我要这盛世美颜有何用
หน้าตางามเลิศล้ำแล้วมีประโยชน์อันใด
ลาเหมียนฮวาถังเตอะทู่จื่อ เขียน
ชานมไข่มุกหวานร้อย แปล
千二百 Qian Er Bai วาด
— โปรย —
ฉีเซ่อเจียง ผู้สืบทอด “จื่อตี้ซู” คนสุดท้ายตายไปด้วยโรคไทฟอยด์
แต่เมื่อเขาฟื้นขึ้นมากลับพบว่าตนเองอยู่ในร่างของดาราหนุ่มหน้าหล่อ
อีกทั้งบรรยากาศต่างๆ รอบตัวก็ยังดูแปลกตาไม่คุ้นเคย
เพราะนี่คือประเทศจีนในแปดสิบปีต่อมา!
แล้วเขาจะสามารถใช้อาชีพเดิมที่ตนภาคภูมิใจเอาตัวรอดในยุคปัจจุบันได้ไหมนะ
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 4
ซย่าอีเหว่ยอาจไม่ค่อยได้อยู่กับลูกชาย แต่เธอย่อมเป็นห่วงเขา แม้ไม่เห็นด้วยกับเป้าหมายใหม่ของฉีเซ่อเจียง แต่เธอก็พยายามทำความเข้าใจ
เธอเปิดใจคุยกับฉีเซ่อเจียง พูดถึงเรื่องตอนเขาเด็กๆ เสียใจที่พลาดโอกาสพูดคุยกับเขา ไม่รู้ว่าลูกชายมีพรสวรรค์ด้านการแสดงและขับร้อง โชคดีที่ฉีเซ่อเจียงรับมือได้เพราะพอมีความทรงจำในส่วนนี้อยู่
หลังคุยกันไปคุยกันมาซย่าอีเหว่ยก็บอกว่าอยากพาฉีเซ่อเจียงไปยังที่แห่งหนึ่ง
เพื่อนของเพื่อนเธอเปิดโรงน้ำชาโบราณ มีการแสดงแบบดั้งเดิม รวมถึงกายกรรมและศิลปะพื้นบ้านทุกคืน เธอจึงตั้งใจจะพาลูกชายไปที่นั่น
“รู้ไหมว่าที่นี่คือที่ไหน” ซย่าอีเหว่ยจอดรถที่หน้าโรงน้ำชา ก่อนพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ไม่ใช่นักแสดงเซี่ยงเซิงทุกคนจะได้ออกทีวี มีหลายคนทำได้แค่หาเงินประทังชีวิตในโรงน้ำชาแบบนี้ไปวันๆ คนที่ลูกต้องแข่งด้วยไม่ได้มีแค่นักแสดงเซี่ยงเซิงด้วยกัน แต่ยังมีนักแสดงอุปรากรจีน นักกายกรรม หรืออาจรวมนักแสดงละครเพลงด้วย”
เธอตั้งใจพาลูกชายมาสถานที่แบบนี้ ไม่ใช่พาไปสถานีโทรทัศน์ เพราะอยากให้เขาเห็นความจริงและกลัวจนถอดใจ
ใครจะไปรู้ว่าฉีเซ่อเจียงกลับอุทานออกมา “ที่นี่ดูดีมากเลยนะครับ!”
ในยุคของเขา ไม่มีใครยอมรับเขาเพราะเขาทำให้ทางการไม่พอใจ จึงได้แต่เร่เปิดแผงแสดงเซี่ยงเซิงข้างถนนไปเรื่อยๆ
ส่วนเรื่องที่ต้องขึ้นเวทีแข่งขันกับเพื่อนร่วมอาชีพ สมัยก่อนก็เป็นแบบนี้ นักมายากลเอย คนเตะลูกขนไก่เอย คนเล่นไหเอย…เยอะแยะไป
ซย่าอีเหว่ยถึงกับสำลัก น้ำเสียงของฉีเซ่อเจียงฟังดูจริงใจจนเธอหาช่องโหว่ไม่ได้ “…อะ…อาจจะแย่กว่านั้น ถ้ายังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เข้าไปกันก่อนเถอะ”
เธอใส่แว่นกันแดด เดินนำฉีเซ่อเจียงเข้าไปในโรงน้ำชา ปกติแล้วคนที่มาที่นี่ ครึ่งหนึ่งเป็นคนที่ชอบดื่มน้ำชา พูดคุยกัน ดูการแสดงสนุกๆ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นนักท่องเที่ยว
ซย่าอีเหว่ยคุยมือถือและตรงไปยังห้องทำงานของเจ้าของร้าน “บอสอู๋คะ วันนี้ต้องรบกวนให้คุณมาด้วยตัวเองแล้ว”
เธอกับเจ้าของร้านเจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง เพราะอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ที่นี่ทุกวัน
“พี่ซย่าพูดเล่นเหรอครับ พี่มาแบบนี้ผมต้องต้อนรับด้วยตัวเองอยู่แล้ว” เมื่อเห็นฉีเซ่อเจียง บอสอู๋ก็รู้ว่าเขาเป็นลูกชายของเธอ จึงเอ่ยชมและถามอย่างใส่ใจตามประสาเจ้าของร้านที่ดี “อยากดูหลังเวทีใช่ไหม เดี๋ยวผมพาไปเดินดู”
ถ้าบอสอู๋ไม่พาไป พวกเขาคงเข้าห้องพักหลังเวทีตามใจชอบไม่ได้
ตอนนี้ด้านหลังเวทีกำลังคึกคัก ซย่าอีเหว่ยใส่แว่นกันแดดอำพรางใบหน้า ส่วนฉีเซ่อเจียงไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรมากมาย พอเห็นบอสอู๋พามา เหล่านักแสดงจึงไม่คิดอะไรมาก
ซย่าอีเหว่ยตั้งใจให้ฉีเซ่อเจียงเห็นว่าทุกคนลำบากกันมากแค่ไหน กลับไม่คิดว่าจะได้เดินดูรอบๆ นึกว่าอย่างมากคงแค่อยู่ที่นี่สักคืน ได้คุยกับคนที่อยู่หลังเวที และนั่งชมการแสดงด้านหน้า
สามร้อยหกสิบอาชีพ ทุกอาชีพล้วนยากลำบาก[1] เธอเป็นคนสวยแต่ไร้ความสามารถก็ยังไม่ง่าย ดังนั้นการเป็นนักแสดงยิ่งไม่ต้องพูดถึง
บอสอู๋อยู่เล่าเรื่องที่พอจะทราบให้พวกเขาฟังต่ออีกพักหนึ่ง จริงๆ เขาไม่รู้จุดประสงค์ของซย่าอีเหว่ย แต่เห็นอีกฝ่ายดูอยากสอบถามเรื่องชีวิตการเป็นนักแสดง เขาจึงให้ความร่วมมืออย่างดี
นั่งคุยกันราวครึ่งชั่วโมง ผู้จัดการโรงน้ำชาก็รีบร้อนมาที่หลังเวที “พวกพี่หลิวต๋ามาไม่ได้แล้วครับ อย่าเพิ่งไปนะครับเหล่าโจว ขึ้นเวทีไปช่วยพูดถ่วงเวลาให้ก่อน”
บอสอู๋เลิกคิ้ว ก่อนเอ่ยถาม “พวกเขาเป็นอะไร”
พอพูดขึ้นมา ผู้จัดการหนุ่มก็โมโหอีก “จะเป็นอะไรไปได้ล่ะครับ เขาบอกว่ามาไม่ได้ เพราะงานที่รับไว้ทางนั้นยังไม่เสร็จ พวกเขาคงคิดว่าตัวเองดังแล้ว ได้ออกทีวีแล้ว เยี่ยมไปเลย! ได้ช่องทางหากินแล้ว!”
เป็นน้ำเสียงที่เหน็บแนมอย่างเห็นได้ชัด สองคนที่พวกเขาพูดถึงเป็นนักแสดงเซี่ยงเซิงที่ทำงานกับบอสอู๋มาสองปี ไม่นานนี้โชคดีได้ไปออกโทรทัศน์หลายครั้ง ทำให้มีชื่อเสียงขึ้นมา
บอสอู๋รู้สึกมานานแล้วว่าพวกเขาอยากออกจากร้าน นั่นเป็นเรื่องปกติ เมื่อมีโอกาสได้ออกโทรทัศน์ใครจะอยากจมปลักในโรงน้ำชา พอมีชื่อเสียงก็ทำให้พวกเขารับงานนอกได้มากขึ้น หาเงินได้มากขึ้น เพียงแต่การผิดนัดแบบนี้มันเกินไปหน่อย บอสอู๋จึงพูดด้วยความหงุดหงิด “เอาเถอะ เหล่าโจว พวกนายไปรับหน้าก่อนเถอะ”
เหล่าโจวเป็นนักเล่าเรื่อง ตอนนี้ไม่มีนักแสดงคนอื่นแล้ว มีเพียงเขาที่ขึ้นเวทีไปรับหน้าก่อนได้ ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงถืออุปกรณ์เดินไปด้านหน้ากับผู้จัดการอย่างเงียบๆ
ไม่นานทั้งสองก็กลับเข้ามา
บอสอู๋ถามด้วยความแปลกใจ “มีอะไร”
ผู้จัดการยกมือปาดเหงื่อ “หลิวต๋าคนเฮงซวยนั่นก่อเรื่องแล้ว…ลูกค้าวันนี้เป็นกรุ๊ปทัวร์ ไกด์น่าจะเอาชื่อของหลิวต๋าไปโฆษณา ไม่รู้ว่าไปเป่าหูนักท่องเที่ยวอีท่าไหน แต่พวกเขาบอกว่าจะดูแต่หลิวต๋าเท่านั้น”
บอสอู๋ถึงกับพูดไม่ออก “ฉันไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนมาชี้นิ้วสั่งให้นักแสดงคนไหนขึ้นเวที ฉันขายบัตรแบบกลุ่ม!”
แล้วพวกเขาก็ก่นด่าหลิวต๋าด้วยกัน
แต่ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี พอพวกหลิวต๋าได้ออกโทรทัศน์แค่สองครั้ง ไกด์ก็กล่อมนักท่องเที่ยวในกรุ๊ปทัวร์จนพวกเขารู้สึกขาดทุนหากได้ชมนักแสดงที่ไม่มีชื่อเสียง ไม่ใช่ว่าชอบหลิวต๋าหรือเซี่ยงเซิงหรอก
ทว่าในเวลาแบบนี้ ก็คงได้แค่ด่า สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องแก้สถานการณ์ก่อน บอสอู๋กวาดตามองรอบๆ หลังเวที พยายามคิดว่ามีใครพอจะแก้ขัดได้บ้าง
“บอสอู๋ ให้ฉันขึ้นไปร้องสักเพลงไหมคะ” ซย่าอีเหว่ยว่าพลางยิ้มแบบสบายๆ
บอสอู๋มองเธอด้วยความแปลกใจ หากเทียบกับพวกหลิวต๋าที่เคยออกโทรทัศน์แค่ไม่กี่ครั้ง ซย่าอีเหว่ยต่างหากที่เป็นดาราตัวจริง แต่เพราะแบบนี้เขาถึงไม่กล้าให้ซย่าอีเหว่ยมาช่วยกู้สถานการณ์บนเวทีเล็กๆ ของเขา!
“คือ…คุณให้เกียรติกันเกินไปแล้ว ผมหานักแสดงเก่าๆ ไปขึ้นก็ได้” บอสอู๋รีบพูด
หากหาคนอื่นอาจต้องใช้เวลา หรืออาจถึงขั้นต้องเสิร์ฟน้ำชาให้ลูกค้าสงบ แต่นี่มีแต่จะกลายเป็นเรื่องน่าขัน…ไม่ว่าเป็นความผิดของหลิวต๋าหรือไม่ สุดท้ายการที่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ก็เป็นเพราะเจ้าของร้านอย่างเขาไร้ความสามารถ
ทว่าซย่าอีเหว่ยกลับพูดว่า “คืนนี้ฉันเองก็รบกวนคุณ เพื่อนกันทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกค่ะ”
เมื่อเห็นว่าเธอพูดด้วยความจริงใจ ไม่ได้ออกตัวไปตามมารยาท บอสอู๋เองก็ยอมรับจากใจจริง พวกเขาไม่ได้สนิทกันนัก แต่ซย่าอีเหว่ยมีนิสัยแบบนี้ มิน่า เธอถึงเป็นแจกันดอกไม้ในวงการมาตั้งหลายปี เพราะไม่ไปขัดแข้งขัดขาหรือทำให้ใครไม่พอใจเข้านี่เอง
ผู้จัดการกับนักแสดงที่อยู่บริเวณนั้นต่างแปลกใจที่เห็นบอสอู๋ขอบคุณแล้วขอบคุณอีก
กระทั่งซย่าอีเหว่ยถอดแว่นกันแดดออก พวกเขาถึงเข้าใจและซาบซึ้ง ไม่คิดว่าเจ้านายจะมีเพื่อนแบบนี้ด้วย เท่ากับว่าวันนี้เราได้ร่วมเวทีเดียวกับดาราเหรอ
ในเมื่อมาอยู่ที่โรงน้ำชาแล้ว ซย่าอีเหว่ยมองหน้าลูกชายและนึกขึ้นได้ว่าอยากให้อีกฝ่ายขึ้นไปร้อง เหตุใดต้องเรือนปีกตะวันตก ด้วยกันบนเวที
บอสอู๋ไม่ค่อยอ่านข่าวบันเทิงเท่าไร อย่าว่าแต่ที่ซย่าอีเหว่ยบอกว่าจะพาลูกชายขึ้นเวทีเลย ต่อให้เธอพาลูกชายอีกสิบแปดคนขึ้นเวทีด้วยก็ไม่มีปัญหาทั้งนั้น
ฉีเซ่อเจียงมองรอบๆ หลังเวที ก่อนเอ่ยยิ้มๆ “งั้นผมขอยืมซานเสียนหน่อยได้ไหมครับ เป็นดนตรีประกอบตอนร้องน่ะ”
ห้องวีไอพีของโรงน้ำชา
ชายต่างรุ่นสองคนกำลังนั่งดื่มน้ำชาและมองไปที่หน้าเวทีด้วยแววตาเฉยเมย
คนอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดชะโงกหน้าดูด้านล่างแล้วเอ่ยว่า “คุณปู่ครับ พวกสื่อต่วนนั่นทำเอาคนดูแทบบ้า”
ในวงการการแสดงและขับร้อง “พวกสื่อต่วน” หมายถึงนักเล่าเรื่อง
ชายสูงอายุพูดเสียงเรียบ “เธอลองสืบมาซิว่าสองคนที่เธอพูดถึงจะมาหรือเปล่า”
เด็กหนุ่มพยักหน้าแล้วเดินออกจากห้องวีไอพีไป ไม่นานเขาก็กลับมาและบอกว่า “น่าจะไม่มาแล้วครับ เฮ้อ…”
หากหลิวต๋าอยู่ที่นี่ด้วยคงเสียใจมากแน่ๆ
เพราะคนผู้นี้คือหลิ่วเฉวียนไห่ศิลปินอาวุโสในวงการเซี่ยงเซิงที่โลดแล่นอยู่บนหน้าจอโทรทัศน์มาหลายสิบปี อีกทั้งลูกศิษย์ของเขาก็เป็นถึงรองประธานสมาคมเซี่ยงเซิงของปักกิ่ง แม้หลายปีมานี้เขาไม่ค่อยได้แสดงสักเท่าไร แต่ยังคงมีหน้ามีตาในวงการอยู่ หากเขาบอกสักคำว่าจะมา ต่อให้หลิวต๋าขาหักคงลากสังขารมาที่นี่จนได้
หลิวต๋าบังเอิญเป็นเพื่อนกับหลานชายของหลิ่วเฉวียนไห่ ซึ่งก็คือเด็กหนุ่มคนนั้น พวกเขาเคยสื่อเป็นนัยกับเด็กหนุ่มอยู่หลายครั้งว่าอยากทำความรู้จักกับเหลาหลิ่ว
แต่ใครจะไปคิดว่าวันนี้เด็กหนุ่มจะผ่านมาทางโรงน้ำชากับคุณปู่ แล้วนึกคึกบอกคุณปู่ว่าอยากให้ไปดูการแสดงของเพื่อนเขาด้วยกัน มิหนำซ้ำยังบอกอีกว่าเพื่อนของเขาแสดงดีมาก
หลิ่วเฉวียนไห่เคยให้คำแนะนำและสนับสนุนคนรุ่นใหม่มาไม่น้อย เขาเองนิยมคนมีความสามารถเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงตกลงเข้าชมการแสดงในโรงน้ำชาด้วยความยินดี ใครจะไปรู้ว่าจะมาเจอพวกหลิวต๋าเล่นตัวแบบนี้
แม้เด็กหนุ่มไม่ได้พูดอะไร แต่ดูจากสถานการณ์แล้วหลิ่วเฉวียนไห่ก็พอจะเดาอะไรได้บ้าง
หลิ่วเฉวียนไห่จะกลับแล้ว ทว่าพลันมีเสียงกรี๊ดและเสียงร้องด้วยความยินดีดังมาจากด้านล่าง เมื่อมองลงไปก็เห็นคนสองคนยืนอยู่บนเวที
เด็กหนุ่มเพ่งมองอยู่ครู่หนึ่ง “เขาเชิญดารามาด้วยนี่นา นั่นซย่าอีเหว่ยกับลูกชายเธอไม่ใช่เหรอครับ ฉีอะไรนั่นน่ะ”
แทนที่หน้าเวทีจะสงบลง ตอนนี้กลับแทบระเบิดเสียด้วยซ้ำ
ซย่าอีเหว่ยส่งเสียงเป็นกันเองพยายามให้ผู้ชมอยู่ในความสงบ จากนั้นก็แนะนำว่าเธอกับลูกชายจะร่วมกันร้อง เหตุใดต้องเรือนปีกตะวันตก ที่นำมาจากเพลงกลอง
แม้หน้าเวทีจะครึกครื้น แต่หลิ่วเฉวียนไห่ก็ยังจะกลับ เขาเคยร่วมงานเลี้ยงมามากมาย เคยเจอซย่าอีเหว่ยมาแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกตื่นตาตื่นใจอะไร
เด็กหนุ่มขยิบตา พลางว่า “ปู่ฟังก่อนสิครับ เพลงนี้พี่ผมเคยร้องมาก่อน คราวนี้ฉีอะไรนั่นเพิ่มท่อนเพลงกลองเข้าไปด้วย ร้องเพี้ยนสุดๆ เลย ไม่รู้ว่าไปเอาเพลงสำนักไหนมา ปู่รู้ไหมครับ ในเน็ตมีคนบอกว่าทำนองที่เขาร้องเรียกว่าทำนองแยกส่วน ฮ่าๆๆ”
“ไปกันดีกว่า ไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว” หลิ่วเฉวียนไห่ลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก เขาไม่ได้สนใจเสียงร้องของซย่าอีเหว่ยเลยสักนิด
ในขณะนั้นเองเสียงของซานเสียนก็ดังขึ้น
เครื่องดนตรีอย่างซานเสียนบรรเลงให้ไพเราะได้ยาก เพราะมันดูธรรมดามากๆ ด้ามยาวๆ กับสายสามสาย อย่าว่าแต่เล่นให้เก่งเลย คนที่ไม่มีความสามารถแค่เล่นให้ถูกจังหวะยังยาก
ทว่าหากเล่นจนเก่งแล้ว ข้อบกพร่องก็คือจุดเด่นที่ดีที่สุด เพราะเครื่องดนตรีธรรมดาๆ กลับเปลี่ยนให้เสียงสูงหรือต่ำได้ตามใจชอบ มีความยืดหยุ่นสูง ปรับให้นุ่มนวลหรือหยาบกระด้างก็ทำได้ทั้งนั้น
ส่วนมากทางเหนือจะพูดและร้องโดยใช้ซานเสียนที่ทั้งสมบูรณ์แบบและมีเอกลักษณ์
เหตุใดต้องเรือนปีกตะวันตก เป็นเรื่องราวความรัก ซานเสียนที่ฉีเซ่อเจียงบรรเลงในตอนนี้นุ่มนวลกว่าเพลงต้นฉบับ ให้ความรู้สึกอ่อนหวาน กินใจ และเข้ากันได้ดีมากๆ
หลิ่วเฉวียนไห่ตาเป็นประกายวาววับ เขาหยุดเดินซ้ำยังเอ่ยชม “ซานเสียนนี่…ลื่นไหลมาก!”
หลิ่วเฉวียนไห่ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาหันหลังเดินกลับมา เมื่อมองอย่างละเอียดถึงสังเกตเห็นว่าคนที่เล่นอยู่ตอนนี้ไม่ใช่นักซานเสียน แต่เป็นลูกชายของซย่าอีเหว่ย
เด็กหนุ่มถึงกับสะอึก เขาพึมพำเบาๆ ไม่รู้ว่าลูกชายของซย่าอีเหว่ยเล่นซานเสียนเป็นด้วย “ใช้ได้นี่นา”
ทว่าวินาทีต่อมา เมื่อซย่าอีเหว่ยร้องถึงท่อนฮุค “ไม่ได้เฝ้าฝันถึงความรัก ลืมตาตื่นก็ยังคงเป็นวันคืนที่ยาวนาน” อารมณ์เพลงก็ขึ้นสู่จุดสูงสุด สายกลางของซานเสียนถูกดีดต่อเนื่องอย่างลื่นไหลหลายต่อหลายครั้ง เหมือนเสียงร้องอันนุ่มนวลของห่านป่า
ห่านป่าคือนกที่จงรักภักดี และการใช้ซานเสียนจำลองเสียงสัตว์ร้องถือเป็นเทคนิคที่ยอดเยี่ยม ในโลกของการแสดงและขับร้อง เรียกเทคนิคนี้ว่า “พลิกแพลงสายเสียง”
หลิ่วเฉวียนไห่แทบไม่สามารถปกปิดความชื่นชมยามหันไปทางหลานชาย “เป็นพลิกแพลงสายเสียง บรรยายความรู้สึกด้วยสิ่งของ ใช้เสียงถ่ายทอดรูปร่าง ฝีมือขนาดนี้ยังว่าเพี้ยนอีกเหรอ”
เด็กหนุ่มเองก็งุนงง ใบหน้าแทบข่มความสงสัยต่อข่าวลือเอาไว้ไม่อยู่ “…ปู่ลองฟังเพลงกลองตอนท้ายสิครับ! ใครเป็นคนตั้งกฎว่าเล่นซานเสียนเพราะต้องร้องเพลงเพราะด้วยล่ะ”
คำพูดนี้ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล หลิ่วเฉวียนไห่ทิ้งตัวนั่ง เลิกล้มความคิดที่จะออกจากโรงน้ำชา
พอดีกับซย่าอีเหว่ยเพิ่งร้องท่อนฮุคจบ ถึงท่อนของฉีเซ่อเจียงพอดี “หน้าต่างกระดาษปรากฏฉากดอกเหมยแรกแย้ม…”
เมื่อเป็นการแสดงครั้งที่สอง ฉีเซ่อเจียงยิ่งคล่องแคล่ว เขาใช้เสียงต่ำ ร้องด้วยน้ำเสียงฟังสบาย หางเสียงลากยาวแล้วตัดจบ นุ่มนวลแต่มีพลัง
เป็นการร้องจื่อตี้ซูที่ยากและซับซ้อน หรือเรียกว่า “เชวี่ยเหว่ย[2]” มักใช้ในการบรรยายทิวทัศน์หรือบทกวีที่ระบายความรู้สึก
วิธีร้องของจื่อตี้ซูยังแบ่งออกเป็นตะวันออกและตะวันตก ทำนองทางตะวันออกทำให้จิตใจฮึกเหิมและกล้าหาญ ทำนองทางตะวันตกจะอ่อนโยนและซับซ้อน ผู้อาวุโสที่สอนจื่อตี้ซูให้กับฉีเซ่อเจียงนั้นสอนทำนองทางตะวันตก จึงเหมาะกับ เหตุใดต้องเรือนปีกตะวันตก เป็นอย่างมาก
เด็กหนุ่มพูดอย่างนึกสนุก “นี่แหละๆ นี่มันอะไรกัน”
เขาไม่ค่อยได้เรียนเซี่ยงเซิง แม้บอกว่าจะเรียนจากครอบครัว แต่ไม่ได้เคารพอาจารย์และเรียนอย่างจริงจัง ไม่มีพรสวรรค์ อายุก็น้อย เทียบกับนักซานเสียนที่กำลังขับร้องและบรรเลงเพลงคนนั้นหรือหลิ่วเฉวียนไห่ไม่ได้ จึงโทษที่เขาไม่รู้อะไรเลยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นแค่ฟังเพลงอย่างเดียวย่อมต้องรู้ว่านี่ไม่ใช่การร้องเพี้ยน
เมื่อเขาหันกลับไป กลับเห็นคุณปู่จ้องไม่วางตาไปที่เวทีด้วยสีหน้าแปลกๆ ทว่าขณะกำลังจะเอ่ยปากก็ถูกคุณปู่ยกมือขึ้นมาปรามไว้ก่อน “เงียบ!”
กระทั่งฉีเซ่อเจียงร้องสี่ประโยคสุดท้ายจบ หลิ่วเฉวียนไห่ถึงพูดสิ่งที่เก็บเอาไว้อยู่นานออกมา เขาหลับตาลงด้วยสีหน้าสับสน
เด็กหนุ่มเรียกหยั่งเชิง “คุณปู่…?”
หลิ่วเฉวียนไห่ค่อยๆ ลืมตา เหลือบมองเขา “จะโทษเธอก็ไม่ได้ ฉันเองยังไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนร้องได้ ถ้าฉันเดาไม่ผิด ที่เขาร้องไม่ใช่เพลงกลองของสำนักไหนทั้งนั้น แต่เป็นจื่อตี้ซูต่างหาก”
เด็กหนุ่มทำท่าเหมือนเห็นผี “จะ…จื่อตี้ซู? ปู่พูดเล่นเหรอครับ จื่อตี้ซูน่ะหายไปเป็นร้อยปีแล้วไม่ใช่เหรอ!”
[1] ล้อจากสำนวน “สามร้อยหกสิบอาชีพ ทุกอาชีพล้วนมีจอหงวน” หมายถึงไม่ว่าสายอาชีพใด หากตั้งใจทุ่มเทย่อมเป็นที่หนึ่งในสายอาชีพนั้น
[2] เชวี่ยเหว่ย หมายถึง หางนก