[ทดลองอ่าน] หน้าตางามเลิศล้ำแล้วมีประโยชน์อันใด ตอนที่ 2

我要这盛世美颜有何用
หน้าตางามเลิศล้ำแล้วมีประโยชน์อันใด

 

ลาเหมียนฮวาถังเตอะทู่จื่อ เขียน
ชานมไข่มุกหวานร้อย แปล
千二百 Qian Er Bai วาด

 

— โปรย —

ฉีเซ่อเจียง ผู้สืบทอด “จื่อตี้ซู” คนสุดท้ายตายไปด้วยโรคไทฟอยด์
แต่เมื่อเขาฟื้นขึ้นมากลับพบว่าตนเองอยู่ในร่างของดาราหนุ่มหน้าหล่อ
อีกทั้งบรรยากาศต่างๆ รอบตัวก็ยังดูแปลกตาไม่คุ้นเคย
เพราะนี่คือประเทศจีนในแปดสิบปีต่อมา!
แล้วเขาจะสามารถใช้อาชีพเดิมที่ตนภาคภูมิใจเอาตัวรอดในยุคปัจจุบันได้ไหมนะ

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 2

 

รายการวาไรตี้ที่ฉีเซ่อเจียงไปออกก่อนหน้านี้เพิ่งจบไป มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับตัวเขาค่อนข้างมาก แต่ในขณะเดียวกัน หน้าตาของเขาก็ตกแฟนคลับกลุ่มใหญ่ได้ด้วย รวมกับเป็นช่วงที่ทุกคนกำลังอยากรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับซย่าอีเหว่ย ทำให้มีคนจำนวนมากติดตามเขา

ฉีเซ่อเจียงยอมรับว่าตัวเองคือเจสซี่ เป็นเรื่องที่บรรดาสื่อแย่งกันนำเสนอข่าวนี้อย่างไม่ต้องสงสัย และประโยคที่ว่า “หลังจากนี้ผมอยากแสดงเซี่ยงเซิงครับ” ก็ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เช่นกัน

…ตอนอยู่ในรายการวาไรตี้ แม้ฉีเซ่อเจียงจะอาศัยแค่หน้าตา ไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไร แต่ก็ไม่ได้ทำให้มีข้อถกเถียงอะไรมากมาย

 

[อืม…ถึงฉีเซ่อเจียงจะหล่อมาก แต่พอได้ยินประโยคสุดท้าย ฉันก็ยังหลุดหัวเราะอยู่ดี] [เกิดนึกอะไรขึ้นมา ขนาดนักข่าวยังอึ้งเลย อาจจะคิดอยู่ในใจก็ได้ว่าทำไมจู่ๆ ถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้] [พูดแบบขำๆ นะ ฉีเซ่อเจียงเป็นคนตลกจริงๆ] [บ้าไปแล้ว ตั้งแต่ฉีเซ่อเจียงเปิดตัวมา ประโยคนี้เป็นประโยคที่ตลกที่สุด ตลกกว่าตอนอยู่ในรายการร้อยเท่าเลย…] [ที่รักน่ารักจริงๆ รู้จักพูดล้อเล่นแล้ว ตลกจริงๆ ฮ่าๆๆๆ]

 

“ดูสิ ทั้งสื่อทั้งชาวเน็ตเห็นนายเป็นตัวตลกกันไปหมดแล้ว!”

ตอนนี้พวกเขากำลังเดินทางไปยังสถานที่จัดคอนเสิร์ต หลี่จิ้งมารับฉีเซ่อเจียงที่สนามบิน เขากับซย่าอีเหว่ยมาถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่ชายหนุ่มเพิ่งจะมาถึง

กระทั่งเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนเขาก็ยังไม่คิดว่าฉีเซ่อเจียงจะอยากแสดงเซี่ยงเซิงจริงๆ…

เขาถึงขั้นคิดว่านี่อาจเป็นการแก้แค้นของฉีเซ่อเจียง ในเมื่อคุณไม่ยอมให้ผมเป็นตัวของตัวเอง ผมก็จะสู้กับคุณให้ถึงที่สุด ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมฉีเซ่อเจียงถึงตอบตกลงมางานคอนเสิร์ต เขาเองก็ไม่เข้าใจจนแทบคิดว่าตนกำลังถูกอีกฝ่ายปั่นหัว วันนี้มารับที่สนามบินแล้วอาจจะไม่เจอตัวฉีเซ่อเจียงก็ได้

ตอนนั้นเขาคิดว่าปล่อยให้ทุกคนใจเย็นลงก่อน เมื่อครู่หลังจากที่เจอกันเขาก็อยากจะคุยด้วย ทว่าฉีเซ่อเจียงกลับจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำเอาเขาตกใจแทบแย่

ทำงานในแวดวงนี้มาหลายสิบปี นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่จิ้งรู้สึกพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าฉีเซ่อเจียงไปเอาความฝันแปลกๆ มาจากไหน ไม่ใกล้กับสิ่งที่พวกเขาคิดไว้เลยสักนิด!

“อาจิ้งครับ ผมสนใจเซี่ยงเซิงมาตลอด แค่พวกคุณยังไม่รู้เท่านั้นเอง” ฉีเซ่อเจียงสงบนิ่งมาก เขาไม่เข้าใจว่าการตัดสินใจแบบนี้ทำให้หลี่จิ้งตกใจแค่ไหน สำหรับเขาแล้วอินเทอร์เน็ตลึกลับซับซ้อนกว่าโทรทัศน์ เขาไม่ได้อ่านคอมเมนต์จากชาวเน็ต แค่ฟังจากที่หลี่จิ้งอ่านให้ฟังสองสามคอมเมนต์เท่านั้น

เป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้อยู่ พ่อแม่ของฉีเซ่อเจียงคนหนึ่งเป็นนักธุรกิจอีกคนเป็นศิลปิน วันๆ ไม่ค่อยอยู่บ้าน จึงเป็นธรรมดาที่ทุกคนไม่รู้ว่าฉีเซ่อเจียงชอบอะไร

ตอนนี้หลี่จิ้งที่อยู่ตรงหน้าเขากำลังบ่นแบบเศร้าๆ “เห็นไหมว่าชาวเน็ตเขาตลกกันแค่ไหน แค่นั้นก็น่าจะรู้แล้วว่าความคิดของนายมันเหลือเชื่อ ใครจะไปเชื่อที่นายพูด คิดว่าตัวเองเหมือนคนแสดงเซี่ยงเซิงหรือไง”

ฉีเซ่อเจียงเงียบไปพักใหญ่ เขาไม่ได้ตาบอด

เซี่ยงเซิงไม่ได้มีเงื่อนไขว่าต้องเป็นนักแสดงหน้าตาน่าเกลียดมาทำให้คนหัวเราะ นักแสดงที่หน้าตาดีก็ใช่ว่าจะไม่มี เพียงแต่ฉีเซ่อเจียงหน้าตาดีถึงขั้นที่จะดึงดูดความสนใจจนทำให้ผู้ชมเสียสมาธิได้

นี่นอกจากจะเป็นวิถีชีวิตของฉีเซ่อเจียงในอดีตแล้ว ยังเป็นความสบายใจเดียวของเขาที่ต้องข้ามมาอยู่ในยุคนี้ เขายอมแพ้ไม่ได้จริงๆ

หลังจากเงียบไป เขาก็ยังคงพูดว่า “ความสำเร็จขึ้นอยู่กับคน”

เขาเคยผ่านความเศร้า เคยผ่านความทุกข์มาแล้ว เขาไม่เชื่อว่าใบหน้านี้จะขัดขวางไม่ให้เขาทำอาชีพเก่าได้

 

หลี่จิ้งพาฉีเซ่อเจียงมาที่ห้องพักหลังเวที ซย่าอีเหว่ยกำลังแต่งหน้าอยู่ แม้อายุเลยสี่สิบแล้วแต่เธอก็ยังคงงดงาม ดูแล้วเหมือนเป็นพี่สาวของฉีเซ่อเจียงมากกว่า เมื่อลองเทียบกันดู เครื่องหน้าของเธอออกไปทางตะวันตกมากกว่าลูกชาย

ซย่าอีเหว่ยเข้ามากอดฉีเซ่อเจียงอย่างอบอุ่นทันทีที่เห็นลูกชาย

ฉีเซ่อเจียงไม่ค่อยชิน แต่อาจเพราะปฏิกิริยาร่างกาย เมื่อเห็นซย่าอีเหว่ยลึกๆ ในใจเขาจึงรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด

หลี่จิ้งอยากจะบอกซย่าอีเหว่ยว่าเมื่อครู่ตนเพิ่งได้รู้ว่าฉีเซ่อเจียงเหมือนจะจริงจังกับคำพูดที่เคยบอกว่าอยากแสดงเซี่ยงเซิง แต่พอคิดดูอีกที คอนเสิร์ตใกล้จะเริ่มแล้ว ไว้รอจบงานค่อยบอกจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นอาจทำให้ซย่าอีเหว่ยร้อนใจ

ซย่าอีเหว่ยปลื้มใจที่ลูกชายมางานคอนเสิร์ต สำหรับเธอแล้วนี่เป็นเหมือนสัญญาณว่ากำแพงน้ำแข็งที่กั้นกลางระหว่างพวกเขากำลังจะทลายลง

เธอกลับไปนั่งแต่งหน้าต่อ พูดคุยหยอกล้อกับฉีเซ่อเจียงไปด้วย “แม่เห็นข่าวแล้วนะ ตอนนี้ลูกยอมรับว่าเป็นลูกของแม่แล้วเหรอ”

เธอค่อนข้างสนใจปฏิกิริยาของฉีเซ่อเจียงที่มีต่อชื่อเจสซี่

ฉีเซ่อเจียงตอบกลับทันควัน “ทำไมจะไม่ยอมรับล่ะครับ”

ในยุคที่เขาอยู่ ในวงการของเขา การพูดถึงชื่อพ่อแม่ญาติพี่น้องของตัวเองบนเวทีนั้นเป็นเรื่องปกติมาก เพราะนี่แสดงถึงการสนับสนุนกันของคนในครอบครัว และเหมือนที่หลี่จิ้งพูดเอาไว้ สุดท้ายแล้วอย่างไรก็ต้องอาศัยความสามารถของตัวเอง

ใบหน้าของซย่าอีเหว่ยฉายแววแปลกใจระคนยินดี “ลูกรัก ลูกเปลี่ยนความคิดแล้วเหรอ! งั้น…ต่อไปถ้าต้องไปออกรายการ ลูกจะยอมไปออกรายการกับแม่ไหม”

หลังจากถามคำถามนี้ เธอก็กังวลว่าตัวเองใจร้อนไปหรือเปล่า

ฉีเซ่อเจียงตอบ “ไปได้ด้วยเหรอครับ ขอบคุณครับแม่”

ซย่าอีเหว่ยเกือบหลุดทำท่ากำหมัดด้วยความพอใจ

พระเจ้าช่วย เด็กดื้อยอมตอบตกลงแล้ว! นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนของซย่าอีเหว่ยเบิกกว้าง ถ้าไม่ใช่เพราะช่างแต่งหน้าห้ามเอาไว้เพราะกลัวว่าเครื่องสำอางจะเลอะ เธออาจน้ำตาไหลด้วยความปลาบปลื้มแล้วก็เป็นได้

 

คอนเสิร์ตเริ่มขึ้น ซย่าอีเหว่ยกำลังแสดงอยู่บนเวที 

ฉีเซ่อเจียงกับหลี่จิ้งนั่งอยู่บนที่นั่งวีไอพี ตอนนี้มีผู้ชมจำนวนไม่มากรอบๆ เขาที่จำเขาได้

ขณะที่คอนเสิร์ตดำเนินไปได้ครึ่งทาง จู่ๆ ซย่าอีเหว่ยก็เอ่ยออกมา “จริงๆ วันนี้เจสซี่ลูกชายของฉันก็มาชมคอนเสิร์ตด้วยนะคะ”

สามวินาทีหลังจากที่ซย่าอีเหว่ยพูดประโยคนี้ บรรดาแฟนคลับที่อยู่ในงานคอนเสิร์ตก็ตอบรับอย่างอบอุ่น เธอจึงเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม “ขอบคุณมากค่ะ ฉันเชื่อว่าหลายๆ คนคงรู้แล้วว่าเจสซี่ยังมีอีกชื่อหนึ่งคือฉีเซ่อเจียง”

ขณะเดียวกันผู้กำกับก็แพนกล้องไปทางผู้ที่ถูกกล่าวถึง บนหน้าจอขนาดใหญ่ปรากฏภาพครึ่งตัวของฉีเซ่อเจียง เขาหันมาทางกล้องพอดี เมื่อเงยหน้า แพขนตาหนาราวกับจะบดบังดวงตาของเขาไปครึ่งหนึ่ง ผู้ชมจึงประหลาดใจเพราะไม่ทันตั้งตัว

บรรดาแฟนคลับส่งเสียงกรี๊ด ส่วนหนึ่งเพราะเป็นลูกชายของดีวา อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะใบหน้าอันหล่อเหลาของฉีเซ่อเจียงทำให้คนที่ได้เห็นอยากจะกรี๊ดออกมา ชายหนุ่มแต่งตัวตามปกติเหมือนในชีวิตประจำวัน ไม่มีอะไรพิเศษ แต่เพียงเครื่องหน้าของเขาก็น่ามองแล้ว

ซย่าอีเหว่ยพูดต่อพร้อมยิ้มกว้าง “เพลงต่อไปเป็นเพลงเก่าที่ปล่อยในปีที่เจสซี่เกิดพอดี ดังนั้นฉันจึงอยากเชิญเขาขึ้นมาแสดงร่วมกับฉัน หวังว่าทุกคนจะปรบมือต้อนรับเขาเหมือนที่ต้อนรับฉันนะคะ”

นี่เป็นความคิดที่เกิดขึ้นปุบปับ การพูดคุยกับฉีเซ่อเจียงในห้องพักทำให้เธอมีความสุขจนตัวลอย ในที่สุดลูกชายก็ไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือของเธอแล้ว

เธอทนรอไม่ไหว อยากจะแนะนำลูกชายของตัวเองให้ทุกคนได้รู้จัก

ซย่าอีเหว่ยมองไปทางลูกชายด้วยความคาดหวัง

ฉีเซ่อเจียง “…”

ไม่ใช่ว่าเขาเปลี่ยนใจหรือไม่อยากรับความช่วยเหลือจากซย่าอีเหว่ย แต่…เขาร้องเพลงของเธอเป็นที่ไหน!

ทว่าเสียงปรบมือดังขึ้นแล้ว ทีมงานนำไมโครโฟนมาให้ หลี่จิ้งที่อยู่ข้างกันก็กำลังกดไหล่ฉีเซ่อเจียงเบาๆ เป็นสัญญาณ

ไม่มีใครคาดคิดถึงประเด็นนี้ ฉีเซ่อเจียงจะร้องเพลงคลาสสิกของแม่ไม่ได้ได้อย่างไร

ด้วยอาชีพของฉีเซ่อเจียง เขาเคยเจอเรื่องไม่คาดคิดมามากมาย แต่นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ได้เจอเรื่องแบบนี้ เขาค่อยๆ ทำใจให้สงบ เดินขึ้นเวทีพลางครุ่นคิดไปด้วยว่าจะแก้สถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนนี้อย่างไร

เขากวาดตามองรอบๆ ก่อนหยุดลงที่วงดนตรี วันนี้นอกจากเครื่องดนตรีแบบตะวันตกแล้วยังมีเครื่องดนตรีดั้งเดิมอยู่ด้วย เช่น ผีผา ซานเสียน[1] ซอเอ้อร์หู เป็นต้น

ฉีเซ่อเจียงเล่นซานเสียนได้ เมื่อครู่แม่ของเขาพูดเพียงว่าแสดงด้วยกัน ไม่ได้บอกว่าร้องเพลงด้วยกัน เขาจึงคิดอยู่ว่าสามารถใช้การเล่นซานเสียนได้หรือไม่

ถ้าอย่างนั้นก็ต้องให้ซย่าอีเหว่ยหยุดพูดก่อน และควบคุมจังหวะบนเวที เพราะนี่ถือเป็นอาชีพเดิมของฉีเซ่อเจียง เขายกไมโครโฟนขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ทันก้าวขึ้นไปบนเวที ทว่าขณะกำลังจะอ้าปากพูด…

บนเทเลพรอมพ์เตอร์ปรากฏชื่อเพลงและเนื้อสองสามประโยคแรกจากเพลง เหตุใดต้องเรือนปีกตะวันตก

ขณะเดียวกันนั้นเองซย่าอีเหว่ยก็ถามขึ้นว่า “มีหนุ่มสาวคนไหนร้องเพลงนี้ได้บ้างไหมคะ เพลงเก่าดั้งเดิมของจีน”

เหตุใดต้องเรือนปีกตะวันตก?

ฉีเซ่อเจียงเปลี่ยนความคิดทันทีในวินาทีนั้น!

ดูจากชื่อและเนื้อเพลงก็จำได้ว่าเป็นเพลงที่เขียนมาจากนิยายจีนโบราณชื่อเดียวกัน เหตุใดต้องเรือนปีกตะวันตก หรืออีกชื่อก็คือ ความฝันของดอกเหมย แรกเริ่มเดิมทีเป็นนิยายขับร้องพื้นบ้าน หลังจากนั้นก็มาปรากฏในศิลปะการขับร้องพื้นบ้านอีกหลายรูปแบบ และถูกนำมาทำเป็นเพลงป็อปในยุคปัจจุบัน

ฉีเซ่อเจียงไม่สามารถร้อง เหตุใดต้องเรือนปีกตะวันตก ในเวอร์ชันของซย่าอีเหว่ยได้ แต่นักแสดงเซี่ยงเซิงก็เหมือนร้านขายของชำ ต้องเรียนรู้ทุกอย่าง ทำได้ทุกรูปแบบ

นั่นหมายถึง ไม่ว่าจะเป็น เหตุใดต้องเรือนปีกตะวันตก เวอร์ชันขับร้องพื้นบ้าน เพลงกลอง อุปรากรปักกิ่ง หรืออุปรากรเหอหนาน…เขาก็เรียนและร้องได้ทั้งนั้น!

ในขณะที่ฉีเซ่อเจียงกำลังใคร่ครวญอยู่นั้น เขาก็เดินมาถึงตรงหน้าซย่าอีเหว่ยพอดี เธอจับมือเขาและส่งยิ้มให้

ฉีเซ่อเจียงเองก็ยิ้มเช่นกัน ไม่มีใครมองออกเลยว่าเขาไม่สามารถร้องเพลงที่กำลังจะแสดงต่อไปนี้ได้

แม้หน้าเวทีจะมีผู้ชมมากมาย แต่เขาไม่ได้ตื่นเต้นหรือประหม่าสักนิด ผู้ชมสองสามคนก็ดี หลายพันคนก็ดี ไม่ว่าแบบไหนเขาก็เคยเจอมาแล้วทั้งนั้น

กระทั่งเมื่อทำนองดนตรีเริ่มขึ้น ฉีเซ่อเจียงก็รู้ว่ามีเสียงตีกลองอยู่ในทำนองด้วย ทำให้เขายิ่งมั่นใจมากขึ้น

เพลงกลองเป็นชื่อเรียกรวมๆ ของศิลปะการเเสดงและขับร้อง มีหลากหลายรูปแบบ รวมถึงเพลงกลองจิงอวิ้น เพลงกลองเหมยฮวา เพลงกลองหานเติง เหอหนานจุ้ยจื่อ[2] ซานตงฉินซู[3] เป็นต้น

ซย่าอีเหว่ยอยู่ในวงการบันเทิงมาหลายปี ไม่ได้รู้สึกกดดันอะไรเวลาอยู่บนเวที เธอยังบอกลูกชายอีกว่า “ขยับมาใกล้ๆ อย่าหลบสิจ๊ะ ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าเราเป็นแม่ลูกกันนะ”

เซี่ยงเซิงไม่เคยปล่อยคำพูดของคนให้ผ่านไปเฉยๆ แล้วตอนนี้ก็ยังอยู่บนเวที ปฏิกิริยาของฉีเซ่อเจียงจึงเร็วเป็นพิเศษ เขาตอบกลับทันทีโดยแทบไม่ต้องหยุดคิด “ผมกลัวว่าถ้าอยู่ใกล้กันเกินไป พวกเราจะแตกน่ะสิครับ”

ผู้ชมใช้เวลาถึงสองวินาทีจึงตั้งสติได้แล้วระเบิดหัวเราะออกมา คำพูดของฉีเซ่อเจียงบ่งบอกอย่างชัดเจนถึงคำที่สื่อตั้งฉายาพวกเขาแม่ลูกว่าเป็นคู่แจกันดอกไม้ แจกันชนแจกันต้องระวังแตกไม่ใช่หรือ

ซย่าอีเหว่ยไม่คิดว่าฉีเซ่อเจียงจะยอมรับ ซ้ำยังพูดหยอกกลับ แต่เธอก็ไม่มีเวลาให้ได้คิดอะไรมาก เพราะต้องเริ่มร้องเพลงแล้ว “ร่างดอกเหมยของข้า บำเพ็ญเพียรมาแล้วหลายชาติภพ ให้รางวัลชีวิตด้วยการดื่มกินท่ามกลางสายลม ไม่แยแสต่อความเป็นตาย ให้ค่าสุราชั้นเลิศ ใต้หล้าล้วนทวนกระแส…”

ต้นเพลงให้กลิ่นอายของเพลงป็อป แต่จังหวะและเนื้อร้องมีกลิ่นอายศิลปะพื้นบ้าน ซึ่งไม่แปลกอะไร

จริงๆ แล้วแฟนคลับที่อยู่หน้าเวทีไม่ได้สนใจว่าคนอื่นจะพูดถึงฉีเซ่อเจียงว่าอย่างไร พวกเขาเป็นแฟนคลับของซย่าอีเหว่ย ดังนั้นต่อให้ฉีเซ่อเจียงร้องเพลงไม่ดีก็ไม่เป็นไร เพราะคุณค่าของเพลงนี้อยู่ที่ซย่าอีเหว่ยกับเจสซี่ได้ร้องร่วมกัน

แม้แต่ตัวซย่าอีเหว่ยเอง ตอนยังสาวก็เป็นแจกันดอกไม้ หลังจากนั้นแม้จะฝึกฝนมาหลายปี แต่ความสามารถในการร้องเพลงก็ยังไม่ถือว่าดีมาก

ดังนั้นผู้ชมที่กระตือรือร้นต่างเข้าใจดี ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ยินการร้องเพลงระดับเทพ

ไม่คาดหวังเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าฉีเซ่อเจียงไม่ร้องก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

บนเวที ฉีเซ่อเจียงกับซย่าอีเหว่ยจับมือกัน ดูจากท่าทางเหมือนการร้องเพลงคู่ สายตาของซย่าอีเหว่ยจับจ้องไปยังฉีเซ่อเจียงอยู่ตลอด ทว่าลูกชายของเธอกลับไม่มีทีท่าว่าจะเปิดปากร้องเลย

ไม่ได้มีการแจ้งล่วงหน้าว่าจะมีแขกรับเชิญพิเศษ พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่ามีการเตรียมการเอาไว้แบบนี้ตั้งแต่แรกหรือไม่ แต่ถ้าเตรียมการมาจริง ซย่าอีเหว่ยร้องถึงท่อนฮุคแล้ว ฉีเซ่อเจียงยังไม่เปิดปากร้องอีกหรือ

“ไม่ได้เฝ้าฝันถึงความรัก ลืมตาตื่นก็ยังคงเป็นวันคืนที่ยาวนาน เหตุใดเรือนปีกตะวันตกกลับทำให้จิตใจกระสับกระส่าย ขับร้องเพลงความฝันของดอกเหมย กับความทรงจำวันพบกันบนเรืองาม…” ซย่าอีเหว่ยร้องท่อนฮุคจบ เธอก็แปลกใจเล็กน้อย

เมื่อครู่มีหลายครั้งที่เธอนึกอยากจะหยุดแล้วให้ฉีเซ่อเจียงร้อง แต่ฉีเซ่อเจียงไม่มีทีท่าว่าจะร้อง เขาไม่ได้ยกไมค์ขึ้นมา เธอจึงได้แต่ร้องต่อไปตามลำพัง

ระหว่างที่สลับช่วง เหลือเพียงเสียงของซานเสียนกับซอเอ้อร์หู

ฉีเซ่อเจียงเพิ่งจะเริ่มร้องในตอนนี้

เขาเพิ่งฟังเพลงนี้เป็นครั้งแรก เมื่อครู่เขากำลังคิดเกี่ยวกับสไตล์และจังหวะเพลง จับทางทำนองกับเนื้อเพลงที่สอดคล้องกัน และในที่สุดเขาก็แน่ใจ

บรรดาผู้ชมที่อยู่หน้าเวทีจึงเห็นจากหน้าจอขนาดใหญ่ว่าสุดท้ายฉีเซ่อเจียงก็ยกไมโครโฟนขึ้น และเริ่มร้องแบบสบายๆ “หน้าต่างกระดาษปรากฏฉากดอกเหมยแรกแย้ม เพียงแสงสีครามจุดขึ้นข้างตั่ง ชั่วขณะความสงสัยพลันกลายเป็นผีเสื้อ ดินแดนทางใต้บางเบาดุจขนนก”

ทันใดนั้นเสียงของเครื่องดนตรีก็เบาลง

ทั้งเสียงและท่วงทำนองเต็มไปด้วยความเบาสบายกับกลิ่นอายแบบดั้งเดิม โทนเสียงแบบเก่า หลอมรวมเข้ากับจังหวะของซานเสียนและซอเอ้อร์หู เทคนิคการขับร้องเต็มไปด้วยเสน่ห์และสีสันของโรงน้ำชากับโรงละคร คล้ายกับพาคนฟังย้อนกลับไปยังประเทศจีนเมื่อร้อยปีก่อน

พอรวมกับธีมหลักของเพลง ทำให้ทุกอย่างในเพลงดูลงตัวไปหมด ถึงขั้นพูดได้ว่าดีขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย!

ผู้ชมนับพันต่างชะงัก

ซย่าอีเหว่ยก็ชะงักไป

นักดนตรีจากวงดนตรีพื้นบ้านที่เป็นคนเล่นพวกซานเสียน ผีผา ซอสี่สายก็อึ้งไม่แพ้กัน!

“ร้องได้ออกรสจริงๆ…เพลงนี้มาจากศิลปะพื้นบ้านนี่ เป็นเพลงต้นฉบับเลยไม่ใช่เหรอ”

“น่าจะใช่นะ มิน่าล่ะฟังแล้วถึงลงตัวไปหมด ไหนว่าเจสซี่ร้องเพลงไม่ได้เรื่อง เท่าที่ฟังก็ไม่เลวเลยนะ!”

“นั่นสิ ท่อนที่เพิ่มเข้ามาก็ดีมากด้วย!”

สำหรับผู้ชมทั่วไปคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เหตุใดต้องเรือนปีกตะวันตก เป็นถานฉือ[4]หรือเป็นเพลงกลอง ปัจจุบันมีคนฟังเพลงพื้นบ้านน้อยมาก พวกเขารู้เพียงว่าการนำเพลงนี้มาร้องในคอนเสิร์ตแล้วฟังดูมีรสนิยม

อีกอย่าง นอกจากจะไม่เข้าใจในศิลปะการแสดงและการขับร้องแล้ว พวกเขายังไม่ได้คาดหวังอะไรมากอีกด้วย

ภาพที่เห็นบนเวทียิ่งทำให้เพลิดเพลินเจริญใจ สองแม่ลูกซย่าอีเหว่ยกับฉีเซ่อเจียง คนงามสองรุ่นบนเวทีเดียวกัน บนจอใหญ่เริ่มซูมไปที่ฉีเซ่อเจียง ทำให้ผู้ชมสาวๆ หลายคนเริ่มยกมือถือขึ้นมาถ่ายภาพจากหน้าจอมอนิเตอร์

ซย่าอีเหว่ยที่อยู่บนเวทีเองก็สับสนไปหมด เธอเคยเอาเวอร์ชันเพลงกลองของเพลงนี้มาใช้อ้างอิง ตอนนั้นเธอยังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างอยู่เลย ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือเปล่า แต่ทำไมถึงรู้สึกว่า…ลูกชายร้องเหมือนต้นฉบับขนาดนี้

จะไม่เหมือนต้นฉบับได้อย่างไร!

ในงานคอนเสิร์ตมีคนที่อยู่ในแวดวงนี้จริงๆ ไม่กี่คน เหล่านักดนตรีเองก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน

เหล่าไป๋นักเล่นซานเสียนทำงานกับวงดนตรีพื้นบ้านประจำมณฑลมาหลายปี เมื่อครู่ตอนที่ฉีเซ่อเจียงเริ่มร้อง เพียงสองคำก็ทำให้เขาตกใจได้แล้ว มีการพลิกแพลงปรับเสียงตามความชำนาญของตน คำร้องก็ชัดถ้อยชัดคำ ไม่เหมือนเด็กหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการ

บรรดานักดนตรีก็ปรับทำนองตามไปโดยอัตโนมัติ หลังจากที่ฉีเซ่อเจียงนำจังหวะอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาก็ปรับตามชายหนุ่มไป

เหล่าไป๋ไม่รู้ว่าฉีเซ่อเจียงเรียนรู้มานานแค่ไหน แต่แค่เสน่ห์จากเสียงของชายหนุ่มก็สามารถยกย่องให้เป็นปรมาจารย์ได้แล้ว แม้แต่ท่าทางยามที่ยืนบนเวทีก็ยังทำให้เขานึกถึง “เจี่ยวเออร์[5]

เรื่องเดียวที่เหล่าไป๋ไม่เข้าใจคือสัมผัสที่ฉีเซ่อเจียงร้อง ฟังผ่านๆ ดูเหมือนเพลงกลองเหมยฮวา ท่วงทำนองที่ร้องเหมือนมีกลิ่นอายของเพลงกลองจิงอวิ้น รูปแบบสำนวนคล้ายๆ ใน เหตุใดต้องเรือนปีกตะวันตก แต่ก็มีบางจุดที่แตกต่าง

เขาเคยฟังเพลงกลองมาหลายรูปแบบ แต่ก็ยังฟังไม่ออกว่ามาจากสำนักไหน เจ้าหนุ่มนี่คงไม่ได้เขียนขึ้นมาเองหรอกนะ

 

 

[1] ซานเสียน เป็นเครื่องดนตรีจีนโบราณประเภทสาย มีลักษณะคล้ายกระจับปี่ นิยมบรรเลงในงานรื่นเริง พบเครื่องดนตรีชนิดนี้เป็นครั้งแรกในข้อความทางประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์หมิง

[2] เหอหนานจุ้ยจื่อ คือ ศิลปะการแสดงพื้นบ้านจากมณฑลเหอหนาน

[3] ซานตงฉินซู คือ ศิลปะพื้นบ้านจากมณฑลซานตง

[4] ถานฉือ เป็นศิลปะพื้นบ้านแขนงหนึ่ง แพร่หลายในตอนใต้ของจีน

[5] เจี่ยวเออร์ เป็นคำเรียกแสดงความให้เกียรติต่อนักแสดงอุปรากรจีน

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า