Time Mover
타임무버
야스 ยาสึ เขียน
พัชรวดี ประเสริฐไพบูลย์ แปล
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
Time Mover ตอนที่ 6
พอโดนแสงอาทิตย์มากเข้าก็อ่อนเพลีย จากที่มองนอกหน้าต่างอยู่ก็เผลอหลับพิงขอบหน้าต่างสัปหงก มีมือยื่นมาดึงตัวผมที่นอนแนบหน้าต่างอยู่ให้นั่งตรง ๆ อย่างระมัดระวังทำให้ผมลืมตา แล้วก็เห็นใบหน้าของผู้ชายคนนั้น
“ผมไม่ได้หลับนะครับ”
“เช็ดน้ำลายก่อนค่อยพูด”
ผมเช็ดขอบปากทันที แต่ไม่มีคราบน้ำลายเปื้อนเหมือนที่เขาพูด คนขี้โกหก ผมมองค้อนเล็กน้อย แล้วก็เหยียดแขนบิดขี้เกียจ
“กินข้าวก่อนออกมาก็เลยง่วงน่ะครับ”
“น่าจะนอนพักสักงีบ จะออกมาเลยทำไม…”
แม้จะพูดเหมือนตำหนิแต่ก็มีความเป็นห่วงอยู่ในนั้น เป็นเพราะผมไม่สบายหรือเปล่า ไม่ว่าจะปวดหัวหรือเจ็บเท้า แต่ยังไงซะคนป่วยก็คือคนป่วย ผมกลั้นยิ้มที่กำลังจะเผยออกมาแล้วมองผู้ชายคนนั้น ทั้ง ๆ ที่เป็นห่วงผมมากขนาดนี้แต่ทำไมบางทีเขาก็โมโหใส่ผมโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ตัวผมก่อนความจำเสื่อมเคยทำให้เขาเป็นได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ ตัวผมที่อายุยังน้อยและไม่ค่อยมีความคิดเป็นผู้ใหญ่เคยยั่วโมโหจนเขาหมดความอดทนหรือเปล่า ผมเคยนิสัยเสียขนาดนั้นเลยเหรอ
พอผมเอียงคอก็ถึงกับเบิกตากว้างเพราะเห็นภาพที่อยู่ด้านหลังผู้ชายคนนั้น ผมบอกเขาไปว่าเป็นหมู่บ้านไหน อยู่แถวไหน แต่ไม่ได้บอกว่าจะไปที่ไหน แล้วระหว่างที่ผมผล็อยหลับไปชั่วขณะ เขาก็จอดรถตรงที่ที่ผมตั้งใจชวนมาได้อย่างถูกต้อง
“เอ่อ…”
ผมตกใจแล้วก็สับสนจนพูดไม่ออก ผู้ชายคนนั้นยิ้มเหมือนอ่านความคิดผมออก
“ตั้งใจชวนมาที่นี่ใช่ไหม”
“ครับ…รู้ได้ยังไง”
“เพราะแถวนี้มีแค่ที่นี่ที่นายจะมา”
บางทีผู้ชายคนนี้อาจจะรู้จักผมดีกว่าที่ผมคิดก็ได้ ทั้งของที่ผมอยากกิน ที่ที่ผมอยากไป รู้ทุกอย่างแม้แต่ความรู้สึกในใจของผม
“ลงสิ”
เขาลงจากที่นั่งฝั่งคนขับมาฝั่งที่นั่งด้านข้างแล้วเปิดประตูให้ หลังกินข้าวได้อาบน้ำและเปลี่ยนชุดแล้ว แต่เท้ายังใส่สลิปเปอร์เหมือนเดิม ผมเดินลากสลิปเปอร์ไปที่ประตูรั้วโดยมีเขาช่วยประคอง
มองเห็นสวนอยู่หลังกำแพงเตี้ย เคยคิดว่าสวนคงจะรกไปแล้วเพราะหลังจากแม่เสียคงไม่มีใครดูแล แต่กลับได้รับการตกแต่งดูแลอย่างดีต่างจากที่คิดไว้ แม้ว่าดอกไม้บางชนิดที่แม่ปลูกไว้เพราะชอบจะเปลี่ยนไปบ้าง แต่ยังมีใครบางคนคอยดูแลอย่างดีแน่นอน
“ต้นไม้ต้นนั้นครับ”
ผมชี้นิ้วไปยังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ฝั่งหนึ่งของสวน ผู้ชายคนนั้นหันไปมอง
“เป็นต้นไม้ที่ปลูกไว้เป็นที่ระลึกตอนพวกเราย้ายบ้านครับ”
ตอนปลูกไม่คิดเลยว่าจะโตได้ถึงขนาดนี้ แต่พอมาดูตอนนี้ถึงรู้ว่าโตขึ้นมาอย่างดีด้วย ผมยิ้มอย่างมีความสุข ยืนพิงกำแพงมองดูต้นไม้
“พ่อกับแม่เคยบอกไว้ว่าถ้าต้นไม้โตจะทำชิงช้าให้…แต่ตอนเป็นเด็กต้นไม้ยังเล็กมาก พอต้นไม้โต ผมก็โตเกินกว่าจะนั่งชิงช้าแล้ว สุดท้ายก็เลยไม่ได้ทำ”
ปลายนิ้วที่จับกำแพงไว้เริ่มแดงเพราะเขย่งเท้าแล้วค้ำกำแพงไว้ พอผู้ชายคนนั้นเห็นก็มาอยู่ด้านหลัง คอยช่วยจับเอวผมไว้ ผมเงยหน้าเล็กน้อยมองเขาแล้วกลั้นยิ้มทำเป็นไม่รู้เรื่องพลางเอนตัวพิงเขา
“หลังจากแม่เสีย นึกว่ายังไงที่นี่ก็คงรกแน่ ๆ ซะอีก เพราะพ่อไม่ค่อยชอบแต่งสวนและผมก็ไม่มีฝีมือด้านนั้น แล้วก็ไม่ได้ขยันถึงขั้นจะมานั่งแต่งสวนด้วย แต่หากปล่อยไว้เฉย ๆ ก็ไม่สบายใจ เลยตัดสินใจว่าอย่างน้อยผมก็ต้องดูแลสวน แต่ผมดันอยู่กับลุง…ถ้าอย่างนั้นพ่อเป็นคนดูแลสวนนี้เหรอครับ”
ผู้ชายคนนั้นไม่ตอบคำถาม ถ้าถึงขั้นต่อให้ไม่ต้องบอกอะไรก็พาผมมาที่นี่ได้ แสดงว่าเขารู้เกี่ยวกับตัวผมและเรื่องรอบตัวผมเป็นอย่างดี แต่ทำไมไม่ตอบล่ะ บางทีเขาก็ทำตัวสงวนคำพูดคำจาเสียเหลือเกิน
“ถึงจะผิดคาด แต่ก็โล่งอก ตอนมาที่นี่ถึงจะไม่ได้คาดหวังอะไร แต่ถ้าได้เห็นสวนว่างเปล่าเข้าจริงก็คงจะเศร้ามากเหมือนกันครับ”
“ค่อยยังชั่ว”
“นั่นสิครับ พอเห็นว่าได้รับการดูแลอย่างดีกว่าที่คิดไว้มากก็สบายใจแล้ว”
ผมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองสวนอยู่ดี ๆ เขาก็ดึงผมออกมาจากกำแพงรั้ว พอผมเงยหน้ามองด้วยสายตาเหมือนถามว่าทำไม เขาก็ดึงมือผมคล้ายเป็นการบอกว่าไปได้แล้ว
“กลัวว่าจะเจอกับพ่อเหรอครับ ถ้าพ่อไม่ได้เป็นคนว่างงานเหมือนผม ตอนนี้น่าจะเป็นเวลาที่อยู่บริษัทนี่ครับ เพราะงั้น…”
ถึงยังไงก็ไม่ถูกกับพ่อเลยกังวลว่าจะเจอกันหรือเปล่า แต่พ่อไม่มีทางอยู่บ้านตอนกลางวันอยู่แล้วนี่นา ผมคิดว่าความกังวลถ้ามีมากเกินไปก็เป็นผลเสียเหมือนกัน จึงโบกมือเป็นการบอกเขาว่าไม่ต้องกลัว
แอ๊ด เสียงดังขึ้นพร้อมกับประตูบ้านด้านในถูกเปิดออก พ่ออยู่บ้านจริง ๆ เหรอ ผมกำลังจะหันไปมอง แต่ผู้ชายคนนั้นออกแรงดึงมือผมที่จับไว้ เขาเป็นอะไรไป ขณะที่ผมเงยหน้ามองเขา ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเหมือนว่าคนที่เปิดประตูบ้านกำลังเดินมา
“คุณเป็นใครคะ”
ผมรีบหันไปมองเพราะเสียงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ผู้ชายคนนั้นดึงผมเข้าไปกอด แต่สายตาของผมมองเห็นผู้หญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่อีกฝั่งของกำแพงแล้ว
“…คุณเป็นใครครับ”
ผมถามกลับด้วยคำถามเดียวกันกับที่ผู้หญิงคนนั้นถามมา เธอทำหน้าสับสน สีหน้าของผมก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน
“พอดีเห็นว่าสวนสวยมากก็เลยยืนดูนิดหน่อยน่ะครับ ถ้าทำให้ตกใจก็ต้องขอโทษด้วยครับ”
ผู้ชายคนนั้นพูดกับเธอโดยยังกอดผมที่ตกใจจนตัวแข็งไว้
“อ๋อ ค่ะ”
ผู้หญิงคนนั้นพยักหน้าที่แฝงไปด้วยความงงงวยและไม่ยินดีเท่าไหร่
“คุณเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้เหรอครับ ดูแลสวนได้ดีมากเลยนะครับ”
“ใช่ค่ะ เจ้าของบ้านคนก่อนแต่งสวนไว้ดีมาก ทั้งต้นไม้และดอกไม้ทั้งหมดเป็นของที่ปลูกไว้ก่อนแล้วหมดเลย พอฉันย้ายเข้ามาก็แค่คอยดูแลอย่างเดียว แค่ให้เติบโตขึ้นมาอย่างดี ไม่ตายน่ะค่ะ”
ไม่จริง สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูดเป็นเรื่องโกหก เจ้าของบ้านหลังนี้ไม่ใช่เธอ บ้านหลังนี้เป็นบ้านของพ่อกับแม่ผม แล้วก็เป็นบ้านที่ผมเคยอยู่ ผู้หญิงคนนั้นจะยืนยิ้มแล้วพูดแบบนี้ไม่ได้
ผมส่ายหน้าและพยายามจะดิ้นให้หลุด แต่ผู้ชายคนนั้นออกแรงรั้งผมไว้ ผมจมไปในอ้อมกอดของเขาจนพูดปฏิเสธว่าไม่ใช่ออกมาไม่ได้
“ดูแลสวนไว้ดีขนาดนั้น ตอนขายคงจะเสียดายนะครับ”
“เขาก็พูดแบบนั้นเหมือนกันค่ะ เขาบอกว่าภรรยาชอบสวนนี้มาก แต่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ ถ้ายังอยู่ที่นี่ต่อก็จะคิดถึงภรรยาที่เสียไป เลยจำใจต้องขาย”
ผู้หญิงวัยกลางคนคนนั้นกระซิบเร็ว ๆ
“แต่เหมือนว่าตอนนั้นเจ้าของบ้านคนเดิมจะมีปัญหานิดหน่อย ต่อให้ไม่ใช่เหตุผลเรื่องภรรยา ก็เหมือนจะต้องรีบขายบ้านอยู่ดี แต่ก็ดีสำหรับฉันที่ทำให้ได้บ้านดี ๆ มานะคะ”
ผู้ชายคนนั้นพยักหน้าตอบรับว่าครับ และตบหลังผมเบา ๆ เหมือนกำลังบอกว่าให้ใจเย็น เหมือนกำลังบอกว่าเรื่องในตอนนี้คือความจริง ผมซบหน้าลงกับหน้าอกของเขาแล้วค่อย ๆ หายใจ จังหวะหัวใจที่เคยเต้นถี่รัวในตอนแรกเริ่มช้าลง ผมคิดว่าหยุดเต้นไปเลยยังดีเสียกว่าค่อย ๆ เต้นช้าลงเสียอีก
“เราได้ชมสวนอย่างดีเลย ขอบคุณนะครับ”
ผู้ชายคนนั้นพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงสุภาพแล้วก้าวเดินโดยที่ยังกอดผมไว้ ถึงแม้ไม่ได้ถามผมสักคำว่าเป็นอะไรหรือเปล่า แต่ก็รู้สึกได้ว่าเขากำลังปลอบผมด้วยความเงียบ หลังจากเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับให้ผมขึ้นไปนั่งแล้ว เขาก็นั่งยอง ๆ ลงข้างผมแล้วเงยหน้าขึ้นมามอง
“รู้อยู่แล้วใช่ไหมครับ คุณรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าพ่อขายบ้านหลังนี้”
เพราะแบบนี้เขาถึงได้พยายามจะรีบกลับ เพราะกลัวว่าจะเจอกับคนที่อยู่บ้านนี้ ทำให้ผมคิดไปว่าที่ต้องเลี่ยงออกมาเพราะเรื่องผิดใจกันของผมกับพ่อ และเพื่อที่จะไม่บอกว่าที่จริงพ่อขายบ้านหลังนี้ไปแล้ว
นั่นเป็นความหวังดีที่มีให้ผมเหรอครับ คิดว่าถ้าปิดบังความจริงนั้นไว้แล้วผมจะไม่เสียใจเหรอครับ
“พ่อไม่ควรขายบ้านหลังนี้ บอกว่าเพราะทำให้คิดถึงแม่ที่เสียไปแล้วงั้นเหรอ อย่ามาตลกหน่อยเลย ถ้าเป็นแบบนั้นยิ่งไม่ควรขายสิ ต่อให้เป็นเพราะแม่ก็ขายไม่ได้”
“ทำไมถึงขายไม่ได้”
ผู้ชายคนนั้นถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่ใช่การหัวเราะเยาะ ไม่ใช่การตำหนิว่าความคิดของผมผิด แค่เป็นคำถามที่ต้องการคำตอบ
“ผมอยู่บ้านหลังนั้นมาตั้งสิบปีแล้ว และแม่ก็สร้างสวนนั้นขึ้นมา…ช่วงวัยเด็กของผม และความทรงจำส่วนใหญ่ของผมอยู่ที่บ้านหลังนั้น”
“บ้านก็เป็นแค่บ้าน ความทรงจำอยู่กับนาย ไม่ได้อยู่กับบ้านหลังนั้น ถึงเปลี่ยนเจ้าของบ้าน แต่ความทรงจำของนายไม่ได้กลายเป็นของเจ้าของบ้านคนใหม่ มันยังเป็นของนาย”
“แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ ถึงยังไง…นั่นก็เป็นบ้านของพวกเรา”
คำพูดของผู้ชายคนนั้นถูกต้อง มีเหตุผลจนเถียงไม่ออก แล้วก็เป็นคำตอบที่รักษาความรู้สึกที่ดีที่สุดด้วย แต่ก็ทำใจยอมรับได้ยากอยู่ดี ผมส่ายหัวอย่างดื้อรั้นเหมือนเด็ก
“ก่อนมาที่นี่นายก็คิดว่าสวนจะต้องรกไปแล้วแน่ ๆ ไม่ใช่เหรอ แต่พอมาเจอจริง ๆ กลับไม่ใช่แบบนั้นก็เลยสบายใจนี่ ให้ความทรงจำคงอยู่แบบนั้นก็ดีกว่าสวนที่มีความทรงจำอยู่ถูกทิ้งไว้อย่างไร้ค่าไม่ใช่เหรอ”
“แต่ถึงยังไงก็ไม่ควรขายบ้านหลังนั้นครับ”
ผมกำมือผู้ชายคนนั้นไว้พร้อมพูดอย่างดื้อดึง เมื่อเขาเงยหน้ามองผมก็พยักหน้า
“ถูกต้อง ทั้งหมดเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่ควรขายบ้าน พ่อนายเป็นคนไม่ได้เรื่องที่ไม่รู้ว่าอะไรควรขาย อะไรไม่ควรขาย ส่วนฉันก็เป็นคนโง่เง่าที่พูดจาไร้สาระเพราะไม่อยากเห็นนายร้องไห้”
เขาใช้มือกุมแก้มของผมที่เปียกน้ำตาแล้วกระซิบปลอบว่าอย่าร้องไห้
“อย่าร้องไห้เลยยอง การที่นายตะโกนโวยวายออกมาฉันยังพอทนได้…แต่นายร้องไห้ไม่พูดอะไรแบบนี้ ฉันทนไม่ไหว ไม่รู้ว่าควรทำยังไง”
ริมฝีปากของเขาจูบลงบนแก้มเปียกแล้วก็ผละออกไป ตอนที่ริมฝีปากชุ่มชื้นสัมผัสลงบนแก้ม มองเห็นขนตาของเขากำลังสั่นไหว ผมเป็นคนร้องไห้ แต่ทำไมกลับรู้สึกว่าเขาน่าสงสาร
“บอกมาเลย”
เขาเอาแก้มแนบลงบนหลังมือของผมที่กุมไว้ราวกับเป็นของสำคัญ
“ฉันซื้อบ้านหลังนั้นให้มั้ย ถ้าทำแบบนั้นนายจะหยุดร้องไห้รึเปล่า ถ้าฉันซื้อบ้านหลังนั้นให้กลับมาอยู่ในมือนายได้ น้ำตาจะหยุดไหลรึเปล่า”
“ถ้าเปิดประตูตรงลานบ้านชั้นหนึ่งไว้ก็จะเห็นสวนเลยครับ”
ความรู้สึกเลือนรางราวกับกำลังฝันเพราะกำลังนอนกลิ้งไปกลิ้งมารับแสงแดดที่ห้องนั่งเล่น ทั้งโซฟา โต๊ะ และเฟอร์นิเจอร์ที่เคยอยู่ในห้องนั่งเล่นเอาออกไปหมดแล้ว เลยกลิ้งเกลือกบนพื้นห้องที่ไม่มีอะไรเลยได้อย่างอิสระ ผู้ชายคนนั้นเข้าไปในห้องนอนโดยไม่พูดอะไรแล้วเอาผ้าห่มออกมาปูที่พื้นให้ สัมผัสของผ้าห่มนุ่ม ๆ นั้นดีกว่าที่คิด พอยื่นฝ่ามือออกไปบังแสงอาทิตย์ที่ผ่านหน้าต่างเข้ามา แสงอาทิตย์ก็แทรกผ่านระหว่างนิ้วมือมาแยงตา
“ตอนฤดูร้อนผมจะเปิดหน้าต่างลานบ้านออกกว้างเลยครับ เวลาที่แม่ต่อสายยางยาวกับก๊อกน้ำที่สวนแล้วรดน้ำ ในวันที่ท้องฟ้าสดใสก็จะเกิดรุ้งในอากาศ”
ผมหรี่ตาเพราะแสงอาทิตย์ทำให้แสบตาแล้วเอาหน้ามุดใต้ผ้าห่ม ได้กลิ่นแดดจากผ้าที่ถูกแดดเผาจนร้อน
“แม่เปิดเพลงดังในอดีตที่ชอบทิ้งไว้ ผมนอนอ่านหนังสือที่โซฟาในห้องนั่งเล่นแล้วก็ดูแม่รดน้ำต้นไม้ ในบรรดาต้นไม้มีไม้ผลด้วยสองสามต้น ถ้ามีผลไม้ออกผลเล็ก ๆ แม่ก็จะเลือกลูกที่สุกแล้ว เอาล้างน้ำแล้วโยนมาให้ผมด้วย รสออกเปรี้ยวมากกว่าหวาน แต่ยังไงก็ชอบ”
ผมประกบมือสองข้างแล้วเอาแก้มแนบ จากนั้นก็ยื่นมือไปหาผู้ชายคนนั้นที่ยืนอยู่กับที่มาตลอด เขายืนพิงกำแพงฟังเรื่องเล่าของผมอยู่ แล้วก็เดินเข้ามาหาผมราวกับถูกชักจูงพร้อมกับจับมือผมไว้ พอสัมผัสกับมือที่แข็งแรงของเขา ผมก็ดึงเขาเข้ามาหา ร่างกายกำยำของเขาถูกดึงเข้ามาง่ายดาย ตุบ เขาทรุดลงนั่งข้างผม ผมมองเขาแล้วยิ้ม
“เล่าให้ฟังหน่อยสิครับ”
เพราะสิ่งที่ผมจำได้มีแค่นี้
“ช่วงเวลาสี่ปีมีสิ่งที่ผมไม่รู้มากมายเหลือเกินครับ”
สิ่งที่ผมจำได้หายไปหมดทุกอย่าง ราวกับเกิดข้อผิดพลาดกับความทรงจำ สิ่งที่ผมเคยรู้ไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว
“สิ่งรอบตัวผมที่ควรอยู่หายไป เหลือแต่สิ่งที่ไม่ได้อยู่ในความทรงจำของผม”
“การที่สูญเสียความทรงจำไป อาจจะหมายความว่านายไม่อยากจดจำมันก็ได้”
ผู้ชายคนนั้นนิ่งเงียบมาตลอด ในที่สุดก็พูดเสียที แต่ขอโทษที่ผมไม่อาจเห็นด้วยกับคำพูดของเขา
“แต่ผมไม่คิดแบบนั้นนะครับ”
ผมมองผู้ชายคนนั้นโดยที่ยังจับมือหนาของเขาไว้
“น่าจะไม่ได้มีแต่เรื่องที่ไม่อยากจำหรอกครับ และถ้าในช่วงเวลานั้นมีความทรงจำที่สำคัญจริง ๆ ก็น่าเสียดายมาก อีกอย่าง ถ้าหากมีเรื่องที่ไม่ชอบถึงขนาดที่ไม่อยากจำก็ยิ่งไม่ควรลืมไม่ใช่เหรอครับ เพราะไม่ว่านั่นจะเป็นความทรงจำแบบไหนก็ไม่ควรให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นซ้ำอีก ถ้าลืมไปแล้ว เกิดทำเรื่องที่ไม่ชอบนั่นซ้ำอีกครั้งจะทำยังไงล่ะครับ”
ดังนั้นถ้าเป็นความทรงจำที่ไม่ชอบขนาดนั้นก็ยิ่งลืมไม่ได้ใช่ไหมครับ
แววตาของเขาที่มองลงมาที่ผมนั้นสั่นไหว ทำไมทำหน้าแบบนั้นครับ บางทีผมก็ไม่เข้าใจสีหน้าของเขา อยากถามว่าสีหน้าที่แสดงความเศร้าออกมานี้เป็นเพราะผมความจำเสื่อมหรือเปล่า
“ลองบอกหน่อยสิครับ พวกเราเจอกันครั้งแรกเมื่อไหร่”
ผมพลิกตัวไปหาผู้ชายคนนั้น ใช้นิ้วสะกิดหลังมือของเขาที่จับไว้ในตอนแรกแล้วถาม
“ถ้าแค่บังเอิญเดินสวนกัน ผมไม่น่าถูกใจลุงแล้วเดินตามแน่นอน ลุงเป็นคนชอบผมก่อนแล้วเดินตามใช่ไหมครับ”
“…ใช่”
นึกว่าจะถอนหายใจแล้วบ่นว่าอย่ามาตลกซะอีก แต่เขากลับยอมรับง่ายดายเกินคาด นั่นอยู่เหนือความคาดหมายก็เลยเบิกตากว้าง เงยหน้ามองผู้ชายคนนั้นแล้วขำออกมาเบา ๆ
“ผมเห็นแก่ความหล่อเลยติดกับเหรอครับ หรือว่าคุณเอาเงินมาล่อ ถ้าไม่ใช่แบบนั้นอีกก็คงใช้กำลัง เรื่องไหนที่ทำให้ผมยอมตกลงเหรอครับ”
“แล้วคิดว่านายยอมตกลงเพราะเรื่องไหนล่ะ”
ผู้ชายคนนั้นตอบคำถามด้วยคำถามแล้วมองลงมาที่ผม บทสนทนาดูสบาย ๆ เหมือนหยอกล้อกัน แต่แววตาที่มองมาไม่ใช่แบบนั้น ผมเหยียดร่างกายที่เหนื่อยล้าเหมือนบิดขี้เกียจ หาวน้อย ๆ คล้ายกับถอนหายใจ
“วันนั้นเป็นวันที่แสงอาทิตย์อบอุ่นแบบนี้ นายกำลังเล่นเปียโนที่ตั้งอยู่ข้างหน้าต่าง นายคงจำโน้ตและคีย์เปียโนได้หมดแล้วก็เลยหลับตาเล่น นายที่กำลังเล่นเปียโนอยู่งดงามมากจริง ๆ จนละสายตาไม่ได้ จนลืมไปเลยว่าตัวฉันเป็นใคร อายุเท่าไหร่ แล้วไปที่นั่นด้วยธุระอะไร สติเลือนรางจนนึกอะไรไม่ออก เอาแต่มองนายที่กำลังยิ้มด้วยสีหน้าที่อารมณ์ดีมากจริง ๆ”
คำพูดของผู้ชายคนนั้นที่ฟังดูเหมือนการสารภาพรักให้ความรู้สึกแปลกประหลาด รู้สึกจั๊กจี้ที่แก้ม จึงเอาหน้าถูบนผ้าห่มแล้วกลั้นยิ้ม ผู้ชายคนนั้นใช้นิ้วจับผมที่ยุ่งทัดหูให้
“ฉันเพิ่งรู้ว่ามันเป็นความเห็นแก่ตัวที่ต้องการครอบครอง”
ผู้ชายคนนั้นพึมพำเหมือนพูดคนเดียวว่า ไม่ใช่สิ
“ตอนนั้นก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นความเห็นแก่ตัว เพียงแต่ถึงจะรู้ก็หยุดไม่ได้”
“การชอบผมน่ะเหรอครับ”
“ใช่…การที่ชอบนาย”
มือของผู้ชายคนนั้นที่จับตรงแก้มอยู่ลูบที่คางช้า ๆ เมื่อปลายนิ้วของเขาสัมผัสบริเวณผิวบอบบางใต้คาง ผมก็หดคอและหัวเราะเบา ๆ
“แต่ผมจำไม่ได้เลยว่าชอบลุงได้ยังไง”
มือของผู้ชายคนนั้นขยับอยู่ใต้คางทำให้รู้สึกจั๊กจี้ ผมกุมมือเขาแล้วเอามาแนบกับแก้ม ลืมตาที่ง่วงงุนขึ้นมองเขา ผู้ชายคนนั้นกำลังก้มมองผม สายตาสงบนิ่งจนดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งสารภาพรักไปเมื่อกี้
เศร้าที่ผมความจำเสื่อมจริง ๆ ใช่ไหมครับ เพราะผมไม่เหลือความทรงจำเกี่ยวกับคุณเลยสักอย่าง ถึงอย่างนั้นก็ยังพูดว่าผมอาจจะมีความทรงจำที่อยากลืมได้อีกเหรอครับ
“มีสิ่งที่ผมควรจำให้ได้เยอะไหมครับ”
ผมลืมตาที่เริ่มพร่ามัวถามผู้ชายคนนั้น แสงแดดอบอุ่นกับผ้าห่มนุ่ม ๆ แล้วก็ร่างกายที่อ่อนเพลียกำลังง่วงงุน ผมปรือตาที่หนักขึ้นเรื่อย ๆ อย่างยากลำบากและเงยขึ้นมองผู้ชายคนนั้น ปลายนิ้วที่แข็งแรงของเขาวนเวียนอยู่บริเวณขอบตาที่แดงก่ำจากการหาว ฝ่ามือที่เต็มไปด้วยไออุ่นของเขาวางประกบบนดวงตา แสงสว่างที่เคยส่องผ่านระหว่างนิ้วมือหายไป ความมืดเข้ามาแทนที่
ไม่มีเลย
เสียงของเขาที่ใกล้เคียงกับการกระซิบค่อย ๆ ไกลออกไปจนเลือนราง