[ทดลองอ่าน] หน้าตางามเลิศล้ำแล้วมีประโยชน์อันใด ตอนที่ 5

我要这盛世美颜有何用
หน้าตางามเลิศล้ำแล้วมีประโยชน์อันใด

 

ลาเหมียนฮวาถังเตอะทู่จื่อ เขียน
ชานมไข่มุกหวานร้อย แปล
千二百 Qian Er Bai วาด

 

— โปรย —

ฉีเซ่อเจียง ผู้สืบทอด “จื่อตี้ซู” คนสุดท้ายตายไปด้วยโรคไทฟอยด์
แต่เมื่อเขาฟื้นขึ้นมากลับพบว่าตนเองอยู่ในร่างของดาราหนุ่มหน้าหล่อ
อีกทั้งบรรยากาศต่างๆ รอบตัวก็ยังดูแปลกตาไม่คุ้นเคย
เพราะนี่คือประเทศจีนในแปดสิบปีต่อมา!
แล้วเขาจะสามารถใช้อาชีพเดิมที่ตนภาคภูมิใจเอาตัวรอดในยุคปัจจุบันได้ไหมนะ

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 5

 

ทั้งรูปแบบการแสดงและท่วงทำนองที่ขับร้องจื่อตี้ซูสูญหายไปนานแล้ว เหลือเพียงเอกสารส่วนหนึ่งเท่านั้น

โชคดีที่หลิ่วเฉวียนไห่เคยฟังผู้อาวุโสในวงการเซี่ยงเซิงที่อายุมากที่สุดอย่างผู้เฒ่าเมิ่งร้องเพลงนี้สั้นๆ สองสามท่อน

จริงๆ แล้วผู้เฒ่าเมิ่งเองก็ไม่เคยเรียนจื่อตี้ซูมาก่อน แต่ได้ยินมาว่ามีรุ่นพี่คนหนึ่งที่บังเอิญเคยเรียนมา เขาเองก็เคยฟังมาตอนสมัยยังเด็กๆ และจำได้แค่ไม่กี่ประโยค ไม่สามารถเอ่ยได้ว่าเป็นผู้สืบทอดที่แท้จริงได้

…ที่บอกว่าจื่อตี้ซูเรียนยากนั้นไม่ใช่แค่พูดเล่นๆ ไม่อย่างนั้นมันคงไม่สูญหายไป เฉพาะแค่การขับร้องก็มีมากกว่าร้อยแบบแล้ว!

ท่านผู้เฒ่าบรรยายครึ่งหนึ่งเล่นให้ฟังครึ่งหนึ่ง โชคดีที่เขาพอจำได้เลาๆ

มันให้ความรู้สึกคล้ายเพลงกลอง แต่ยังมีส่วนที่ต่างกันอยู่ ทำให้หลิ่วเฉวียนไห่เดาออกว่าที่ฉีเซ่อเจียงร้องน่าจะเป็นจื่อตี้ซู!

หฺวาซย่านั้นกว้างใหญ่ มีผู้มากฝีมือซ่อนอยู่มากมาย อาจมีครอบครัวไหนที่ถ่ายทอดแบบปากต่อปาก เหมือนรุ่นพี่ของผู้เฒ่าเมิ่ง หรืออาจแค่บังเอิญได้เรียนจื่อตี้ซูที่ไม่มีใครแสดงแล้ว

เพียงแต่ไม่รู้ว่าลูกชายของซย่าอีเหว่ยได้เรียนมามากแค่ไหน ต่อให้เรียนมาแค่ท่อนเดียว ก็ยังถือว่าหาได้ยาก และเขาก็อยากรู้มากว่าเด็กหนุ่มไปเรียนมาจากไหน

หลิ่วเฉวียนไห่พูดกับหลานชายไม่กี่ประโยค ยิ่งคิดก็ยิ่งคันยุบยิบในใจ เขานิ่งคิดครู่ใหญ่ อยากจะเข้าไปพูดคุยที่หลังเวทีด้วย

อาศัยความที่เป็นหลิ่วเฉวียนไห่ ย่อมสามารถไปที่หลังเวทีได้อย่างง่ายดาย

ตอนนี้ด้านหลังเวทีกำลังคึกคัก ไม่บ่อยนักที่จะมีดารามาที่โรงน้ำชา ศิลปินบางคนก็ยืนชมการแสดงตรงทางขึ้นเวทีด้วย

สมัยนี้มีคนที่รู้จักจื่อตี้ซูน้อยมาก แต่คนที่เล่นซานเสียนเป็นมีไม่น้อย ฉีเซ่อเจียงเล่นซานเสียนที่ยืมมาจากหลังเวที เดิมทีพวกเขานึกว่าชายหนุ่มจะแค่เล่นไปอย่างนั้น ใครจะไปคิดว่า “พลิกแพลงสายเสียง” ของเขาจะยอดเยี่ยมเหมือนอย่างที่หลิ่วเฉวียนไห่ชื่นชม

หลิ่วเฉวียนไห่เข้าไปคุยกับบอสอู๋ เพื่อให้เขาเป็นคนพาเข้าไปพบ ซึ่งแน่นอนว่าบอสอู๋ต้องให้เกียรติ เดินนำหลิ่วเฉวียนไห่กับหลานชายตรงไปยังประตูทางลงจากเวที

หลังร้องเพลงจบ ซย่าอีเหว่ยยังต้องอยู่พูดคุยกับผู้ชมต่ออีกหน่อย เพราะทุกคนกำลังครึกครื้นกันมาก

ฉีเซ่อเจียงลงจากเวทีก่อน เมื่อเดินผ่านประตูก็เจอกับหลิ่วเฉวียนไห่ที่บอสอู๋พาเข้ามา หลิ่วเฉวียนไห่ไม่ได้ออกโทรทัศน์นานมากแล้ว ชายหนุ่มจึงไม่รู้จักและไม่เคยเห็นหน้า

โชคดีที่บอสอู๋ยืนแนะนำอยู่ข้างๆ “เจสซี่ อาจารย์หลิ่วอยากคุยกับเธอหน่อย เรามาทางนี้กันดีกว่า”

หลิ่วเฉวียนไห่เองก็ไม่อ้อมค้อม เขาเอ่ยพร้อมยิ้มกว้าง “พ่อหนุ่ม ที่เธอร้องบนเวทีน่ะ จื่อตี้ซูใช่ไหม”

เมื่อแปดสิบปีก่อนก็มีคนที่รู้จักไม่มากแล้ว พอเห็นคนที่มีความรู้ ฉีเซ่อเจียงจึงยอมรับทันทีด้วยความยินดี “ใช่ครับ”

หลิ่วเฉวียนไห่เบาใจเมื่อได้รับคำยืนยันว่าสิ่งที่คิดนั้นถูกต้องและยิ่งตื่นเต้นกว่าเดิม “จื่อตี้ซูสูญหายไปนานแล้ว คนเฒ่าคนแก่ก็ไม่มีใครแสดงแล้ว เธออายุยังน้อย ไปเรียนมาจากไหน ถ่ายทอดกันมาในครอบครัวงั้นเหรอ แล้วเรียนมามากแค่ไหน”

ฉีเซ่อเจียงเปิดเผยชื่ออาจารย์ตัวจริงไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายอาจคิดว่าเขาเป็นบ้า สมัยนี้สามารถค้นหาข้อมูลต่างๆ ได้ง่ายดาย หากไม่รอบคอบอาจเผยพิรุธได้

เขาคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ “ผมบังเอิญเรียนจากผู้อาวุโสชาวจีนที่เจอตอนอยู่ประเทศ Y น่ะครับ ครอบครัวของอาจารย์อยู่ที่ประเทศ Y มาหลายชั่วอายุคนแล้ว เขาไม่มีทายาท ตอนนี้เสียชีวิตไปแล้ว เขาน่าจะสอนจื่อตี้ซูทำนองของเมืองทางตะวันตกให้ผมทั้งหมดแล้ว ผมร้องได้อีกเป็นร้อยท่อนเลย”

ซย่าอีเหว่ยมีเชื้อสายประเทศ Y อยู่ครึ่งหนึ่ง บางครั้งเธอก็ไปพักอยู่ที่นั่น ฉีเซ่อเจียงต้องเดินทางไปๆ มาๆ ระหว่างสองประเทศตั้งแต่ยังเล็ก การอ้างอิงถึงประเทศที่อยู่อีกฝั่งของมหาสมุทรแบบนี้คงสืบหาหลักฐานได้ยาก หากถูกจี้ถามก็ยังตอบได้ว่าไม่รู้เรื่องของอีกฝ่าย นอกจากต้องรอบคอบกับหลิ่วเฉวียนไห่แล้ว กับซย่าอีเหว่ยก็สะเพร่าไม่ได้เด็ดขาด

หลิ่วเฉวียนไห่ได้แต่ถอนหายใจ “แบบนี้นี่เอง ฉันคิดว่าจื่อตี้ซูสูญหายไปแล้วซะอีก ไม่คิดว่าจะยังหลงเหลืออยู่ที่ต่างประเทศ!”

คุยกันไปได้ไม่เท่าไรซย่าอีเหว่ยก็ลงจากเวที เธอไม่เหมือนกับฉีเซ่อเจียง เธอเคยเห็นหลิ่วเฉวียนไห่ที่หลังเวทีในงานเลี้ยงต่างๆ อยู่หลายครั้ง จึงจำเขาได้ในทันที

ซย่าอีเหว่ยตกใจที่หลิ่วเฉวียนไห่อยู่ที่นี่ แต่ผู้เฒ่าหลิ่วกับลูกชายของเธอไปคุยกันได้อย่างไร เธอรีบเดินเข้าไปหาทันที “สวัสดีค่ะอาจารย์หลิ่ว เจสซี่ ลูกเข้ามาหาอาจารย์หลิ่วใช่ไหม นี่ลูกยังคิดถึงเรื่องเซี่ยงเซิงอยู่จริงๆ เหรอ”

ฉีเซ่อเจียงทำสีหน้าประหลาดใจ เขาไม่รู้จักหลิ่วเฉวียนไห่ด้วยซ้ำ แต่พอได้ยินซย่าอีเหว่ยพูดแบบนี้ เขาถึงรู้ว่าอีกฝ่ายน่าจะอยู่สายอาชีพเดียวกัน

ถึงคราวที่หลิ่วเฉวียนไห่ต้องแปลกใจบ้าง เขามาเพราะจื่อตี้ซู ใครจะไปรู้ว่าซย่าอีเหว่ยจะพูดถึงเซี่ยงเซิงขึ้นมา เด็กหนุ่มคนนี้อยากเป็นนักแสดงเซี่ยงเซิงงั้นเหรอ

“หายากมาก! วัยรุ่นสมัยนี้ไม่ค่อยฟังเซี่ยงเซิงกันแล้ว เด็กหนุ่มหน้าตาดีๆ อย่างเธออยากเรียนเซี่ยงเซิงเหรอ” หลิ่วเฉวียนไห่มองฉีเซ่อเจียงแล้วหัวเราะลั่น

เสียวหลิ่วหลานชายของเขาก็กลั้นขำไม่อยู่ “เขาอยากแสดงเซี่ยงเซิง? ล้อเล่นเหรอครับ ไม่สิ คือผมไม่ได้หมายความว่าคุณพูดล้อเล่น ผมหมายถึงกำลังเล่าเรื่องตลกเหรอครับ”

เมื่อรู้ว่าฉีเซ่อเจียงเป็นคนมีความสามารถจริงๆ ท่าทีของเสียวหลิ่วย่อมเปลี่ยนไป ทั้งยังดูละอายใจเหมือนถูกตบหน้า

ฉีเซ่อเจียงพูดตามความจริง “ไม่ใช่จะเรียนครับ ผมหมายถึงเป็นนักแสดงเซี่ยงเซิง อาจารย์ของผมเป็นเหลี่ยงเหมินเป้า[1] เขาสอนเซี่ยงเซิงให้ผมด้วย แค่ไม่ได้ไป่จือ ความคิดของอาจารย์ไม่เหมือนกับชาวจีน ผมเลยไม่รู้ลำดับอาวุโสด้วยซ้ำ”

เหลี่ยงเหมินเป้าและไป่จือเป็นศัพท์เฉพาะ คำแรกหมายถึงไม่ได้เรียนศิลปะแขนงเดียว ส่วนคำหลังหมายถึงการฝากตัวเป็นลูกศิษย์ แค่พูดก็ทำให้รู้ว่าเขาอยู่ในสายอาชีพจริงๆ

การเคารพอาจารย์เพื่อสืบทอดความรู้จะมีการจัดลำดับอาวุโส แต่เขาทำอาชีพนี้มาตั้งแต่แปดสิบปีก่อน ด้วยอายุของหลิ่วเฉวียนไห่ เทียบกับเขายังถือว่าเด็กกว่าหนึ่งถึงสองรุ่น ให้จัดอันดับคงทำไม่ได้ และด้วยเซี่ยงเซิงไม่ได้สูญหายไปเหมือนจื่อตี้ซู หากพูดถึงเรื่องลำดับอาจเผยพิรุธได้

ดังนั้นฉีเซ่อเจียงจึงตอบแบบขอไปที ยอมเป็นคนนอกที่เข้ามาในวงการโดยไม่ได้คำนับอาจารย์อย่างจริงจัง…ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาพูดอาจเป็นการบอกปัดชัดเจนเกินไปจนทำให้คนสงสัย แต่ขอแค่ความจริงไม่ถูกเปิดเผยก็พอแล้ว

ซย่าอีเหว่ยไม่เข้าใจศัพท์เฉพาะเหล่านี้ เธอสับสนไปหมด จับใจความได้เพียงว่าความสามารถของลูกชายเป็นสิ่งที่ได้เรียนรู้มาตอนอยู่ประเทศ Y

ทว่าหลิ่วเฉวียนไห่กลับเข้าใจเป็นอย่างดี ในวงการเซี่ยงเซิงมีคนที่ไม่ได้ฝากตัวกับอาจารย์อยู่ไม่น้อย แต่คนที่ไม่รู้อะไรเลยถึงขั้นไม่สามารถบอกลำดับอาวุโสได้อย่างฉีเซ่อเจียงกลับพบได้ไม่บ่อยนัก

ดูฉีเซ่อเจียงพยายามปิดบังมาก ไม่ยอมบอกแม้กระทั่งชื่อเสียงเรียงนามของอาจารย์ หากเป็นคนอื่นหลิ่วเฉวียนไห่คงนึกสงสัยไปแล้ว แต่ฉีเซ่อเจียงเข้าใจจื่อตี้ซูที่สูญหายไปนานเป็นอย่างดี ที่เขาพยายามปิดบังแบบนี้อาจเพราะอาจารย์ของเขามีเรื่องบางอย่างที่ไม่สะดวกพูด เช่นถูกขับไล่ออกจากวงการอะไรแบบนั้น

หลิ่วเฉวียนไห่ได้แต่เสียดาย คิดทบทวนอยู่ครู่ใหญ่ “จะ…เจี๋ยซีใช่ไหม ลูกศิษย์ฉันสองคนมีโรงละครแสดงเซี่ยงเซิงอยู่ เธอลองดูว่าว่างเมื่อไหร่ ลองไปแสดงให้ฉันดูสักหน่อย”

เขาพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง แต่ออกเสียงคำว่า “เจี๋ยซี” อย่างชัดถ้อยชัดคำ

เขาพูดแบบนี้เพราะอยากรู้จริงๆ อยากจะเห็นความสามารถของฉีเซ่อเจียงในด้านเซี่ยงเซิง เนื่องจากนักแสดงเซี่ยงเซิงแต่ละคนต่างก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง หากได้ดูอีกฝ่ายแสดง อาจทำให้เขารู้อะไรมากขึ้นก็ได้

“ได้เลยครับ!” ฉีเซ่อเจียงตอบตกลงทันที แม้ซย่าอีเหว่ยจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงแต่เธอก็ไม่ใช่คนในวงการเซี่ยงเซิง หากได้ทำความรู้จักกับหลิ่วเฉวียนไห่ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะมีผู้ที่คอยชี้นำเข้าสู่วงการเซี่ยงเซิงในยุคปัจจุบัน เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้แม้แต่คู่หูสักคนเขาก็ไม่มี และยังไม่รู้ว่าต้องเริ่มต้นจากตรงไหน

แต่ซย่าอีเหว่ยกลับเบิกตาโต “เดี๋ยวสิเจสซี่ อาจารย์หลิ่วคะ เจสซี่เขา…”

เธอรีบพูดจนลิ้นแทบพันกัน ทำไมถึงได้ตกลงกันโดยไม่ขอความเห็นจากเธอแบบนี้ เธอมาที่นี่เพราะต้องการจะเตือนลูกชาย ทำไมถึงกลับกลายเป็นเหมือนหาเส้นสายให้เขาแทน

ในขณะนั้นเองผู้จัดการก็รีบร้อนวิ่งเข้ามากระซิบรายงานบอสอู๋ที่ยืนมองเหตุการณ์มาตลอด

บอสอู๋ยกมือตบหน้าผาก “มีคนลาอีกแล้ว? คืนนี้มันอะไรกัน จงใจหาเรื่องให้ฉันหรือไง”

เดิมทียังมีการแสดงช่วงหลังอยู่อีก แต่เกิดเรื่องขึ้นที่บ้านของนักแสดงแบบกะทันหัน จึงต้องลาหยุด มาไม่ได้แล้ว

หลิ่วเฉวียนไห่กับฉีเซ่อเจียงสบตากันและเข้าใจกันทันที หลิ่วเฉวียนไห่เอ่ยยิ้มๆ “ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปอย่างที่ควรเป็น บอสอู๋ ผมว่าอาศัยโอกาสนี้ให้พ่อหนุ่มเจี๋ยซีขึ้นแสดงเซี่ยงเซิงที่ร้านของคุณดีไหม”

บอสอู๋เองก็คิดแบบนั้น ทว่าเขายังหันมามองซย่าอีเหว่ยก่อน

ซย่าอีเหว่ยยืนอึ้งไปแล้ว

ผ่านไปพักใหญ่ เธอถึงเปิดปากพูด “ก็ได้ค่ะ งั้นขึ้นไปลองดู เผื่อพอแก้สถานการณ์ได้”

เธอลองคิดทบทวนอย่างถี่ถ้วนแล้ว ด้วยนิสัยของลูกชาย หากยิ่งคัดค้านอีกฝ่ายจะยิ่งต่อต้าน ไม่อย่างนั้นเธอจะพาลูกชายมาสัมผัสกับความลำบากที่หลังเวทีนี่ทำไม หากให้โอกาสเขาได้ขึ้นเวทีสักครั้ง อาจทำให้เขาได้รับบทเรียนจากการเจอกับของจริงก็ได้

เซี่ยงเซิงกับการร้องเพลงมันไม่เหมือนกัน

หลิ่วเฉวียนไห่พยักหน้า “เยี่ยม เดี๋ยวเธอจะแสดงอะไร ให้ฉันขึ้นไปแสดงคู่ด้วยไหม”

ทว่าฉีเซ่อเจียงกลับส่ายหน้าปฏิเสธ “คงไม่มีเวลาซ้อมแล้ว ผมขึ้นคนเดียวดีกว่าครับ”

 

เซี่ยงเซิงแบบคู่คือสลับกันพูด ส่วนแบบเดี่ยวคือพูดคนเดียว

ฉีเซ่อเจียงเตรียมตัวอยู่หลังเวที และขอหยิบยืมอุปกรณ์บางชิ้น โชคดีที่ที่นี่มีทุกอย่างครบ

ยี่สิบนาทีผ่านไป ถึงเวลาที่ฉีเซ่อเจียงต้องขึ้นเวที หลิ่วเฉวียนไห่กับหลานชายเดินนำซย่าอีเหว่ยไปรอชมการแสดงในห้องวีไอพี

พิธีกรขึ้นเวทีเพื่อประกาศว่าการแสดงลำดับต่อไปคือเซี่ยงเซิงแบบเดี่ยว ผู้แสดงคือ เจสซี่

…ไม่รู้ว่าพิธีกรคิดอะไรอยู่ถึงได้ประกาศชื่อภาษาอังกฤษแทนชื่อภาษาจีน แต่พอคิดดูดีๆ แล้ว ด้วยฐานะลูกชายของซย่าอีเหว่ย ชื่อเจสซี่ย่อมเป็นที่รู้จักกว่าฉีเซ่อเจียง

ทีมงานช่วยยกโต๊ะขึ้นมาบนเวที บนโต๊ะมีอุปกรณ์ประกอบการแสดงเช่น สิ่งมู่[2]และพัดพับ

ฉีเซ่อเจียงยังใส่ชุดลำลอง เดินขึ้นเวทีไปหยุดที่หลังโต๊ะแบบไม่เร็วไม่ช้า

ก่อนหน้านี้เขาเคยขึ้นเวทีกับซย่าอีเหว่ยมาแล้วครั้งหนึ่ง ด้วยความหน้าตาดีทำให้ผู้ชมจำเขาได้ บางคนก็เคยดูรายการวาไรตี้ของฉีเซ่อเจียง และรู้ว่าคนผู้นี้หน้าตาดีก็จริงอยู่ แต่กลับเป็นคนไม่ค่อยพูด ทำให้เกิดเสียงกระซิบกระซาบในหมู่ผู้ชมขึ้น

พิธีกรประกาศว่าเป็นเซี่ยงเซิงแบบเดี่ยว เขาเนี่ยนะแสดงเซี่ยงเซิง

ทั้งหน้าตาดีและยังหนุ่มยังแน่น แม้แต่ชื่อยังเป็นภาษาอังกฤษ บอกว่าขึ้นมาแสดงเซี่ยงเซิง มันดูแปลกๆ ไปหน่อยหรือเปล่า

หากฉีเซ่อเจียงมาร้องเพลงหรือเต้นคงได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เหมือนที่ขึ้นมากับซย่าอีเหว่ยซึ่งเขาแสดงออกมาได้ดีมาก แค่มองหน้าก็รู้สึกคุ้มค่าตั๋วแล้ว

ผู้ชมกระซิบกระซาบขึ้นอีก เพราะตอนออกโทรทัศน์เขาแสดงเป็นอย่างไรคนก็รู้กันทั่วแล้ว

ภายในห้องวีไอพี เมื่อเห็นผู้ชมที่หันหน้าไปกระซิบกระซาบกัน หลิ่วเฉวียนไห่กับซย่าอีเหว่ยก็แทบกลั้นหายใจยามที่มองดูฉีเซ่อเจียง พวกเขาพอจะเดาได้อยู่แล้วว่าต้องออกมาเป็นแบบนี้ ความยากในเซี่ยงเซิงของฉีเซ่อเจียงก็คือ…รูปหล่อเกินไป!

บรรดาผู้ชมต่างสงสัยว่าในขณะที่พวกเขาจดจ่ออยู่กับข่าวซุบซิบและหน้าตาอันหล่อเหลาของฉีเซ่อเจียง แล้วจะมีสมาธิตั้งใจฟังที่ชายหนุ่มพูดได้อย่างไร ต่อให้เก่งกาจแค่ไหน ผลลัพธ์ก็ต้องลดลงอยู่ดี

ฉีเซ่อเจียงยืนนิ่งบนเวที จากนั้นมองประเมินผู้ชมทุกคนอย่างละเอียด ก่อนเปิดปากพูด “ใต้หล้าอ้างว้างร่ำสุราระทมทุกข์ จันทร์แรมหนาวเหน็บข่มตาหลับยากเย็นนัก มนุษย์ดินปั้นกล่าวว่าผีสางเป็นเรื่องธรรมดา อย่าได้เอ่ยถึง…ว่าถูกหรือผิด!”

ปัง! เขาจับสิ่งมู่เคาะโต๊ะส่งเสียงดังกังวานไปทั่ว ทุกคนในโรงน้ำชาเงียบกริบ ไม่มีเสียงแม้แต่น้อย

ที่เขาเพิ่งพูดเมื่อครู่คือบทกวีเกริ่นนำที่นักแสดงเซี่ยงเซิงแบบเดี่ยวหรือนักเล่าเรื่องจะพูดก่อนเริ่มแสดง เพื่อดึงความสนใจของผู้ชม โดยปกติจะพูดประมาณสองสามประโยค

เนื้อหาของบทกวีอาจเป็นการบอกเล่าความรู้สึก เกริ่นนำเรื่องที่กำลังจะพูดต่อ หรืออาจเป็นเพียงเรื่องตลกที่ทำให้คนฟังเฮฮาสนุกสนาน

ฉีเซ่อเจียงเอ่ยทุกคำทุกประโยคอย่างหนักแน่นและชัดเจน เสียงกังวานใสแต่ไม่บาดหู ผู้ชมต่างหยุดคุยกันพร้อมๆ กับที่บทกวีของฉีเซ่อเจียงจบลง

เมื่อเสียงสิ่งมู่เคาะโต๊ะครั้งสุดท้ายดังขึ้น ทั่วบริเวณก็เงียบสนิท บทกวีเกริ่นนำทำให้ผู้ชมสงบลงได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด!

 

[1] เหลี่ยงเหมินเป้า ศัพท์เฉพาะของอุปรากรจีน หมายถึงนักแสดงที่แสดงมากกว่าหนึ่งตัวละคร หรือคนที่มีความสามารถในศิลปะหลายแขนง

[2] สิ่งมู่ คือ ท่อนไม้เอาไว้เคาะกระตุ้นความสนใจของผู้ชม

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า