงียบ ๆ อย่างเดียว แต่รู้ได้ว่าสิ่งที่เขาพูดตอนนี้ไม่ใช่ความหมายที่ดีแน่นอน ดูออกชัดเจนว่าผมจะเกาะผู้ชายคนนั้นกินงั้นเหรอ เป็นสถานการณ์ที่พามาอยู่ที่บ้านด้วย แต่ครอบครัวของผู้ชายคนนั้นไม่ต้อนรับหรือเปล่า
“คนเราน่ะนะ”
ชายสูงวัยพูดออกมาอย่างยากลำบากเหมือนกับกำลังคิดบางอย่างอยู่
“คนเรา… ระหว่างใช้ชีวิตก็ทำผิดพลาดเสมอ ต่อให้ย้อนเวลากลับไปอีกครั้ง ความผิดพลาดนั้นก็จะเกิดขึ้นซ้ำอยู่ดี การตัดสินใจที่ถูกต้องเป็นเรื่องยาก ดังนั้นสุดท้ายก็เลือกเดินเข้าไปในทางที่มองเห็นในตอนนั้น ทางที่ไม่ถูกต้องและทางที่ง่าย ถ้าหากทำผิดพลาด ไม่ใช่แค่ตัวเองที่จะต้องเจ็บปวด แต่ยังทิ้งรอยขีดข่วนไว้ในใจของใครบางคนด้วย ถ้ารอยขีดข่วนนั้นเล็กก็จะถูกลืมได้เร็ว แต่บางทีก็ใหญ่เกินไปจนไม่สามารถลบออกได้ง่าย ๆ ไม่ว่าใครก็มีเนื้อร้ายทั้งใหญ่และเล็กในหัวใจ ทั้งฉัน แล้วก็เธอด้วย จริงไหม”
ก็คงจะใช่ ผมพยักหน้าช้า ๆ ด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
“ในหัวใจของคนที่สร้างบาดแผลก็หลงเหลือเนื้อร้ายเหมือนกัน แต่จะเทียบกับคนที่ได้รับบาดแผลได้ยังไง บาดแผลบางแผลใหญ่มากถึงขนาดต้องอยู่กับมันไปตลอดชีวิต ถ้าเป็นแบบนั้น ต่อให้อยากได้รับการอภัยก็ไม่มีทางเป็นไปได้”
“…ลุง…สร้างบาดแผลไว้เหรอครับ”
ถึงไม่ได้ถามออกไปตรง ๆ ว่า ‘สร้างไว้กับผมเหรอ’ แต่ชายสูงวัยคงพอจะเข้าใจ ผู้ชายที่อ่อนโยน ใจดี ไม่อยากอยู่ห่างผมแม้สักเสี้ยวนาทีจนไม่อยากไปบริษัท จะสร้างบาดแผลแบบไหนให้ผม สุดท้ายแล้วเรื่องที่ชายสูงวัยอยากบอกเหมือนจะเป็นเรื่องระหว่างผมกับผู้ชายคนนั้น แต่หมายถึงว่าเขาสร้างบาดแผลที่ใหญ่มากถึงขนาดที่จะอยู่กับผมไปตลอดชีวิตเลยเหรอ
“อย่ายกโทษให้”
ชายสูงวัยบอกแบบนั้นแทนคำตอบ เสียงนั้นเด็ดขาดมากจนผมตัวแข็งทื่อโดยไม่รู้ตัว
“ถ้าเธอคิดว่าไม่มีทางยกโทษให้ได้แน่นอน ก็ไม่ต้องยกโทษให้หรอก ถึงจะเป็นลูกชายของฉัน แต่การทำตัวโง่เขลาแบบนั้น ฉันเห็นแล้วก็ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกัน”
“แต่ลุง…อ่อนโยนนะครับ”
“ต่อให้เก็บใครบางคนไว้ในหัวใจ บางทีก็สร้างบาดแผลให้กับคนคนนั้นด้วยเหมือนกัน ต่อให้มารู้สึกผิดทีหลังก็ย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ คิดว่าถ้าเกิดเหตุการณ์นั้นอีกครั้งจะเลือกทางอื่นเหรอ ไม่หรอก ถึงรู้ทั้งรู้ว่าจะต้องเกิดบาดแผล แต่สุดท้ายก็จะเลือกทำแบบเดิม เพราะการเลือกทางอื่นมันยากมาก สิ่งที่ฝังใจไปแล้วจะแก้ไขอะไรได้ คนเราเป็นแบบนั้นแหละ”
ผมไม่เข้าใจว่าชายสูงวัยกำลังพูดเรื่องอะไร ผู้ชายคนนั้นทำอะไรผิดกับผมไว้เหรอ สร้างบาดแผลแบบไหนกับผมไว้ ชายสูงวัยถึงพูดแบบนั้น ถึงเขาจะไม่ได้มีนิสัยนุ่มนวล แต่ก็อ่อนโยนและใจดีกับผม ถ้าลองมองดูดี ๆ ก็รู้สึกได้ว่าเขาชอบผมจริง ๆ ดังนั้นต่อให้ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย แต่ก็ยังเชื่อคำพูดของเขาที่บอกว่ามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับผม
“ใจฉันน่ะอยากจับพวกเธอสองคนแยกกันซะ แต่ว่า…มันแตกสลายมากเกินไปแล้ว พวกเธอไม่ใช่คนที่จับแยกแล้วจะกลับมาสมบูรณ์เหมือนเดิมได้ ทั้งเจ้าจูโดแล้วก็เธอด้วย ฉันก็เลยทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยวางแล้วรออยู่เฉย ๆ เท่านั้น”
“หมายถึง…รอวันที่ผมกับลุงจะเลิกกันเหรอครับ”
“ไม่ใช่ แต่เป็นวันที่คนใดคนหนึ่ง ไม่เธอก็เจ้านั่น จะแตกสลายโดยสมบูรณ์ หรือไม่ก็พังกันหมดทั้งคู่”
แม้ว่าจะพูดเบา ๆ แต่คำพูดของชายสูงวัยน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก พูดแบบนั้นได้หน้าตาเฉยขนาดนี้เลยเหรอ ไม่รู้เลยว่าชายสูงวัยพูดเรื่องนี้กับผมด้วยเหตุผลอะไร หรือว่ารับไม่ได้ที่ลูกชายพาแฟนที่เป็นผู้ชายเหมือนกันมาอยู่ที่บ้าน แต่ชายสูงวัยก็ไม่ได้แสดงท่าทีแบบนั้นออกมาเลย เรื่องที่พูดมีแค่เรื่องบาดแผลกับเรื่องการให้อภัย แล้วก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวกับที่บอกว่าผมจะเกาะผู้ชายคนนั้นกินเลย
“ไม่จำเป็นที่จะต้องให้อภัย”
ชายสูงวัยพูดอีกครั้งราวกับจะให้ผมจดจำ
“เพราะเป็นสิ่งที่เจ้านั่นเลือกเอง”
เสียงของชายสูงวัยที่พึมพำว่าต้องรับผลจากการกระทำของตัวเองฟังดูอ่อนแรง
“โธ่ แบบนี้เหมือนจะไม่ใช่นะครับ เดี๋ยวนี้มีที่สวย ๆ ตั้งเยอะแยะนะครับ”
“พูดอะไรของเธอ!”
คำพูดของผมทำให้ชายสูงวัยตะโกนเสียงดังออกมา แสดงท่าทีเหมือนกับว่าต่อให้ว่าตัวเขาเองยังจะไม่โมโหขนาดนี้ ผมถึงกับต้องลองคิดว่าที่ผมพูดไปมันผิดมากขนาดนั้นเลยเหรอ
“แต่ถึงยังไง แบบนี้มัน…ดูแข็ง ๆ ไปหน่อยนี่ครับ”
“พูดอะไร! ถ้าพูดถึงมอเตอร์ไซค์ ก็ต้องฮาร์เลย์-เดวิดสันสิ ไม่มีมอเตอร์ไซค์คันไหนสู้ฮาร์เลย์-เดวิดสันได้แล้ว!”
ชายสูงวัยยืนกรานในรสนิยมของตัวเอง ผมมองรูปมอเตอร์ไซค์รูปทรงแข็งกระด้างที่อยู่บนหน้าจอโน้ตบุ๊ก แล้วก็รู้สึกว่ายังไงก็ไม่ใช่อยู่ดี แต่ทุกครั้งที่ชายสูงวัยยืนกรานความคิด ผมก็ทำได้แค่พยักหน้าตอบว่าครับ ๆ
“ความแข็งกระด้างนี่แหละที่เท่ เป็นผู้ชายก็ต้องฮาร์เลย์-เดวิดสันสิ”
ไม่รู้ว่าทำไมเป็นผู้ชายแล้วจะต้องเป็นฮาร์เลย์-เดวิดสัน แต่ในเมื่อชายสูงวัยพูดแบบนั้นก็เถียงอย่างอื่นไม่ได้ แม้แต่ชื่อมอเตอร์ไซค์ยังให้ความรู้สึกแบบลูกผู้ชายอเมริกันเลย
พอได้ลองคุยด้วยสักพักก็ได้รู้ว่ารสนิยมของชายสูงวัยคนนี้มีเอกลักษณ์ต่างจากผู้สูงวัยคนอื่น ๆ หลังจากคุยเรื่องเครียด เขาก็เก็บกระดานหมากเกาหลีไปไว้ไกล ๆ แล้วเอาโน้ตบุ๊กขึ้นมาเปิดรูปมอเตอร์ไซค์ให้ดู แล้วเล่าว่าพวกลูก ๆ ขอร้องให้รักษาหน้าหน่อยก็เลยซื้อมาขับไม่ได้ แต่แค่ได้ดูรูปก็ปลาบปลื้มมากจนคุมอาการไม่อยู่ แค่ดูรูปมอเตอร์ไซค์อย่างเดียวเขาก็เหมือนน้ำลายจะไหลแล้วจริง ๆ
“ความปรารถนาของฉันคือได้ขับเจ้านี่สักครั้งก่อนตาย”
“ถ้างั้นก็ลุยเลยสิครับ”
“ทั้งลูกคนโต ทั้งลูกคนเล็ก ห้ามอย่างเต็มที่ขนาดนั้น แล้วจะกล้าลองได้ยังไง”
ชายสูงวัยที่พูดแบบนั้นดูห่อเหี่ยว มีเงินเยอะก็ใช่ว่าจะดีไปหมดทุกอย่างสินะ ต่อให้มีเงินเยอะก็ยังซื้อมอเตอร์ไซค์ที่ชอบสักคันตามใจตัวเองไม่ได้ ไม่เข้าใจว่าภาพลักษณ์มันสำคัญมากขนาดนั้นเลยเหรอ แต่อายุมากแล้ว ถ้าซื้อมอเตอร์ไซค์ขับไปที่นั่นที่นี่ ลูก ๆ ก็คงจะเป็นห่วง ผมจึงทำได้แค่พยักหน้า
“แต่ก็ถึงเวลาต้องคิดเรื่องอายุจริง ๆ ด้วยแหละครับ”
“ว่าไงนะ เจ้าเด็กนี่ เห็นแบบนี้สมัยหนุ่ม ๆ ฉันซิ่งมากนะ”
“ตอนเป็นหนุ่มจะมีใครไม่เคยวาดลวดลายกันบ้างล่ะครับ เวลาฟังคนอื่นเล่าเรื่องสมัยหนุ่ม ๆ ก็บอกว่าซิ่งมากเหมือนกันทุกคน”
“หา ดูเจ้าเด็กนี่พูดจาเข้าสิ ฉันน่ะ ตอนช่วงอายุยี่สิบ ตอนที่อายุประมาณเธอนี่แหละ…”
ชายสูงวัยเล่าเรื่องผาดโผนสมัยวัยหนุ่มของตัวเองเหมือนคนที่เริ่มมีอายุคนอื่น ๆ แล้วก็ได้ยินเสียงผู้ชายคนนั้นเรียกชื่อผมว่ายองดังแว่วมาจากไกล ๆ
“อ๊ะ ลุงคงจะกลับมาแล้วครับ”
“นี่เพิ่งกี่โมงเอง ทำไมเจ้านั่นกลับมาบ้านแล้ว”
“เขาบอกไว้ว่าจะกลับเร็วน่ะครับ เมื่อเช้าก็ไม่อยากออกไป พยายามจะอู้งานไม่ยอมไป ทำตัวไม่สมอายุเลยครับ”
“เกี่ยวอะไรกับอายุ! จะหนุ่มหรือแก่ก็ขี้เกียจทำงานกันทั้งนั้นนั่นแหละ”
ชายสูงอายุพูดแล้วจิ๊ปาก เสียงเรียกชื่อผมค่อย ๆ ดังใกล้เข้ามา ผมเอียงคอคิด สงสัยจะรู้ว่าผมอยู่ที่นี่ก็เลยตามมา
“ขนาดไม่เห็น แต่เหมือนจะรู้ว่าอยู่ที่นี่เลยนะครับ”
“คิดว่าในบ้านหลังนี้มีแค่เธอกับฉันรึไง คิดว่าไม่มีสายตาที่คอยมองอยู่เลยเหรอ เจ้านั่นจะไม่ให้คนตามติดเธอแล้วปล่อยให้เธอไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบงั้นรึ”
ต่อให้บ้านกว้างมากก็จริง แต่มีเหตุผลอะไรที่ต้องให้คนคอยตามติดตอนอยู่ในบ้านด้วยเหรอ พอคิดว่าเป็นเพราะกลัวจะหลงทางหรือเปล่าก็ยิ้มออกมา
“เอาเป็นว่าตอนที่ฉันอายุเท่าเธอน่ะนะ”
“ซอมุนยอง!”
พรึ่บ ประตูห้องเปิดออกและผู้ชายคนนั้นก็ปรากฏตัว ชายสูงวัยที่ถูกขัดจังหวะการพูดอีกครั้งถึงกับคิ้วขมวดมองผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังผม
“ไม่มีมารยาท เคาะประตูไม่เป็นรึไง”
“ทำไมมาอยู่ที่นี่”
“เจ้าบ้าจูโด! ไม่เห็นพ่อตัวเองรึไง”
“สวัสดีครับพ่อ แล้วนายมาทำอะไรที่นี่”
นี่ไม่ใช่เรื่องตลกสักหน่อย ผู้ชายคนนั้นทักทายตามที่ชายสูงวัยตำหนิอย่างขอไปที แล้วเดินเข้ามาจับตัวผมให้ยืนขึ้น
“ผมกินมักกุกซูเป็นมื้อกลางวันกับคุณปู่ แล้วก็กำลังดูมอเตอร์ไซค์กันอยู่ครับ”
“ทำไมฉันเป็นคุณปู่”
เคยได้ยินว่าถึงเป็นผู้สูงอายุ แต่ถ้าได้ยินคำที่แสดงว่าตัวเองแก่ก็จะไม่ชอบใจมาก
“ขอถอนคำพูดว่าคุณปู่ เป็นคุณท่านแทนครับ ผมกินมื้อเที่ยงกับคุณท่านแล้วก็กำลังพักผ่อน”
คำพูดของผมทำให้ผู้ชายคนนั้นเหลือบมองโน้ตบุ๊กที่ผมกำลังดูกับชายสูงวัย
“ไม่มีเรื่องอะไร ไม่ต้องห่วง”
ชายสูงอายุโบกมือ พูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้าเล็กน้อย
“พวกผมขอตัวกลับก่อน”
“ตามสบาย”
“ไปก่อนนะครับคุณท่าน มักกุกซูอร่อยมากเลยครับ”
ผมร่ำลาอย่างมีมารยาทแล้วตามผู้ชายคนนั้นออกจากห้อง เขาปิดประตูแล้วเดินต่อ แต่ดูนิ่งไปอย่างบอกไม่ถูก
“คุณพ่อพูดเรื่องอะไรบ้าง”
“ไม่ได้พูดอะไรเป็นพิเศษนี่ครับ”
คำถามว่า ‘ลุงเคยทำความผิดร้ายแรงอะไรไว้กับผมเหรอครับ’ ขึ้นมาจุกถึงคอแล้ว แต่ผมพยายามกลืนมันลงไป เพราะสีหน้าของชายสูงวัยตอนที่พูดเป็นนัยราวกับให้คำใบ้นั้นดูไม่ได้สดใสเท่าไหร่ คงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ก็เลยคิดได้ว่า ต่อให้คนที่จำอะไรไม่ได้เลยพูดเรื่องนั้นขึ้นมาก็แก้ไขอะไรไม่ได้อยู่ดี ถ้านี่เป็นฝันบอกเหตุจริง ก็เป็นเรื่องที่สักวันหนึ่งจะต้องเจอ นั่นก็หมายความว่าเป็นเรื่องที่ผมกับผู้ชายคนนี้จะต้องแก้ไขในตอนนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องขุดคุ้ยมันขึ้นมาก่อน
“ว่าแต่ทำไมกลับมาเร็วขนาดนี้ล่ะครับ โดดงานอีกแล้วเหรอ”
“ถ้าฉันเลิกงานตอนไหน นั่นก็คือเวลาเลิกงาน”
มีกฎแบบนั้นที่ไหนกัน ผมแค่นหัวเราะออกมาเพราะคำพูดเหลวไหล
“อะไรกัน ลุงคงจะไม่ใช่พนักงานบริษัททั่วไปสินะ ใช่ไหมครับ ไม่อย่างนั้นจะพูดแบบนี้ได้ยังไง เพราะต่อให้เป็นกรรมการบริษัทยังเลิกงานตามใจชอบแบบนั้นไม่ได้เลย ลุงทำงานอะไรกันแน่ครับ”
“ก็…ทำงานที่บริษัทไง”
เขาหยุดชะงักกลางประโยคไปครู่หนึ่งใช่ไหม กำลังจะจี้ถาม แต่ผู้ชายคนนั้นยื่นมือมาอุ้มตัวผมขึ้น ต่อให้เป็นคนรักในอนาคตแต่ก็ยังไม่คุ้นอยู่ดี ผมดิ้นจนเกือบจะตก เลยรีบเอามือคล้องคอผู้ชายคนนั้น และเอาขาพันเอวของเขาไว้เพื่อไม่ให้สลิปเปอร์ที่ใส่อยู่หล่น แล้วเอาคางเกยบนไหล่
“เห็นผมเป็นเด็กรึไง ทำไมต้องอุ้มไปไหนมาไหนด้วยครับ”
“ก็เป็นเด็กน่ะสิ เป็นผู้ใหญ่รึไง”
“ไหนบอกว่าผมไม่ใช่เยาวชนแล้วไง”
อีกสี่ปีข้างหน้าผู้ชายคนนี้คงไม่ได้จะอุ้มผมไปนั่นไปนี่ตลอดเวลาแบบนี้ใช่ไหม พอนึกภาพว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดผู้ชายที่โตแล้วเหมือนกันไปนู่นมานี่ก็รู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก นอกจากพ่อที่เคยอุ้มผมตอนเด็กแล้ว นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ถูกใครบางคนอุ้มสินะ ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ ผมสะกิดบ่าของผู้ชายคนนั้นที่ตัวเองเอาคางเกยไว้แล้วเรียกลุง
“ว่าไง”
“ลุงชอบผมใช่ไหมครับ”
ผู้ชายคนนั้นปิดปากเงียบกับคำถามที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยของผม แม้ดูออกว่าไม่ได้จะบอกว่าไม่ชอบ แต่เขินเกินไปที่จะตอบออกมาจากปาก ทำให้ผมยิ้มออกมา
“ลุงน่ะทั้งอ่อนโยนแล้วก็ใจดี”
“ตานายบอดไปแล้วสินะ”
ขนาดชมยังไม่ฟังว่าเป็นคำพูดที่ดีเลยแฮะ ผมบุ้ยปาก พลางดึงเส้นผมที่ยุ่งเหยิงด้านหลังท้ายทอยของผู้ชายคนนั้นแบบไม่ทำให้เจ็บ
“จะทำร้ายคนที่ชอบได้ไหมครับ”
เพราะคุณพ่อของลุงบอกว่าแบบนั้น ว่าวันหนึ่งไม่ลุงก็ผมจะทำให้คนใดคนหนึ่งแตกสลาย นั่นหมายความว่าผมจะทำร้ายลุง หรือไม่ลุงก็ทำร้ายผมไม่ใช่เหรอ ทำไมเขาถึงพูดแบบนั้นล่ะครับ
นึกว่าเขาจะหัวเราะแล้วถามว่าพูดเรื่องอะไร แต่เขากลับไม่พูดอะไรเลย นั่นเหมือนเป็นการตอบรับคำถามของผมอย่างบอกไม่ถูก ผมจึงหันไปมองหน้าของผู้ชายคนนั้น ใบหน้าของเขานิ่งจนแข็งทื่อ ไม่ใช่ว่าโกรธ แต่ไม่รู้ทำไมสีหน้าถึงดูเศร้า ผมเลยไม่กล้าพูดว่าล้อเล่นครับ ได้แต่ซบหน้าลงกับบ่าของเขาทำเป็นไม่เห็นแล้วแกว่งขา