[ทดลองอ่าน] Time Mover ตอนที่ 3.5

Time Mover
타임무버

 

야스 ยาสึ เขียน
พัชรวดี ประเสริฐไพบูลย์ แปล

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

“กลับดึกจังเลยนะครับ

เป็นเวลาเกินเที่ยงคืนแล้ว ผมหันไปพูดกับเงาที่เปิดประตูเข้ามาเงียบ ๆ ท่าทางของพ่อที่เดินเข้ามาอย่างไร้เรี่ยวแรง ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงเห็นใจว่าพ่อจะเหนื่อยมากขนาดไหนกัน แต่ตอนนี้มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากไม่ได้อยากกลับมาบ้าน

“ทำอะไรอยู่ ทำไมยังไม่นอน”

พ่อถามพลางลูบหน้าอก คงจะตกใจ

“จะทำอะไรได้ครับ ก็กำลังรอพ่อกลับมาเพราะไม่ได้เห็นหน้ามานาน แล้วจะไปนอนไงครับ”

“แล้วรู้เหรอว่าจะกลับมาเมื่อไหร่”

“นั่นน่ะสิครับ เพราะไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ก็เลยรอมาจนถึงป่านนี้”

ตั้งใจไว้ว่าจะไม่เป็นแบบนี้ จะไม่แสดงออก แต่น้ำเสียงที่พูดออกไปแม้แต่ตัวเองยังรู้สึกว่าเย็นชามากเหลือเกิน พ่อก็คงรู้สึกได้เหมือนกันเลยมองผมด้วยสีหน้าตกใจ

“พ่อ”

“ดึกแล้ว รีบขึ้นไปนอนเถอะ”

“งานที่บริษัทยุ่งมากจนกลับมาบ้านไม่ได้เลยเหรอครับ”

“…รู้แล้วยังจะถามทำไม”

ผมนั่งนิ่งอยู่ที่โซฟา ไม่มีความคิดที่จะเดินขึ้นไป แล้วถามคำถาม ผมคงจะดูแปลกไป พ่อจึงมีสีหน้าสับสนเล็กน้อยแล้วตอบมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด พ่อก็คงจะเหนื่อย ควรไปพักผ่อนเหมือนกัน ถ้าเป็นไม่กี่วันก่อนหน้านี้ผมคงจะคิดแบบนั้น แต่ตอนนี้เริ่มคิดว่าพ่อไม่อยากเห็นหน้าผมหรือเปล่า ไม่อยากแม้แต่จะคุยกับผมเลยเหรอ

“ผมมีเรื่องจะถามพ่อครับ”

“เอาไว้ค่อยคุยพรุ่งนี้เถอะ”

“ผมอยากถามตอนนี้ครับ”

“ซอมุนยอง!”

ถ้าเป็นปกติผมคงจะตอบว่า ครับ แล้วรีบลุกขึ้นไปข้างบนทันที แต่วันนี้กลับไม่เชื่อฟังก็เลยน่าหงุดหงิด ความหงุดหงิดรำคาญใจเผยออกมาทางสีหน้าของพ่อ ความรู้สึกที่พ่อเก็บซ่อนไว้ข้างในมาตลอดคงจะเป็นความรู้สึกพวกนี้สินะ รำคาญ หงุดหงิด เบื่อหน่าย และไม่อยากคิดอะไร

พ่อนอกใจแม่เหรอครับ ไม่สิ ตอนนี้แม่เสียไปแล้วก็ไม่ใช่นอกใจ ถ้างั้นพ่อมีผู้หญิงใหม่เหรอครับ ควรถามแบบนี้หรือเปล่า สิ่งที่อยากถามจุกขึ้นมาถึงคอ แต่น่าแปลกที่คำพูดเหล่านั้นไม่ยอมออกมา ผมเอ่ยเรียกพ่อออกมาอย่างยากลำบากแล้วมองพ่อ

“ที่แม่จากไป…พ่อก็เสียใจใช่ไหมครับ”

สิ่งที่พูดออกมาไม่ใช่คำถามที่เคยคิดไว้เลย แต่ก็อยากรู้เหมือนกัน พ่อเสียใจที่แม่จากไปหรือเปล่าครับ เคยมีสักชั่วขณะ หรือแม้แต่แค่เสี้ยววินาทีที่ดีใจที่แม่จากไปหรือเปล่าครับ ไม่สิ เคยมีสักเสี้ยววินาทีที่คิดเสียใจที่แม่จากไปบ้างไหมครับ

“นั่นน่ะเหรอเรื่องที่จะพูด ไม่ยอมนอนแล้วรอเพื่อจะถามเรื่องแค่นั้นกับพ่อที่เพิ่งกลับมาป่านนี้เนี่ยนะ รีบขึ้นไปนอนซะ”

พ่อตอบด้วยหน้าตาบูดบึ้งเพราะหงุดหงิด แล้วเดินกระแทกส้นเท้าเข้าไปในห้องนอน ผมมองประตูที่ปิดลงเสียงดังปังด้วยอาการเหม่อลอย แล้วลุกขึ้นอย่างหมดแรง

ที่พ่อพูดว่านั่นน่ะเหรอเรื่องที่จะพูด หมายความว่าจะต้องเสียใจแน่นอนอยู่แล้ว หรือหมายความว่าจะต้องดีใจแน่นอนอยู่แล้วกันแน่ คงแปลกสินะที่ผมคิดแบบนั้น ถึงจะส่ายหัวเพื่อไล่ความคิดต่าง ๆ นานาออกไป แต่ความคิดแย่ ๆ ก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ยอมหายไป

พ่อครับ ผมแปลกไป

ผมคงยอมรับความเป็นจริงไม่ได้ ผมไม่เชื่อ…คำพูดของพ่ออีกต่อไปแล้วครับ

ความเป็นจริงไม่ได้ทำให้ผมมีความสุขอีกต่อไปแล้ว ความเป็นจริงมีแต่ความเจ็บปวดและเศร้าเสียใจ อยากหนีความจริง อยากสบายใจ อยากได้รับการปลอบโยน แต่ในความเป็นจริงไม่มีที่ไหนให้ผมหนีไปได้เลย ไม่มีที่ที่ทำให้สบายใจ ไม่มีที่ที่จะได้รับการปลอบโยน

ต้องฝัน

จะเรียกว่าเป็นการหนีความจริงก็ได้ หรือจะเรียกว่าฝันบอกเหตุก็ได้ อยากไปในที่ที่เวลาผ่านไปจากการตายของแม่ ที่ที่ความเสียใจนั้นเริ่มบรรเทาและไม่มีพ่อที่หลอกผม

ไม่ได้ฝันเห็นผู้ชายคนนั้นมาประมาณครึ่งเดือนแล้วจึงรู้สึกกังวลนิดหน่อย ต่อจากนี้จะไม่ได้ฝันแบบนั้นอีกแล้วหรือเปล่า ผมต้องการผู้ชายคนนั้นที่คอยดูแลผมอย่างดีและอยู่เคียงข้างผม ได้โปรดทำให้ฝันที ถึงแม้จะเป็นความฝันของตัวเอง แต่ก็ไม่เป็นไปตามที่หวัง น่าโมโหจริง ๆ

ผมหลับเพื่อที่จะฝัน แล้วก็ตื่นขึ้นมาโดยที่ไม่ได้ฝัน เป็นแบบนั้นซ้ำ ๆ มาหลายวันแล้ว การนอนที่ไร้ความหมาย ยาวนานขึ้นและเริ่มหมดแรง พอนึกถึงพ่อที่ไม่ค่อยได้เห็นหน้า ความขุ่นเคืองใจก็ยิ่งมากขึ้น

เพดานที่เห็นตอนลืมตาตื่นขึ้นมาไม่ใช่เพดานในห้องผม ถึงจะไม่คุ้นเคยแต่เคยเห็นแล้วหลายครั้งจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ยังไม่ได้หลุดจากความฝันสินะ ไม่ใช่ความฝันที่จะไม่ได้ฝันถึงอีกสินะ พอคิดแบบนั้นหัวใจก็สงบลงเหมือนกับได้มายังสถานที่หลบภัยอันแสนสุข

หน้าต่างที่ไร้แสงอาทิตย์ส่อง ห้องนอนที่มีแต่ความมืด รู้ว่าเป็นเวลากลางคืนและกำลังจะลุกขึ้น แต่ร่างกายกลับหนักอึ้งอย่างน่าแปลกใจ รู้สึกได้ถึงความไร้เรี่ยวแรงที่ขยับไม่ได้แม้แต่นิ้วเดียว ผมเอียงคอด้วยความมึนงง พยายามขยับมืออย่างสุดกำลังเพื่อลุกขึ้นมานั่งบนเตียง

ปวดตัว ปวดเมื่อยไปทั้งร่างกาย และรู้สึกถึงความเจ็บปวดเป็นพิเศษตรงจุดที่พูดออกมาไม่ได้ พอใช้มือลูบคลำแถวเอวถึงได้รู้ว่าไม่ได้ใส่อะไรอยู่ มองต่ำลงไปก็เห็นตัวเองนั่งตัวเปลือยเปล่าอยู่ใต้แสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาราง ๆ

นี่มันอะไรกัน จะบอกว่าระหว่างนั้นเกิดมีนิสัยแปลก ๆ อย่างไม่ใส่เสื้อผ้านอนก็ไม่น่าใช่

ลองมองไปรอบ ๆ แล้วหยิบเสื้อผ้าที่ตกอยู่ตรงพื้นขึ้นมาพาดตัว แต่ตัวเหนียวเหนอะหนะอย่างน่าแปลกใจ เหมือนมีอะไรเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด มันเปียกชุ่มตรงหน้าอกกับหว่างขาแล้วก็ระหว่างก้นของผม ไม่รู้ทำไมใจถึงเต้นตึกตัก หัวใจเต้นแรงเหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับความกังวลใจที่ไม่รู้สาเหตุ จนต้องเม้มปากแล้วหายใจ

แค่จะลงจากเตียงก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก พอลุกขึ้น บางอย่างที่เหนียวเหนอะหนะอยู่ตรงระหว่างก้นก็ไหลลงมา มันไม่ได้ติดอยู่ตามผิวหนัง แต่กำลังไหลออกมาจากด้านใน

หรือว่ากล้ามเนื้อหูรูดอ่อนแอลงระหว่างที่ผมไม่รู้

ผมสอดมือเข้าไประหว่างก้นเพื่อเช็ดของเหลวที่กำลังไหลด้วยใบหน้าซีดเผือด เห็นเมือกสีขาวที่มีความเหนียวเล็กน้อยต่างจากที่เคยคิดตอนอยู่ใต้แสงจันทร์ ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่สงสัยว่าสิ่งนั้นไหลออกมาจากก้นของผมได้ยังไง

เคยรู้สึกถึงความเจ็บปวดแปลก ๆ แบบนี้มาก่อนหรือเปล่านะ ความเจ็บปวดที่ไม่คุ้นเลย เมือกที่ไหลออกมาจากระหว่างก้น รอยจ้ำเลือดบนหน้าอก ทุกอย่างเหล่านั้นทำให้เกิดสมมติฐานอย่างหนึ่ง หน้าผมซีดเผือด ถึงจะส่ายหัวพยายามสลัดภาพที่ผุดขึ้นมา แต่ถ้าไม่ใช่แบบนั้น แล้วสถานการณ์ตอนนี้คืออะไรกันแน่

ผมกับผู้ชายคนนั้นเป็นแฟนกัน และอยู่บ้านเดียวกับแฟนซึ่งก็คือผู้ชายคนนั้นด้วย ถ้าอย่างนั้นคงไม่ใช่แค่ ความสัมพันธ์ที่จับมือไปเที่ยวด้วยกันอย่างรักใคร่ แน่นอนว่าคงจะทำเรื่องที่แม้แต่ผมตอนนี้ยังจินตนาการได้ยากลำบากและเหมือนว่าสถานการณ์ตอนนี้คือหลักฐาน

อยากหนีจากความเป็นจริง แต่ทำไมต้องเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบากถึงในฝันด้วยล่ะเนี่ย ผมถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วก็นึกได้ว่าตัวผมอยู่ในสภาพแบบนี้ แต่ไม่เห็นผู้ชายคนที่ทำให้ตัวเองเป็นแบบนี้เลย ถ้าเป็นค่ำคืนที่ทำเรื่องแบบนี้เพราะเป็นแฟนกัน อย่างน้อยก็ควรอยู่ข้าง ๆ ไม่ใช่เหรอ แต่เขาอยู่ที่ไหนกันแน่ ถึงแม้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ถ้าเขาอยู่ข้าง ๆ ด้วยร่างกายเปลือยเปล่าคงจะยิ่งตกใจล้มหงายไปแน่นอน แต่พอแน่ใจแล้วว่าเขาไม่ได้อยู่ข้าง ๆ ก็รู้สึกว้าเหว่อย่างน่าแปลกใจอยู่เหมือนกัน

ตอนนี้เป็นเพียงความฝันที่แสดงให้เห็นภาพในอีกสี่ปีข้างหน้า นี่คือความฝัน ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องตกใจขนาดนั้นก็ได้ อีกอย่างก็โชคดีแค่ไหนที่เป็นสถานการณ์หลังจากเสร็จแล้ว ไม่ใช่ตอนกำลังทำ ถ้าหากลืมตาขึ้นมาระหว่างนั้นละก็…ไม่อยากจะจินตนาการเลย

ผมส่ายหัว ตบตัวเองเบา ๆ บอกว่าไม่เป็นไร ลองหาผู้ชายคนนั้นก่อนดีกว่า พอคิดแบบนั้นแล้วก็เดินตัวงอไปเปิดประตูห้อง ไม่รู้สึกถึงการมีใครอื่นอยู่เหมือนทุกครั้ง อย่างกับไม่มีคนอยู่เลย ผู้ชายคนนั้นอยู่ที่ไหนกันแน่นะ มีแสงไฟออกมาจากห้องครัวจึงเดินไปโดยอัตโนมัติก่อนที่ความสงสัยเมื่อกี้จะหายไปเสียอีก เขานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร กำลังดื่มเหล้าคนเดียว

“…ลุง”

ผมใช้มือยันกำแพงยืนมองผู้ชายคนนั้นเงียบ ๆ เขาดื่มหมดแก้วแล้วก็เติมเหล้าอีกครั้ง ก่อนเงยหน้าขึ้นมาเพราะเสียงผม

“ทำอะไรอยู่ตรงนี้ครับ”

ดูเหมือนไม่ได้ดื่มไปแค่แก้วสองแก้ว ขวดเหล้าที่เขาถืออยู่ในมือพร่องไปเกือบถึงก้นขวดแล้ว และสายตาที่มองผมก็ดูสะลึมสะลือ คำถามของผมทำให้เขาวางขวดเหล้าลงแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง เขาเอียงคอ จ้องหน้าผมแล้วยกยิ้มมุมปาก

“ซอมุนยองที่อ่อนหวานสินะ ใช่ไหม”

เหมือนกับพูดแซวไม่มีผิด สีหน้าของเขาที่กำลังยิ้มราวกับดีใจเหลือเกินนั้นดูแปลกตา ผมยืนนิ่งมองเขา แล้วเขาก็ยื่นมือมาทางผม

“มานี่สิ ซอมุนยอง”

เขาพูดเหมือนออกคำสั่ง น้ำเสียงกดดันทำให้ตัวผมแข็งทื่อโดยอัตโนมัติ

“มานี่”

พอผมขยับตัวค่อย ๆ เดินเข้าไปหาเขา มือที่ยื่นมาก็จับข้อมือของผมดึงเข้าไปทันที

“จูบฉัน”

เขาพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ คงเป็นเพราะเขาทำตัวแบบนี้เป็นครั้งแรก ทำให้ผมถึงกับมีความคิดว่าอยากเจอผู้ชายคนที่ผมเคยรู้จักมากกว่า ผมยืนนิ่งโดยไม่ได้พูดอะไร ทำตัวไม่ถูก พอเงยหน้ามองเขา เขาก็แสยะยิ้ม

“เป็นซอมุนยองที่อ่อนหวานไม่ใช่เหรอ ซอมุนยองที่ไม่รู้เรื่องอะไรนี่ ปรากฏตัวออกมาทำให้คนอื่นวุ่นวายใจแล้วก็หายไป แถมยังยิ้มบอกว่าเป็นความฝัน ในเมื่อเป็นความฝัน แล้วแค่นี้จะเป็นอะไรไป จริงไหม ถ้าเป็นความฝันก็จูบสักครั้งถือว่าเอาบุญไม่ได้รึไง”

ถึงจะไม่เข้าใจว่าเขาพูดเรื่องอะไร แต่ฟังดูเหมือนเป็นความผิดของผม ก็เลยไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก ในโลกแห่งความเป็นจริงผมเหนื่อยล้ามากก็เลยอยากหนีมาในความฝันเท่านั้นเอง แต่ผู้ชายที่อยู่ในความฝันกำลังเหนื่อยเพราะผมที่อยู่ในความเป็นจริงหรือเปล่า เป็นเพราะที่จริงแล้วผมควรอยู่เคียงข้างเขา แต่ผมกลับจำอะไรไม่ได้เลยหรือเปล่า

ผมเอามือวางลงบนบ่าของเขาแล้วเขย่งเท้า แม้ไม่รู้ว่าจูบที่เขาพูดคือประมาณไหน แต่ผมก็แค่แตะริมฝีปากลงบนแก้มเขา การสัมผัสกับผู้ชายคนนั้นไม่ได้รู้สึกแย่หรือไม่ชอบอย่างที่คิด พอประทับริมฝีปากลงไปก็เอาแก้มซุกไซ้กับแก้มเขาเหมือนเป็นการปลอบ ผมจับบ่าของเขาที่ยืนนิ่งตัวแข็งทื่อเข้ามากอด แล้วกระซิบว่าขอโทษครับ

“ผมเหนื่อยมากเลยครับ ถึงผมจะไม่รู้ว่าลุงรู้เรื่องเกี่ยวกับตัวผมถึงขนาดไหน แต่ว่า…ตัวผมเมื่อสี่ปีก่อนที่ยืนอยู่ตรงนี้ ที่ไม่ใช่ตัวผมที่ลุงกำลังรู้จักตอนนี้น่ะ กำลังเหนื่อยมาก ๆ เลย ทั้งเหนื่อยเพราะเสียใจกับการจากไปของแม่…แล้วก็พ่อที่ผมเคยเชื่อใจ…หลอกผม มันเหมือนไม่ใช่ความจริงเลยครับ รู้สึกว่าความจริงเป็นเหมือนความฝัน เหมือนกำลังฝันร้าย…ผมก็เลยอยากมาที่นี่ อยู่กับลุงเหมือนจะดีกว่า ผมไม่ชอบการไม่มีแม่ แล้วก็ไม่อยากเห็นพ่อ ก็เลยอยากหนี”

ขอโทษครับ ผมพูดเหมือนพึมพำโดยที่ริมฝีปากยังอยู่ตรงแก้มของเขา

“เพราะผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับลุงเลยสักอย่าง ก็เลยคิดไม่ถึงว่าลุงที่อยู่ข้าง ๆ ผมอาจจะเหนื่อยเหมือนกันก็ได้ ขอโทษนะครับ แต่ว่าช่วยเข้าใจผมหน่อยไม่ได้เหรอ ลุงบอกว่าเราเป็นแฟนกันนี่นา ผมไม่ได้จะอยู่นาน เดี๋ยวก็กลับไปแล้ว ประมาณสองวัน ไม่สิ บางทีพอพ้นไปหนึ่งคืน ซอมุนยองที่เป็นแฟนคนเดิมของลุงอาจจะกลับมาก็ได้ ตอนที่ผมเป็นตัวผมแบบในตอนนี้ ก็ช่วยทำเป็นไม่รู้แล้วอยู่ข้าง ๆ ไม่ได้เหรอครับ”

ผมพูดเหมือนขอร้องพลางถูแก้มกับหน้าของผู้ชายคนนั้น เอาริมฝีปากแตะลงบนริมฝีปากที่แห้งของผู้ชายคนนั้นเบา ๆ ตามที่เขาขอให้ทำแล้วผละออก ผมกระซิบเหมือนอ้อนวอน เขาจับแขนผมดึงตัวเข้าไปกอด แม้ไม่ได้พูดออกจากปาก แต่รู้สึกได้ว่านั่นเป็นเหมือนการตอบรับคำขอของผม ผมจึงโอบกอดเขากลับ

“ทำไมถึงเหนื่อยขนาดนั้น”

“เพราะผมยังเด็กครับ เพราะผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็เลยเหนื่อยมาก การที่ผมต้องยืนอยู่เพียงลำพังมันหนักเกินกำลัง”

“ไม่มีช่วงเวลาไหนที่จะเหนื่อยกว่าตอนนี้แล้ว ถ้านายไม่รู้เรื่องนั้น ช่วงเวลาตอนนี้ก็คงจะเป็นความฝันจริง ๆ”

เขาพึมพำคำพูดที่เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ พร้อมกับลูบหลังและเอวของผม ตบเบา ๆ เพื่อทำให้ผมสงบใจ แล้วจู่ ๆ ก็อุ้มผมให้อยู่ในอ้อมกอดอย่างคุ้นเคย

“เหมือนว่าจะเมานิดหน่อย”

เขากระซิบว่าขอโทษ ขวดเหล้ากับแก้วเปล่าวางอยู่บนโต๊ะ เขาอุ้มผมเดินเข้าไปในห้องของตัวเอง ห้องนอนของผู้ชายคนนั้นที่เหมือนได้เข้ามาครั้งแรก เขาวางผมให้นั่งลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง สีหน้าของเขาที่ปรากฏอยู่ใต้แสงจันทร์ดูเศร้านิดหน่อยอย่างบอกไม่ถูก พอเงยหน้ามองใบหน้านั้นก็ยิ่งรู้สึกผิด

 

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า