เล่ห์รักประมุขพรรคมาร 杨书魅影
南风歌 หนานเฟิงเกอ เขียน
เจ้าเจิน แปล
นิยาย 3 เล่มจบ (วางขายเเยกเล่ม)
** หมายเหตุ : ต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ได้รับ เป็นฉบับ Uncensored
TRIGGER WARNING : นิยายเรื่องนี้ NOT FOR EVERYONE *
มีเนื้อหาเกี่ยวกับ mpreg (เพศชายตั้งครรภ์ได้) , among other immoralities (การผิดศีลธรรมจรรยา) , angst (มีความรุนแรงในอารมณ์ บีบคั้นกดดัน) , coercion (การใช้อำนาจที่เหนือกว่าบังคับให้คนอื่นทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ) , corporal punishment (การลงโทษทางร่างกาย) , death (การตาย) , depression (ภาวะซึมเศร้า) , gore (เนื้อหามีความโหดร้าย และรุนแรง) , massacre (การสังหารหมู่) , mental and emotional abuse (การทำร้ายร่างกายและจิตใจ) , rape/non-con/dub-con (การข่มขืนโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม หรือ กึ่งจำยอม) , suicide (การฆ่าตัวตาย) , torture (การทรมาน) , underage sex (การมีความสัมพันธ์กับคนที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์) and unhealthy relationship (ความสัมพันธ์ที่เป็นปัญหา)
________________________________________________________
ทั้งสองคนกลับถึงจวนเล็กๆ ที่ซ่อมแซมใหม่ทั้งหมดก็เข้าห้องนอน ปิดประตูป้องกันลมและหิมะ ด้านในถูกกระถางถ่านส่งความร้อนจนอบอุ่น มีกลิ่นหอมฟุ้งตลบอบอวล สบายดุจฤดูใบไม้ผลิ
ฉู่เฟยหยางถอดเสื้อคลุมตัวนอก เอ่ยกับจวินซูอิ่ง “เจ้าไปอาบน้ำก่อนเถิด ข้าจะไปดูก้อนหินน้อย เดี๋ยวกลับมา”
ฉู่เฟยหยางอยู่ท่ามกลางศิษย์น้องที่เชิญมาซ่อมแซมจวนใหม่ บางส่วนเป็นยอดฝีมือที่ชำนาญด้านกลไกและสิ่งประดิษฐ์แปลกๆ ในเมื่อฉู่เฟยหยางตั้งใจพาจวินซูอิ่งมาตั้งรกรากที่นี่แล้ว ย่อมคิดวิธีซ่อมแซมทุกอย่างให้สะดวกสบายที่สุด เหล่าศิษย์สำนักกระบี่ชิงเฟิงที่ได้รับคำสั่งจากศิษย์พี่ใหญ่ ล้วนทุ่มเทแรงกาย คิดทุกอย่าง ใช้ทุกวิถีทาง เพื่อปรับปรุงจวนแห่งนี้ใหม่
ในนั้นมีศิษย์จำนวนหนึ่งใช้เวลาหลายวันขุดดินสร้างคลองส่งน้ำจากแม่น้ำบนเขา ก่อนจะสร้างห้องแยกโอ่อ่าและเตาไฟแสนประณีตด้านหลังห้องนอน เพื่อเก็บน้ำที่ดึงมาต้มให้อุ่น ไม่ว่าเวลาใดจึงล้วนมีน้ำอุ่นและสะอาดให้ใช้ นี่เป็นจุดที่จวินซูอิ่งชื่นชอบที่สุด ฉู่เฟยหยางใช้สิ่งนี้ทำให้เขาพึงพอใจ ได้กำไรเป็นการลงมือกระทำเกินเลยตามใจอยากของตนอยู่หลายคืน
“ช้าก่อน” จวินซูอิ่งเอ่ยรั้งฉู่เฟยหยาง เห็นเขาหันมองตนเองก็เอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “ข้าว่าเรื่องทั้งหมดไม่ได้ง่ายเพียงนี้ เจ้าต้องการไปหาสมบัติกับขอทานนั่นจริงๆ หรือ”
“เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับสำนักเทียนซานอย่างมาก ข้าไม่อาจนั่งมองอยู่เฉยๆ ได้” ฉู่เฟยหยางยื่นมือโอบจวินซูอิ่งเข้าหาตัว จูบบนหลังมืออีกฝ่าย แล้วยิ้มเอ่ย “เป็นห่วงข้าหรือ”
“เรื่องของสำนักเทียนซานเกี่ยวข้องอันใดกับเจ้ารึ หรือเจ้าไม่รู้สึกว่ามีคนต้องการดึงเจ้าเข้าไปอยู่ตลอดเวลา!” จวินซูอิ่งย่นคิ้วเอ่ย “หากเจ้าไปแล้ว จะไม่เป็นการทำให้คนสมปรารถนาหรือ!”
“ในเมื่อมีคนต้องการให้ข้าไป เหตุใดข้าจะทำความปรารถนาของเขาให้สำเร็จไม่ได้เล่า” ฉู่เฟยหยางยิ้ม กอดจวินซูอิ่งแน่น แล้วเอ่ย “อีกอย่าง ไม่ใช่ว่าเจ้าก็ไปด้วยรึ เจ้าเป็นหัวหน้าศิษย์ของข้าฉู่เฟยหยาง การเดินทางครั้งนี้ก็ประจวบเหมาะให้ข้าดูพอดี ว่าศิษย์คนดีของอาจารย์ความสามารถมากน้อยเพียงใดกันแน่”
“อย่างไรเสียก็เทียบเจ้าไม่ได้” เพียงเอ่ยถึงวรยุทธ์ จวินซูอิ่งก็ไม่คิดถึงอย่างอื่นแล้ว เขาส่งเสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ
“ถูกต้อง สมบัติที่กล่าวถึงนี้ยังไม่รู้ว่าคืออะไร ในเมื่อเกี่ยวข้องกับสำนักเทียนซาน บางทีอาจเป็นเคล็ดลับวรยุทธ์ที่ไร้ผู้สืบทอดบางอย่างก็ได้นะ” ฉู่เฟยหยางเอ่ย เห็นดวงตาแวววาวราวไข่มุกของจวินซูอิ่งเปลี่ยนไปตามคาด ทั้งตัวคนก็ล้วนราวกับส่องประกายขึ้น จนเขาอดที่จะลอบยิ้มไม่ได้
“เอาละ ศิษย์คนดี ไม่ต้องเปลืองแรงคิดแล้ว รีบอาบน้ำให้สะอาดแล้วรออาจารย์อย่างเชื่อฟังเถิด” ฉู่เฟยหยางสะกิดคางจวินซูอิ่งอย่างไม่จริงจังนัก แล้วปลีกตัวออกไป ก่อนที่จวินซูอิ่งซึ่งยังจมอยู่ในภาพฝันของเคล็ดลับวรยุทธ์จะตอบสนองได้ทัน จนเมื่อห้องด้านหลังมีเสียงหงุดหงิดดังขึ้น กลับนำพาให้ดวงตาของฉู่เฟยหยางปรากฏรอยยิ้มล้ำลึก เท้าก็เดินไปทางห้องของก้อนหินน้อยอย่างว่องไว
ไม่รู้ว่าเพราะอยู่กับเกาฟั่งนานเกินไปหรือไม่ ซิ่นอวิ๋นเซินจึงดูแลเด็กได้ละเอียดรอบคอบนัก ฉู่เฟยหยางมองจากช่องว่างประตูเข้าไป ข้างเตียงคือของเล่นของก้อนหินน้อยที่กระจัดกระจายเต็มพื้น ซิ่นอวิ๋นเซินที่อยู่บนเตียงห่อกายด้วยผ้าห่ม มีเพียงส่วนหัวที่โผล่ออกมา อุ้มก้อนหินน้อยไว้ในอกอย่างดี หนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กต่างหลับสนิท
ฉู่เฟยหยางเดิมทีมาเพื่อเรียกซิ่นอวิ๋นเซินให้กลับขึ้นเขา ยามนี้เห็นสถานการณ์แล้วก็ทนปลุกคนให้ตื่นไม่ได้ ทำเพียงปิดประตูเบาๆ แล้วเดินกลับไป
ยามกลับถึงห้องนอนไม่พบเจอผู้ใด มีเพียงเสื้อผ้าไม่กี่ตัววางพาดบนเก้าอี้และบนโต๊ะ ในสายตาฉู่เฟยหยาง นี่คือแรงยั่วยวนมหาศาลที่อธิบายไม่ได้
ภายในห้องเล็กด้านหลังห้องนอนมีเสียงน้ำดังขึ้นเลือนราง ฉู่เฟยหยางผลักประตูเบาๆ ไอร้อนระลอกหนึ่งโถมเข้าหาใบหน้า เมื่อเดินอ้อมผ่านฉากกั้นห้องก็เห็นจวินซูอิ่งกำลังหลับตาเอนกายพิงขอบถังไม้อย่างสบายใจ ไหล่ที่เปลือยเปล่าโผล่อยู่เหนือน้ำ บนไหปลาร้ามีรอยจูบที่ยังไม่จางหาย
ทุกร่องรอยบนร่างกายนี้ ล้วนเป็นเขาที่แกะสลักลงไปด้วยตนเอง ทุกจุดอ่อนไหวของร่างกายนี้ มีเขาเป็นผู้บุกเบิก พื้นที่ใดๆ บนร่างกายนี้ ก็มีเพียงเขาที่แตะต้องได้ ฉู่เฟยหยางค่อยๆ เดินเข้าใกล้ สองมือกดลงบนไหล่ที่ยั่วยวนของจวินซูอิ่ง แล้วบีบคลึงเบาๆ
จวินซูอิ่งเงยหน้าขึ้นอย่างผ่อนคลาย ส่งเสียงภายในลำคอเบาๆ อย่างสบายใจ
“สบายหรือไม่” ฉู่เฟยหยางกดจุดอย่างเบามือ ทำให้กล้ามเนื้อที่แน่นตึงผ่อนคลายลง
จวินซูอิ่งส่งเสียงอืมเล็กน้อย ยกมือที่เปียกแฉะขึ้น นิ้วเรียวยาวกดลงบนหลังมือฉู่เฟยหยางเบาๆ นับว่าเป็นการชมเชย
ท่าทางโอนอ่อนผ่อนตามเช่นนี้ ก็แสดงให้แค่เขาเห็นเพียงคนเดียวเช่นกัน
ฉู่เฟยหยางก้มศีรษะลง เริ่มพรมจูบจากหน้าผากของจวินซูอิ่ง ไล้ไปตามจมูกโด่ง จนถึงริมฝีปากที่เผยอออกเล็กน้อย คล้ายรอจุมพิตจากเขา
“เสื้อของเจ้าจะเปียก…” เสียงเตือนของจวินซูอิ่งหายเข้าไปในปาก
เพียงยุแหย่เล็กน้อย ลิ้นอ่อนนุ่มนั้นก็ยื่นออกมาให้เขาดูดเกี่ยวตามใจชอบโดยสมัครใจ
ฉู่เฟยหยางไม่ได้จูบนานนัก ยามลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดผละจากกันเกิดเสียงดังชัดเจน จวินซูอิ่งคล้ายไม่ชินที่ฉู่เฟยหยางปล่อยตนง่ายขนาดนี้ ปลายลิ้นในริมฝีปากแดงฉ่ำจึงยื่นออกมาเล็กน้อยตามการผละตัวของเขา
ฉู่เฟยหยางลุกขึ้น จวินซูอิ่งลืมตามองอย่างไม่เข้าใจ ใบหน้าที่เงยขึ้นมา มองดูแล้วช่างบริสุทธิ์และดีงามจนพาให้หัวใจคนสั่นไหว
“ไม่ต้องรีบร้อน ข้าเพียงไปถอดชุด หากทำเปียกจริงๆ แล้วเจ้าก็ไม่ทำความสะอาด ล้วนเป็นหน้าที่ของข้า” ฉู่เฟยหยางเอ่ยด้วยใบหน้าหยอกล้อ
จวินซูอิ่งโต้เถียงไม่ได้ ทำเพียงไถลตัวลงไปในน้ำลึก แล้วนิ่งเงียบไม่ส่งเสียง
ฉู่เฟยหยางมองเขาหันหน้ากลับไปอย่างเงียบเชียบ เหมือนยามปกติที่หลีกเลี่ยงงานบ้านอย่างเปิดเผย ก็รู้สึกเพียงทั้งโกรธทั้งขัน เห็นไหล่ขาวดุจหยกที่หดอยู่ในน้ำ เขาก็ฝืนระงับความคันยุบยิบในใจที่ยากจะทนเอาไว้ ถอดเสื้อผ้าทั้งตัวอย่างรวดเร็ว แล้วจู่โจมเข้าไปราวกับหมาป่าดุร้าย
“ศิษย์คนดีของข้า อ้าขาออกเร็วเข้า” ฉู่เฟยหยางกดจวินซูอิ่ง บนใบหน้าเผยรอยยิ้มร้าย
จวินซูอิ่งถูกเขาจู่โจมเข้ามาฉับพลัน ก็รีบใช้สองมือเกาะบนถังไม้จึงทรงตัวได้อย่างมั่นคง เพิ่งคิดจะเอ่ยตำหนิ กลับถูกฉู่เฟยหยางโอบใต้รักแร้ อ้าปากขบเม้มหน้าอกด้านซ้าย จวินซูอิ่งทำได้เพียงกัดริมฝีปากล่างอย่างแรง สองมือโอบกอดท้ายทอยของฉู่เฟยหยาง สูดหายใจเข้าลึก
จุดสองจุดบนหน้าอกถูกหยอกล้ออย่างเอาแต่ใจ ยามนี้สัมผัสที่เหลืออยู่ถูกกระตุ้นขึ้นมาอย่างง่ายดาย ความรู้สึกฉับไวบางเบาแผ่ซ่านออกจากบริเวณริมฝีปากที่เปียกชื้น
ฉู่เฟยหยางขบเม้มพักหนึ่งก็คายออก ยิ้มบางๆ พลางเอ่ยถาม “สบายหรือไม่ ต้องการต่อไหม”
จวินซูอิ่งเบือนหน้าหนี มือที่โอบฉู่เฟยหยางทั้งสองข้างกลับแอบเพิ่มแรงเล็กน้อย
ฉู่เฟยหยางยกมือเชยคางเขาให้มองตรงมายังตนเอง แล้วตั้งใจยิ้มเล็กน้อยพร้อมแลบลิ้นออกมา เลียลงบนบนหน้าอกที่บวมแดงภายใต้การจับจ้องจากสายตาของจวินซูอิ่ง ได้ยินเสียงลมหายใจถี่หอบดังคาด
การสัมผัสที่เพียงแตะก็ผละออกทำให้จวินซูอิ่งไม่พอใจนัก ขยับสองสามหนอย่างอึดอัดภายในอ้อมแขนที่ฉู่เฟยหยางโอบกอดจนแน่น ปรือตาขมวดคิ้วเอ่ย “เจ้า…เลียข้า…”
“เลียตรงไหนหรือ เอ่ยให้ข้าฟังชัดๆ สิ” ฉู่เฟยหยางสูดดมกลิ่นสดชื่นที่อยู่บนตัวจวินซูอิ่ง ใช้เสียงที่น่าดึงดูดอย่างยิ่งเอ่ยยั่วยวน
จวินซูอิ่งกลับไม่ยอมเอ่ยต่อ เพียงส่งเสียงต่ำและเคลื่อนไหวร่างกายอย่างยากจะทน สองมือกอดศีรษะของฉู่เฟยหยาง ร่างกายแอ่นขึ้นเล็กน้อย ส่งจุดไวต่อความรู้สึกที่อยู่บนอกเข้าสู่ริมฝีปากเขา
การเคลื่อนไหวบางเบานี้กลับทำให้บางสิ่งที่อยู่ในร่างฉู่เฟยหยางถูกแผดเผาจนไฟลุกโหมกระหน่ำ ไม่มีความสนใจจะเย้าแหย่อย่างละเมียดละไมอีกต่อไป ต้องการเพียงกดคนด้านล่าง เสพสุขบนร่างกายเขาให้เต็มที่
ฉู่เฟยหยางยันตัวจวินซูอิ่งขึ้นภายในครั้งเดียว ทำให้สองคนสลับตำแหน่งกัน หลังเขาพิงกับขอบถังกว้าง กลับให้จวินซูอิ่งนั่งบนต้นขาเขา ก่อนจะแยกขาทั้งสองข้างออก ให้จวินซูอิ่งนั่งคร่อมอยู่บนกายตน
สองมือฉู่เฟยหยางประคองเอวที่ผอมกระชับ ส่วนปากก็เอาแต่ใจอยู่บนหน้าอกของอีกฝ่าย มือใหญ่ค่อยๆ ไล้ลง นวดบั้นท้ายสองหน แล้วเคลื่อนลงถึงส่วนล่างที่อ้าเปิด ก่อนจะเคล้าคลึงอย่างกำเริบเสิบสาน
จวินซูอิ่งเปิดเผยร่างกายภายใต้ฝ่ามือฉู่เฟยหยางโดยไม่ปัดป้องแม้แต่น้อย ยามถูกเขาลูบไล้สมใจปรารถนา จวินซูอิ่งก็เงยศีรษะขึ้น บริเวณคิ้วเผยความสุขสมระคนด้วยความอึดอัด ผมยาวที่เปียกชื้นแนบติดกับแผ่นหลังและหน้าอกเป็นกลุ่มๆ
ฉู่เฟยหยางกอบกุมส่วนร้อนที่ชูขึ้นเล็กน้อยของจวินซูอิ่งไว้ เอาอกเอาใจอย่างสุดความสามารถ ก่อนจะดึงมือจวินซูอิ่งลงบนส่วนแข็งตรงของตน ขบเม้มติ่งหูของอีกฝ่าย ก่อนยิ้มแล้วเอ่ยถาม “แข็งหรือไม่ ใหญ่หรือไม่ ชอบหรือไม่”
จวินซูอิ่งไม่ชอบฟังเขากล่าวคำไร้สาระเหล่านี้ จึงหันหน้าหนีอย่างไม่พอใจ ต้องการจะย้ายมือออก แต่ฉู่เฟยหยางกุมมือเขาไว้ แล้วเคลื่อนมือทั้งสองคนให้ออกแรงเสียดสีเบาๆ บนความปรารถนาของตนเอง เอ่ยเรียกพร้อมหายใจถี่กระชั้น “ซูอิ่ง ซูอิ่ง…ของข้า” แล้วจับหน้าของอีกฝ่ายมาดูดดึงริมฝีปากอีกครั้ง
ภายในน้ำเสียงที่ราวกับกระซิบนั้นซ่อนแฝงไปด้วยความรัก อบหัวใจคนอุ่นเสียยิ่งกว่าน้ำร้อน แทรกซึมเข้าภายในใจอย่างช้าๆ คิ้วที่ขมวดอยู่ของจวินซูอิ่งคลายตัวออก เขาลืมตาทั้งสองข้าง มองใบหน้าหล่อเหลาของฉู่เฟยหยางที่เข้ามาใกล้ บริเวณคิ้วที่งามสง่าและดวงตาที่ปิดแน่นล้วนคือความรักที่เคลิบเคลิ้มหลงใหล ภายในสายตาของจวินซูอิ่งเกิดความอ่อนโยนกระเพื่อมขึ้นอย่างอดไม่ได้ มือที่กอบกุมความปรารถนาร้อนผ่าวของฉู่เฟยหยางจึงกระชับแน่นขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน ก่อนจะค่อยๆ เอาอกเอาใจเขา
การเกี่ยวกระหวัดในริมฝีปากที่ดุเดือดในตอนแรกค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้น ฉู่เฟยหยางปล่อยมือจวินซูอิ่ง เคลื่อนไหวอย่างเนิบนาบไปตามขาอ่อนและเอว วกวนอยู่ด้านหลังเอวครู่หนึ่งก็ค่อยๆ ไล้ลงไป จมสู่ใต้น้ำเป็นระลอกคลื่นขึ้นลง
“อื้อ…อืม…” ยามที่นิ้วหนึ่งหยิบยืมความไหลลื่นจากน้ำอุ่นและไขมันเข้าไป ริมฝีปากจวินซูอิ่งก็เผยเสียงครางที่ยากจะควบคุมออกมา ฉู่เฟยหยางปล่อยริมฝีปากเขา ขยับมืออย่างเชื่องช้า เปิดทางส่วนที่ต้องต้อนรับเขาหลังจากนี้อย่างระมัดระวัง
จวินซูอิ่งเผยอริมฝีปากที่บวมแดงเล็กน้อย ปรับลมหายใจที่ยุ่งเหยิง
“ผ่อนคลาย…” ฉู่เฟยหยางเอ่ยเสียงเบา ก่อนจะใช้ริมฝีปากปลอบประโลมบริเวณไวสัมผัสบนหน้าอกของจวินซูอิ่ง เพื่อขับไล่ความอึดอัด
นิ้วด้านหลังค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนกระทั่งสามนิ้วขยับเข้าๆ ออกๆ บริเวณน่าอายนั้น บางครั้งก็กดนวดไปมา เพียงเพื่อเปิดทาง เปิดร่างกายจวินซูอิ่งให้กับสิ่งแข็งลุกชันขนาดใหญ่ของเขาที่จ่ออยู่บนขาอย่างดุดัน ความคิดเช่นนี้ยิ่งเพิ่มความรู้สึกน่าอายยากจะเอื้อนเอ่ย
จวินซูอิ่งขยับตัว เปล่งเสียงเอ่ย “ได้แล้ว”
ฉู่เฟยหยางถอนนิ้วออก สองมือออกแรงยกตัวจวินซูอิ่งขึ้นเล็กน้อย ปรับตำแหน่งของทั้งสองคน กระทั่งความปรารถนาร้อนรุ่มที่อดทนไม่ไหวแล้วดุนดันอยู่ตรงทางเข้าที่สั่นไหวบางเบา
ฉู่เฟยหยางจูบมุมปากและแก้มของจวินซูอิ่งเบาๆ เอ่ยอย่างยั่วยวน “ขึ้นนั่งด้วยตนเองสิ”
จวินซูอิ่งกัดริมฝีปากล่างอย่างค่อนข้างอึดอัด ด้านหลังรับรู้ถึงความร้อนรุ่มที่สั่นไหวซึ่งอ้อยอิ่งเบาๆ อยู่บริเวณทางเข้า แต่กลับไม่เข้าไป เขาใช้มือหนึ่งจับไหล่ฉู่เฟยหยาง มือหนึ่งยันบนขาอีกฝ่าย ย่อกายลงไปอย่างช้าๆ บริเวณที่ผ่านการเปิดทางมาเต็มที่แล้วค่อยๆ กลืนกินความปรารถนาขนาดใหญ่ราวกับเอาอกเอาใจ ผนังด้านในที่รัดพันแนบแน่นเกือบจะรู้สึกถึงจังหวะการเต้นของเส้นเลือดได้
จวินซูอิ่งหยุดการกระทำ มองฉู่เฟยหยางปราดหนึ่ง ตั้งแต่คอจนถึงหูล้วนย้อมด้วยสีแดงเรื่อ ฉู่เฟยหยางรู้ดีว่าไม่อาจทำเกินควร หากเกินควรแล้วก็จะเขินอายจนขุ่นเคือง ดังนั้นจึงรีบโน้มตัวเข้าจุมพิตเขาอย่างเถรตรง ส่วนล่างเคลื่อนไหวต่อ ทั้งส่วนหายเข้าไปในบริเวณที่ทำให้เขามีความสุขล้นจนไม่เป็นตัวเอง จากนั้นก็มีความสุขอย่างเต็มที่ตลอดทั้งคืน
ยามท้องฟ้าเริ่มสว่างในวันถัดมา ฉู่เฟยหยางตื่นขึ้นก่อน ร่างกายที่กอดแนบอกไม่สวมสิ่งใด ทั้งอบอุ่นทั้งลื่นมือ ความรู้สึกของผิวหนังที่แนบชิดกันสนิทสนมยิ่งนัก
ฉู่เฟยหยางก้มหน้าเล็กน้อย เห็นจวินซูอิ่งฝังใบหน้าที่เหนื่อยล้ากับผ้าห่ม ก็อดโน้มเข้าไปจูบขมับไม่ได้ ผมยาวที่แผ่สยายของทั้งคู่เกี่ยวพันกันอยู่บนหมอน เส้นผมที่หงิกงอพันขดกันอย่างละมุนละไมด้วยความอาลัยอาวรณ์
แม้ว่าเมื่อคืนวานจะปลดปล่อยความรู้สึกอย่างเต็มที่แล้ว ถึงยามเช้ากลับถูกปลุกเร้าขึ้นอีกครั้ง ฉู่เฟยหยางถูสิ่งแข็งตั้งของตนเองกับขาจวินซูอิ่งเบาๆ มือก็กอบกุมส่วนล่างของจวินซูอิ่งอย่างเจ้าเล่ห์
จวินซูอิ่งที่ถูกเขาบังคับให้ตื่นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ทั้งเพราะห่มผ้าผืนเดียวกัน ทั้งยังถูกฉู่เฟยหยางกดเบียดเข้ามามากเกินไป จะหลบก็ไม่มีที่ให้หลบ
ฉู่เฟยหยางใช้มือหนึ่งยับยั้งการขัดขืนหงุดหงิดของจวินซูอิ่งไว้ จูบแก้มของเขา แล้วเอ่ยอย่างเย้ายวนว่า “อย่าขยับ! หนีบขาไว้” เอ่ยพลางใช้มือดันขาทั้งสองข้างของจวินซูอิ่งอย่างบุ่มบ่าม แทรกความปรารถนาที่ร้อนผ่าวเข้าบริเวณต้นขาที่เนียนนุ่ม สวนเอวเคลื่อนไหวอย่างแรง
จวินซูอิ่งถูกเขาจับส่วนล่างที่ตั้งชูเล็กน้อย ก็ทำได้เพียงเลิกขัดขืนอย่างหมดหนทาง ใบหน้าไม่พอใจปล่อยให้ฉู่เฟยหยางปลดปล่อย ผ่านไปครู่หนึ่งตนเองกลับเคลิบเคลิ้มไปด้วยเช่นกัน กระทั่งรู้สึกว่าฉู่เฟยหยางออกแรงหนหนึ่งแล้วหยุดไป ความร้อนสายหนึ่งก็กระจายอยู่บนผิวหนังส่วนขา จวินซูอิ่งเองก็ปลดปล่อยอยู่ในมือฉู่เฟยหยางเช่นกัน
ฉู่เฟยหยางขยับอีกสองสามครั้งอย่างไม่เพียงพอ จึงดึงผ้ามาเช็ดทำความสะอาดร่างกายทั้งสองคน ก่อนจะกอดจวินซูอิ่งซุกอยู่บนเตียง
จวินซูอิ่งปรับลมหายใจที่ไม่สม่ำเสมอให้เป็นปกติ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นอย่างเกลียดชัง “หมกมุ่นกับความปรารถนาเช่นนี้ ช้าเร็วเจ้าจะตายเพราะร่วมรัก” คิดสักพักก็เอ่ยขึ้นอีก “ทั้งทำให้ข้าเหนื่อย”
ฉู่เฟยหยางหัวเราะขึ้น โอบกอดและขบลงบนไหล่เขาสองสามหน
“เจ้าหัวเราะอะไร” จวินซูอิ่งเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“ไม่บอก บอกแล้วเจ้าอาจโมโห” ฉู่เฟยหยางทั้งกัดทั้งเอ่ยไม่ชัดเจน “เจ้ารู้เพียงว่า ข้ารักเจ้าแล้วจริงๆ ก็พอ”
“ไม่เข้าใจเลย…” จวินซูอิ่งพึมพำพลางหลับตาลง ต้องการฉวยโอกาสยามฟ้ายังไม่สว่างนอนหลับต่อ
ฉู่เฟยหยางดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมเหนือศีรษะของคนทั้งสอง มือหนึ่งก็เกี่ยวผมยาวที่ยุ่งเหยิงของคนทั้งคู่ โน้มเข้าไปข้างหูจวินซูอิ่งกระซิบคำหยอกเย้าของคู่รัก จวินซูอิ่งชินกับการก่อกวนเช่นนี้นานแล้ว ท่ามกลางน้ำเสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยคำหวานอันคุ้นเคยออกมาไม่ขาดสาย เขาก็ค่อยๆ เคลิ้มหลับไป
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูอย่างเร่งรีบดังขึ้น เป็นเสียงซิ่นอวิ๋นเซินดังผ่านบานประตูเข้ามา “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านสบายพอหรือยัง! ข้ายังมีธุระ ประเดี๋ยวต้องขึ้นเขาแล้ว ท่านรีบตื่นมาดูแลเสี่ยวฉีเดี๋ยวนี้”
“ท่านพี่…ท่านพี่…อุ้มๆ จุ๊บๆ” เสียงนุ่มนิ่มของก้อนหินน้อยดังระคนกับคำพูดของซิ่นอวิ๋นเซิน ทั้งยังค่อยๆ ใกล้เข้ามา
“ท่านพี่อะไรกัน ข้าเป็นอาของเจ้า” บนทางเดินด้านนอก ซิ่นอวิ๋นเซินอุ้มก้อนหินน้อย บีบใบหน้าเล็กของเขาพลางเอ่ยสั่งสอน
“บีบๆ” ก้อนหินน้อยหัวเราะคิกคัก ลอกเลียนแบบวางมือเล็กบนใบหน้าซิ่นอวิ๋นเซินแล้วบีบไปมา ทำเอาซิ่นอวิ๋นเซินหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
“เจ้าตัวแสบ ข้าไม่ได้เล่นกับเจ้านะ ข้าต้องไปแล้ว รีบเรียกท่านพ่อเจ้าออกมาเร็ว” ซิ่นอวิ๋นเซินจูงมือก้อนหินน้อยเคาะประตูห้องนอน
“ท่านพ่อ ออกมา! ท่านพ่อ! ก้อนหินน้อยจะเข้าไปแล้ว!” ก้อนหินน้อยยืดตัว ทั้งเคาะประตูทั้งตะโกนเรียกด้วยท่าทางตื่นเต้น
ก้อนหินน้อยกำลังเคาะประตูเต็มแรง ไม่ทันระวังประตูที่ถูกเปิดเข้าในห้อง ฉู่เฟยหยางสวมเสื้อคลุม ยืนอยู่หน้าประตูอย่างเกียจคร้าน คอเสื้อที่เปิดกว้างเผยให้เห็นหน้าอกแข็งแกร่ง
ซิ่นอวิ๋นเซินเหลือบมองด้านหลังฉู่เฟยหยางครู่หนึ่ง ย่อมมองไม่เห็นอะไร กระนั้นบรรยากาศอ่อนโยนที่แผ่กระจายเต็มห้องก็ทำให้เขาหน้าขึ้นสี
“เด็กก็ส่งให้ท่านแล้ว ข้าไปละ” ซิ่นอวิ๋นเซินยัดก้อนหินน้อยกับอกฉู่เฟยหยาง ไม่รอให้อีกฝ่ายพูด ก่อนหมุนตัวเดินออกไป
“รอทานข้าวเช้าก่อนเถิด” ฉู่เฟยหยางรับก้อนหินน้อยที่ดิ้นดุกดิกไปมาด้วยมือข้างเดียว อ้าปากหาวเอ่ยใส่เงากายของซิ่นอวิ๋นเซินที่แสร้งหายไปอย่างฉับพลัน จากนั้นก็เตะปิดประตู พาก้อนหินน้อยไปยังเตียงนอน
จวินซูอิ่งลุกขึ้นนั่งแล้ว สวมเสื้อไม่กี่ตัวห่อหุ้มกายเปลือยเปล่า มองฉู่เฟยหยางวางก้อนหินน้อยลงบนเตียง เขาส่ายหัวเอ่ยอย่างหมดทางเลือก “ต่อไปอย่าอุ้มก้อนหินน้อยเข้ามาในเวลาเช่นนี้…”
ก้อนหินน้อยคลานมาถึงตัวของจวินซูอิ่งด้วยความเคยชิน ฟุบอยู่บนอกของเขาแล้วเงยศีรษะขึ้น ปากเล็กอ้าเล็กน้อย ดวงตาโตแวววาวจ้องมองจวินซูอิ่งอย่างตั้งใจ ใช้น้ำเสียงนุ่มนิ่มของเด็กเอ่ยเรียกติดต่อกัน “ท่านพ่อ ท่านพ่อ”
ฉู่เฟยหยางนั่งลงข้างเตียง ลูบศีรษะของก้อนหินน้อย เขายิ้มแล้วเอ่ย “เวลาเช่นไหนหรือ เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว หลังข้าเสร็จเรื่องก็ทำให้เจ้าสะอาดหมดจด ล้วนมองอะไรไม่ออก”
ก้อนหินน้อยเงยหน้ามองฉู่เฟยหยาง ก่อนจะมองจวินซูอิ่ง เอ่ยทวนอย่างไม่ตั้งใจ “สะอาดหมดจด มองไม่ออก”
จวินซูอิ่งกุมหน้าผาก ถอนหายใจอย่างจนปัญญา
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ อยากจุ๊บๆ” ก้อนหินน้อยยามนี้กลับไม่มองสีหน้าคน ขยับไปมาอยู่บนอกของจวินซูอิ่งอย่างไม่เชื่อฟัง ยู่ปากเล็กแดงฉ่ำเอ่ยร้องอย่างเบิกบานใจ
ฉู่เฟยหยางล้มลงข้างกายจวินซูอิ่ง ช้อนตัวก้อนหินน้อยมาในคราเดียว กุมใบหน้าเล็กของเขาบีบคลึงพลางเอ่ย “เจ้าผีตัวน้อย เห็นใครก็ต้องการจูบ ไปร่ำเรียนจากที่ใดมาฮึ! ดูท่าเจ้าจะหมดอนาคตเสียแล้ว!” แม้จะเอ่ยเช่นนั้น แต่กลับอดที่จะจูบลงบนใบหน้านุ่มนิ่มนั้นไม่ได้ เขาเย้าหยอกจนก้อนหินน้อยหัวเราะเอิ๊กอ๊าก
จากนั้นฉู่เฟยหยางก็เรียกหาเจียงซาน ดูแผนที่ซ่อนสมบัติแผ่นนั้นอย่างละเอียดรอบหนึ่ง แผนที่นั้นเดิมก็ไม่สมบูรณ์ ทั้งยังถูกเก็บไว้อย่างไม่ถูกต้องเป็นเวลานาน จึงยิ่งเลือนรางยากจะเข้าใจ สุดท้ายมองออกเพียงน่าจะอยู่บนเกาะเดียวดายไร้นามแห่งหนึ่ง
คิดถึงว่าการเดินทางครั้งนี้อาจต้องใช้เวลานาน ฉู่เฟยหยางก็ส่งก้อนหินน้อยขึ้นเขา จัดการที่พักให้เรียบร้อย แล้วจึงพากลุ่มคนออกเดินทาง เหยียบย่ำไปตามเส้นทางตามหาสมบัติที่ไม่รู้เบื้องหน้า
เจียงซานใจร้อนดั่งไฟสุม ท่าทางกระหายเงินทอง ต้องการเดินทางไปยังเกาะเล็กๆ ตามเครื่องหมายบนแผนที่เสียทันที ฉู่เฟยหยางกลับมีท่าทีสบายๆ จัดแจงรถม้าสะดวกสบายสองคันจากสำนักกระบี่ชิงเฟิง ไม่สนความต้องการอันแรงกล้าที่อยากจะ “ขี่ม้า ขี่ม้า ขี่ม้าเร็ว” ของเจียงซาน เขายืนยันว่าทั้งสี่จะต้องเดินทางโดยรถม้า ราวกับว่าเขาไม่ได้จะไปเผชิญอันตรายที่เกาะเดียวดาย แต่ออกเดินทางเที่ยวเล่น
“จอมยุทธ์ฉู่ แผนที่นี้เป็นของข้า ส่วนสมบัตินี้นั้นก็ยิ่งเป็นของข้า แม้ท่านคือจอมยุทธ์ฉู่ ฉู่เฟยหยางผู้เป็นหนึ่งในโลกหล้า แต่ว่าครั้งนี้ ท่านก็นับว่าได้รับการว่าจ้างจากข้าเจียงซาน การค้นหาสมบัติในภายภาคหน้า ข้าย่อมทำโดยปราศจากแรงกายพวกท่านไม่ได้ เช่นนั้นแล้วตลอดการเดินทาง ควรจะรับฟังความเห็นข้าให้มากหน่อยไม่ใช่รึ!” เจียงซานกัดฟันเอ่ย ขวางฉู่เฟยหยางที่กำลังจะขึ้นรถม้า
“หากท่านยืนกรานจะขี่ม้าในอากาศที่ลมแรงฝนกระหน่ำ ข้าน้อยก็ไม่ห้ามท่าน ยิ่งเต็มใจมอบม้าดีให้ แต่เกรงว่าท่านจะต้องเดินทางเพียงลำพังเสียแล้ว ข้าน้อยกับสหายของข้าน้อย ไม่เคยทำงานตกระกำลำบากเพียงเพื่อเงินทองเล็กน้อยเสียด้วย” เผชิญกับคำซักถามด้วยความโกรธของเจียงซาน ฉู่เฟยหยางเพียงเอ่ยอธิบายอย่างช้าๆ พร้อมรอยยิ้มเล็กๆ
“ท่าน! จอมยุทธ์ฉู่ นี่เกินไปแล้วกระมัง ชัดเจนแล้วว่าท่านไม่ญาติดีกับข้า!” เจียงซานถลึงตาสองข้าง เอ่ยอย่างโมโห ใบหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาวไม่น่าดู
“มิกล้า ข้าน้อยกลับคิดไม่ตก ในเมื่อเป็นสมบัติที่ซ่อนไว้ อย่างน้อยก็น่าจะฝังไว้หลายสิบปีหลายร้อยปีแล้ว รอนานขึ้นไม่กี่วันจะเป็นไรไป หรือมันมีขาวิ่งได้รึ กลับไม่รู้เลยว่าท่านใจร้อนเช่นนี้เพราะเหตุใดกันแน่” ฉู่เฟยหยางยังคงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เจียงซานไร้คำตอบโต้ มองซ้ายมองขวาแล้วดึงฉู่อวิ๋นเฟยไว้ เอ่ยถามคาดคั้น “เจ้าหนู ไม่ใช่ว่าเจ้าก็รีบอยากไปรึ ไม่ใช่ว่าเจ้าร้อนใจอยากรู้ว่าของเหล่านี้เกี่ยวข้องอะไรกับสำนักเทียนซานของเจ้ารึ เจ้าพูดมา เจ้าเต็มใจขี่ม้าหรือโดยสารรถ!”
“ขะ…ข้าเชื่อฟังพี่ใหญ่ฉู่!” ฉู่อวิ๋นเฟยเอ่ยด้วยใบหน้าขึ้นสี
“ไม่ได้เรื่อง!” เจียงซานตะคอก ก่อนจะหันหาจวินซูอิ่ง จวินซูอิ่งเลิกคิ้วมองเขา เจียงซานจึงห่อเหี่ยวลงทันที เขาโบกมือเอ่ย “ช่างเถิดๆ ท่านผู้นี้ไม่ต้องถามแล้ว”
เจียงซานเดินตรงไปยังรถม้าสองคันด้านหน้า ยามเดินผ่านฉู่เฟยหยางก็ฉีกยิ้มให้ “จอมยุทธ์ฉู่น่าสนใจยิ่งนัก นี่เป็นการพาคนรักออกมาเที่ยวเล่นจริงๆ กระมัง ข้าขอพูดเรื่องไม่เข้าหูก่อน ถึงยามพบสมบัติแล้ว ส่วนของจอมยุทธ์ฉู่ ข้าจะไตร่ตรองอย่างดี”
“เชิญตามสบาย” ฉู่เฟยหยางยิ้มเอ่ย
เจียงซานส่งเสียงหึ เดินปึงปังไปถึงหน้ารถม้า ก่อนแหวกม่านเข้าไป
ฉู่เฟยหยางเดินไปถึงด้านหน้ารถม้าคันหลัง แหวกม่านมองจวินซูอิ่ง
จวินซูอิ่งพยักหน้า กำลังจะก้าวเดิน กลับเห็นฉู่อวิ๋นเฟยเดินผ่านไปอย่างทึ่มทื่อ เขาโค้งตัวเล็กน้อยคำนับฉู่เฟยหยางที่กำลังเปิดม่านอย่างจริงจัง “ขอบคุณพี่ใหญ่ฉู่” แล้วยกขาปีนขึ้นไปด้วย
ฉู่เฟยหยางร้องไห้ไม่ได้ยิ้มก็ไม่ออก หันกลับไปมองจวินซูอิ่ง ยื่นมือไปดึงเขา แล้วทั้งสองคนก็ขึ้นรถม้าไปพร้อมกัน
คนขับรถม้าส่งเสียงร้องสูงหนึ่งครั้ง แส้ยาวสะบัดหนึ่งหน ล้อรถก็เริ่มหมุนกุกกักไปทางทิศตะวันออก พื้นหิมะขาวสะอาดทิ้งรอยล้อคดโค้งทั่วบริเวณ ล้อรถที่หมุนกลิ้งทำให้แผ่นหิมะที่แข็งตัวแตกละเอียด ทั้งหมดเดินทางสู่แดนไกลอย่างช้าๆ