เล่ห์รักประมุขพรรคมาร 杨书魅影
南风歌 หนานเฟิงเกอ เขียน
เจ้าเจิน แปล
นิยาย 3 เล่มจบ (วางขายเเยกเล่ม)
** หมายเหตุ : ต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ได้รับ เป็นฉบับ Uncensored
TRIGGER WARNING : นิยายเรื่องนี้ NOT FOR EVERYONE *
มีเนื้อหาเกี่ยวกับ mpreg (เพศชายตั้งครรภ์ได้) , among other immoralities (การผิดศีลธรรมจรรยา) , angst (มีความรุนแรงในอารมณ์ บีบคั้นกดดัน) , coercion (การใช้อำนาจที่เหนือกว่าบังคับให้คนอื่นทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ) , corporal punishment (การลงโทษทางร่างกาย) , death (การตาย) , depression (ภาวะซึมเศร้า) , gore (เนื้อหามีความโหดร้าย และรุนแรง) , massacre (การสังหารหมู่) , mental and emotional abuse (การทำร้ายร่างกายและจิตใจ) , rape/non-con/dub-con (การข่มขืนโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม หรือ กึ่งจำยอม) , suicide (การฆ่าตัวตาย) , torture (การทรมาน) , underage sex (การมีความสัมพันธ์กับคนที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์) and unhealthy relationship (ความสัมพันธ์ที่เป็นปัญหา)
________________________________________________________
บทที่ 1
เจียงหนาน [1] ในเดือนสาม หมอกฝนขมุกขมัว ม่านฝนแผ่ปกคลุมหอสังเกตการณ์เก่าแก่ สายน้ำแวววาวตกกระทบกับพื้นทางเดินเล็กๆ ที่ปูด้วยแผ่นหินสีเขียว กลางแอ่งน้ำสีมรกตสะท้อนภาพสิงโตหินแกะสลักน่าเกรงขามและประตูสูงใหญ่ริมทาง พร้อมด้วยละอองน้ำที่สาดกระเซ็น
ในฤดูกาลที่อ่อนโยนเช่นนี้ เจียงหนานกลับเกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ที่สร้างความตกตะลึงและขวัญผวาให้แก่ผู้ที่ได้รับรู้
เจียงหนานมีบ้านตระกูลซ่งซึ่งมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ซ่งจงเหรินหัวหน้าครอบครัวเคยเป็นจอมยุทธ์ผู้โด่งดัง เมื่อไม่กี่ปีก่อนเขาได้วางมือจากยุทธภพ เริ่มทำการค้าทั้งด้านมืดและสว่าง ไม่ว่าจะเป็นในยุทธภพหรือแวดวงขุนนาง ซ่งจงเหรินล้วนรู้จักผู้คนเหล่านั้นและคบหาเป็นสหาย ภายในระยะไม่กี่ปีกิจการของเขาจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว ตระกูลซ่งแห่งเจียงหนานแม้ไม่อาจกล่าวได้ว่าร่ำรวยทัดเทียมแว่นแคว้น แต่ก็ถือว่ามีทรัพย์สินมากเป็นอันดับหนึ่งในท้องถิ่น
กระนั้นตระกูลที่ใหญ่โตและเลื่องชื่อลือนามกลับถูกฆ่ายกครัวจนหมดสิ้นภายในคืนเดียว กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งแผ่กระจายท่ามกลางไอฝนชื้นแฉะในรัศมีสองสามลี้ [2] ให้ความรู้สึกราวกับถูกปกคลุมด้วยหมอกเลือด ภายในกำแพงสูงใหญ่นั้น โลหิตสดไหลคดเคี้ยวไปตามรอยต่อระหว่างแผ่นหินซึมลึกสู่พื้นดิน คฤหาสน์หลังงามที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตากลายเป็นคฤหาสน์ผีสิงที่น่าพรั่นพรึงภายในค่ำคืนเดียว ทั้งที่เมื่อวานยังคลาคล่ำไปด้วยผู้คนแท้ๆ วันนี้กลับกลายเป็นพื้นที่โล่งกว้าง
การสังหารโหดเช่นนี้ ทางการสืบหาจนถึงที่สุดแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะเกี่ยวข้องกับการแก้แค้นในยุทธภพ เบาะแสทุกอย่างล้วนชี้ไปยังพรรคมารนอกด่านที่หลบซ่อนอยู่นอกเขตแคว้น ห่างไกลเสียจนทหารทางการไร้ความสามารถจะรับมือ ท้ายที่สุดจึงปิดคดีนี้ไปอย่างลวกๆ ก่อนจะเก็บเรื่องนี้ไว้บนชั้นเอกสารสูงที่เต็มไปด้วยฝุ่นเขรอะ
บนถนนกว้างไร้เงาผู้คน เสียงกีบเท้าม้ากำลังเคลื่อนที่ดังมาจากสุดถนนที่ไกลออกไป คนหนุ่มในชุดสีน้ำเงินควบม้าพันธุ์ดีสีขาวผ่านไปอย่างรีบเร่ง แม้เข้าเมืองแล้วชายหนุ่มก็ไม่หยุดพัก แต่กลับมุ่งตรงสู่เขาหลางเย่ว์ที่อยู่ไม่ไกลอย่างรวดเร็ว
สำนักกระบี่ชิงเฟิง [3] ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังในยุทธภพตั้งอยู่บนเขาหลางเย่ว์แห่งนี้ สำนักนี้ก่อตั้งขึ้นมาหนึ่งร้อยปีแล้ว วิชากระบี่ชิงเฟิงที่ซั่งอวิ๋นเฟยเจ้าสำนักคนแรกถ่ายทอดสืบต่อมาเป็นที่เลื่องลือในใต้หล้า แต่ไหนแต่ไรมาศิษย์ในสำนักทุกคนล้วนมุ่งมั่นกับการฝึกยุทธ์ ผดุงความยุติธรรมอยู่เสมอ เป็นที่กล่าวขานกันในยุทธภพว่ายอดเยี่ยมที่สุด หนึ่งร้อยปีกับการทุ่มเทเต็มกำลัง ปัจจุบันสำนักกระบี่ชิงเฟิงจึงมีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆ ในยุทธภพ บารมีสูงส่ง ผู้คนเคารพเลื่อมใส
เจ้าสำนักในยุคนี้มีนามว่าซิ่นไป๋ วรยุทธ์แกร่งกล้า มิตรสหายมากมาย มีความสัมพันธ์อันดีกับผู้นำยุทธภพคนปัจจุบัน หยวนคังโซ่ว ดังนั้นศิษย์ของสำนักชิงเฟิงในยุคนี้จึงยิ่งมุมานะไม่ยอมใคร มีความสามารถยิ่งกว่าคนรุ่นก่อน
กล่าวถึงคนวัยหนุ่มสาวในยุทธภพเวลานี้ บุคคลที่ผู้คนล้วนต้องเกรงใจที่สุดคือศิษย์คนโตแห่งสำนักกระบี่ชิงเฟิง ฉู่เฟยหยาง เขาอายุเพียงยี่สิบสองปี นับว่ายังน้อย แต่หากพูดถึงวรยุทธ์แล้ว กลับเหนือกว่าซิ่นไป๋ผู้เป็นอาจารย์ของเขา ฉู่เฟยหยางมีอุปนิสัยอ่อนโยน บุคลิกนิ่งสงบ มีความมั่นคงและปราดเปรื่องเกินอายุ หยวนคังโซ่วจึงรักใคร่เอ็นดูศิษย์คนโตของสหายตนอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อคนหนุ่มในชุดสีน้ำเงินมาถึงหน้าซุ้มประตู ก็มีเด็กหนุ่มอายุราวสิบห้าสิบหกปีออกมาต้อนรับ เด็กหนุ่มวิ่งกระหืดกระหอบมาลากจูงม้าด้วยความดีใจ “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว ท่านพ่อของข้าและท่านผู้นำหยวนรอท่านตั้งนาน ท่านผู้นำหยวนดูรีบเร่งอยู่ไม่สุขราวกับลิงค่าง ต้องมีเรื่องไม่ดีมาให้ท่านทำอีกแน่เลย”
คนหนุ่มในชุดสีน้ำเงินผู้นี้คือฉู่เฟยหยาง การเร่งรีบเดินทางมาหลายวันทำให้เขารู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่กระนั้นก็หาได้บดบังแววตาอันกระจ่างใสไม่ เขายิ้มเล็กน้อยพร้อมเขกศีรษะเด็กหนุ่มเบาๆ “พูดจาส่งเดช ระวังท่านอาจารย์ลงโทษเจ้า”
“ท่านพ่อของข้าทำไม่ลงหรอก” เด็กหนุ่มแลบลิ้นอย่างซุกซน ก่อนจะเดินเข้าไปในสำนักเคียงข้างฉู่เฟยหยาง
“หลานชาย กลับมาได้แล้วหรือ ทิ้งให้ข้ารอเสียนาน ยังคิดว่าเจ้าหลงเสน่ห์คุณหนูตระกูลเหมยจนไม่ยอมกลับมาแล้วเสียอีก” หยวนคังโซ่วเห็นฉู่เฟยหยางก็ดีอกดีใจขึ้นมาอย่างชัดเจน เอ่ยถ้อยคำหยอกล้อพร้อมหัวเราะยกใหญ่ ซิ่นไป๋ที่อยู่ข้างกันส่งสายตาจนปัญญามาให้ฉู่เฟยหยาง “เขาบอกว่ามีเรื่องที่ต้องพูดต่อหน้าเจ้าให้ได้ คนอื่นถามอย่างไรก็ไม่ตอบ เจ้าถามเอาเองเถิด”
ฉู่เฟยหยางไม่สนใจคำหยอกล้อของเขา ยิ้มพลางถามขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าท่านผู้นำหยวนเร่งตามผู้น้อยกลับมา มีคำสั่งใดหรือขอรับ”
หยวนคังโซ่วตีหน้าขรึมอย่างไม่พอใจ “เจ้าเด็กคนนี้เป็นเช่นนี้ตลอดเลย ไม่รู้หรือว่าการทำตัวสุภาพมากเกินไปก็เป็นความห่างเหินอย่างหนึ่ง อยู่กับคนเจ้าเล่ห์อย่างเหมยเซี่ยงมาตั้งนาน ไม่หัดเรียนรู้เอาเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวมาบ้าง เช่นนี้ต่อไปจะมัดใจสตรีที่ไหนได้เล่า!”
“คิกๆ ท่านลุงหยวน เรื่องนี้ไม่ต้องให้ท่านกังวลใจเลย ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าเสน่ห์เหลือล้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสตรีทั้งนั้นที่ปรารถนาเข้ามาซบอยู่ในอ้อมอก อย่างเขาไม่จำเป็นต้องไปอ้อนวอนขอความรักจากผู้ใดหรอก” เด็กหนุ่มผู้เข้ามาพร้อมฉู่เฟยหยางเอ่ยต่อพร้อมหัวเราะ
ซิ่นไป๋หันมาถลึงตาใส่เขา “อวิ๋นเซิน ข้าให้เจ้าไปฝึกยุทธ์ เจ้าบอกต้องการออกไปต้อนรับศิษย์พี่ใหญ่ แอบอู้มาค่อนวัน ตอนนี้ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าก็กลับมาถึงแล้ว รีบไปฝึกต่อเสีย”
“อ้อ” เด็กหนุ่มส่งเสียงด้วยความเสียใจ คลอเคลียฉู่เฟยหยางเพื่อนัดแนะเวลาสนทนาเรื่องต่างๆ ในตอนเย็นเรียบร้อยแล้วก็เดินคอตกออกไป
“เอาละ เจ้าพูดว่าเรื่องนี้เร่งด่วนมากไม่ใช่หรือ! อย่าชักช้าแล้วเข้าเรื่องกันเถิด” ซิ่นไป๋หันกลับไปพูดกับหยวนคังโซ่ว
หยวนคังโซ่วลูบเคราสีดอกเลา [4] ไปมา “พวกเจ้าคงได้ยินเหตุการณ์สังหารหมู่ตระกูลซ่งแห่งเจียงหนานมาบ้างแล้วกระมัง”
ซิ่นไป๋และฉู่เฟยหยางมองหน้ากันครู่หนึ่ง ฉู่เฟยหยางจึงเอ่ยปาก “ยามนั้นข้ายังอยู่ที่ตระกูลเหมย รู้รายละเอียดไม่ชัดเจนนัก กล่าวกันว่าทางการตัดสินคดีว่าหาผู้กระทำผิดไม่ได้”
“ไม่ผิด เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการฆ่าล้างแค้นจากคนในยุทธภพ พวกขุนนางไม่อยากยุ่งเรื่องในยุทธภพจึงทำเรื่องให้เล็กเข้าไว้ ต่อให้มีการตรวจสอบขึ้นมาอย่างจริงจัง แต่ซ่งจงเหรินก็เลิกยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในยุทธภพไปนานแล้ว ทั้งยังไม่เคยมีอริ ยุทธภพกว้างใหญ่ ย่อมไร้หนทางสืบหามือสังหาร ทว่าไม่กี่วันก่อนข้าได้รับข่าวข่าวหนึ่ง บอกว่าสองปีมานี้ซ่งจงเหรินไปมาหาสู่พรรคนอกรีตที่ชื่อว่าพรรคเทียนอี [5] ”
“พรรคเทียนอี?! ไม่ใช่ว่าพวกเขาอาศัยอยู่นอกด่านมาตลอดหรือ ได้ยินว่าผู้คนในพรรคล้วนแต่เป็นพวกป่าเถื่อนโหดเหี้ยม ซ่งจงเหรินจะรู้จักพวกเขาได้อย่างไรกัน”
“ที่หวั่นกลัวคือพรรคนอกรีตนี้อาจวางแผนร้ายต่อยุทธภพจงหยวน [6] นี่เป็นเหตุผลที่ข้าเรียกเจ้ามา ข้าหวังว่าเจ้าจะสืบเรื่องนี้ให้กระจ่าง ไม่ว่าพวกเขาจะมีแผนการอันใด อย่ายอมให้ทำสำเร็จเด็ดขาด หากมีโอกาสสามารถกำจัดพรรคนอกรีตที่เป็นหายนะของยุทธภพแล้ว ก็ยิ่งนับว่าเป็นคุณงามความดีอย่างใหญ่หลวง”
ฉู่เฟยหยางยิ้มบางๆ พร้อมเอ่ย “ขอบคุณท่านผู้นำหยวนที่ให้เกียรติผู้น้อย เรื่องเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของยุทธภพ ผู้น้อยย่อมลงมืออย่างสุดความสามารถ”
หยวนคังโซ่วหัวเราะเสียงดังพลางเอ่ยว่า “ดี ช่างเป็นเด็กดี ข้าจะจับตาดูเจ้า ปีหน้ามีงานชุมนุมครั้งใหญ่แห่งยุทธภพ ตำแหน่งผู้นำของตาแก่อย่างข้ารอเจ้ามารับช่วงต่อ อย่าทำให้ข้าผิดหวังเล่า”
ซิ่นไป๋ลูบเครา อ้าปากหัวเราะกว้าง ศิษย์คนโตผู้นี้ถือเป็นความภาคภูมิใจของเขาเสมอ ฉู่เฟยหยางยังคงยิ้มน้อยๆ ก่อนจะกล่าวขอบคุณหยวนคังโซ่ว
พรรคเทียนอีตั้งอยู่บนเขาชางหลางบริเวณนอกด่าน เป็นพรรคนอกรีตที่ไม่ทราบวันเวลาก่อตั้งชัดเจน เคล็ดวิชากำลังภายในของพรรคเทียนอีไม่ธรรมดา เล่าลือกันว่าตอนฝึกฝนต้องชักนำด้วยเลือดจากขั้วหัวใจของเด็กแรกเกิด วิธีการอำมหิตจนทำให้ผู้ที่ได้ยินหน้าเปลี่ยนสีทันที การกระทำของกลุ่มคนในพรรคโหดเหี้ยมทารุณ ทั้งฆ่าผลาญชิงทรัพย์ ก่อกรรมทำชั่วทุกรูปแบบ เดิมทีบริเวณตีนเขาชางหลางมีชนเผ่าเร่ร่อนรวมกลุ่มอาศัยอยู่จำนวนมาก แต่ตอนนี้กลายเป็นเพียงผืนดินรกร้างว่างเปล่า
เคยมีจอมยุทธ์ผู้เที่ยงธรรมในยุทธภพจงหยวนวางแผนกำจัดอิทธิพลชั่วร้ายที่เป็นพิษภัยนี้ แต่ทุกคนล้วนไปแล้วไม่เคยหวนกลับ นานวันเข้าจึงไม่มีใครกล้าเข้าไปหาเรื่องพรรคเทียนอีอีก สิบกว่าปีมานี้จึงสงบสุขไร้เรื่องวุ่นวาย อย่างไรก็ตาม แม้พรรคเทียนอีจะอยู่ที่เขาชางหลางอย่างสงบมาตลอด แต่สำหรับยุทธภพจงหยวนแล้วนับว่าเป็นดั่งอันตรายที่แฝงตัวอยู่
ภายในแท่นบูชาพรรคเทียนอีปกคลุมไปด้วยบรรยากาศอึมครึมเงียบเชียบตลอดทั้งปี แม้มีผู้คนอยู่มากมาย แต่กลับห่อเหี่ยวไร้ซึ่งชีวิตชีวา
ทูตซ้ายจวินซูอิ่งและทูตขวาชิงหลางแห่งพรรคเทียนอี แต่ไหนแต่ไรมาเปรียบเสมือนแขนข้างซ้ายข้างขวาของประมุขพรรค ตอนนี้ท่านประมุขกำลังเก็บตัว อำนาจของคนทั้งสองก็ยิ่งเสมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน แม้ท่านประมุขจะมีบุตรชายอยู่คนหนึ่ง แต่ก็เป็นคนเสเพลไม่ร่ำเรียนวรยุทธ์ วันๆ รู้จักเพียงกินดื่มมั่วสุมสตรีและการพนัน ไม่ทำงานทำการที่เป็นประโยชน์อันใด กลับใช้ตำแหน่งประมุขน้อยวางอำนาจบาตรใหญ่ เนื่องจากคนในพรรคล้วนเกรงกลัวท่านประมุข จึงไม่มีใครกล้ายุ่มย่ามกับว่าที่ประมุขคนต่อไปผู้นี้ หากจะกล่าวว่าไม่มีใครเลื่อมใสศรัทธาเขา จวินซูอิ่งและชิงหลางยิ่งไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ภายในพรรคเทียนอีล้วนนินทากันว่า อีกร้อยปีข้างหน้าประมุขน้อยไร้ความสามารถผู้นี้ต้องไม่ตายดีอย่างแน่นอน แต่ต่างก็รู้เช่นกันว่าจวินซูอิ่งและชิงหลางไม่ใช่คนดี ผู้ที่จะรับตำแหน่งประมุขคนต่อไปจึงน่าจะเป็นคนใดคนหนึ่งในทูตซ้ายขวา
เรือนพักของจวินซูอิ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของแท่นบูชา เวลานี้แสงตะเกียงสาดส่องไปทั่วทั้งห้องโถง จวินซูอิ่งในอาภรณ์สีดำก้มหน้าฟังคำรายงานของลูกน้อง
รูปลักษณ์ของจวินซูอิ่งความจริงแล้วงามสง่ายิ่งนัก แต่เพราะดวงหน้ามักสำแดงความโหดเหี้ยมออกมา จึงมีความดุร้ายอยู่บางส่วน
ฟังลูกน้องรายงานจบ จวินซูอิ่งก็หัวเราะชั่วร้าย “ดี ทำได้ดี ก่อนหน้านี้เจ้าโจรเฒ่าซ่งได้ประโยชน์จากข้าไปไม่น้อย ยังกล้าร่วมมือกับชิงหลางลับหลังข้าอีก เดิมทีคิดไว้ชีวิตเขาอีกสักสองสามปี แต่เขากลับรนหาที่ตาย”
“รายงานทูตซ้าย ยังมีอีกเรื่อง…” ผู้อยู่ใต้บัญชาอึกอัก กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“พูด” เสียงจวินซูอิ่งนิ่งเรียบ แต่กลับทำให้ผู้ที่มารายงานตกใจจนเข่าทรุดลงไป ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ท่านทูตซ้าย ข้าน้อยไร้ความสามารถ ตระกูลซ่งสามร้อยหกสิบเจ็ดคน พบเพียงสามร้อยหกสิบหกศพ ดูเหมือนว่า บุตรชายของเขา บุตรชายของเขา…ซ่งหลันอวี้หนีไปแล้วขอรับ ท่านทูตซ้ายโปรดอภัย!” คนผู้นั้นโขกหัวลงกับพื้นไม้อย่างแรง พริบตาเดียวก็มีเลือดหลั่งรินเต็มใบหน้า
แววตาของจวินซูอิ่งเคร่งขรึมลงอย่างรวดเร็ว เอ่ยเสียงต่ำอย่างโหดเหี้ยม “พวกเศษสวะ! ปล่อยไว้ก็ไร้ประโยชน์!”
คนที่หมอบราบอยู่กับพื้นไม่ทันได้ยืนขึ้นให้ดีก็ใช้มือเท้าคลานออกไป จวินซูอิ่งกางนิ้วทั้งห้าออกดูดตัวเขาไว้ คนผู้นั้นร้องตะโกนออกมาด้วยความหวาดกลัวสุดขีด เสียงนั้นถึงขั้นไม่คล้ายเสียงคน แต่เป็นดั่งเสียงกรีดร้องที่ออกมาจากขุมนรก ฉับพลันก็ราวกับโดนสูบเลือดเนื้อจนแห้ง เสียงร้องน่าเวทนาจึงค่อยๆ เบาลงจนกระทั่งหายไป เหลือไว้เพียงสภาพร่างหนังหุ้มกระดูก
จวินซูอิ่งโยนศพแห้งกรังทิ้ง ร้องขึ้นว่า “เกาฟั่ง!”
“ข้าอยู่นี่” น้ำเสียงไม่ยินดียินร้ายดังออกมาจากมุมมืด ก่อนจะปรากฏร่างชายหนุ่มในอาภรณ์แปลกตา เสื้อแขนกุดความยาวเพียงเหนือสะดือ มีพู่ห้อยรอบตัวซึ่งผูกกระดิ่งลูกเล็กๆ แนบไปตามลำตัว ทำให้เกิดเสียงกรุ๋งกริ๋งตามจังหวะการเดิน ฟังแล้วไพเราะรื่นหู กางเกงยาวเพียงน่อง ย่างเหยียบบนพื้นด้วยเท้าเปล่า ผมเปียยาวลู่ลงด้านหลัง ทั่วศีรษะมีจุดสีเงินวิบวับส่องแสงแวววาวจนดวงตาพร่ามัว
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าเกาฟั่งคลี่ยิ้มงดงาม ต่างจากสีหน้าอึมครึมของจวินซูอิ่งลิบลับ
“เรื่องที่ให้เจ้าไปทำเป็นอย่างไรบ้าง ข้าไม่อยากให้เกิดเรื่องผิดพลาด”
เกาฟั่งยิ้มพร้อมเอ่ยตอบ “อย่าเห็นข้าเป็นคนโง่งมอย่างพวกนั้นสิ ท่านยังไม่ไว้ใจข้าอีกหรือ! ข้าเคยผิดพลาดเสียเมื่อไหร่ แต่ก่อนอื่น ควรต้องจัดการประมุขน้อยแล้วหรือไม่ ได้ยินว่าช่วงนี้ประมุขน้อยกับทูตขวาสนิทสนมกันยิ่งนัก หากทูตขวาสนับสนุนให้ประมุขน้อยขึ้นรับตำแหน่งสำเร็จ เขาย่อมชอบด้วยเหตุผล พวกเรายุ่งกันมานานขนาดนี้อาจกลายเป็นดั่งการเย็บชุดแต่งงานให้ผู้อื่น [7] ”
จวินซูอิ่งส่งเสียงหึ “เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าเตือน”
“รายงานทูตซ้าย ท่านประมุขเรียกท่านและหัวหน้าเกาให้ไปพบขอรับ” คนชุดดำผู้หนึ่งเดินเข้ามาแจ้งข่าวอย่างเคารพนบนอบ เมื่อปรายสายตาเห็นซากกระดูกบนพื้นก็รีบค้อมศีรษะลงต่ำทันที
“หรือว่าเขาใช้ยาที่ให้ไปจนหมดแล้ว ท่านประมุขช่างกล้าหาญเสียจริง” เกาฟั่งป้องปากลอบหัวเราะพลางเอ่ยคำ จวินซูอิ่งย่นคิ้วหากันแล้วเอ่ยกับคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นว่า “เข้าใจแล้ว ทำความสะอาดสิ่งสกปรกในนี้เสีย”
เมื่อจวินซูอิ่งและเกาฟั่งมาถึงที่พำนักของประมุขพรรคเทียนอีก็ถูกเชิญเข้าไปยังด้านในห้องนอนทันที ภายในนั้นมีบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ในชุดสีเขียวรออยู่ก่อนแล้ว
“ท่านทูตขวาชิงมาถึงเร็วยิ่งนัก” จวินซูอิ่งยิ้มพร้อมทักทาย
ชิงหลางเลิกคิ้วแล้วหัวเราะ ตอบอย่างสุภาพ “ท่านทูตซ้ายจวินเองก็หาได้มาช้าไม่ แต่ไหนแต่ไรมาข้าก็เป็นพวกเอ้อระเหยลอยชาย ไหนเลยจะเปรียบกับท่านทูตซ้ายที่ยุ่งกับการจัดการปัญหาอยู่ทุกวันได้ ย่อมมาเร็วกว่าอยู่แล้ว”
จวินซูอิ่งยิ้มตอบ “ข้ามีธุระจริงจังเสียที่ไหน กลับกัน ได้ยินมาว่าช่วงนี้ท่านทูตขวาชิงสนิทสนมกับท่านประมุขน้อย จนตอนนี้ท่านประมุขน้อยที่ชื่นชอบความสำราญไม่แม้แต่จะแวะไปเยือนหอนางโลมและโรงพนัน แต่มาเรียนรู้วรยุทธ์กับท่านทูตขวาชิง ท่านทูตขวาช่างมีความสามารถยิ่งนัก ผู้น้อยนับถือ”
“ประมุขน้อยมีพรสวรรค์ เฉลียวฉลาด หาต้องให้ข้าชี้แนะไม่ ท่านทูตซ้ายล้อข้าเล่นแล้ว” ชิงหลางเอ่ยชื่นชมประมุขน้อยผู้นั้น แต่ก็ยังเก็บซ่อนความดูแคลนบนมุมปากและสายตาไว้ไม่มิด
ประมุขน้อยผู้นั้นเป็นตัวโง่งมดั่งโคลนตมที่ฉาบไม่ติดกำแพง คนที่สายตาว่องไวเพียงเล็กน้อยก็น่าจะมองสถานการณ์ได้ชัดเจน ว่าการผูกมิตรกับทูตซ้ายหรือทูตขวาสักคนโดยเร็วเพื่อเป็นหลักประกันในชีวิตตนคือทางรอดเพียงทางเดียว กระนั้นว่าที่ประมุขผู้รนหาที่ตายนี้กลับอิจฉาที่ท่านประมุขมอบอำนาจให้แก่ทั้งสองคน จึงตั้งตนเป็นศัตรูกับพวกเขาทุกทาง การทำเช่นนี้เกือบทำให้คนทั้งพรรคไม่พอใจ สร้างศัตรูไว้มากมายกลับยังไม่รู้ตัว ตอนนี้ไม่รู้ว่าไปฟังคำชี้แนะจากใครเข้า ในที่สุดถึงเข้าใจว่าหากสิ้นบิดาแล้วเขาก็ห่างจากความตายไม่มากเช่นกัน จึงไปหาชิงหลางด้วยความอ่อนน้อม ใช้ตำแหน่งประมุขแลกกับชีวิตของตน แต่ชิงหลางไม่สนใจตำแหน่งประมุขนั่นอยู่แล้ว แทนที่จะไปหาชิงหลาง สู้ไปหาจวินซูอิ่งไม่ดีกว่าหรือ เห็นได้ชัดว่าประมุขน้อยไม่ใช่เพียงคนขี้ขลาด แต่ยังเป็นคนโง่เขลาอีกด้วย
จวินซูอิ่งและชิงหลางปะทะกันทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ผ้าม่านโปร่งสีแดงที่กั้นระหว่างส่วนนอกกับส่วนในถูกดึงขึ้น บุรุษพุงพลุ้ยผู้หนึ่งที่สวมเพียงเสื้อชั้นนอกไว้หลวมๆ ก็เดินเข้ามา
“ข้าน้อยคารวะท่านประมุข” จวินซูอิ่ง ชิงหลาง และเกาฟั่งทำความเคารพ ประมุขพรรคเทียนอีผู้นั้นตรงมาเอนกายลงบนตั่ง แล้วโบกมือ “ลุกขึ้นเถิด”
ใบหน้าประมุขแห่งพรรคเทียนอีซีดขาว ดวงตาไร้ชีวิตชีวา กิริยาท่าทางโรยแรง แสดงให้รู้ว่าผ่านการมั่วโลกีย์มาอย่างแจ่มแจ้ง เขาเอ่ยกับเกาฟั่งว่า “หัวหน้าเกา ยาของเจ้าได้ผลอย่างมาก ข้ารู้สึกกระปรี้กระเปร่าอยู่ตลอดเวลาราวกับคนหนุ่มอายุยี่สิบ ต้องให้รางวัลอย่างงาม! ให้รางวัลอย่างงาม!” เขาพูดด้วยสีหน้าแดงระเรื่อ
เกาฟั่งกล่าวตอบอย่างนอบน้อม “ขอบคุณท่านประมุข”
จวินซูอิ่งเอ่ยปากกล่าวด้วยความเอาใจใส่ “ท่านประมุขวาสนาล้นฟ้า ย่อมอายุยืนยาวนับร้อยปี ไม่ทราบว่าท่านประมุขเรียกพวกเรามามีเรื่องอันใดหรือ”
ประมุขพรรคเทียนอีหัวเราะและเอ่ยว่า “ทูตซ้ายจวินพูดได้ดี! ข้าวาสนาล้นฟ้า ไม่เพียงอายุยืนร้อยปี จักต้องไม่แก่เฒ่าอีกด้วย! ข้าเคยได้ยินว่ามียาชนิดหนึ่งสามารถทำให้ชีวิตคนยืนยาวเป็นอมตะ วันนี้อนุแสนรักของข้าได้เชิญหมอเทวดาพเนจรผู้หนึ่งมาพบ เขายืนยันว่ามียาชนิดนี้อยู่บนโลกจริงๆ! ข้าต้องการมัน!”
“ข้าเคยได้ยินเรื่องยาชนิดนี้ แต่ก็เป็นเพียงเรื่องเล่าเท่านั้น จะมีอยู่จริงๆ หรือ” เกาฟั่งผู้หลงใหลในศาสตร์ยาและการแพทย์ย่อมมีความสนใจในเรื่องพวกนี้เป็นอย่างมาก
“มีสิ! มีแน่นอน! ข้าอยากให้พวกเจ้าตามหามัน! อยากใช้คนเท่าไหร่ก็ใช้ได้เลย! ไปเอายาตัวนี้มาให้ข้า! ไปเดี๋ยวนี้ เร็ว! ข้ารอ…ข้ารอไม่ได้แล้ว!” ทั้งใบหน้าของประมุขพรรคเทียนอีเปลี่ยนเป็นสีแดง ส่วนขมับโป่งนูน ท่าทางอดใจรอไม่ไหวคล้ายคนสติฟั่นเฟือน
ทั้งสามคนรับคำสั่งแล้วถอยออกมา เมื่อเดินถึงบริเวณที่ไร้ผู้คนแล้วเกาฟั่งก็หัวเราะขึ้นพร้อมเอ่ย “สติของท่านประมุขใช้การไม่ได้แล้ว รออีกสองวันเขาก็จะได้ขึ้นสวรรค์ไปเป็นเซียน อายุยืนยาวไม่แก่เฒ่าจริงๆ แล้ว จะยังต้องใช้ยาอะไรกันอีก”
จวินซูอิ่งหัวเราะเย็นชา “สองวันหรือ นานเกินไปจริงๆ”
เกาฟั่งถอนหายใจยาวทันใด “ข้ากลับเสียใจอยู่บ้าง ข้ายังจำได้ ตอนที่พวกเราเป็นเด็ก ก็เป็นท่านประมุขที่พาพวกเราไปขุดรากถอนโคนพวกศัตรูแล้วแย่งตำแหน่งประมุขมา ท่านประมุขในตอนนั้นรูปงาม ปราดเปรื่อง และทรงอำนาจอย่างแท้จริง ทว่าตอนนี้กลับตกอยู่ในสภาพแบบนี้เสียได้”
จวินซูอิ่งหมุนตัวมาจ้องเกาฟั่ง เกาฟั่งที่ถูกสายตาเย็นเยียบดุจอสรพิษจ้องมาก็ทนไม่ไหว หัวเราะแหะๆ “อย่ามองข้าเช่นนั้นสิ ความภักดีที่ข้ามีต่อท่าน ให้ตะวันจันทราเป็นพยานได้”
จวินซูอิ่งส่งเสียงหึออกมาอย่างเย็นชาก่อนจะก้าวเดินต่อ เกาฟั่งตามติดอยู่ทางด้านหลังไม่ห่าง แอบลูบหน้าอก ปลอบประโลมหัวใจที่ตื่นตระหนกจนแทบกระเด้งขึ้นมาถึงคอหอย
สิ่งที่จวินซูอิ่งคาดไม่ถึงคือ ชิงหลางพาคนจำนวนมากออกไปในคืนนั้นจริงๆ
“หรือว่าเขาสนใจยาตัวนั้นมากกว่าตำแหน่งประมุข! นึกไม่ถึงเลยว่าท่านทูตขวาชิงจะกระตือรือร้นมากกว่าข้า” เกาฟั่งถอนหายใจออกมาอย่างละอายต่อตนเอง
การไปครั้งนี้ของชิงหลาง ตำแหน่งประมุขจึงเป็นดั่งสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าของจวินซูอิ่ง ไม่ต้องเปลืองแรงมากมายก็ได้มาครอบครอง ศพของประมุขพรรคเทียนอีถูกจวินซูอิ่งสั่งคนโยนทิ้งลงหน้าผาท้ายเขา บรรดาอนุของเขาเหล่านั้นล้วนฆ่าตัวตายด้วยยาพิษตั้งแต่ประมุขพรรคสิ้นใจแล้ว กระโจมแพรที่เคยใช้เสพสุขในวันวานล้วนถูกเผาไม่เหลือซาก
หลังจากจวินซูอิ่งขึ้นเป็นประมุข เขาก็สั่งลงโทษชิงหลาง ขับไล่ออกจากพรรคเทียนอี เดิมคิดอยากตัดรากถอนโคน แต่ถูกเกาฟั่งปรามไว้ ชิงหลางจากไปอย่างสมบูรณ์แบบ คนและม้าของตนล้วนนำออกไปจนหมดสิ้น ไม่คิดต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งประมุขกับอีกฝ่าย ตอนนี้จวินซูอิ่งเพิ่งนั่งบนตำแหน่งประมุข รากฐานไม่มั่นคง ไยต้องสร้างศัตรูให้มากด้วยเล่า
ส่วนอีกคน จวินซูอิ่งกลับต้องกำจัดโดยไม่สามารถละเว้นให้ได้ ยามที่ลูกน้องเขาพบอดีตประมุขน้อยผู้เคยมีชื่อเสียงกว้างไกลในถ้ำ บุรุษเจ้าสําราญหน้าตางดงามผู้นั้นก็กลายเป็นครึ่งผีครึ่งคนเสียแล้ว ดูเหมือนว่าได้ฝึกฝนวรยุทธ์แปลกประหลาดเข้า ก่อนจะหลบหนีจากยอดฝีมือจำนวนมากไปได้โดยไม่คาดคิด
หลังจากจวินซูอิ่งรู้เรื่องนี้ก็โกรธอย่างมาก สั่งให้คนออกไล่ตามสังหาร แต่กลับไม่ได้รับข่าวคราวใดๆ จึงทำได้เพียงปล่อยไปชั่วคราว
[1] เจียงหนาน คือ ดินแดนฝั่งใต้แม่น้ำแยงซีของจีน
[2] ลี้ คือ หน่วยวัดความยาวของจีน 1 ลี้ เท่ากับ 500 เมตร
[3] ชิงเฟิง แปลว่า บริสุทธิ์สูงส่ง
[4] ดอกเลา คือ ดอกหญ้าชนิดหนึ่ง มีสีขาวแกมเทา
[5] เทียนอี แปลว่า หนึ่งเดียวกับท้องฟ้า
[6] จงหยวน คือ ดินแดนทางตอนกลางของจีน
[7] เย็บชุดแต่งงานให้ผู้อื่น เป็นสำนวนหมายถึง เหนื่อยยากลำบากแทบตาย สุดท้ายกลับกลายเป็นผู้อื่นได้รับประโยชน์ไปแทน