เล่ห์รักประมุขพรรคมาร 杨书魅影
南风歌 หนานเฟิงเกอ เขียน
เจ้าเจิน แปล
นิยาย 3 เล่มจบ (วางขายเเยกเล่ม)
** หมายเหตุ : ต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ได้รับ เป็นฉบับ Uncensored
TRIGGER WARNING : นิยายเรื่องนี้ NOT FOR EVERYONE *
มีเนื้อหาเกี่ยวกับ mpreg (เพศชายตั้งครรภ์ได้) , among other immoralities (การผิดศีลธรรมจรรยา) , angst (มีความรุนแรงในอารมณ์ บีบคั้นกดดัน) , coercion (การใช้อำนาจที่เหนือกว่าบังคับให้คนอื่นทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ) , corporal punishment (การลงโทษทางร่างกาย) , death (การตาย) , depression (ภาวะซึมเศร้า) , gore (เนื้อหามีความโหดร้าย และรุนแรง) , massacre (การสังหารหมู่) , mental and emotional abuse (การทำร้ายร่างกายและจิตใจ) , rape/non-con/dub-con (การข่มขืนโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม หรือ กึ่งจำยอม) , suicide (การฆ่าตัวตาย) , torture (การทรมาน) , underage sex (การมีความสัมพันธ์กับคนที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์) and unhealthy relationship (ความสัมพันธ์ที่เป็นปัญหา)
________________________________________________________
บทที่ 2
ฉู่หลินเอ่ย “ท่านพี่ อย่าเสียเวลาพูดกับพวกนางให้มากเลย ช่วยคนต้องเร่งมือ”
สตรีชุดขาวบนหัวเรือลำนั้นได้สติคืนมาแล้ว จึงยกมือขึ้นทันที แส้ยาวสีเงินขาวสายหนึ่งฟาดเข้ามาดั่งพยัคฆ์คำราม
ฉู่หลินดึงฉู่ฉีไว้ พาเขาออกห่างจากขอบเขตการโจมตีของแส้นั้น
สตรีชุดขาวกัดฟันแน่น เก็บแส้กลับไปกำไว้ในมือแล้วเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว “ที่ข้าเกลียดที่สุดก็คือบุรุษโสโครกที่คิดว่าตัวเองถูกต้อง!”
ฉู่ฉีมองนางอย่างประหลาดใจครู่หนึ่ง “ท่านพูดอะไรกัน! พี่สาว ท่านพูดเหมือนภรรยาอาฆาตแค้นที่ถูกพวกเราทอดทิ้งเลยนะ ข้าเองก็เกลียดสตรีโง่งมที่ไม่แยกแยะถูกผิดเช่นกัน”
ฉู่หลินกังวลว่าพวกหัวหน้ามือปราบซ่งใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว น้ำในช่วงนี้ยังคงเย็นยะเยือกยิ่งนัก ไม่รู้ว่าพวกเขาแช่อยู่ในน้ำนานเท่าใดแล้ว และไม่รู้ว่าคนของหมู่ตึกอู๋จี๋สองคนนี้ได้กระทำสิ่งอื่นต่อพวกเขามาก่อนหรือไม่ หากไม่รีบพาพวกเขาขึ้นมา เกรงว่าจะสายเกินไป
ฉู่หลินยังไม่ทันเอ่ยความกังวลของตนเองออกไป ฉู่ฉีซึ่งคิดเช่นเดียวกับเขาก็ควักเชือกเส้นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ เชือกเส้นนั้นมองดูแล้วละเอียดอ่อนนุ่ม นั่นเป็นสิ่งที่ประมุขชิงหลางมอบให้เขา ไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุชนิดใด แต่กลับแข็งแรงไร้สิ่งเปรียบยิ่งนัก
ฉู่ฉียัดเชือกให้ฉู่หลิน ชี้ทางมือปราบคนที่อยู่ใกล้สุดแล้วเอ่ย “เจ้าเกี่ยวคนผู้นั้นไว้ ข้าจะตัดเชือกบนตัวเขาแล้วให้เจ้าดึงตัวเขาขึ้นมา” เอ่ยพลางควักมีดคมที่มีรูปร่างคล้ายใบหลิวเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเล็กที่พกติดตัว
“คิดจะช่วยพวกเขารึ ไม่มีทาง!” สตรีชุดขาวตวาด ก่อนจะหวดคำรามแส้เงินอีกหน
ฉู่หลินป้องกันฉู่ฉีไว้จากด้านหลัง ตนเองไม่หลบ กลับจับปลายแส้เส้นนั้น แล้วโคจรพลังสู่ทั้งสองมือ ออกแรง สะบัดแส้เงินเป็นรูปวงกลมกลางอากาศเพื่อเกี่ยวตัวสตรีชุดขาวผู้นั้นไว้
ฉู่หลินใช้แส้เส้นนั้นมัดตัวสตรีชุดขาวแน่น แล้วไม่สนใจนางอีก ปล่อยให้นางเอียงตัวฟุบลงบนดาดฟ้าพลางตวาดอย่างเดือดดาลด้วยความอับอาย แล้วร่วมมือช่วยคนกับฉู่ฉี
ฉับพลันก็มีเสียงแหวกอากาศแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินดังเข้ามาจากด้านหน้า ม่านตาของฉู่หลินหดตัว กำลังจะยกกระบี่ป้องกัน จานรองสีขาวบริสุทธิ์ใบหนึ่งกลับลอยมาจากด้านหลัง เลี้ยวอย่างรวดเร็วไปทางด้านหน้าของเขาและฉู่ฉีหนึ่งรอบ ก่อนจะได้ยินเพียงเสียงเล็กๆ สองสามเสียง จากนั้นเสียงแก้วแตกใสกังวานก็ดังขึ้น จานรองร่วงตกสู่พื้นแตกเป็นเสี่ยงๆ ในนั้นยังมีอาวุธลับที่เล็กดุจขนวัวเสียบอยู่
ฉู่หลินรู้ว่าท่านพ่อปกป้องอยู่ด้านหลังจึงไม่สนใจอย่างอื่นอีก ร่วมมือกับฉู่ฉีดึงเหล่ามือปราบขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือทีละคน
คนที่อยู่บนเรือตรงข้ามไม่ตั้งใจขัดขวางพวกเขาอีกแล้ว ครู่หนึ่งก็มีเสียงที่สงบเงียบเช่นเดียวกับเสียงพิณของนางดังขึ้น “ไม่ทราบว่าบนเรือตรงข้ามเป็นจอมยุทธ์มาจากที่ใดหรือ”
ฉู่ฉีหัวเราะเสียงเย็น แล้วเอ่ย “ตำแหน่งจอมยุทธ์นั้นมิกล้ารับ พวกเราไม่ได้โหดร้ายคลุ้มคลั่งขนาดนั้น”
“หากท่านไม่ยอมเปิดเผยชื่อเสียงเรียงนาม เช่นนั้นก็แล้วไปเถิด เรื่องในวันนี้ขอหยุดไว้เพียงเท่านี้ หากมีวาสนา วันหน้าพวกเราคงจะได้พบกันใหม่” นางเพิ่งพูดขาดคำ เรือลำเล็กที่ไร้คนพายลำนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวทวนกระแสน้ำ ลอยห่างออกไปอย่างช้าๆ
ฉู่เฟยหยางและจวินซูอิ่งเดินออกมาจากห้องโดยสารเรือ ฉู่ฉีก็วิ่งไปข้างหน้าเพื่อแย่งชิงความดีความชอบ “ท่านพ่อ ท่านพ่อ การแสดงของข้าและหลินเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง”
“เด็กน้อย ไม่เลวเลยนะ” ฉู่เฟยหยางพยักหน้าชื่นชม
“จะช่วยคนก็เพียงช่วยคน จะสังหารคนก็เพียงสังหารคน ไยต้องเสียเวลาพูดกับอีกฝ่ายให้มากความ หลินเอ๋อร์นั้นดีมาก แต่ก้อนหินน้อยไปเรียนรู้ฝีปากแหลมคมเช่นนี้มาจากไหนกัน” จวินซูอิ่งกลับเอ่ยจับผิด
หนึ่งผู้ใหญ่สองเด็ก สามคนมองทางเขาอย่างพร้อมเพรียง
คนบางคนยังไม่รู้จักบางแง่มุมของตัวเองอย่างถ่องแท้สินะ…
ทั้งสี่คนรีบเคลื่อนเรือเทียบฝั่งทันที ฉู่เฟยหยางมองมือปราบบนเรือเหล่านั้น แม้ต่างหมดสติ ชีพจรอ่อนแรงแต่มั่นคง น่าจะไม่มีอะไรร้ายแรง
“หัวหน้ามือปราบซ่งผู้นี้จิตใจกว้างขวางต่อผู้อื่นมาก สตรีสองคนนั้นน่าชังเกินไปแล้ว แย่ยิ่งกว่าการสังหารคนเสียอีก” ฉู่ฉีเปิดปากเอ่ย พลางมองบุรุษน่าเวทนาหลายคนที่นอนอยู่บนเรือ
ฉู่หลินก็เอ่ยเช่นกัน “ยามที่สตรีในห้องโดยสารเรือใช้อาวุธลับเมื่อครู่ ข้ารู้สึกว่ากำลังภายในของนางล้ำลึกอย่างยิ่ง เกือบจะเทียบเท่าท่านพ่อแล้ว ฟังน้ำเสียงนางดูอายุยังน้อย คาดไม่ถึงว่าจะฝึกฝนได้ลึกซึ้งถึงเพียงนี้ สตรีชุดขาวผู้นั้นมองดูแล้วก็หน้าตาอ่อนเยาว์ วรยุทธ์กลับสูงล้ำเกินอายุของนาง หมู่ตึกอู๋จี๋จะต้องมีสิ่งไม่ชอบมาพากลเป็นแน่”
ฉู่เฟยหยางจะไม่คิดถึงเรื่องนี้มาก่อนได้อย่างไร จึงพยักหน้า ก้มศีรษะย่นคิ้วขบคิด
จวินซูอิ่งมองฉู่เฟยหยางครู่หนึ่ง แล้วเอ่ย “ต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน หากพวกมันไม่มีความลับเหนือผู้คน จะสามารถเติบโตรวดเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ถึงขั้นคิดท้าทายตำแหน่งของสำนักกระบี่ชิงเฟิง สำนักกระบี่ชิงเฟิงก่อตั้งมาร้อยปี ความมุ่งมั่นลดน้อยลง อยู่อย่างสุขสบายเกินไปแล้วใช่หรือไม่ หมู่ตึกอู๋จี๋เป็นศัตรูที่ไม่อาจดูแคลนเด็ดขาด”
ฉู่เฟยหยางเงยหน้ามองเขา จู่ๆ กลับคว้ามือจวินซูอิ่งมาจรดริมฝีปากพร้อมรอยยิ้ม แล้วจูบเบาๆ
ในช่วงแรกเริ่ม จวินซูอิ่งเคยช่วยเขาที่หมดสติจากเงื้อมมือของโจรภูเขา ยามนั้นจวินซูอิ่งกล่าวว่า “พวกเจ้าคู่ควรกับการสบประมาทฉู่เฟยหยางด้วยรึ” ไม่มีผู้ใดรู้ว่า ท่ามกลางฉากสังหารที่คลุ้งกลิ่นคาวเลือดเช่นนั้น หัวใจของเขาปั่นป่วนจนราวกับเด็กที่เพิ่งมีความรัก
ไม่รู้ว่าจวินซูอิ่งมีสำนักกระบี่ชิงเฟิงอยู่ในใจจนออกตัวปกป้องเช่นนี้ ดังเช่นที่ปกป้องฉู่เฟยหยางตั้งแต่เมื่อใด
ฉู่เฟยหยางรักจวินซูอิ่งที่เป็นเช่นนี้ยิ่งนัก รักอย่างสุดซึ้ง รักจนไม่รู้ว่าจะต้องรักอย่างไรดีแล้ว
จวินซูอิ่งมองฉู่เฟยหยางอย่างประหลาดใจ ก่อนจะชักมือของตนกลับ
ฉู่หลินก้มหน้าพิจารณาเสื้อผ้าของเหล่ามือปราบที่นอนอยู่บนพื้น ฉู่ฉีกลับลอบหัวเราะอยู่อีกด้าน
จวินซูอิ่งค่อนข้างขุ่นเคือง ก้อนหินน้อยและหลินเอ๋อร์โตแล้ว ฉู่เฟยหยางไม่ควรทำกิริยารุ่มร่ามต่อหน้าพวกเขา ทำเช่นนี้จะให้เด็กๆ มองดูได้อย่างไร!
ฉู่เฟยหยางจ้องฉู่ฉีเขม็ง ฉู่ฉีมองความไม่พอใจของท่านพ่อออกก็รีบเปลี่ยนหัวข้อพูดคุย
“ท่านพ่อ เสี่ยวหลินโตแล้วนะ” จู่ๆ ฉู่ฉีก็เอ่ยขึ้น พลางดึงน้องชายออกมาเป็นเกราะป้องกันอย่างไม่เกรงใจ
เมื่อฉู่หลินได้ยินชื่อของตนในบทสนทนา ก็เงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างมึนงง
ฉู่ฉียิ้ม แล้วเอ่ยต่อ “เมื่อครู่ข้าไม่ได้สังเกตเลยนะ เพียงได้ยินเสียง หลินเอ๋อร์ก็เริ่มคิดได้แล้วว่าสตรีที่ไม่เปิดเผยใบหน้าฝั่งตรงข้ามอายุน้อยมากแน่นอน แล้วเพียงมองใบหน้านะ ก็สังเกตได้เลยว่าสตรีชุดขาวผู้นั้นเป็นดรุณีวัยเยาว์ หลินเอ๋อร์ถึงวัยที่เริ่มสังเกตสตรีแล้ว”
“ท่านพี่ ท่านอย่าพูดจาเหลวไหล ข้าเปล่าเสียหน่อย!” หลินเอ๋อร์หน้าขึ้นสีเอ่ยอธิบาย “นั่นเป็นการสังเกตตามปกติชัดๆ ข้าออกท่องยุทธภพจำเป็นต้องระมัดระวังกระทั่งเรื่องเล็กน้อย จึงสังเกตทุกจุดอย่างละเอียด!”
“อ้อ…” ฉู่ฉียิ้มจนดวงตาและคิ้วโค้งโก่ง ในน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยการเย้าหยอก
“ท่านไม่มีประสบการณ์ในยุทธภพ ข้าไม่พูดกับท่านแล้ว” ฉู่หลินหันหน้าหนี ไม่สนใจการกลั่นแกล้งของพี่ชาย
ถูกฉู่ฉีเปลี่ยนเรื่อง จวินซูอิ่งก็ไม่คิดถึง “ความไร้มารยาท” ของฉู่เฟยหยางอีก เขาหันไปมองฉู่หลิน ก่อนจะมองฉู่ฉี ทั้งคู่ดูแปลกตาไปอย่างเห็นได้ชัด
ฉู่เฟยหยางยื่นแขนไปโอบเอวจวินซูอิ่งไว้ แล้วยิ้มเอ่ย “บุตรชายบ้านข้าเติบโตแล้วสินะ”
เมื่อพวกฉู่เฟยหยางขึ้นริมฝั่ง พี่น้องฉีหลินก็ไปยังที่ว่าการอำเภอเพื่อแจ้งให้คนมารับพวกหัวหน้ามือปราบไปก่อน และถือโอกาสตามหมอจากในเมืองมาด้วย
เมื่อส่งบรรดามือปราบที่หมดสติให้กับผู้ที่มาใหม่แล้ว ฉู่เฟยหยางและจวินซูอิ่งก็ไม่สนใจจะล่องแม่น้ำต่ออีก จึงคืนเรือ และพาเด็กๆ กลับโรงเตี๊ยม
ฉู่เฟยหยางที่เดิมทีผ่อนคลายทั้งกาย รู้สึกถึงความหนักอึ้งในฉับพลัน หมู่ตึกอู๋จี๋เพิ่งจะเริ่มโดดเด่นในยุทธภพอย่างรวดเร็วเมื่อสามเดือนก่อน พวกเขาใช้อำนาจที่แหลมคมเหยียบขึ้นไปอยู่เหนือผู้คน เกือบจะมีชื่อเสียงโด่งดังในยุทธภพภายในคืนเดียว
ฉู่เฟยหยางได้ยินมาเพียงเท่านั้น เรื่องนอกเหนือจากนี้เขาไม่มีความสนใจจะไปสืบถาม หลังจากซิ่นอวิ๋นเซินค่อยๆ เอาเรื่องในสำนักกลับคืนไป ฉู่เฟยหยางก็ไม่ได้สนใจเรื่องในสำนักมากนัก ตอนนี้เรื่องนับไม่ถ้วนของสำนักกระบี่ชิงเฟิงมีซิ่นอวิ๋นเซินคอยจัดการ นอกจากศึกษาวรยุทธ์ และทุ่มเทกับการพัฒนาเคล็ดวิชาของสำนัก หรือสั่งสอนวรยุทธ์ให้ศิษย์สำนักแต่ละกลุ่มในทุกวันแล้ว ฉู่เฟยหยางก็พาจวินซูอิ่งเดินทางไปยังขุนเขาลำธารที่งดงามเลื่องลือทั่วทุกหนแห่ง วันเวลาผ่านไปอย่างสบายอกสบายใจ เรื่องธุระครั้งนี้ พอได้รู้ว่าเขาจะออกเดินทางอีกครั้ง ซิ่นอวิ๋นเซินก็อาศัยอำนาจของเจ้าสำนักบังคับยัดเยียดให้เขามาจัดการให้
ฉู่เฟยหยางคิดไม่ถึงว่า แค่สามเดือนเท่านั้น อำนาจของหมู่ตึกอู๋จี๋จะแผ่ขยายมาถึงอำเภอเล็กๆ อย่างอำเภอฝูไหลแห่งนี้แล้ว
เพียงแค่พื้นที่เล็กๆ เช่นนี้ พลังของคนจากหมู่ตึกอู๋จี๋ที่เข้ามาก็ไม่อาจดูแคลนได้ เช่นนั้นพลังที่แท้จริงของทั้งหมู่ตึกจะแข็งแกร่งถึงขั้นใดกัน
ตัวฉู่เฟยหยางรู้จักเส้นทางการแย่งชิงครอบครองยุทธภพของสำนักต่างๆ ที่เขาอธิบายให้จวินซูอิ่งฟังก่อนหน้านี้ เหมาะสำหรับใช้ในเวลาที่พลังทัดเทียมกันเท่านั้น หากด้านพลังเหนือกว่ากันมาก ผลก็จะแตกต่างราวฟ้ากับดิน ถ้าในยุทธภพต้องเปลี่ยนผืนฟ้า ก็จะใช้เวลาเพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้น
สุดท้ายแล้ว ยุทธภพก็ยังคงเป็นสถานที่ที่พูดคุยกันด้วยพละกำลังอย่างแท้จริงอยู่ดี
การแข่งขันคนเดียวคือการแข่งขันด้วยพละกำลังของคนหนึ่งคน แต่การแข่งขันของหนึ่งสำนักนั้นเป็นเป็นการแข่งขันด้วยพละกำลังทั้งหมด
จวินซูอิ่งกล่าวได้ถูกต้องอย่างยิ่ง สำนักกระบี่ชิงเฟิงก่อตั้งมาจนถึงปัจจุบัน อยู่อย่างสุขสบายนานเกินไปแล้วจริงๆ สูญสิ้นประสบการณ์การต่อสู้นองเลือด เปรียบดั่งชายชราอ้วนท้วนผู้มีชื่อเสียงโด่งดังผู้หนึ่ง มีแค่เขาฉู่เฟยหยางคนเดียวนั้นไม่เพียงพอ ต่อให้พละกำลังของเขาเก่งกล้าเหนือมนุษย์จนสร้างชื่อเสียงเกียรติยศให้สำนักมากเพียงไร ก็ไม่อาจรั้งตำแหน่งให้สำนักอยู่เหนือยุทธภพได้ตลอด
จวินซูอิ่งมองสีหน้าท่าทางของฉู่เฟยหยางที่ราวกับครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ ก็ยื่นมือไปแตะมือของเขา
ทั้งสี่คนยังคงเดินอยู่บนถนนใหญ่ การกระทำเช่นนี้ของจวินซูอิ่งเป็นการแสดงความสนิทสนมมากที่สุดแล้ว ฉู่เฟยหยางรู้สึกถึงสัมผัสอบอุ่นบนหลังมือที่เพียงแตะลงก็ละจากไป เมื่อเงยหน้ามองทางจวินซูอิ่ง ก็พบเข้ากับสายตาห่วงใยของอีกฝ่าย จึงอดที่จะยิ้มขึ้นมาไม่ได้
ยังคงเป็นรอยยิ้มที่ดวงตาและคิ้วโค้งโก่งเช่นนี้ เวลายิ้ม ก้อนหินน้อยก็มีใบหน้าเช่นนี้ เหมือนฉู่เฟยหยางอย่างยิ่ง
จวินซูอิ่งรู้ความคิดของเขา กำลังจะเอ่ยบางสิ่ง ฉู่เฟยหยางกลับชิงดึงมือของเขาไว้ก่อน
จวินซูอิ่งเงียบปาก ถลึงตามองฉู่เฟยหยาง ต้องการดึงมือกลับ
เขาคิดมาตลอดว่า ต่อหน้าผู้คน โดยเฉพาะบริเวณที่มีคนพลุกพล่านอย่างถนนใหญ่ ไม่ว่าบุรุษหรือสตรี การกระทำที่แสดงออกถึงความสนิทสนมล้วนไม่เหมาะสม
ฉู่เฟยหยางกลับไร้ยางอาย ใบหน้ามีความสุข มือออกแรงไม่ให้เขาดึงออก ทั้งยังเลิกคิ้วมองเขา
“เจ้าแหย่ข้าก่อนนะ” ฉู่เฟยหยางเอ่ยเสียงเบาพร้อมกับรอยยิ้มน่าชัง “หากเจ้าคิดอยากจูงมือข้าก็กล้าๆ จูงหน่อย ข้าไม่ถือสาหรอก”
จวินซูอิ่งเม้มปาก ในใจเกิดไฟโมโห
แต่เวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าหากฉู่เฟยหยางไม่คิดพูดกับเขาดีๆ แล้ว เขาพูดอะไรไปล้วนถูกอีกฝ่ายจงใจบิดเบือน จากนั้นก็จะถูกเย้าหยอก พูดสิ่งใดล้วนไร้ประโยชน์!
“ปล่อยข้า” จวินซูอิ่งเอ่ยเสียงเบาเช่นกัน บนถนนใหญ่ ผู้คนมากมาย ท้องฟ้าสว่างจ้า ยังมีก้อนหินน้อยและหลินเอ๋อร์บุตรทั้งสองคนเดินอยู่ด้านหน้า จวินซูอิ่งไม่อยากทำอะไรให้คนผ่านทางต้องชำเลืองมอง
ฉู่เฟยหยางรู้สึกขบขันเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรมาจวินซูอิ่งล้วนสนใจแค่ตนเอง ไม่สนใจสายตาของคนอื่น คนอื่นเห็นเขาเป็นปีศาจก็ดี เห็นเขาเป็นจอมยุทธ์ที่อายุน้อยแต่โดดเด่นก็ช่าง เขาล้วนไม่ใส่ใจ
แต่กับเรื่องประเภทนี้ เขาใส่ใจยิ่งนัก
ฉู่เฟยหยางคิดไปคิดมา นอกจากอีกฝ่ายจะสนใจแต่ตนเอง ทั้งยังหน้าบางและช่างเขินอาย ก็คิดคำอธิบายอื่นไม่ออกแล้ว
ผลสรุปเช่นนี้กลับไม่กล้าขอคำยืนยันจากจวินซูอิ่ง ไม่เช่นนั้นเขาต้องหันหน้ามาส่งเสียงหึใส่อย่างเย็นชาแน่ๆ ซ้ำยังจะไม่ได้คำตอบอะไรกลับมาอีกด้วย
ฉู่เฟยหยางดึงแขนเสื้อที่หลวมกว้างลงมาคลุมมือทั้งสองคนไว้จนมิด
“เช่นนี้ก็เรียบร้อยแล้วไม่ใช่หรือ”
มือของจวินซูอิ่งถูกฉู่เฟยหยางจับไว้ไม่ปล่อย เมื่อจวินซูอิ่งมองใบหน้าที่ยิ้มอย่างมีความสุขของอีกฝ่าย ก็ไม่ดื้อรั้นกับเขาอีก
ยามเริ่มแรกยังคิดจะปลอบเขาสักหน่อย ตอนนี้ดูท่าทางราวกับไร้เรื่องราวแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เก็บเรื่องเหล่านั้นไว้ในใจแม้แต่น้อย หากตนเองยังร้อนใจซักถาม ผลลัพธ์จะต้องถูกเขาหยอกล้อให้อึดอัดเป็นแน่
ฉู่เฟยหยางบีบมืออ่อนนุ่มละเอียดเกลี้ยงเกลาแน่นขึ้นอยู่ใต้แขนเสื้อ ปลายนิ้วเรียวยาวนั้นถูกตนเองรวบเข้ามาอยู่ในมืออย่างว่าง่าย เล็บที่ตัดแต่งจนโค้งมนประสานกับเนื้อมือของเขาเบาๆ
สิบกว่าปีที่ผ่านมาฉู่เฟยหยางปกป้องคุ้มครองจวินซูอิ่งอย่างตั้งใจ ห่อหุ้มทุกขอบทุกมุมของเขา ปลอบโยนทุกความดุร้ายของเขา ฉู่เฟยหยางไม่ต้องการลับความคมนี้ เพียงแค่ห่อหุ้มไว้ ให้อภัยอย่างไม่สิ้นสุด ทำให้เขาหลงใหล ทำให้เขายินยอมเก็บกรงเล็บ แล้วอิงแอบอยู่ในอ้อมอกของฉู่เฟยหยางอย่างว่านอนสอนง่าย
ทุกอย่างในวันนี้ของจวินซูอิ่งล้วนเป็นสิ่งที่ฉู่เฟยหยางขัดเกลาออกมาด้วยมือของตนเอง เช่นเดียวกับมือที่งดงามจากการใช้ชีวิตอย่างดีในอุ้งมือข้างนี้ จวินซูอิ่งที่ถูกเก็บซ่อนความคมเป็นดั่งหยกอุ่น [1] ที่อ่อนโยนก้อนหนึ่ง แนบอยู่ในใจของเขา ทั้งอบอุ่นทั้งนุ่มนวล
เพียงแค่จับมืออีกฝ่าย ภายในใจก็เต็มไปด้วยความรู้สึกสงบ การทะเลาะกันในยุทธภพของหมู่ตึกอู๋จี๋อะไรนั่น ก็หาช่องว่างแทรกเข้ามาไม่ได้อีกต่อไป
จวินซูอิ่งไม่จำเป็นต้องใช้คำปลอบใจใดๆ ตัวจวินซูอิ่งเองนั่นแหละคือยาที่ดีที่สุดของฉู่เฟยหยาง
ทั้งสองคนเดินจูงมือกันใต้แขนเสื้อกลับโรงเตี๊ยม เมื่อถึงทางเข้าโรงเตี๊ยม จวินซูอิ่งก็เริ่มดื้อดึงขึ้นมาอีกครั้ง เขาเขย่าแขนต้องการผละตัวออกจากฉู่เฟยหยาง
ผู้อื่นไม่ใช่คนโง่เขลา ต่อให้เอาแขนเสื้อคลุมไว้ แต่พวกเขาสองคนเดินใกล้กันถึงเพียงนี้ อย่างไรก็เห็นชัดว่ากำลังจูงมือกันใต้ชายแขนเสื้อ อีกทั้งพวกเขาไม่ใช่เด็กเล็กที่ยังเล่นไม่รู้เรื่องราวขนาดนั้น จวินซูอิ่งจึงตัดสินใจจะไม่ยอมให้ฉู่เฟยหยางทำตามใจเด็ดขาด
กล่าวว่าเขาไม่รู้เรื่องราว ฉู่เฟยหยางก็ดื้อดึงกับเขาอย่างไม่รู้ความจริงๆ ไม่ปล่อยมือคือไม่ปล่อยมือ ต่อให้เขาถลึงตาจนขอบตาปวดแสบ มือออกแรงจนเป็นตะคริวแล้ว ฉู่เฟยหยางก็ยังคงเลิกคิ้วใช้สายตาน่าชังมองเขา มือของตนเองกลับยังถูกคนกุมไว้แน่น
ดึงไม่ออก จวินซูอิ่งลอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เจ็บมือยิ่งนัก ต้องแดงแล้วแน่นอน
ขณะที่ทั้งสองคนเล่นกันเหมือนเด็กๆ ยังคงไม่มีใครยอมใคร จู่ๆ ในโรงเตี๊ยมก็มีคนสองสามคนเดินมา แล้วเสียงหญิงสาวคนหนึ่งก็ดังขึ้น
“จอมยุทธ์ฉู่ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว ข้ารอท่านกลับมาอยู่นาน เกือบจะต้องส่งคนไปตามหาท่านแล้ว”
ฉู่เฟยหยางและจวินซูอิ่งมองคนตรงหน้าอย่างพร้อมเพรียง
คนผู้นั้นเป็นสตรีวัยแรกแย้ม ทั้งตัวแต่งกายเรียบร้อย ใบหน้าไร้เครื่องประทินโฉม กลับแสดงความงดงามอ่อนโยนเป็นธรรมชาติออกมาหลายส่วนอย่างชัดเจน
“คุณหนูใหญ่หลัว?!” ฉู่เฟยหยางเอ่ยอย่างประหลาดใจ “มีเรื่องอะไรคุณหนูใหญ่หลัวส่งคนมาแจ้งสักหน่อยก็ได้ ให้คุณหนูใหญ่หลัวรอนานเช่นนี้ ข้าน้อยต้องขออภัยที่ต้อนรับไม่ดีแล้ว”
“ไม่เลยๆ” บนใบหน้าหญิงสาวที่ถูกเรียกว่าคุณหนูใหญ่หลัวคลี่รอยยิ้มขึ้นสีระเรื่อ ดวงตาทั้งสองมองฉู่เฟยหยางพลางเอ่ย “ข้าก็ไม่ได้รอนานนัก…”
ฉู่ฉีและฉู่หลินไม่สนใจเรื่องของผู้ใหญ่ จึงจูงมือกันกลับห้องไปก่อน
หญิงสาวยืนอยู่บนบันไดหน้าประตูโรงเตี๊ยม ก้มเล็กน้อยมองทั้งสองคน นางคล้ายกับรู้ตัวว่าไม่เหมาะสม จึงรีบเดินลงมา ผายมือข้างหนึ่งไปทางฉู่เฟยหยาง แล้วยิ้มเอ่ย “จอมยุทธ์ฉู่ พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในเถิด”
คุณหนูใหญ่หลัวเป็นแก้วตาดวงใจของหัวหน้าพรรคเฉา นางช่วยบิดาแบ่งเบาดูแลเรื่องภายในพรรคหลายอย่าง มีความสามารถยิ่ง เมื่อวานฉู่เฟยหยางได้พบนางแล้ว ไม่รู้ว่านางมาพบในยามนี้ด้วยเรื่องอันใด
ฉู่เฟยหยางมองจวินซูอิ่ง จวินซูอิ่งก็มองเขาปราดหนึ่งเช่นกัน เดิมทียังไม่ยอมให้เขาจูงมือ ทำตรงข้ามกับเขา ยามนี้กลับจับมือของเขาไว้แน่นอยู่ใต้ชายแขนเสื้อ
ฉู่เฟยหยางมึนงง จวินซูอิ่งมองเขาพลางเม้มริมฝีปากบาง
ฉู่เฟยหยางกระตุกยิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ อืม…จมูกเหมือนได้กลิ่นเปรี้ยว [2] เหตุใดจึงทำให้ใจเขามีความสุขถึงเพียงนี้ได้นะ
ฉู่เฟยหยางและจวินซูอิ่งเดินเข้าประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมพร้อมกัน คุณหนูใหญ่หลัวจองห้องพิเศษไว้แล้ว นางนำฉู่เฟยหยางและจวินซูอิ่งไปยังห้องนั้น
คุณหนูใหญ่หลัวมองจวินซูอิ่ง ผายมือให้พร้อมยิ้มเอ่ย “ไม่ทราบว่าคุณชายท่านนี้ชื่อแซ่ว่าอย่างไรหรือ สหายของจอมยุทธ์ฉู่ก็เป็นสหายตระกูลหลัวของข้าเช่นกัน!”
จวินซูอิ่งยามนี้ปล่อยมือของฉู่เฟยหยาง แล้วนั่งลงข้างๆ กัน
จวินซูอิ่งพยักหน้าเอ่ยอย่างสุภาพ “ข้าน้อยจวินซูอิ่ง”
คุณหนูใหญ่หลัวยิ้มพร้อมเอ่ยเรียก “คุณชายจวิน เมื่อวานข้าได้ฟังรายงานจากคนในพรรค คุณชายจวินได้ช่วยมือปราบสองคนไว้ที่ประตูเมือง ทั้งยังช่วยหัวหน้ามือปราบซ่งจับคนชั่ววรยุทธ์แข็งแกร่ง มือปราบที่ถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัสผู้นั้นก็เป็นศิษย์ในพรรคตระกูลหลัวของข้า หลังจากบิดาของข้าได้ฟังแล้ว ก็รู้สึกขอบคุณคุณชายจวินอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าคุณชายจวินจะเป็นสหายของจอมยุทธ์ฉู่ ท่านพ่อกำลังไม่รู้ว่าจะไปตามหาผู้มีพระคุณที่ใด วันนี้ได้พบกันก็นับเป็นวาสนา ข้าน้อยขอเป็นตัวแทนท่านพ่อและคนในพรรค คารวะคุณชายจวินด้วยสุราหนึ่งจอก” เอ่ยพลางเงยหน้าดื่มสุราในจอกจนหมด
ตอนที่จวินซูอิ่งช่วยคนเมื่อวาน เขาไม่ได้รายงานกับพรรคด้วยตนเอง ฉู่เฟยหยางค่อนข้างสับสนว่าหัวหน้าหลัวรู้ได้อย่างไรว่าจวินซูอิ่งช่วยคนไว้ แต่คิดแล้วเรื่องเมื่อวานนับว่าคนรู้โดยทั่วกัน พรรคตระกูลหลัวเป็นกลุ่มที่มีอำนาจมากที่สุดในอำเภอฝูไหล มีหูตามากมาย กระทั่งมือปราบก็เป็นคนของตระกูลหลัว หัวหน้าหลัวจะไม่รู้การเคลื่อนไหวของจวินซูอิ่งได้อย่างไร เกรงว่าแม้แต่เรื่องที่จวินซูอิ่งอยู่กับเขาก็คงรู้มานานแล้ว
คำพูดของคุณหนูใหญ่หลัวคละด้วยเรื่องเท็จสามส่วน ฉู่เฟยหยางและจวินซูอิ่งล้วนรู้ชัดแจ้งในใจ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้อื่นคารวะด้วยสุรา จวินซูอิ่งก็ไม่ได้เสียมารยาทไม่ไว้หน้า ความจริงแล้วเขามีมารยาทกับสตรีมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นคุณหนูตระกูลเหมยหรือเจ้าสำนักเจินสุ่ย รวมถึงแม่นางสุ่ยเย่ว์ผู้นั้น สุดท้ายเขาก็เป็นคนที่ออกเงินไถ่ตัวนาง
ยามนี้มีคุณหนูใหญ่หลัวปรากฏตัวขึ้นมาอีก
จวินซูอิ่งทั้งดื่มสุราที่ผู้อื่นคำนับ ทั้งเหล่สายตามองฉู่เฟยหยาง
จอมยุทธ์ฉู่ผู้นี้ฉาบน้ำผึ้งไว้บนตัวใช่หรือไม่ เหตุใดไม่ว่าไปที่ไหนจึงเรียกผึ้งดึงดูดผีเสื้อมาได้ตลอดเวลา!
จอมยุทธ์ฉู่ผู้เรียกผึ้งดึงดูดผีเสื้อจะไม่รู้สึกถึงสายตาที่มีความเหยียดหยามพร้อมดูแคลนนั้นได้อย่างไร
ฉู่เฟยหยางฝืนยิ้มพลางยกจอกสุราขึ้น คนเห็นคนรักก็ผิดเช่นกันสินะ ช่างอับจนหนทางจริงๆ
จะว่าไป แม้แต่จวินซูอิ่งก็ต้านทานเสน่ห์ของเขาไม่ไหวไม่ใช่หรือ!
คุณหนูใหญ่หลัวมองไม่เห็นกระแสคลื่นลับๆ ระหว่างคนทั้งสอง จึงหาหัวข้อมาพูดคุยอย่างผิวเผิน
เรื่องที่จวินซูอิ่งเป็น “ภรรยา” ของฉู่เฟยหยาง คนจำนวนมากในยุทธภพต่างรับรู้ แต่ก็มีคนจำนวนมากไม่รู้เช่นกัน เห็นได้ชัดว่าคุณหนูใหญ่หลัวก็เป็นเหล่าคนที่ไม่รู้
ทั้งสองคนอยู่ร่วมกันอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา คนอื่นรู้ก็รู้ ไม่รู้ก็ไม่รู้ แต่ไหนแต่ไรมาจวินซูอิ่งก็ไม่เคยเก็บมาใส่ใจ และไม่ชอบให้ฉู่เฟยหยางป่าวประกาศไปทั่วทุกที่ ส่วนฉู่เฟยหยางก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับผู้อื่นมาโดยตลอด
จวินซูอิ่งเพียงเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างเขากับฉู่เฟยหยางสองคน ไม่เกี่ยวข้องกับคนอื่น ในเมื่อไม่เกี่ยวข้อง ก็ไม่จำเป็นต้องพูดให้มาก
ในจุดนี้ ฉู่เฟยหยางคิดว่าจวินซูอิ่งมีสำนึกของการเป็น “คนใน [3] ” อย่างมาก
ฉู่เฟยหยางพูดคุยเรื่องไม่สำคัญกับคุณหนูหลัวอย่างสุภาพ จนกระทั่งอาหารถูกยกมา คุณหนูหลัวจึงแนะนำอาหารให้ทั้งสองคนอย่างกระตือรือร้นและเอาใจใส่
จวินซูอิ่งคิดถึงว่าก้อนหินน้อยและหลินเอ๋อร์ยังไม่ได้กินข้าว ก็เอ่ยกับฉู่เฟยหยาง “ข้าจะไปดูก้อนหินน้อยกับหลินเอ๋อร์” แล้วกล่าวลาคุณหนูใหญ่หลัว กำลังจะลุกขึ้นเดินจากไป
คุณหนูใหญ่หลัวรู้ว่าจวินซูอิ่งและฉู่เฟยหยางอยู่ด้วยกัน รวมทั้งมีหนุ่มน้อยสองคนนั้นด้วย แม้ยามแรกนางต้องการปกปิด หลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าตนเองแอบสืบเรื่องราวของครอบครัวเขา แต่กลับสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะใหญ่ เพียงพอสำหรับห้าคน
เห็นจวินซูอิ่งกำลังจะจากไป นางก็รีบเอ่ย “คุณชายจวิน ท่านยังมีสหายอยู่อีกใช่หรือไม่ หนุ่มน้อยสองคนที่ประตูเมืองเมื่อวานมากับท่านหรือ เรียกมากินข้าวด้วยกันเถิด เลยเที่ยงแล้ว เด็กๆ คงหิว”
นางไม่ได้กล่าวเพื่อแสร้งรักษามารยาทเท่านั้น แต่บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารมากมายจริงๆ เดิมทีหัวหน้าหลัวตั้งใจตอบแทนบุญคุณที่จวินซูอิ่งช่วยคนของตนไว้ ขณะเดียวกันก็ต้องการตีสนิทดึงเป็นพวก คนในยุทธภพ แน่นอนว่าสหายยิ่งมากก็ยิ่งดี ส่วนนางมีความรู้สึกประทับใจต่อฉู่เฟยหยาง จึงขอทำธุระครั้งนี้ แม้ต้องการอยู่ตามลำพังกับฉู่เฟยหยางมากกว่า แต่ก็ยังจำภารกิจของตนได้ จะทำเมินเฉยต่อจวินซูอิ่งได้อย่างไร
ฉู่เฟยหยางรู้สึกเช่นกันว่าการกินข้าวร่วมกับบุตรสาวของผู้อื่นนั้นค่อนข้างไม่เหมาะสม ถึงแม้คนในยุทธภพจะไม่ยึดติดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ และจวินซูอิ่งก็ไม่ระแวงเขา แต่จอมยุทธ์ฉู่เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าความไม่เจตนาของตนเองอาจชักนำให้สตรีมาชอบตนได้ เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่เขาออกท่องยุทธภพ สตรีทุกนางที่เคยอยู่กับเขาตามลำพัง ไม่มีผู้ใดไม่ถูกปล้นเอาหัวใจ เขาไม่เข้าใจเรื่องนี้เสมอมา ยามเป็นเด็กหนุ่มยังสามารถนำเรื่องนี้มายกตนอวดอ้างเป็นที่ภาคภูมิใจได้ ตอนนี้กลับเหลือเพียงความกลุ้มใจ
คุณหนูใหญ่หลัวมองจวินซูอิ่งอย่างกระตือรือร้น ฉู่เฟยหยางก็เอ่ย “ซูอิ่ง เรียกก้อนหินน้อยและหลินเอ๋อร์มาเถิด พรรคตระกูลหลัวก็แยกตัวไปจากสำนักกระบี่ชิงเฟิง ล้วนเป็นคนกันเอง ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ” จวินซูอิ่งพยักหน้า
คำว่า “คนกันเอง” เพียงออกจากปากของฉู่เฟยหยาง ใบหน้าตรงไปตรงมาของคุณหนูใหญ่หลัวก็ย้อมด้วยสีแห่งความเขินอายอย่างห้ามไม่อยู่
ระหว่างที่จวินซูอิ่งไปเรียกคน คุณหนูใหญ่หลัวก็ยกจอกสุราเอ่ย “บุญคุณที่จอมยุทธ์ฉู่ช่วยเหลือเมื่อวาน ข้าน้อยยังไม่ได้ขอบคุณ ทำได้เพียงดื่มสุราจอกนี้แทนคำขอบคุณก่อน วันหน้าจอมยุทธ์ฉู่มีสิ่งใดที่ต้องการความช่วยเหลือ ก็บอกมาได้เต็มที่ พรรคตระกูลหลัวจะตอบรับคำอย่างแน่นอน”
นางคิดแล้วก็ยิ้มเอ่ยอีก “แน่นอน พวกเราคือ…คนกันเอง จอมยุทธฉู่คงจะไม่เห็นเป็นคนนอก”
เมื่อฉู่เฟยหยางเอ่ยอย่างสุภาพสองประโยคแล้วดื่มสุรา ฉู่ฉีและฉู่หลินก็เดินเข้ามา จวินซูอิ่งตามอยู่ด้านหลังเด็กทั้งสอง
คุณหนูใหญ่หลัวกวักมือเรียกทั้งสามคนมานั่งด้วยกัน ฉู่ฉียิ้มพลางมองคุณหนูใหญ่หลัว แล้วเอ่ย “ขอบคุณคุณหนูใหญ่หลัวที่ต้อนรับ” ฉู่หลินพยักหน้าเช่นกัน แล้วเอ่ย “ขอบคุณ”
คุณหนูใหญ่หลัวรีบโบกมือเอ่ย “พวกเจ้าล้วนเป็นผู้กล้าน้อย ข้าสิต้องขอบคุณพวกเจ้าแทนมือปราบเมื่อวาน”
รอยยิ้มของฉู่ฉีเหมือนฉู่เฟยหยางยิ่งนัก จวินซูอิ่งมองบุตรชายที่แสร้งเชื่อฟังเพื่อแสดงความเฉลียวฉลาดของตนเอง ก่อนจะมองสา…เอ่อ ฉู่เฟยหยางของตนกำลังกัดตะเกียบ
หากฉู่เฟยหยางมีคุณธรรมอย่างก้อนหินน้อยตั้งแต่เด็ก ก็ไม่แปลกที่จะเรียกผึ้งดึงดูดผีเสื้อถึงเพียงนั้น
ทุกคนกำลังกินข้าว จู่ๆ ก็มีคนผู้หนึ่งวิ่งลนลานเข้ามา “คุณหนูใหญ่ ไม่ดีแล้ว! เกิดเรื่องแล้ว นายท่านเรียกให้ท่านกลับก่อน”
[1] หยกที่เกิดในอุณหภูมิและแรงดันสูง ในที่นี้ใช้สื่อถึงความอบอุ่นอ่อนโยน
[2] อุปมาถึงความหึงหวง
[3] มาจากคำว่า “เน่ยเหริน” หมายถึง ภรรยา