我要这盛世美颜有何用
หน้าตางามเลิศล้ำแล้วมีประโยชน์อันใด
ลาเหมียนฮวาถังเตอะทู่จื่อ เขียน
ชานมไข่มุกหวานร้อย แปล
千二百 Qian Er Bai วาด
— โปรย —
ฉีเซ่อเจียง ผู้สืบทอด “จื่อตี้ซู” คนสุดท้ายตายไปด้วยโรคไทฟอยด์
แต่เมื่อเขาฟื้นขึ้นมากลับพบว่าตนเองอยู่ในร่างของดาราหนุ่มหน้าหล่อ
อีกทั้งบรรยากาศต่างๆ รอบตัวก็ยังดูแปลกตาไม่คุ้นเคย
เพราะนี่คือประเทศจีนในแปดสิบปีต่อมา!
แล้วเขาจะสามารถใช้อาชีพเดิมที่ตนภาคภูมิใจเอาตัวรอดในยุคปัจจุบันได้ไหมนะ
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 6
“ดูจากสีหน้าของทุกท่านแล้ว ผมพอจะมองออกว่าพวกคุณคงอยากรู้ว่าผู้ชายที่เหมือนชาวต่างชาติคนนี้ขึ้นมาทำอะไรบนเวทีกันแน่ พิธีกรแจ้งรายการขึ้นแสดงผิดหรือเปล่า หรือจริงๆ แล้วเขาจะขึ้นมาเต้น” ฉีเซ่อเจียงพูดสิ่งที่ผู้ชมคิดด้วยจังหวะที่ไม่ช้าหรือเร็วเกินไป ทำเอาทุกคนหลุดหัวเราะ
“เฮ้อ จริงๆ ผมก็ไม่อยากขึ้นมาหรอกครับ แต่แม่อยากให้ผมมาแสดงความสามารถให้ได้” ฉีเซ่อเจียงรู้ดีถึงชื่อเสียงของซย่าอีเหว่ย หลังจากพูดเรื่องตัวเองแล้วจึงนำแม่มาพูดหยอกบ้าง “แม่ผมน่ะ ทุกคนคงรู้กันดี ทั้งอ่อนโยนและงดงาม ตั้งแต่ผมยังเด็ก แม่ไม่เคยใช้ไม้เรียวอบรมผมเลย…ใช้แต่มือตลอด”
จู่ๆ ก็กลายเป็นมุกตลก ทุกคนล้วนรู้จักซย่าอีเหว่ย การแสดงของเธอเพิ่งจบไป พวกเขาหลุดหัวเราะพรืด และยังมีทีท่าว่าจะส่งเสียงโห่ร้องอีกด้วย…ตอนนี้ซย่าอีเหว่ยคงอยู่ในโรงน้ำชาด้วยใช่ไหม
มีเรื่องของซย่าอีเหว่ยมาเกริ่นนำ บวกกับจังหวะการพูดของฉีเซ่อเจียง ความตลกก็เพิ่มจากแปดส่วนเป็นสิบส่วน
“เพราะแบบนั้นผมเลยจำเป็นต้องขึ้นมา” ฉีเซ่อเจียงพูดต่อ “ไม่อย่างนั้นแม่อาจใช้มือตบหัว แล้วฟ้องว่าผมเป็นลูกอกตัญญูก็ได้”
คราวนี้ผู้ชมหน้าเวทีหัวเราะดังกว่าเดิม พร้อมทั้งส่งเสียง “โธ่” ออกมาด้วย
เมื่อครู่ฉีเซ่อเจียงบอกว่าซย่าอีเหว่ยไม่ใช้ไม้เรียวอบรม ใช้แต่มือตีเท่านั้น เป็นการหักมุมที่ทำให้ผู้ชมหัวเราะ กลายเป็นว่าประโยคต่อมาก็หักมุมอีกรอบ สะกิดให้ผู้ชมได้คิด หรือเขาหมายถึงตีตัวเอง!
ต้องเป็นมุกที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผลแบบนี้แหละถึงเรียกเสียงหัวเราะได้ และนี่เป็นเพียงการพูดหยอกล้อบนเวที ไม่มีใครคิดว่าซย่าอีเหว่ยทำแบบนั้นจริงๆ
“ตบหัวแล้วบอกเป็นลูกอกตัญญู” เป็นมุกเก่าตั้งแต่สมัยก่อน การหักมุมแบบนี้ย่อมเข้ากันได้ดีมาก
“เด็กคนนี้นี่นะ…” ซย่าอีเหว่ยที่นั่งอยู่ในห้องวีไอพีไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่ลึกๆ กลับรู้สึกดี ช่วงหลายปีมานี้พวกเขาแม่ลูกไม่ค่อยสนิทกันเท่าไร การที่ลูกชายนำเธอไปพูดตลกแบบนี้จึงนับเป็นความสนิทสนมอย่างหนึ่ง
ปกติเมื่อนักแสดงเซี่ยงเซิงขึ้นเวที พวกเขาจะต้องพูด “เกริ่นนำ” ก่อนเข้าเรื่องเล็กน้อย เป็นการเปิดเวทีด้วยเรื่องสนุกสนานน่าสนใจ เพื่อสร้างบรรยากาศและดึงความสนใจของผู้ชม ทั้งยังทำให้เข้าใจความชื่นชอบของผู้ชม เพื่อที่จะนำมาปรับการแสดงได้ทันท่วงที
ฉีเซ่อเจียงกล่าวบทกวีให้ทุกคนสงบลงก่อน จากนั้นใช้มุกตลกจากตัวเขาและซย่าอีเหว่ยเป็นการโยนหินถามทางเพื่อให้แสดงออกมาได้อย่างเต็มที่ ในวงการเซี่ยงเซิงเรียกการด้นสดนี้ว่า “เซี่ยนกว้า[1]” เป็นการทดสอบความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์เฉพาะหน้าเป็นอย่างมาก
หลังจากได้ฟังมุกตลกไปหลายเรื่อง สีหน้าท่าทางของผู้ชมก็ค่อยๆ ผ่อนคลาย ตั้งใจฟังในสิ่งที่เขากำลังพูดโดยไม่ได้คิดที่จะยกมือถือมาถ่ายหน้าเขา และเขาก็ค่อยๆ เข้าเรื่อง
“…ถ้าพูดถึงแม่ของผม เธอเป็นดาราสาวรักสวยรักงาม ไม่มีวันยอมให้มีสิ่งที่ไม่งดงามอยู่ในชีวิต ดังนั้นเรื่องที่ผมจะเล่าให้ทุกคนฟังต่อไปนี้ ตัวเอกย่อมงดงามเช่นกัน”
ฉีเซ่อเจียงค่อยๆ เข้าเรื่องโดยเชื่อมโยงผ่านซย่าอีเหว่ย
“เรื่องนี้เกิดขึ้นในรัชสมัยของจักรพรรดิเสียนเฟิง เป็นยุคสมัยห่างจากเราไม่มากนัก ณ เมืองชางโจว มีคนเสเพลผู้หนึ่งแซ่หยางนามเฮ่าซาน เขาเป็นตัวเอกในเรื่องนี้ คนผู้นี้ไม่มีพ่อไม่มีแม่ ญาติมิตรและเพื่อนบ้านไม่อยากยุ่งเกี่ยว ไม่เคยได้รับความรัก เมื่อคนแซ่จ้าวถูกโจรปล้นที่หัวมุมถนน เขากลายเป็นผู้ต้องสงสัยคนแรก นายอำเภอเองก็ไม่เอาไหน หลับหูหลับตาตัดสินคดีแล้วจับเขาเข้าคุก
“หยางเฮ่าซานเขาไม่มีครอบครัว ไร้คนเหลียวแล เข้าคุกได้ไม่ถึงครึ่งเดือนก็ตายอยู่ในคุก! ‘ตายในคุก’ ในที่นี้ไม่ใช่โง่เง่า[2]จนตายในคุก แต่หยางเฮ่าซานป่วยตาย สภาพคุกในอดีตนั้นแย่มาก ผู้คุมใช่ว่าจะใจดี มีนักโทษจำนวนมากที่ไม่ได้ต้องโทษประหารชีวิต แต่ต้องเสียชีวิตเพราะความหนาว ความหิว หรือโรคภัยไข้เจ็บ และนั่นคือการตายในคุกของเขา คุณคิดว่าเขาต้องตายอย่างอยุติธรรมหรือเปล่า”
ฉีเซ่อเจียงถอนหายใจยาวเหยียด เขาเล่าอย่างชัดถ้อยชัดคำ ควบคุมจังหวะการพูดเป็นอย่างดี อาจไม่ใช่เรื่องตลกเหมือนตอนเกริ่นนำ แต่ยังดึงความสนใจของผู้ชมไว้ได้
หลังจากฟังเขาพูดไปส่วนหนึ่ง ผู้ชมก็นึกสงสัยขึ้นมา ตัวเอกของเรื่องเป็นคนเสเพล แถมยังตายอยู่ในคุก ไหนล่ะตัวเอกคนสวยที่ว่า สวยตรงไหนกัน
“หลังเสียชีวิต เมื่อไปถึงยมโลก หยางเฮ่าซานย่อมต้องร้องขอความเป็นธรรม ท่านพญายมสอบถามไปยังเจ้าพ่อหลักเมือง ก่อนตัดสินให้ปล่อยตัวเพราะเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ หยางเฮ่าซานว่า ‘ข้าตายแล้ว ปล่อยข้าไปแล้วจะให้ข้าเป็นวิญญาณเร่ร่อนอย่างนั้นหรือ’ ท่านพญายมว่า ‘ไม่ต้องกังวล ข้าไม่เหมือนนายอำเภอไม่เอาไหนผู้นั้น แม้ตอนนี้ร่างกายของเจ้าเน่าเหม็นอยู่ในหลุมแล้ว แต่อย่าได้กังวลไป มีสองคนใกล้หมดอายุขัย เจ้ายืมร่างคนใดคนหนึ่งไปใช้ในเวลาที่เหลือ ถือโอกาสนี้ล้างมลทิน เลือกมาหนึ่งคน เจ้าจะเลือกใคร’
“หยางเฮ่าซานปลื้มใจที่เลือกได้! ท่านพญายมว่า ‘คนหนึ่งคือสะใภ้ของนายท่านสกุลจ้าวที่ใส่ความเจ้า อีกคนคือฮูหยินของนายอำเภอผู้ตัดสินเจ้าผิดพลาด เจ้าจะเลือกใคร”
ผู้ชมหัวเราะดังลั่น ปรบมือรัวๆ
ทุกคนเพิ่งจะเข้าใจ มิน่าล่ะ ถึงบอกว่าตัวเอกผู้งดงาม เพราะเขาเป็นชายที่กลายเป็นหญิง เมื่อเข้าไปอยู่ในร่างของผู้หญิง ก็ทำให้ผู้ชมยิ่งสนใจขึ้น
เรื่องนี้มีชื่อว่า คืนวิญญาณผิดร่าง ที่พูดถึงหยางเฮ่าซาน คนเสเพลที่ต้องตายในคุกอย่างไม่เป็นธรรม วิญญาณไปเข้าร่างฮูหยินของนายอำเภอที่ตัดสินเขา เกิดเป็นเรื่องราวที่ทำให้คนฟังต้องระเบิดหัวเราะ
ฉีเซ่อเจียงสร้างตัวละครขึ้นมาสามถึงห้าคน ทุกตัวล้วนสมจริง แม้แต่ตัวละครชายที่แต่งเป็นหญิง เขายังบรรยายได้ราวกับมีชีวิตอยู่จริง
เรื่องราวดำเนินไปเรื่อยๆ มีทั้งเรื่องราวปลีกย่อย เรื่องไร้สาระทั่วๆ ไป และเรื่องน่าหัวเราะ ทำให้หัวใจของผู้ชมราวกับถูกบีบรัด ครู่เดียวก็ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
อย่างไรวันนี้คงเล่าไม่จบเรื่อง เพราะเรื่องนี้แบ่งเป็นสามส่วน และเพิ่งเล่าถึงช่วงกลางเรื่องเท่านั้น
เรื่องราวดำเนินไปถึงตอนที่นายอำเภอจะหลับนอนร่วมห้องกับฮูหยินให้ได้ หนุ่มเสเพลก็ร้อนใจหนัก ยื้อเสื้อผ้าของตนไว้ แน่จริงท่านก็เข้ามา วันนี้ข้าไม่ไว้ชีวิตท่านแน่!
ปัง! ฉีเซ่อเจียงใช้สิ่งมู่เคาะโต๊ะ เป็นสัญญาณว่าการแสดงจบเพียงเท่านี้
ผู้ชมกำลังหัวเราะและมีอารมณ์ร่วมกับเรื่องราว รู้สึกยังไม่หนำใจเมื่อรู้ว่าเรื่องต้องหยุดตรงนี้ ก็เรื่องยังไม่จบเลยนี่นา!
หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง พวกเขาคงไม่อยากเชื่อว่าชายหนุ่มอายุน้อยและหน้าตาดี มิหนำซ้ำยังว่ากันว่าเป็นคนเงียบๆ พูดน้อย ความจริงจะคารมดีขนาดนี้
คนที่พูดไม่หยุดเกินครึ่งชั่วโมงแบบนี้ ยังเรียกว่าพูดน้อยได้อีกหรือ แบบนั้นพวกเขาไม่เป็นใบ้ไปเลยหรือไง
ฉีเซ่อเจียงได้รับเสียงปรบมือเกรียวกราวยามค้อมตัวขอบคุณ และเดินลงจากเวทีไป
ภายในห้องวีไอพี
หลิ่วเฉวียนไห่ยิ้มแก้มปริหลังจากชมการแสดง เขาไม่เคยฟังเรื่องนี้มาก่อน อาจเป็นศิลปะเฉพาะของอาจารย์อีกฝ่ายที่คงเป็นศิลปินเก่าผู้เดินทางไปใช้ชีวิตในต่างประเทศจริงๆ ไม่อย่างนั้นจะนำสิ่งที่ไร้ผู้สืบทอดมากมายขนาดนี้มาจากไหน
ไม่รู้ฉีเซ่อเจียงยังรู้เรื่องศิลปะการแสดงที่ “ไร้ผู้สืบทอด” อีกกี่แขนง หากเป็นอย่างนั้น แม้ยังไม่รู้แน่ชัดว่าอาจารย์ของชายหนุ่มเป็นใคร แต่ความสามารถของเขาเป็นผลดีต่อการสืบทอดเซี่ยงเซิง จึงต้องผูกมิตรกับอีกฝ่ายไว้
หากพูดถึงความสามารถของฉีเซ่อเจียง เขาก็ยิ่งปลาบปลื้ม ฝีมือของฉีเซ่อเจียงนั้นเฉียบขาด มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว!
บรรดานักแสดงเซี่ยงเซิงจะติดตามเหตุการณ์ใหม่ๆ ในปัจจุบันเพื่อนำมาปรับเข้ากับมุกตลกที่จะเล่าก่อนเข้าเรื่อง
ส่วนเรื่องที่ฉีเซ่อเจียงนำมาเล่าทั้งหมดเป็นเรื่องเก่า ไม่ใช่เรื่องที่เข้ากับยุคปัจจุบัน นั่นแปลว่าเขาล้วนอาศัยความสามารถของตัวเองดึงความสนใจจากผู้ชม ควบคุมจังหวะการเล่า และทำให้ผู้ชมหัวเราะได้
เรื่องเดียวกัน บางคนเล่าแล้วทำให้คนฟังหัวเราะ บางคนเล่าแล้วทำให้คนฟังรู้สึกยังไม่สุด จะขำก็ไม่ขำ สิ่งเหล่านี้ล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้เล่าเรื่องทั้งสิ้น
การพูดแต่ละคำแต่ละประโยคนั้นดูเหมือนง่าย แต่ความจริงต้องใช้ความสามารถมาก
เซี่ยงเซิงแบบเดี่ยวนั้น ยิ่งขึ้นอยู่กับความสามารถในการสร้างตัวละครและการเล่าเรื่องของนักแสดง หากเล่าเรื่องได้ไม่ดี ไม่มีมุกตลกเกริ่นนำ เรื่องที่นำมาเล่าก็ต้องตลกและทำให้ผู้ชมยอมรับ
การแสดงเมื่อครู่ของฉีเซ่อเจียงแสดงฝีมือในการพลิกแพลงอย่างเป็นธรรมชาติ และแสดงความสามารถที่เยี่ยมยอดให้พวกเขาได้เห็น!
แน่นอนว่าเพราะเป็นการแสดงเก่าแก่ อีกทั้งไม่รู้ว่าสืบทอดมาจากอาจารย์ท่านไหน ฟังรวมๆ จึงให้ความรู้สึกคล้ายกับผู้อาวุโสหลายคน
…ความจริงคือหลิ่วเฉวียนไห่คิดมากเกินไป เรื่องมีอยู่แค่ว่า ฉีเซ่อเจียงยังไม่เข้าใจยุคปัจจุบันมากพอ มือถือก็เล่นไม่เป็น หากให้เขาหยิบยกเรื่องที่กำลังได้รับความนิยมมาพูดคงทำไม่ได้
ซย่าอีเหว่ยที่อยู่ข้างๆ นั้นเงียบไป เมื่อครู่เธอเองก็หัวเราะตามและมีอารมณ์ร่วมกับเรื่องที่ลูกชายเล่า หลังจากหัวเราะเสร็จถึงครุ่นคิด…
เจสซี่ประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่ว่า…เธอต้องปล่อยเจสซี่ไปทำอาชีพนี้จริงๆ หรือ
“คุณเซี่ย คุณไม่ค่อยอยากให้ลูกชายมาเป็นนักแสดงเซี่ยงเซิงใช่ไหม” หลิ่วเฉวียนไห่เอ่ยถาม
ซย่าอีเหว่ยหลุดจากภวังค์ ได้แต่พยักหน้าตอบกลับไปแบบงงๆ “ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ เพียงแต่ว่า…”
หลิ่วเฉวียนไห่ระบายยิ้มบาง “เพียงแต่คุณว่ามันดูไม่มีอนาคต ไม่เหมือนแสดงละครหรือร้องเพลงใช่ไหม”
“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นค่ะ” ซย่าอีเหว่ยพูดต่อ “อาจารย์หลิ่ว ฉันแค่อยากให้ลูกชายมีชีวิตที่ดี ฉันไม่ได้คิดจะพูดล่วงเกินคุณนะคะ เพียงแต่อาชีพของพวกคุณค่อนข้างลำบาก ฉันพาเขามาที่โรงน้ำชาเพราะอยากให้เขาได้เห็นความจริง”
“ผมเข้าใจหัวอกของคนเป็นพ่อเป็นแม่” หลิ่วเฉวียนไห่ถอนหายใจ “แต่เจี๋ยซีมาที่นี่ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่ามีความสามารถ แถมเขายังเป็นผู้สืบทอดคนสุดท้ายของจื่อตี้ซู แม้จะไม่ได้เกี่ยวกับเซี่ยงเซิง แต่ก็เป็นเรื่องที่ผมเป็นห่วง ผมหวังว่าคุณจะให้โอกาสเขา ให้เขาได้ลองดู ถ้าผลลัพธ์ออกมาไม่ดี จะไปเป็นศิลปินที่เป็นนักแสดง นักร้อง และเป็นนักแสดงเซี่ยงเซิงควบไปด้วยก็ยังได้ คุณว่าใช่ไหมล่ะ”
ซย่าอีเหว่ยหลุดหัวเราะ “ที่อาจารย์หลิ่วพูดก็ถูกค่ะ”
การแสดงของฉีเซ่อเจียงทำให้เธอยอมรับจริงๆ เพียงแต่ยังทำใจปล่อยลูกชายไปไม่ได้เท่านั้น
คืนนั้นหลิ่วเฉวียนไห่แลกช่องทางการติดต่อกับฉีเซ่อเจียง เขาชื่นชมอีกฝ่ายมาก และการมีคนคอยชี้แนะสำคัญกับฉีเซ่อเจียงอย่างยิ่ง
ที่โรงน้ำชาไม่อนุญาตให้อัดวิดีโอการแสดงในวันนี้ เพราะนักแสดงทุกคนหาเลี้ยงชีพด้วยการขายตั๋วเข้าชม
แต่ขณะที่ซย่าอีเหว่ยกับฉีเซ่อเจียงขึ้นเวที พวกเขาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จนผู้ชมบางคนใช้มือถือถ่ายรูปและอัดคลิปสั้นๆ อัปโหลดลงบนอินเทอร์เน็ตแบบฉุดไม่ได้รั้งไม่อยู่จริงๆ
ทว่าขณะที่ฉีเซ่อเจียงแสดงเซี่ยงเซิง ทั่วทั้งโรงน้ำชากลับเงียบกริบ สมาธิจดจ่อไปที่ชายหนุ่ม ไม่มีกะจิตกะใจคิดอยากแอบถ่าย
คืนนั้นผู้ชมพากันบ่นระงม ฉีเซ่อเจียงขึ้นแสดงแค่ครั้งเดียว แต่ยังเล่าเรื่องไม่จบ แล้วแบบนี้พวกเขาจะไปหาตอนจบจากที่ไหน แม้แต่ในอินเทอร์เน็ตที่มีทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังค้นไม่เจอ
เพราะมีแค่คำพูดปากเปล่า และด้วยชื่อเสียงก่อนหน้านี้ของฉีเซ่อเจียง ใครจะไปเชื่อว่าเขาเล่าเรื่องจนมีคนเข้าถึงขนาดนี้ หากบอกว่าเขาหน้าตาดีจนตกผู้ชมได้ทั้งโรงน้ำชายังน่าเชื่อมากกว่า!
ดังนั้นการเล่าเรื่องในครั้งนี้จึงไม่ได้เกิดกระแสฮือฮาอะไร
ส่วนเรื่องที่ฉีเซ่อเจียงเล่นซานเสียนด้วย หากถามว่าการเล่นของเขาอยู่ในระดับไหน มีหลายคนไม่เข้าใจในเครื่องดนตรีชิ้นนี้ คุยกันไปคุยกันมาเลยออกนอกเรื่องไป
…แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว หรือว่าฉีเซ่อเจียงจะไปเป็นนักร้อง ใช้หน้าตาร้องเพลงเหมือนแม่ของเขา
มิหนำซ้ำยังมีคนเมนชั่นหาจางเยว์ ถามความเห็นเกี่ยวกับประโยคเด็ดที่เขาเคยพูดไว้เมื่อนานมาแล้ว
จางเยว์กำลังเลื่อนเวยปั๋ว[3]ฆ่าเวลาอยู่พอดี เห็นคนเมนชั่นมาก็ทำให้นึกขึ้นได้ว่าตัวเองเคยเจอฉีเซ่อเจียงที่เฟิ่งหลีมีเดีย
ค่อนข้างเหนือความคาดหมายที่คนซึ่งตนเคยพูดเหน็บแนมเป็นฝ่ายเข้ามาชวนคุยก่อน
จางเยว์สองจิตสองใจ เพราะฉีเซ่อเจียงยิ้มให้เขาอย่างจริงใจ แถมเป็นรอยยิ้มน่ามองที่ทำให้เขาตาพร่าไปหมด จนเขาไม่กล้าปากร้ายหรือเย็นชาใส่ไปชั่วขณะ
กว่าเขาจะยอมหันไปคุยกับฉีเซ่อเจียงนั้นไม่ใช่ง่ายๆ ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายกลับโต้กลับเขาแบบนั้น!
คนจิตใจคับแคบอย่างจางเยว์กดแชร์เวยปั๋ว ก่อนคอมเมนต์ตอบ [ยังไม่ได้ฟัง ดูดีมาก]
ช่องคอมเมนต์พากันหัวเราะครืน [ว่าแล้วว่าจางเยว์ต้องไม่ทำให้ผิดหวัง]
ก่อนหน้านี้จางเยว์ไม่เคยฟังเวอร์ชันคอนเสิร์ตมาก่อน เขาเพิ่งกดเปิดคลิปดูเอาตอนนี้ แต่ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมา ต่อให้ใช้แค่หัวแม่เท้าคิดเขาก็ยังหาคำแขวะได้กองใหญ่
เปิดคลิปมาก็เจอช่วงที่ฉีเซ่อเจียงเล่นซานเสียน จางเยว์นิ่งไปครู่หนึ่ง แม้เขาเล่นเครื่องดนตรีชิ้นนี้ไม่เป็น แต่ดนตรีมีจุดที่เหมือนกันอยู่ เขาจึงแยกแยะได้ว่าอีกฝ่ายเล่นได้ดีหรือไม่ ยิ่งช่วงกลางเพลงฉีเซ่อเจียงถึงกับใช้ซานเสียนเลียนเสียงห่านป่า! มิหนำซ้ำฝีมือของอีกฝ่ายยังดีกว่าฝีมือการเล่นเปียโนของเขาตั้งเยอะ!
หลังจากนั้นฉีเซ่อเจียงยังแสดงศิลปะแบบดั้งเดิมอีกด้วย ทั้งอารมณ์เพลง ทั้งจังหวะการหายใจ…
จางเยว์ “?”
ไม่สิ นี่ไม่ใช่ฉีเซ่อเจียงที่เขารู้จัก!
จางเยว์กดย้อนกลับไปฟัง เหตุใดต้องเรือนปีกตะวันตก ซ้ำอีกรอบ สองรอบ สามรอบ…ไม่มีการเล่นผิด ไม่มีลิปซิงก์ การแสดงครั้งนี้ซย่าอีเหว่ยอาจพลาดบ้าง ทว่าฉีเซ่อเจียงไม่พลาดแม้แต่นิดเดียว!
ให้ตายเถอะ ร้องเพราะมาก
ฉีเซ่อเจียงร้ายกาจมาก ทำไมตอนร้องเพลงกับตอนแสดงศิลปะแบบดั้งเดิมถึงต่างกันขนาดนี้ มีความสามารถขนาดนี้ ตอนอยู่ในรายการทำไมถึงไม่แสดงออกมา
แบบนี้เวยปั๋วของฉันไม่กระอักกระอ่วนไปหมดแล้วหรือไง!
พูดถึงเวยปั๋ว จางเยว์สังเกตเห็นแอ็กเคานต์นักเล่นซานเสียนของวงดนตรีพื้นบ้านประจำมณฑลที่ได้รับการรับรองคนหนึ่งชื่อ “เหล่าไป๋ปู้ไป๋” คอมเมนต์ไว้ด้วยความกระตือรือร้นว่า [บรรยายความรู้สึกไม่ถูกเลย! เล่นได้ดีมาก! เพลงเวอร์ชันปรับปรุงใหม่ก็เพราะมาก! เทคนิคเปลี่ยนเสียงในท่อนฮุคก็ดูเชี่ยวชาญ ถ่ายทอดอารมณ์ผ่านเสียงเพลงได้เยี่ยมเลย!]
จางเยว์ “…”
เขาร้องฉบับปรับปรุงใหม่เพราะไม่เคยฟังต้นฉบับงั้นเหรอ
“เหล่าจาง กินข้าวได้แล้ว” มือกลองชะโงกหน้ามาเร่งให้จางเยว์ไปกินข้าว
ช่างเถอะ กินข้าวก่อนดีกว่า
จางเยว์วางแท็บเล็ต เดินออกไปที่ห้องรับแขกแบบเนือยๆ ฮัมเพลงไปพลางแกะอาหารเดลิเวอรีไปด้วย
สมาชิกวงอีกสามคนที่เหลือได้แต่มองหน้ากันไปมา อึดใจหนึ่งมือกลองก็เอ่ยถามแบบงงๆ “เมื่อกี้นายฮัมเพลง เหตุใดต้องเรือนปีกตะวันตก เหรอ”
จางเยว์ “…”
…แม่งเอ๊ย ฉีเซ่อเจียง น่าหงุดหงิดชะมัด!
[1] เซี่ยนกว้า หมายถึง การแสดงตามสถานการณ์จริง ทำให้ผู้ชมเกิดความสนุกสนานโดยเชื่อมเข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้น
[2] คำว่าโง่เง่าในภาษาจีนพ้องเสียงกับคำว่า ตายในคุก
[3] Weibo เว็บไซต์ไมโครบล็อกของจีนที่มีลักษณะคล้ายกับทวิตเตอร์และเฟซบุ๊กรวมกัน