[ทดลองอ่าน] หน้าตางามเลิศล้ำแล้วมีประโยชน์อันใด ตอนที่ 1

我要这盛世美颜有何用
หน้าตางามเลิศล้ำแล้วมีประโยชน์อันใด

 

ลาเหมียนฮวาถังเตอะทู่จื่อ เขียน
ชานมไข่มุกหวานร้อย แปล
千二百 Qian Er Bai วาด

 

— โปรย —

ฉีเซ่อเจียง ผู้สืบทอด “จื่อตี้ซู” คนสุดท้ายตายไปด้วยโรคไทฟอยด์
แต่เมื่อเขาฟื้นขึ้นมากลับพบว่าตนเองอยู่ในร่างของดาราหนุ่มหน้าหล่อ
อีกทั้งบรรยากาศต่างๆ รอบตัวก็ยังดูแปลกตาไม่คุ้นเคย
เพราะนี่คือประเทศจีนในแปดสิบปีต่อมา!
แล้วเขาจะสามารถใช้อาชีพเดิมที่ตนภาคภูมิใจเอาตัวรอดในยุคปัจจุบันได้ไหมนะ

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 1

 

ขณะที่ผู้จัดการหลี่จิ้งเดินเข้าห้องรับแขก สื่อบนหน้าจอโทรทัศน์ก็กำลังรายงานข่าวลือซุบซิบ คาดเดาการเคลื่อนไหวครั้งใหม่ของเฟิ่งหลีมีเดียกันสนุกสนาน

ปีนี้รายการวาไรตี้ที่เฟิ่งหลีมีเดียนำเสนอโดยใช้เกมเป็นธีมหลักได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม คนที่มีสายตาเฉียบแหลมย่อมมองออกว่าเป็นรายการที่ให้ศิลปินหน้าเก่ามาช่วยผลักดันศิลปินหน้าใหม่ เพราะนอกจากศิลปินที่ได้รับความนิยมติดอันดับแถวหน้าที่ไปออกรายการแล้ว ยังมีศิลปินใหม่ๆ ของเฟิ่งหลีมีเดียอีกหลายคน

หลังจากจบซีซั่นแรก เหล่าศิลปินหน้าใหม่ก็มีชื่อเสียงมากน้อยต่างกันไป มีข่าวลือว่าเพราะรายการได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เฟิ่งหลีจึงตั้งใจให้เหล่าศิลปินหน้าใหม่มาฟอร์มวงร่วมกันทำกิจกรรม

ในเวลาเดียวกันนั้นเองก็มีข่าวหนึ่งเปิดเผยออกมา ฉีเซ่อเจียง หนึ่งในบรรดาศิลปินหน้าใหม่ ผู้ได้รับความนิยมสูงสุดและถูกสื่อวิจารณ์ว่าเป็นแค่แจกันดอกไม้[1] จริงๆ แล้วคือเจสซี่ลูกชายแท้ๆ ของดารานักร้องรุ่นเก่าอย่างซย่าอีเหว่ย

แม้เธอไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องลูกชายมากนัก แต่มีรูปเก่าๆ ในวัยเด็กหลุดมาสองสามรูป พอนำมาเทียบกันแล้ว ถึงกับมีคนตบหน้าผากตัวเอง “สำเนาถูกต้องชัดๆ พวกเขาถอดแบบกันมาเลยนะเนี่ย!”

เพราะรูปร่างหน้าตาดีแต่ฝีมือการแสดงย่ำแย่ของฉีเซ่อเจียงก่อนหน้านี้ ทำให้มีการถกเถียงกันค่อนข้างมาก เขาไม่มีทั้งทักษะด้านรายการวาไรตี้และความพิเศษโดดเด่นอะไรเลย ความสามารถเดียวที่เขาแสดงในรายการคือการเล่นเปียโนและร้องเพลง ส่วนระดับความสามารถน่ะหรือ มีนักข่าวไปสัมภาษณ์ดาราคนอื่นๆ ว่าคิดเห็นอย่างไรกับการแสดงของเขา จางเยว์นักร้องนำวงกวนซานผู้ขึ้นชื่อว่าปากคอเราะรายยังยอมชื่นชมด้วยประโยคเด็ด “ฟังแล้ว ดูดีมาก”

ความบังเอิญก็คือ ซย่าอีเหว่ยก็ได้รับฉายาแจกันดอกไม้มาตั้งแต่ตอนวัยรุ่น และจัดอยู่ในประเภท “ร้องเพลงโดยอาศัยหน้าตา” เช่นเดียวกัน สื่อจึงพากันพูดติดตลกว่า “จะโทษฉีเซ่อเจียงไม่ได้ เพราะนี่อาจเป็นความสามารถที่สืบทอดมาทางสายเลือด”

ว่ากันว่ารายการนี้จัดขึ้นเพื่อปั้นฉีเซ่อเจียงที่กำลังเป็นศิลปินหน้าใหม่ คนอื่นๆ เป็นแค่เพื่อนเรียนขององค์ชาย[2]เท่านั้น ส่วนเรื่องที่ฉีเซ่อเจียงจะเปิดตัวด้วยหรือไม่ ก็มีการคาดเดากันไปต่างๆ นานา

บางคนบอกว่าฉีเซ่อเจียงหน้าตาโดดเด่นเกินไป ซย่าอีเหว่ยอยากให้ลูกชายเป็นศิลปินเดี่ยว ผู้ชมบางคนบอกว่าไม่แคร์ที่ฉีเซ่อเจียงเป็นคนพูดน้อย ต่อให้เปิดรายการมาแล้วชายหนุ่มแค่นั่งเหม่อเฉยๆ พวกเขาก็อยากดู

บางคนบอกว่าฉีเซ่อเจียงมีดีแค่หน้าตา ไม่เหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ที่มีจุดแข็งจุดเด่นเป็นของตัวเอง คนคนนี้ไม่มีเซนส์ทางวาไรตี้ หากเอาเขาเข้าไปฟอร์มวงด้วยก็จะโดดเด่นเกินไป ผู้บริหารระดับสูงของเฟิ่งหลีไม่ค่อยอยากให้เขาเข้าไปร่วมด้วยเท่าไร

แต่ไม่ว่าเป็นความคิดเห็นแง่ไหน ล้วนยอมรับในรูปร่างหน้าตาของฉีเซ่อเจียงทั้งสิ้น

หลี่จิ้งปิดโทรทัศน์ ครุ่นคิดครู่หนึ่ง

ใบหน้าของเจสซี่ไม่สามารถบรรยายด้วยคำว่า “ดูดี” แค่นั้นได้ และต่อให้ไม่มีใบหน้าหล่อเหลานั่น หรือแม้ว่าเขาจะแสดงออกได้น่าเบื่อแค่ไหน แต่ด้วยความที่เป็นลูกชายของซย่าอีเหว่ยก็หาทางให้เข้ารายการนั้นได้อยู่ดี

เขามีเชื้อสายชาวตะวันตกถึงหนึ่งในสี่มาจากแม่ ผมดำตาดำ มองแวบแรกดูหล่อแบบชาวตะวันออก ทว่ารูปร่างค่อนข้างผอม เบ้าตาลึก ขนตาหนา มีกลิ่นอายแบบชาวตะวันตกอยู่หลายส่วน แม้แต่ขนตาล่างยังทำให้คนมองตกตะลึง เพียงถูกตาคู่นั้นจ้องเกินห้าวินาที ก็ทำให้คุณตื่นเต้นจนหายใจไม่ออกได้

ตอนนี้เขากำลังใช้ดวงตาคู่นี้จ้องมองหลี่จิ้ง ราวกับสงสัยว่าอีกฝ่ายมาทำไม

“ฉันมาดูนาย ช่วงนี้พักผ่อนเป็นยังไงบ้าง ก่อนหน้านี้จู่ๆ นายก็หมดสติไป แถมหมอยังหาสาเหตุไม่ได้ ห้ามอดหลับอดนอนอีกนะ เดี๋ยวนี้มีวัยรุ่นหลายคนอดนอนแล้วตายเฉียบพลัน” หลี่จิ้งพูดด้วยท่าทางจริงจัง

เขาชะงักไปชั่วครู่ เหลือบมองโทรทัศน์ที่ปิดไปแล้ว ก่อนพูดต่อ “อีกอย่างนะ เสี่ยวเจียง ฉันรู้ว่านายไม่อยากพึ่งพาบารมีแม่ แต่ไม่ช้าก็เร็วความสัมพันธ์ของพวกนายก็ต้องถูกเปิดเผยอยู่ดี ที่จริงนายไม่จำเป็นต้องใส่ใจอะไรมากมายขนาดนี้ แค่ไม่กี่วันก็ไม่มีใครมาสนใจแล้ว สุดท้ายผู้ชมจะจำนายได้หรือไม่มันก็อยู่ที่ตัวนายเอง เลิกหงุดหงิดได้แล้วน่า”

หลี่จิ้งเป็นผู้จัดการของซย่าอีเหว่ย หลังจากตัวตนของฉีเซ่อเจียงถูกเปิดเผย เขาจึงรับดูแลฉีเซ่อเจียงด้วย ซย่าอีเหว่ยเป็นคนมีอารมณ์ขัน ถึงขั้นเคยพูดติดตลกว่า “เหมือนแม่แล้วไม่ดีเหรอ” ทำให้ฉีเซ่อเจียงไม่พอใจเข้าไปใหญ่

ฉีเซ่อเจียงพยักหน้า “อาพูดถูก”

หลี่จิ้งชะงักไปครู่หนึ่ง ค่อนข้างแปลกใจกับการตอบสนองของอีกฝ่าย ฟังดูแล้วเหมือนชายหนุ่มจะเห็นด้วยกับคำพูดของเขา แต่นี่ไม่ใช่นิสัยเสี่ยวเจียงเลยสักนิด จนเขาต้องถามหยั่งเชิงด้วยความลังเล “งั้นคอนเสิร์ตอีเหว่ยวันมะรืนนี้จะให้ฉันจองที่ไว้ให้ไหม”

ก่อนหน้านี้เขาเคยพูดถึงเรื่องนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ตอนนั้นฉีเซ่อเจียงปฏิเสธเพราะกลัวว่าจะมีคนถ่ายรูปติดไปและอาจคาดเดาบางอย่างได้

ทว่าตอนนี้ชายหนุ่มกลับพยักหน้าตกลงแบบสบายๆ “ได้ครับ”

หลี่จิ้งเพิ่งจะได้สังเกตฉีเซ่อเจียงอย่างละเอียดก็ตอนนี้ เขารู้สึกว่าไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วัน ฉีเซ่อเจียงก็ยังคงเป็นฉีเซ่อเจียงนั่นแหละ แต่ในด้านของการวางตัวดูเหมือนอีกฝ่ายจะโตขึ้นไม่น้อย และยังให้ความรู้สึกเข้าใจโลกด้วย

หรือเป็นเพราะอาการป่วยบวกกับความกดดันจากคำวิพากษ์วิจารณ์ของใครต่อใครในช่วงหลายวันมานี้ทำให้เขาโตขึ้น

“ดีแล้ว” หลี่จิ้งตบไหล่ฉีเซ่อเจียง “นายพักผ่อนให้ดี ฉันดูบทละครให้อยู่ มีที่เข้าตาบ้างแล้ว”

ฉีเซ่อเจียงจะไม่เข้าร่วมการฟอร์มวงของเฟิ่งหลีมีเดีย แต่มันไม่ได้มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรมากมายเหมือนที่โลกภายนอกคาดเดากัน ตัวเขาเองไม่ได้สนใจจะเปิดตัวเป็นวงแต่แรก หรือจะพูดว่าเขาไม่ถนัดการทำงานเป็นทีมก็ไม่ผิดนัก

ขณะที่หลี่จิ้งพูดจบและเตรียมจะกลับไป ฉีเซ่อเจียงกลับเรียกเขาไว้ “อาจิ้ง ผมไม่อยากแสดงละคร”

หลี่จิ้งเลิกคิ้ว “ทำไมเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้ล่ะ งั้นนายอยากทำอะไร”

ฉีเซ่อเจียงกะพริบตาปริบๆ ก่อนบอกอะไรบางอย่างกับอีกฝ่าย

หลี่จิ้งฟังแล้วถึงกับอึ้ง ได้แต่สบตาเขาอย่างนั้น “…เสี่ยวเจียง นายยังโมโหฉันอยู่ใช่ไหม”

ฉีเซ่อเจียงตอบกลับอย่างเป็นธรรมชาติ “เปล่านะครับ จริงสิ อาจิ้ง ไฟห้องผมเสีย รู้ไหมว่าต้องซ่อมยังไง”

 

หลังจากหลี่จิ้งกลับไปแล้ว ฉีเซ่อเจียงก็ชงชาให้ตัวเอง

หลายวันมานี้มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นกับตัวเขา

เมื่อสิบวันก่อนเขาก็ชื่อฉีเซ่อเจียง แต่ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ เขามีชีวิตอยู่ในหฺวาซย่า[3] เมื่อแปดสิบปีก่อน เป็นศิลปินพื้นบ้านที่ดำรงชีพด้วยเซี่ยงเซิง[4] วันหนึ่งเขากินอาหารข้างนอก หลังกลับบ้านก็ป่วยเป็นไข้ไทฟอยด์จนเสียชีวิต

เดิมทีเขาคิดว่านี่เป็นการกลับชาติมาเกิด แต่ใครจะไปรู้ว่าพอลืมตาตื่นขึ้นมา ตัวเขาดันกลับมาอยู่ที่หฺวาซย่าในอีกแปดสิบปีต่อมา และกลายเป็น “ฉีเซ่อเจียง” อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้

ในหัวของฉีเซ่อเจียงมีความทรงจำที่ไม่ปะติดปะต่ออยู่มากมาย แต่นั่นก็ทำให้เขาพอจะเข้าใจเจ้าของร่างนี้ได้แบบคร่าวๆ ช่วงหลายวันมานี้เขาพยายามปรับตัวเข้ากับเรื่องแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น พยายามปรับตัวกับยุคใหม่ ตัวตนใหม่ และพยายามปรับตัวกับการสูญเสียทุกอย่างที่เคยมี

แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประหลาดพิสดารแค่ไหน สำหรับคนที่เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง การได้รับชีวิตใหม่อีกครั้งย่อมเป็นสิ่งล้ำค่า และทั้งที่เขากับ “ฉีเซ่อเจียง” คนนี้ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย แต่เขากลับรู้สึกคุ้นเคยกับ “ฉีเซ่อเจียง” คนนี้อย่างมาก

เมื่อก่อนเขาเป็นเพียงคนหน้าตาเรียบร้อยดูสะอาดสะอ้านเท่านั้น แต่ “ฉีเซ่อเจียง” ในตอนนี้มีรูปร่างหน้าตาดีจนน่าตกใจ เขาเกิดในครอบครัวอุปรากรจีน เรียนการละครและการขับร้องมาตั้งแต่เด็ก เรียนเซี่ยงเซิงตั้งแต่เสียงยังไม่แตกหนุ่ม มีความรู้เกี่ยวกับศิลปะไม่น้อย ขณะที่ “ฉีเซ่อเจียง” คนนี้ไม่มีพรสวรรค์ด้านศิลปะสักนิด เป็นแจกันดอกไม้ยิ่งกว่าแม่แท้ๆ เสียอีก แม้แต่นิสัยยังแตกต่างกับเขา เขาเลี้ยงชีพด้วยงานที่อาศัยปาก ขณะที่ “ฉีเซ่อเจียง” เป็นคนไม่ค่อยพูดด้วยซ้ำ

แต่ความแปลกคือมันไม่เหมือนการสิงร่าง กลับเหมือนไม่มีใครหายไป เหมือนพวกเขาหลอมรวมเข้าด้วยกันมากกว่า

ฉีเซ่อเจียงถึงขั้นนึกสงสัยว่าเดิมทีพวกเขาควรอยู่ในร่างเดียวกันหรือไม่ หรือเพราะทุกอย่างเข้ากันได้พอดีวิญญาณของเขาจึงมาอยู่ในร่างนี้

แม้จะได้รับชีวิตใหม่ แต่เพราะเวลาผ่านไปเกือบร้อยปี ฉีเซ่อเจียงจึงแทบไม่รู้จักโลกปัจจุบันเลย ในสมัยที่เขาอยู่ “ไฟฟ้า” ยังเข้าไม่ถึงบ้านคนทั่วไป แต่ตอนนี้ทุกที่ล้วนใช้ไฟฟ้า แค่กดสวิตช์ไฟก็สว่าง แถมยังมีลูกเล่นอีกมากมาย…ส่วนสาเหตุที่ไฟในห้องเสียก็เพราะเขาเป็นคนกดเล่นเอง

อีกเรื่องหนึ่งที่เขาสงสัยคืออาชีพของฉีเซ่อเจียงคนนี้ เพราะความทรงจำไม่ปะติดปะต่อที่มีอยู่นั้นไม่พอให้เขาเข้าใจเท่าไร

ในด้านความรู้สึกก็คล้ายๆ กับเขาในอดีต คือแสดงศิลปะให้คนชม เพียงแต่ปัจจุบันมีจอกั้นระหว่างศิลปินกับผู้ชมทำให้ไม่สามารถมองเห็นกันได้ เหมือนภาพยนตร์อะไรแบบนั้น นั่นทำให้ไม่อาจแสดงความสามารถได้เต็มที่ และไม่รู้เลยว่าผู้ชมชอบหรือไม่ ทำให้ไม่สามารถปรับเปลี่ยนการแสดงในทันทีได้

ฉีเซ่อเจียงเป็นคนชอบศึกษาค้นคว้า ตอนนั้นเขาเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่ตลอดเพื่อให้จับใจผู้ชมได้ ถึงแม้ความไม่เข้าใจในตอนนี้จะทำให้เขาสับสนไปบ้าง แต่กลับไม่ได้ทำให้ท้อใจ เพียงแต่เขายังปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงมากมายแบบนี้ไม่ได้ในทันทีเท่านั้น

จนกระทั่งเขาเห็นเพื่อนร่วมอาชีพใส่เสื้อคลุมยาวแสดงเซี่ยงเซิงอยู่ในหน้าจอโทรทัศน์ และเนื้อหาที่พูดก็เป็นเรื่องราวในยุคของเขา

วินาทีนั้น ราวกับถูกช่วงเวลาแปดสิบปีก่อนเข้ามาซ้อนทับ ทำให้เขาค้นพบที่ทางของตัวเองในโลกใหม่นี้!

เมื่อความสับสนค่อยๆ หายไป ฉีเซ่อเจียงก็มีเป้าหมายชัดเจน แม้ว่าหลี่จิ้งจะดูตกใจมากหลังจากที่เขาบอกความต้องการของตัวเอง แต่ฉีเซ่อเจียงคิดว่าเขาอยากจะอยู่ในยุคนี้โดยใช้อาชีพเก่าของตนมากกว่า

 

หลี่จิ้งเรียกช่างมาซ่อมไฟให้ โดยที่มีฉีเซ่อเจียงคอยจ้องอยู่ข้างๆ ตลอดเวลาจนช่างไฟรู้สึกอึดอัด

นอกจากนั้นพอซ่อมเสร็จเรียบร้อย หนุ่มหน้าสวยคนนี้ยังชมว่ายอดเยี่ยมด้วยแววตาที่จริงใจ จนทำให้อีกฝ่ายนึกสงสัยว่าตัวเองซ่อมไฟหรือซ่อมยานอวกาศกันแน่

เมื่อช่างไฟกลับไปแล้ว ฉีเซ่อเจียงก็ออกไปข้างนอกเช่นกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกจากบ้านตามลำพังหลังจากที่มาอยู่ในยุคนี้ ชายหนุ่มคิดว่าตนน่าจะมีความสามารถมากพอที่จะออกข้างนอกด้วยตัวเองหลังจากที่สังเกตและเรียนรู้มาหลายวัน

ผลคือทันทีที่มาถึงชั้นล่างของอพาร์ตเมนต์ กลับถูกนักข่าวที่มาดักรอขวางทางและทักทายเขา “สวัสดีตอนบ่ายครับ เจสซี่”

ฉีเซ่อเจียงรู้ว่านี่เป็นชื่อภาษาอังกฤษของ “ตัวเอง” แม้เขาจะไม่รู้จักอีกฝ่าย แต่เมื่อมีคนทักทาย เขาย่อมตอบกลับ “สวัสดีครับ”

นักข่าวคนนั้นยินดีอย่างยิ่งที่ฉีเซ่อเจียงตอบรับเมื่อตนเรียกว่าเจสซี่ เพราะนี่เท่ากับยอมรับว่าตัวเองเป็นลูกชายของซย่าอีเหว่ย!

ดูเหมือนนักข่าวจะคึกขึ้นมาอย่างกับได้ฉีดเลือดไก่[5] “เมื่อครู่หลี่จิ้งเพิ่งกลับออกไปจากที่นี่ เขาไปที่ห้องของคุณมาใช่ไหมครับ มาคุยเรื่องงานของคุณใช่ไหม คุณจะรับงานอะไร”

จริงๆ พวกเขาอยากสอบถามว่าฉีเซ่อเจียงจะเข้าร่วมการฟอร์มวงใหม่ของเฟิ่งหลีมีเดีย หรือจะเดินตามรอยแม่ไปเป็นแจกันดอกไม้ที่สวยงาม…อ่า ไม่สิ เป็นนักร้องหรือนักแสดง

เมื่อก่อนฉีเซ่อเจียงเอาแต่เลี่ยงไม่ยอมตอบคำถามนี้ ทว่าตอนนี้เขายอมเปิดปากให้คำตอบ “หลังจากนี้ผมอยากแสดงเซี่ยงเซิงครับ”

นักข่าว “?”

 

[1] แจกันดอกไม้ หมายถึง คนที่มีดีแค่หน้าตาแต่ไร้ความสามารถ

[2] เพื่อนเรียนขององค์ชาย ในอดีต องค์ชายจะมีสหายเป็นเพื่อนเรียนหนังสือ ปัจจุบันคำนี้หมายถึง คนที่เข้าสอบแม้รู้อยู่แก่ใจว่าสอบไม่ผ่าน

[3] หฺวาซย่า เป็นชื่อของประเทศจีนในสมัยโบราณ

[4] เซี่ยงเซิง คือ ศิลปะการแสดงดั้งเดิมของจีน อาศัยทักษะสี่อย่างได้แก่ การพูด การเลียนแบบ การหยอกล้อ และการร้องเพลง

[5] ฉีดเลือดไก่ มาจากความเชื่อทางการแพทย์จีนสมัยโบราณ ที่เชื่อว่าการฉีดเลือดไก่เข้าตัวจะทำให้แข็งแรงเหมือนยาวิเศษรักษาสารพัดโรค ปัจจุบันจึงเป็นสำนวนที่ใช้เปรียบเปรยคนที่มีอาการคึกคักหรือตื่นเต้น

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า