หวังทง องครักษ์เสื้อแพร
เล่ม 1
特别白 เท่อเปี๋ยไป๋ เขียน
ซิวเสียนอวี๋เล่อ แปล
— โปรย —
ชีวิตก่อนต้องตายอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลเพียงลำพังตั้งแต่ยังหนุ่ม
ชีวิตนี้ได้เกิดใหม่อีกครั้งพร้อมความทรงจำจากยุคสมัยปัจจุบัน
หากใช้คำพูดของคนโบราณคงเรียกว่าเกิดมาพร้อมพรสวรรค์และความเฉียบแหลม
แต่สำหรับตัว ‘หวังทง’ เองแล้ว นี่จะเรียกว่า ‘สูตรโกง’ เล็ก ๆ ก็ไม่ผิด
รัชสมัยว่านลี่แห่งต้าหมิง หวังทง ลูกหลานองครักษ์เสื้อแพรประสบกับจุดหักเหในชีวิต
ทำให้หนทางสู่อำนาจวาสนาและความมั่งคั่งได้เปิดออกตรงหน้า
หนุ่มน้อยขอสาบานกับตัวเอง ชีวิตในครั้งนี้ของตนจะต้องไม่เรียบ ๆ ง่าย ๆ
แต่เขาจะพยายามไต่ขึ้นไปให้สูงที่สุดเท่าที่โชคชะตาจะพาไปถึง!
ต้นฉบับนี้ยังไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์
ตอนที่ 3
ปรับเปลี่ยนฉับไวตามสถานการณ์
กินข้าวไปได้ไม่กี่คำ หวังทงก็สวมชุดไว้ทุกข์คุกเข่าอยู่หน้าป้ายวิญญาณ บุตรกตัญญูจะคอยกล่าวขอบคุณแขกที่มาเคารพศพ พิธีการเช่นนี้ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันล้วนเป็นเฉกเช่นเดียวกัน
ผู้รอต้อนรับแขกที่ประตูขานชื่อเสียงดัง แขกเหรื่อทยอยเข้ามาเคารพศพ หวังทงคุกเข่าอยู่บนเสื่อ คำนับตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย หากไม่มีเงินทองที่บิดาเหลือไว้ให้ ไม่มีบ้าน เขาจะมีชีวิตได้อีกนานเท่าไร หรือจะต้องไปอยู่ร้านตีเหล็ก แต่ถ้าอีกฝ่ายแย่งเอาทรัพย์สมบัติของครอบครัวเขา พวกนั้นจะยอมให้เขาได้เตร่อยู่ข้างนอกให้เป็นปัญหาภายหลังอย่างนั้นหรือ
ความหวาดกลัวและความกังวลเข้าครอบงำความเศร้าโศกจากการจากไปของบิดาเสียสิ้น ยามนี้มหันตภัยมาถึงตัว ที่หวังทงครุ่นคิดก็คือตัวเขาจะหลบหลีกเช่นไร ทำอย่างไรจึงจะมีชีวิตต่อไปได้
องครักษ์เสื้อแพรมีบารมีน่าเกรงขาม วางอำนาจบาตรใหญ่ ทว่าหวังลี่ยังนับเป็นคนซื่อสัตย์ บนถนนนี้ยังไม่เคยใช้อำนาจรังแกใคร ตรงกันข้าม กลับจะให้ความช่วยเหลือทุกคนอย่างเต็มกำลัง หวังทงเองก็มิได้ซุกซนจนก่อเรื่องก่อราวแต่อย่างใด
ชื่อเสียงของเขาสองคนพ่อลูกจึงดีไม่น้อย ดังนั้นเมื่อหวังลี่จากไปและจัดพิธีเคารพศพ ผู้ที่มาก่อนจึงล้วนเป็นเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียง เมื่อเข้ามาเคารพศพก็ต่างกล่าววาจาปลอบโยนปลอบใจ เห็นหวังทงที่ตกอยู่ในภวังค์ก็มิได้ใส่ใจอันใด แม้เขาจะโตเกินวัย หากก็ยังเป็นเด็ก ต้องประสบเหตุเช่นนี้คงยากที่ใจจะไม่สับสน
ไม่นานก็ไม่มีเพื่อนบ้านมาอีก เนื่องจากเพื่อนร่วมงานของหวังลี่จากสำนักองครักษ์เสื้อแพรใกล้จะมาถึงแล้ว หวังลี่เป็นคนซื่อสัตย์ แต่ผู้อื่นนั้นมิอาจรู้ได้ รีบหลบไปก่อนน่าจะเป็นการดี
“ใต้เท้าเถียน เถียนหรงหาว นายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพร และใต้เท้าหลิว หลิวซินหย่ง นายกองธงใหญ่ นำคณะเข้าคำนับ” ผู้ขานนามแขกเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาในตลาด การที่สามารถขานตำแหน่งขุนนางได้อย่างผู้มีความรู้ก็นับว่าหายากแล้ว ติดที่น้ำเสียงสั่นอยู่บ้าง น่าจะเป็นเพราะรู้สึกตกใจหวาดกลัว
ในเวลานี้ห้องโถงไว้ทุกข์ไร้ผู้คน ชายสองคนที่มีหน้าที่ดูแลและนำแขกเข้างานก็พากันหลบหน้าไปแล้ว ‘ราษฎรราวแกะและหมู องครักษ์เสื้อแพรดุจเสือและหมาป่า’ คำกล่าวนี้ไม่เกินจริงเลย
เสียงย่ำฝีเท้าหนักๆจำนวนมากดังเข้ามา คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามายังห้องโถงไว้ทุกข์ บ้านตระกูลหวังนี้แม้จะเก่า แต่ในตอนนั้นก็สร้างโดยคหบดีร่ำรวย เรือนด้านในกว้างขวางโอ่โถง ผู้คนมากมายเข้ามาก็ไม่รู้สึกแออัดเท่าไร
เถียนหรงหาว ชื่อนี้หวังทงเคยได้ยินบิดากล่าวถึง เป็นหัวหน้าของหวังลี่บิดาเขา เมื่อเถียนหรงหาวเดินผ่านประตูเข้ามา หวังทงก็อดไม่ได้ที่จะมองสำรวจ ก่อนเอ่ยเสียงแหบพร่า
“ขอคารวะท่านลุงท่านอาทุกท่าน”
จากนั้นก็โขกศีรษะคำนับ เถียนหรงหาวเป็นชายหน้าดำรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง หนวดเคราไม่ดกนัก หน้าตาท่าทางฉลาดหลักแหลมและเก่งกล้าสามารถ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นขุนนางคนหนึ่งเช่นเขามาเคารพศพด้วยตนเอง ทว่าในบ้านกลับไร้ผู้คนต้อนรับ เขารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นป้ายวิญญาณเบื้องหน้า ในใจก็เศร้าสลดอยู่บ้าง จึงก้าวไปข้างหน้า ปักธูปหนึ่งดอก ถอนใจกล่าวกับคนด้านหลังว่า
“หวังลี่เป็นคนซื่อสัตย์ น่าเสียดาย”
ผู้อยู่ด้านหลังนิ่งไปก่อนรับคำ หวังทงเมื่อได้ยินเขากล่าวถึงบิดาตนเช่นนี้ก็หลั่งน้ำตาออกมาอย่างไม่อาจกลั้นเอาไว้ได้ สายตาของนายกองร้อยเถียนหันมาจับจ้องเขาแล้วกล่าวว่า
“เจ้าคือหวังทงสินะ จากนี้จะเลี้ยงดูตนเองอย่างไร”
เดิมพวกองครักษ์เสื้อแพรก็มีหน้าที่หาข่าวกรอง นายกองร้อยเถียนเอ่ยเช่นนี้จึงมิแปลกอันใด หวังทงเงยหน้าขึ้นกล่าวอย่างเคารพนบนอบว่า
“เรียนใต้เท้า หวังทงปีนี้อายุสิบสาม ยังไม่ได้ทำงานหาเลี้ยงตนเองอันใดขอรับ”
หวังทงตอบอย่างเป็นการเป็นงานจนทำให้นายกองร้อยเถียนรู้สึกชื่นชมยิ่งนัก ครั้นได้ยินว่า ‘อายุสิบสามปี’ ก็อดตกใจไม่ได้
“รูปร่างสูงใหญ่ อย่างกับผู้ใหญ่”
เมื่อหวังทงเงยหน้าขึ้นก็เห็นกลุ่มคนเบื้องหลังเถียนหรงหาว ใจพลันสั่นไหวอย่างไม่อาจยับยั้ง สองคนนั้นที่พบบนถนนก่อนหน้านี้ก็อยู่ในกลุ่มด้วย ที่แท้ ‘หัวหน้าหลิว’ คือนายกองธงใหญ่หลิวซินหย่งนี่เอง ส่วนผู้ติดตามข้างกายหลิวซินหย่งก็คือชายร่างสูงใหญ่คนนั้น
องครักษ์เสื้อแพรที่มาด้วยกันมีสิบกว่านาย บางคนหน้าตาไร้ความรู้สึก บางคนมีร่องรอยเศร้าโศกอยู่บ้าง แต่สองคนนี้ดูไม่ออกว่ามาเคารพศพแม้แต่น้อย เอาแต่แอบกระซิบกระซาบ มองสำรวจไปทั่ว สีหน้าอย่างนี้หวังทงเคยพบเห็นมาก่อน ในยุคปัจจุบัน นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ประเมินมูลค่าบ้านก็มีสีหน้าท่าทางแบบนี้
นายกองร้อยแค่มาทำหน้าที่ผู้บังคับบัญชา ไม่ได้สนใจจะอยู่ต่อแต่อย่างใด จึงหันไปเอ่ยกับผู้ใต้บังคับบัญชาว่า
“พวกเจ้าก็จุดธูปกันเสียสิ เงินทองติดตัวมาก็มอบออกมาส่วนหนึ่ง…”
ทุกคนต่างรับคำแล้วก้าวเข้ามาตามลำดับ หวังทงลังเลชั่วครู่ก่อนคำนับกลับตามประเพณี โขกศีรษะลงบนเสื่อไม่หยุด แต่ความคิดวิ่งไวราวกระแสไฟฟ้า
ภรรยาของหวังลี่เสียชีวิตไปก่อนเวลาอันควร หวังทงผู้เป็นลูกชายโตเกินวัย เรื่องราวชีวิตหรือเรื่องเล่าขององครักษ์เสื้อแพรบางเรื่องจึงมักจะถูกนำกลับมาเล่าให้ลูกชายฟังดั่งเป็นนิทาน หวังทงมักแสดงความคิดเห็นที่ไร้เดียงสา สร้างเสียงหัวเราะให้กับเขา นี่เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของสองคนพ่อลูก
ในช่วงเวลาเช่นนี้เรื่องราวที่ไม่น่าพิสมัยมักลอยเข้ามาในห้วงความคิดของหวังทง การแย่งชิงทรัพย์สินก็ดี ขับไล่แม่หม้ายและลูกกำพร้าออกจากบ้านก็ดี เรื่องที่เกิดในเวลาต่อมานั้นถ้าไม่ใช่แม่หม้ายและลูกกำพร้าไปฟ้องร้องเอาคืน ก็เป็นพวกคนที่แย่งชิงเอาทรัพย์สินไปเหล่านั้นลงมือตัดรากถอนโคน
ด้วยพฤติกรรมไร้ยางอายขององครักษ์เสื้อแพร หากต้องการชิงเอาทรัพย์สินของเพื่อนร่วมงานที่จากไป การลงมือเก็บกวาดย่อมรุนแรงไร้ความปรานีอย่างแน่นอน หวังทงย่อมต้องถูกฆ่าปิดปากเป็นแน่
หวังทงเงยหน้ามองไปยังหลิวซินหย่งและคนข้างกายแวบหนึ่ง เห็นใบหน้าคนทั้งสองฉายแววแห่งความละโมบก็ยิ่งมั่นใจในความคิดของตน
ในใจพลันคำนวณรวดเร็ว เถียนหรงหาวและผู้ใต้บังคับบัญชาเคารพศพเรียบร้อยก็หันมาพยักหน้าให้เขา ก่อนหันกายจะจากไป ขณะที่กำลังออกจากห้องโถงไปนั้น สติหวังทงก็คืนกลับมาในทันใด ตะโกนขึ้นเสียงดังว่า
“ใต้เท้าเถียนโปรดหยุดก่อน บิดาข้าที่จากไปมีสิ่งของมอบให้ใต้เท้าขอรับ”
นายกองร้อยเถียนหรงหาวแปลกใจหันกายกลับมา หวังทงไม่สนใจจัดชุดไว้ทุกข์ที่สวมอยู่ รีบลุกยืนขึ้นกล่าวอย่างรวดเร็วว่า
“เมื่อครู่เลอะเลือนไป เกือบลืมไปเรื่องหนึ่งขอรับ ใต้เท้าโปรดรอสักครู่”
เถียนหรงหาวสีหน้าตกตะลึง เขาและหวังลี่ไม่มีมิตรภาพอันใดต่อกัน จะมีของต้องคืนได้อย่างไร หลิวซินหย่งและคู่หูที่ยืนอยู่เบื้องหลังนายกองร้อยเถียนสบตากันแวบหนึ่ง ต่างรู้สึกสงสัย หากว่าเป็นคนรู้จักกับนายกองร้อยละก็ คงลงมือแย่งชิงได้ยาก เมื่อก่อนไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อน ดูต่อไปแล้วกัน
หวังทงรีบวิ่งกลับไปที่ห้องนอน เปิดช่องลับใต้เตียงบิดาออก ดึงกล่องไม่ใหญ่นักใบหนึ่งออกมา ล้วงเอากุญแจดอกหนึ่งที่พกติดกายมาไขเปิด เผยให้เห็นทองแท่งเรียงเป็นระเบียบอยู่ในนั้นกับปืนคาบศิลาที่วางอยู่ด้านบนสุด
หวังทงมองปืนสั้นแวบหนึ่ง จากนั้นโยนปืนและทองแท่งจำนวนหนึ่งกลับเข้าไปในช่องลับอย่างรวดเร็ว อุ้มกล่องนั้นขึ้นมา แล้วหันกายออกวิ่งไปยังห้องโถง
ในยุคนี้องครักษ์เสื้อแพรวางตัวอยู่เหนือกฎหมาย หากต้องการปกป้องตนเองและต้องการที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น การเป็นสมาชิกคนหนึ่งของสำนักองครักษ์เสื้อแพรเป็นวิธีที่ดีที่สุด
เมื่อหวังทงวิ่งกลับไปที่โถงไว้ทุกข์ ใบหน้าของเถียนหรงหาวก็แลดูไม่สบอารมณ์แล้ว ในใจคิดว่าเจ้าเด็กนี่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง พูดจามั่วซั่ว หากไม่ใช่ว่ากำลังอยู่ที่โถงไว้ทุกข์ละก็ คงได้สะบัดหน้าจากไปนานแล้ว
หวังทงอุ้มกล่องตรงมาที่เบื้องหน้านายกองร้อยเถียนอย่างเคารพนบนอบ กล่าวเสียงค่อยว่า
“ใต้เท้าเถียน ก่อนบิดาข้าจากไปสั่งเสียเอาไว้ขอรับ เดิมคิดว่าสองสามวันนี้ก็จะส่งไปที่จวนของท่าน แต่เรื่องราววุ่นวายในบ้านทำให้เสียเวลา…”