[ทดลองอ่าน] คุณทนายความขั้นหนึ่ง ตอนที่ 5.2

一级律师
คุณทนายความขั้นหนึ่ง

 

木苏里 มู่ซูหลี่ เขียน
isamare แปล
溫捌 เวินปา วาด

 

— โปรย —

เมื่อหลายเดือนก่อน เยียนสุยจือ ยังดำรงตำแหน่งทนายความขั้นหนึ่ง
ทั้งยังรับผิดชอบตำแหน่งคณบดีคณะนิติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเมซระหว่างดวงดาวอย่างสง่าผ่าเผยอยู่เลย
ไม่ทันไร ก็กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวและ ‘คนตาย’ ไปเสียแล้ว
เขาที่ถูกพาดหัวข่าวว่าเป็นผู้เคราะห์ร้ายจากเหตุวางระเบิด
ได้บุคคลปริศนายื่นมือเข้ามาช่วยผ่าตัดปรับแต่งยีน ปรับเปลี่ยนใบหน้า สรีระและลดอายุ
จนอยู่ในรูปลักษณ์ของนักศึกษาจบใหม่ พร้อมบัตรประชาชนปลอมที่ใช้ชื่อว่า ‘หร่วนเหยี่ย
ตัดสินใจสืบเรื่องคดีวางระเบิดของตัวเอง โดยแฝงตัวไปเป็นเด็กฝึกงาน
ในสำนักงานเซาธ์ครอสส์ซึ่งเป็นสำนักกฎหมายที่รับผิดชอบคดีนี้
ณ ที่นั้น เขาดันได้เจอกับ กู้เยี่ยน ลูกศิษย์จอมหน้าตายของตัวเองที่ความสัมพันธ์ไม่ลงรอย
อีกทั้งยังต้องเข้าไปเป็นเด็กฝึกงานในความดูแลของอีกฝ่ายที่ไม่เต็มใจจะอยู่ร่วมกันสักนิด

ไม่คิดจะรับเด็กฝึกงานงั้นเหรอ บังเอิญจัง ฉันก็คิดแบบนี้เหมือนกัน
ความจริงแล้วนายจะส่งฉันไปให้ทนายคนอื่นก็ได้ ขอแค่ไม่ต้องอยู่ที่นี่ ที่ไหนฉันก็โอเคทั้งนั้น

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 5.2

ฟังคำตัดสิน

 

ฝ่ายโจทก์เว้นจังหวะครู่หนึ่งเพื่อให้ทุกคนได้ทำความเข้าใจกับความคิดของเขา จากนั้นก็เผยสีหน้าเสียดาย “และจำเลย โจชัว ดาห์เล่ มีน้องสาวอายุ 8 ขวบหนึ่งคน เธอไม่มีกำลังมากพอจะต่อต้าน หากเห็นชอบให้เขาได้รับการประกันตัว ก็หมายความว่าจะปล่อยให้จำเลยที่ถูกกล่าวหาว่าบุกชิงทรัพย์ในเคหสถาน ขณะเดียวกันก็มีภาวะไฮโปเมเนียและมีประวัติทะเลาะวิวาทหลายครั้ง ใช้เวลาอยู่ร่วมกับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ผอมแห้งแรงน้อย”

ฝ่ายโจทก์มองตรงไปที่ผู้พิพากษา “นี่ย่อมไม่ใช่ความคิดที่ดี ทุกคนต่างก็เข้าใจดี”

กล่าวจบก็พยักหน้าให้ผู้พิพากษาเป็นนัยว่าตนแสดงความคิดเห็นจบแล้ว

ผู้พิพากษาเหลือบมองลอดแว่นตาไปยังเยียนสุยจืออีกครั้ง “ทนายฝ่ายจำเลย…คุณหร่วน?”

เยียนสุยจือส่งยิ้มให้สหายอาวุโส “เมื่อสักครู่ฝ่ายโจทก์พูดถึงอำนาจควบคุม ท่านผู้พิพากษา ผมขออนุญาตเรียนถามท่านว่า คนคนหนึ่งจะสร้างกรอบจำกัดให้กับอีกคนหนึ่งได้นั้น โดยเนื้อแท้แล้วเป็นเพราะอะไรเหรอครับ หรือเหตุผลที่คนคนหนึ่งยินยอมให้ตนเองถูกจำกัดอิสระโดยอีกคนหนึ่งนั้น แท้จริงแล้วมาจากอะไรกันแน่”

“ความกลัวที่มาจากสัญชาตญาณ หรือไม่ก็ถูกจำกัดด้วยสิ่งอื่น” ผู้พิพากษาเว้นจังหวะแล้วเสริมอีกสองคำตอบ “ความเคารพ แล้วก็ความรัก”

เยียนสุยจือหันไปมองฝ่ายโจทก์อีกครั้ง “เห็นด้วยไหมครับ”

ฝ่ายโจทก์ “…” ไร้สาระ คำพูดของผู้พิพากษา ไม่เห็นด้วยได้เหรอ

อีกอย่าง ตัวเขาเองก็คิดแบบนี้ด้วยเช่นกัน

เยียนสุยจือพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ดึงเฉพาะหน้าประวัติส่วนตัวของโจชัว ดาห์เล่ สองแผ่นนั้นออกมาจากสำนวนคดีอย่างคล่องแคล่ว

หน้าต่างฮอโลแกรมปรากฏสู่สายตาทุกคน

“เนื้อหาข้อมูลชุดนี้ชัดเจนครบทุกด้าน แต่มีข้อบกพร่องเดียวก็คือ รูปถ่ายไม่ตรงกับอายุ”

ผู้พิพากษา “…”

ฝ่ายโจทก์ “…”

“แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ข้อมูลมากเพียงพอแล้ว ในข้อมูลแสดงให้เห็นว่าลูกความผม โจชัว ดาห์เล่ สูญเสียบิดามารดาไปตอนอายุ 1 ขวบ ตอนอายุ 7 ขวบก็สูญเสียคุณยายที่เป็นผู้ปกครองคนสุดท้ายไป และในช่วงเวลานี้ เด็กอีกคนหนึ่งที่คุณยายของเขารับเลี้ยงก็คือน้องสาวเขา โรซี่ ดาห์เล่ อายุ 1 ขวบ

“รูปถ่ายของโรซี่ ดาห์เล่ ในข้อมูลนี้เป็นตอนที่เธออายุกี่ขวบนั้น ผมเองก็ไม่ทราบแน่ชัด แต่ผมมั่นใจว่าไม่ใช่ตอน 1 ขวบแน่นอน อาจจะสัก 4 หรือ 5 ขวบ ผมขอถามท่านผู้พิพากษาและฝ่ายโจทก์อีกสักข้อ โรซี่ ดาห์เล่ ในรูปถ่ายอ้วนไหมครับ”

ผู้พิพากษา “…”

ฝ่ายโจทก์ “…”

“นิดหน่อยละมั้ง แต่เด็กทั่วไปก็มีแก้มแบบนี้ไม่ใช่เหรอ ไม่ถือว่าอ้วน” ผู้พิพากษาตอบเสร็จแล้วก็ถลึงตาใส่เยียนสุยจือ “เรื่องนี้เกี่ยวกับการพิจารณาคดีครั้งนี้ตรงไหน หวังว่าคุณจะมีคำอธิบายที่สมเหตุสมผล มิฉะนั้นหากยังถามคำถามไร้สาระแบบนี้ต่อไป ผมคงต้องเตือนคุณแล้วนะ”

เยียนสุยจือไม่ยี่หระกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย กล่าวต่อยิ้ม ๆ ว่า “แก้มของโรซี่ ดาห์เล่ ในรูปถ่ายเจ้าเนื้อเล็กน้อย ดวงตาก็มีชีวิตชีวา สภาพดูแข็งแรงอย่างยิ่ง ตรงกับที่ท่านผู้พิพากษากล่าวไว้ว่าเหมือนกับเด็กทั่วไป”

เขาเว้นจังหวะ “แต่นี่ก็เป็นสิ่งผิดปกติที่สุดพอดี เพราะว่าเธอไม่ใช่เด็กทั่วไป เธอไม่มีบิดามารดา แต่ได้คุณยายของลูกความผมเก็บมาเลี้ยง และในช่วงระหว่างที่เธออายุ 1 ขวบถึงประมาณ 5 ขวบแบบในรูปถ่าย คุณยายผู้มีเมตตาท่านนั้นก็เสียชีวิตไปแล้ว คนที่เลี้ยงดูเธอมาก็คือลูกความของผม

“คำถามที่สาม คนหนึ่งคนที่แม้แต่ท้องของตัวเองยังกินไม่อิ่ม แต่เลี้ยงดูเด็กอีกคนหนึ่งให้แข็งแรงมีน้ำมีนวลได้นั้น เกิดจากความรู้สึกอะไร โกรธแค้นหรือว่าเกลียดชัง”

ฝ่ายโจทก์ “…”

ผู้พิพากษาลูบค้อนประธานข้างฝ่ามือเงียบ ๆ …

กับคนที่มีอะไรไม่พูดจากันดี ๆ แบบนี้ เขาละอยากทุบค้อนจริง ๆ

แต่สหายอาวุโสท่านนี้ยังมีมโนธรรม คิดว่าถ้อยคำของเยียนสุยจือทำให้เขาไม่อาจแย้งได้…จะเกิดจากความรู้สึกอะไรได้ แน่นอนว่าเป็นความรัก

สาเหตุแท้จริงที่ก่อให้เกิดข้อจำกัดมีสามอย่าง คือ ความกลัว ความเคารพ และความรัก

ดังนั้นจะมีใครควบคุมโจชัว ดาห์เล่ ได้ไหม คำตอบคือ มี

ผู้พิพากษา “…”

ถ้อยคำพวกนี้เขาก็เป็นคนพูดเอง ไม่มีจุดใดบกพร่อง

“ส่วนเรื่องภาวะไฮโปเมเนีย” เยียนสุยจือเอ่ยปากอีกครั้ง “หนังสือวินิจฉัยทางการแพทย์ฉบับนั้นระบุเอาไว้ชัดเจนมาก ว่าลูกความของผมมีปัญหานี้มานานมากแล้ว ไม่ต่ำกว่าสามปี”

“ปีนี้โรซี่ ดาห์เล่ อายุ 8 ขวบ เมื่อสามปีก่อนเธออายุ 5 ขวบ คิดว่าน่าจะจำความได้แล้ว หากเพราะภาวะไฮโปเมเนียทำให้ลูกความผมเคยคุกคามเธอ ดุด่าทำร้ายเธอ หรือเป็นอย่างที่ฝ่ายโจทก์กล่าวอ้าง และมีความเป็นภัยที่ไม่แน่นอนอย่างยิ่ง เธอก็น่าจะเกิดความหวาดกลัวต่อลูกความของผม”

เยียนสุยจือกดปุ่มเครื่องควบคุมภาพบนโต๊ะที่นั่งเช่นกัน…ยังคงเป็นหน้าจอสองจอ และยังคงเป็นบันทึกกล้องวงจรปิดตอนนำตัวจำเลยมาฟังคำตัดสินที่ฝ่ายโจทก์ใช้เมื่อไม่กี่นาทีก่อน

เพียงแต่จุดโฟกัสของเขาอยู่ที่กล้องวงจรปิดนอกรถ

“ขอบคุณที่กล้องวงจรปิดนอกรถถ่ายถึงมุมกำแพงฝั่งตรงข้ามเรือนจำ และต้องขอบคุณเทคโนโลยีสมัยปัจจุบันที่ซูมภาพระยะไกลได้โดยไม่เสียหาย” เยียนสุยจือขยายภาพบริเวณมุมกำแพงให้เต็มหน้าจอ “เห็นเด็กผู้หญิงที่นั่งยอง ๆ อยู่ตรงนี้ไหมครับ ผิวเหลืองซีด แววตาเหม่อลอย ผอมจนไม่เหมือนคน แต่ผมเชื่อว่าทุกท่านคงจำหน้าตาของเธอได้ นี่คือโรซี่ ดาห์เล่ เธอกำลังนั่งรอคนที่อาจจะทารุณกรรมทำร้ายเธอกลับบ้านอย่างกระวนกระวายเหรอครับ”

ฝ่ายโจทก์ “…”

ผู้พิพากษาถลึงตาใส่เยียนสุยจือ ทว่าเจ้าตัวตอบกลับด้วยรอยยิ้มบาง จากนั้นก็เริ่มสรุปคำแถลงการณ์ “ลูกความผม โจชัว ดาห์เล่ อายุ 14 ปี เป็นเยาวชน มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง มีครอบครัวที่ควบคุมพฤติกรรมของเขาได้ และปรารถนาให้เขาได้กลับบ้านอย่างแรงกล้า แม้ว่าการแสดงออกที่เรือนจำจะแฝงอารมณ์แปรปรวน แต่นี่ก็เป็นการแสดงออกว่าเขาร้อนใจอยากจะพิสูจน์ว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ ดังนั้นเขาไม่มีทางหนีการพิจารณาคดีรอบหลังอย่างแน่นอน และเงื่อนไขการประกันตัวก็ครบถ้วนสมบูรณ์ด้วย”

ผู้พิพากษาตีหน้าขรึม นิ่งเงียบพักหนึ่งแล้วพลันเอ่ยขึ้น “แต่ยังติดอีกหนึ่งปัญหา…โจชัว ดาห์เล่ ไม่สามารถชำระเงินประกันได้ และไม่มีใครเป็นคนค้ำประกัน”

หากต้องการประกันตัวอย่างราบรื่น จำต้องเลือกระหว่างเงินประกันกับคนค้ำประกัน ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง

เยียนสุยจือหมุนแหวนบนนิ้วอย่างสงบ กล่าวด้วยสีหน้าไร้กังวล “ในเมื่อผมยืนอยู่ตรงนี้แล้ว เงินประกันยังเป็นปัญหาอยู่เหรอครับ”

ผู้พิพากษาขบคิดก่อนส่ายหน้ากล่าว “ที่ไวน์ซิตี้ พวกเราไม่อนุญาตให้ทนายชำระเงินประกันหรือเป็นคนค้ำประกันให้กับจำเลย…”

เยียนสุยจือเลิกคิ้ว “กฎหมายแห่งสหพันธ์ระบุห้ามไว้เป็นลายลักษณ์อักษรหรือเปล่าครับ”

ผู้พิพากษา “สหพันธ์ไม่เกี่ยวข้องด้วย”

เยียนสุยจือ “ดังนั้นไวน์ซิตี้จะทำตัวขบถโดยการประกาศใช้ข้อกำหนดใหม่เองโดยไม่บอกกล่าว?”

ผู้พิพากษา “…” ความผิดร้ายแรงขนาดนี้ ใครจะกล้ารับล่ะ!

เยียนสุยจือ “ทุกอย่างเป็นไปตามข้อกฎหมาย ดังนั้นติดปัญหาที่ตรงไหนล่ะครับ”

ผู้พิพากษาลูบหน้า

สองนาทีถัดมา ผู้พิพากษาหยิบค้อนที่ลูบอยู่นานพักใหญ่ขึ้นมาในที่สุด แล้วเคาะหนึ่งที

“ทุกท่านโปรดยืนขึ้น”

เยียนสุยจือยืนอยู่ที่เดิม เพียงจัดครุยทนายแผ่วเบาและช้อนตาขึ้น

“เกี่ยวกับข้อโต้แย้งเรื่องการประกันตัวโจชัว ดาห์เล่ ศาลขอตัดสินว่า…”

ห้องพิจารณาคดีในตอนนี้เงียบกริบ และถือเป็นหนึ่งในพิธีการเช่นกัน ผู้พิพากษาเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง กวาดสายตามองทั่ว ก่อนจะหยุดที่ตัวฝ่ายโจทก์กับเยียนสุยจือเพียงครู่เดียว และกล่าวเสียงเข้มในที่สุด

“อนุญาตให้ประกันตัว”

 

ทุกคนเก็บข้าวของที่อยู่ตรงหน้าแล้วทยอยกันเดินออกไป เยียนสุยจือหันหลังกลับมา กู้เยี่ยนกำลังพิงพนักเก้าอี้รอเขาเก็บของให้เรียบร้อย

เยียนสุยจือขบคิด แล้วตัดสินใจแสดงความรู้สึกในฐานะเด็กฝึกงานธรรมดาคนหนึ่งพึงมี ด้วยเหตุนี้เขาจึงลูบหน้าอกแผ่วเบาพร้อมกับสูดหายใจเข้าลึกครู่หนึ่งก่อนกล่าว “ตื่นเต้นสุด ๆ โชคดีที่ไม่ติดอ่าง”

กู้เยี่ยน “…”

ผู้พิพากษาที่เดินลงมา “…”

ฝ่ายโจทก์ที่เดินผ่านมาและกำลังจะออกจากห้อง “…”

“คุณหร่วน?” ผู้ช่วยผู้พิพากษาหนุ่มยื่นเอกสารที่เด้งออกมาจากคอมพิวเตอร์โฟตอน “หากเลือกชำระเงินประกันตัว ต้องเซ็นชื่อบนเอกสารดำเนินการประกันตัวครับ”

เยียนสุยจือพยักหน้า รับเอกสารกับปากกาอิเล็กทรอนิกส์มา “ได้ครับ”

หลังจากนั้นก็หันไปยื่นให้กู้เยี่ยน “มา อาจารย์กู้ เซ็นชื่อจ่ายเงิน”

กู้เยี่ยน “…”

ความจริงแล้ววิธีการนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาปรึกษากันเมื่อคืน และเป็นสาเหตุแท้จริงที่กู้เยี่ยนเลือกให้เยียนสุยจือขึ้นไปนั่งที่นั่งฝ่ายจำเลยด้วยเช่นกัน

เพราะคำนึงถึงผู้พิพากษาบางคนที่ถือสาเรื่องที่ทนายจะเป็นคนค้ำประกันหรือชำระเงินประกันแทนให้กับจำเลยเป็นอย่างยิ่ง หากการที่กู้เยี่ยนไม่ขึ้นไปนั่งที่นั่งฝ่ายจำเลย ไม่ขัดแย้งกับการดำเนินการในศาลโดยตรง บางทีอาจจะทำให้ผู้พิพากษาอ่อนข้อลงบ้าง

เดิมทีนี่เป็นวิธีการที่ค่อนข้างปลอดภัย ใครจะรู้ว่าคนบางคนขึ้นไปนั่งที่นั่งฝ่ายจำเลยแล้วจะเริ่มกำเริบเสิบสาน ถ้อยคำที่ควรนิ่มนวลก็ไม่นิ่มนวลแม้แต่น้อย…

“อาจารย์กู้ปวดฟันเหรอ” เยียนสุยจือยิ้มตาหยีมองเขา

“ฉันปวดไปทั้งตัวนั่นละ” กู้เยี่ยนตอบส่ง ๆ ก่อนจะเซ็นชื่ออย่างมังกรร่ายหงส์รำบนเอกสารดำเนินการประกันตัวให้เรียบร้อย

เยียนสุยจือมองลายเซ็นของเขา ในสมองนึกภาพขั้นตอนการแก้ต่างในศาลเมื่อครู่ซ้ำอีกหน คิดว่าตนเองสำรวมบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่พอ หากติดอ่างสักสองครั้งอาจจะเหมาะสมกับสถานะมากกว่า

ทว่าเด็กฝึกงานที่ขึ้นศาลครั้งแรกก็สุขุมนั้นใช่ว่าจะไม่มีเลย กู้เยี่ยนเองก็อาจจะเป็นหนึ่งในนั้น อีกอย่าง ตอนนี้อีกฝ่ายก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรเป็นพิเศษ อย่างน้อยในสายตาเมื่อครู่ก็ไม่เจือแววสงสัย แสดงว่า…เบื้องต้นไม่มีปัญหา?

ศาสตราจารย์เยียนให้คะแนนการผลงานของตัวเองเมื่อครู่เก้าสิบคะแนนอย่างไร้ยางอาย นอกจากทักษะการแสดงที่ยังขาดประสบการณ์นิดหน่อย อย่างอื่นก็ไม่มีปัญหา

บางครั้งยิ่งปกปิดและระวังตัวมากเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้คนสงสัยว่ามีพิรุธมากขึ้นเท่านั้น

สู้หนักแน่นสักหน่อย แสดงความมั่นใจในระดับหนึ่ง ต่อให้อีกฝ่ายอาจเกิดความสงสัย แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากแล้ว

เยียนสุยจือกับกู้เยี่ยนเดินตามกันออกมาจากห้องพิจารณาคดีหมายเลข 7 และได้พบโจชัว ดาห์เล่ ตรงทางเข้าออกพิเศษ

สภาพอีกฝ่ายย่ำแย่มาก เอาแต่ก้มหน้าตลอดเวลา และดูเหม่อลอยกว่าปกติอยู่บ้าง ข้างหลังเป็นผู้คุมสองคนกำลังพูดคุยบางอย่างกับตำรวจศาล

“ตื่น ๆ ถึงสถานีแล้ว” เยียนสุยจือกล่าวกับเขา

ผ่านไปนานพักใหญ่ กระทั่งผู้คุมข้างหลังตบไหล่ของเขาอย่างแรง โจชัวถึงเงยหน้าขึ้นมาราวกับสะดุ้งตื่น นัยน์ตาสีมรกตถลึงมองเยียนสุยจือครู่หนึ่ง “จบแล้ว?”

เยียนสุยจือกล่าวกับกู้เยี่ยนอย่างไม่สบอารมณ์ “ดูท่ากำลังละเมออยู่จริง ๆ นั่นละ”

“จบไปนานแล้ว ทำไมนายถึงเดินช้าขนาดนี้” กู้เยี่ยนเหลือบมองผู้คุมสองคนนั้นแวบหนึ่ง

โจชัว ดาห์เล่ ยังแลดูหดหู่ เขาหัวเราะเยาะตัวเอง แล้วกล่าวด้วยเสียงทุ้มแหบพร่า “นั่นสินะ จบลงอีกครั้งแล้ว ฉันต้องกลับไปยังสถานที่น่าสะอิดสะเอียนนั่นอีกครั้ง…”

เยียนสุยจือสบตากู้เยี่ยน

“เมื่อกี้นายหลับในศาลจริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย” เยียนสุยจือไม่สบอารมณ์ “ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวแล้ว นายยังจะกลับไปที่เรือนจำทำไมอีก”

โจชัวแค่นเสียงเป็นการตอบรับ “ฉันรู้อยู่แล้วว่าฉันไม่…อะไรนะ”

เขาพูดไปครึ่งประโยคแล้วพลันฉุกคิดได้ เงยหน้าขึ้นทันใด “เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะ”

“ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวแล้ว” บางทีเรื่องอื่นเยียนสุยจือมักจะล้อเล่นอยู่เสมอ แต่ในเวลาแบบนี้เขาก็เปลี่ยนไปจริงจังไม่น้อย แม้แต่ความอดทนก็ยังมากขึ้นด้วย

โจชัว ดาห์เล่ มองเขาเหมือนฟังไม่เข้าใจ คู้ไหล่โก่งหลังราวกับไม่ได้ยืนตรงมานานมากแล้ว ไม่มีท่าทางเหมือนเด็กวัย 14 ปีแม้แต่น้อย กลับเหมือนคนชราในช่วงบั้นปลายชีวิตมากกว่า

“ฉันบอกว่าได้รับอนุญาตให้ประกันตัวแล้ว นายกลับบ้านได้” เยียนสุยจือกล่าวซ้ำอีกรอบช้า ๆ และชัดเจนอย่างยิ่ง

นัยน์ตาสีมรกตของโจชัวแดงก่ำและเต็มไปด้วยเส้นเลือดทันใด ราวกับสารพัดอารมณ์ความรู้สึกประดังเข้ามา ทว่าก็ข่มกลั้นเอาไว้

เขาจ้องเยียนสุยจือตาไม่กะพริบ มองอย่างเอาเป็นเอาตาย ก่อนจะหันหน้าไปมองผู้คุมกับตำรวจศาลอีกหน

“เป็นเรื่องจริง เมื่อกี้ตอนที่พานายออกมาจากห้องพิจารณาคดี ฉันก็บอกนายไปแล้วนี่ นายไม่ได้ยินหรือไง” หนึ่งในผู้คุมกล่าว

ผู้คุมเหลือบมองมาทางเยียนสุยจือกับกู้เยี่ยนแวบหนึ่งและเสริมว่า “ใช่ นายกลับบ้านได้แล้ว ไม่เห็นเหรอว่าพวกเราไม่ได้คุมตัวนายอีกแล้ว”

ผู้คุมกับตำรวจศาลสองสามนายพูดในสิ่งที่ควรพูดเสร็จแล้ว พยักหน้าเล็กน้อยให้ทนายทั้งสองคน ก่อนจะเป็นฝ่ายเดินออกไปก่อน

จวบจนตอนนี้ โจชัว ดาห์เล่ ถึงเพิ่งเข้าใจคำพูดของเยียนสุยจืออย่างแท้จริง

เขายืนก้มหน้าอยู่กับที่ครู่หนึ่ง พลันยกมือขึ้นมาปิดดวงตา

ผ่านไปสักพักเยียนสุยจือถึงได้ยินเสียงสะอื้นเบา ๆ ที่ยากจะกลั้นไว้ดังออกมา

“อย่าเพิ่งรีบร้องไห้เลย” เยียนสุยจือคล้ายไม่สะเทือนอารมณ์แต่อย่างใด คาดไม่ถึงว่ายังเอ่ยปากหยอกล้อด้วย “ก่อนหน้านี้ใครพูดนะว่า ถ้าการประกันตัวสำเร็จจะเรียกเราว่าปู่”

โจชัวขบฟันแน่น กลั้นเสียงสะอื้นกลับไป ทว่ามือที่ปิดตาอยู่ไม่ได้ผละออก “อืม…”

น้ำเสียงขึ้นจมูกชัดเจน พยักหน้ารับอย่างขอไปที

เยียนสุยจือกล่าวอีก “ช่างเถอะ นายอย่าเรียกดีกว่า เราไม่มีหลานชายตัวเหม็นแบบนี้”

กู้เยี่ยน “…”

โจชัว ดาห์เล่ “…”

เขาหดคอถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพื่อไม่ให้กลิ่นตัวของตนเองทรมานจมูกทนาย

“ไม่ต้องปิดตาแล้ว กลับไปอาบน้ำแล้วหาข้าวหาปลาให้น้องสาวนายกินเถอะ แต่ละคนผอมกันเป็นก้าง”

คำว่า ‘น้องสาว’ แตะโดนเส้นประสาทของโจชัวเข้า เขาขยี้ตาแรง ๆ แล้วหันหลังวิ่งออกไปนอกศาล

“วันนี้ก็พักผ่อนเยอะ ๆ พรุ่งนี้ฉันจะไปหานาย…” กู้เยี่ยนยังพูดประโยคนี้ไม่จบ ก็ไม่เห็นเงาเด็กไร้มารยาทคนนั้นแล้ว

“ไม่ขอบคุณกันสักคำ” เยียนสุยจือมองแผ่นหลังเขาค่อย ๆ หายลับไป ยักไหล่แล้วหันไปมองกู้เยี่ยน “ฉลองชัยชนะชั่วคราว มา ผมเลี้ยงข้าวคุณเอง”

กู้เยี่ยนมองเขาด้วยสายตาประหนึ่งเห็นผี “ด้วยเงิน 5,022 ซีนั่น?”

“ทำไม ดูถูกที่ผมยากจนข้นแค้นเหรอ”

กู้เยี่ยนกล่าวด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์ “ลางสังหรณ์บอกฉันว่า ยื่นไมตรีให้โดยไร้เหตุผล ถ้าไม่ใช่คนชั่วก็เป็นโจร[1]

 

รถนำตัวผู้ต้องหามาส่งฟังคำตัดสินของเรือนจำจอดอยู่ที่ลานจอดรถหน้าศาลแขวง จอร์จกับลีสองผู้คุมเหยียบแท่นวางเท้าขึ้นรถ ตอนที่เพิ่งนั่งประจำที่ก็เห็นเงาคนแวบผ่านข้างประตู ราวกับกระสุนปืนครกที่เพิ่งถูกยิงออกไป

“เมื่อกี้นี้ใครกัน” ลีปิดประตูรถ พึมพำพลางคาดเข็มขัดนิรภัย

จอร์จจ้องเงาของ ‘กระสุนปืนครก’ ที่แวบผ่านไปไกล คิดอยู่สักครู่ก็โพล่งออกมา “โจชัว ดาห์เล่!”

“ใครนะ”

“โจชัว ดาห์เล่ ที่เพิ่งปล่อยตัวไปเมื่อกี้ไง!”

“เวร มิน่าล่ะถึงได้กลิ่นตุ ๆ ฉันคิดว่ากลิ่นติดมาซะอีก”

เพื่อนร่วมงานที่นั่งประจำตำแหน่งคนขับเหยียบคันเร่ง ตัวรถกระชากไปข้างหน้าอย่างรุนแรง พ่นควันเสียแล้วไล่ตามเงานั้นไป

ด้วยติดเป็นนิสัยจากอาชีพและการตอบสนองโดยอัตโนมัติ พวกเขาเห็นใครวิ่งหนีแล้วก็อยากไล่ตาม

ถึงอย่างไรสองขาย่อมช้ากว่าสี่ล้อ เพียงครู่เดียวรถของเรือนจำก็ไล่ตามเงาที่วิ่งฉิวนั้นทันแล้ว

ตัวรถรักษาความเร็วประกบร่างนั้น ลีลดกระจกหน้าต่างตะโกนออกไป “ดาห์เล่!”

พอโจชัว ดาห์เล่ เห็นพวกเขาแล้วก็โมโห วิ่งพลางตวาดพลาง “แม่งเอ๊ย ฉันได้ประกันตัวแล้วนะ ยังไล่ตามฉันมาทำไมอีก?!”

ลี “…” ด้วยฝีปากที่หยาบคายนี้ ควรฉีกอกเด็กเหลือขอนี่แล้วขังไว้สักแปดปีสิบปี!

“นายจะทำอะไรอีก?!” ลีมองเขาด้วยสีหน้ากังขา “เพิ่งออกจากศาลก็วิ่งหน้าตั้งขนาดนี้ บอกมาซิว่าจะทำอะไร?! หลบหนีหรือว่าไปเกิดใหม่ล่ะ”

ทว่าพอเขาพูดจบก็เพิ่งรู้ตัวว่าถนนที่พวกเขากำลังเดินทางไปนั้นมีเพียงจุดหมายปลายทางเดียว…

เรือนจำโคลด์เลค

ผู้คุมร่างสูงใหญ่บึกบึนคนนี้เกาะหน้าต่างเหม่อลอยอยู่สามวินาที พลันหันกลับมากล่าวกับจอร์จ “เด็กนี่คงไม่ได้บ้าใช่ไหม เพิ่งออกจากศาลก็มุ่งหน้าไปเรือนจำ?”

เขายังไม่ทันได้ยินคำตอบจากจอร์จ ก็ได้ยินเสียงแหบห้าวของโจชัว ดาห์เล่ ที่อยู่นอกรถดังขึ้นมาก่อนแล้ว “ฉันจะไปรับน้องกลับบ้าน”

ชั่วขณะนั้นลีพลันเกิดความสะเทือนใจเล็กน้อย จ้องเงาร่างที่ผอมซูบของโจชัวสักพัก พลันอยากจะเอ่ยว่า นายขึ้นรถมาสิ เราจะให้นายติดรถไปด้วย ขอแค่นายอย่าอ้าปากพ่นคำหยาบออกมาอีกก็พอ

ทว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ปรับกระจกหน้าต่างขึ้นโดยไม่พูดไม่จา

“นายทำสีหน้าอะไรเนี่ย” จอร์จสงสัยอยู่บ้าง

ลีส่ายหน้าตอบแล้วเหยียดขาบิดขี้เกียจ “ไม่มีอะไร จู่ ๆ ก็กินยาผิดขวด เผลอใจอ่อนไปวูบหนึ่ง”

“ใจอ่อนอะไรล่ะ นายรู้เหรอว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์จริง ๆ หรือแสร้งบริสุทธิ์ หากการพิจารณาคดีครั้งสุดท้ายตัดสินว่ามีความผิดล่ะ” จอร์จประสานมือไว้ที่ท้ายทอยแล้วพักสายตา แค่นหัวเราะทีหนึ่ง “นายต้องดุดันกว่านี้ ใจแข็งกว่านี้หน่อย เอาให้พวกสารเลวนั่นเห็นแล้วแข้งขาอ่อนไปเลย”

พวกเขามาถึงเรือนจำก่อนโจชัว ดาห์เล่ ครู่หนึ่ง ตอนที่รถยนต์แล่นเข้าไปในประตูใหญ่ข้างหน้า พวกเขามองไปยังมุมกำแพงไกล ๆ เงาร่างเล็กผอมซูบยังคงขดตัวอยู่ตรงนั้น แทบจะกลืนไปกับกำแพงแล้ว

“ไปเถอะ อีกเดี๋ยวเด็กนั่นก็มาแล้ว” จอร์จพึมพำ ก่อนที่รถจะเลี้ยวเข้าไปในลานกว้าง

เสียงเปิดปิดประตูเหล็กของเรือนจำเรียกความสนใจจากเด็กหญิงที่มุมกำแพง

โรซี่ ดาห์เล่ ขดมือและเท้าจ้องบานประตูตาไม่กะพริบ ด้วยกลัวว่าจะพลาดเงาที่คุ้นเคยของใครบางคน

น่าเสียดายที่เธอเห็นเพียงรถคันใหญ่สีดำขับผ่านเข้าไปในประตู

เด็กหญิงนั่งยองอยู่ที่มุมกำแพงตรงนี้มาห้าวันแล้ว ตั้งแต่ตามพี่ชายมาถึงที่นี่เมื่อห้าวันก่อนก็ไม่ได้ปลีกตัวไปไหนอีกเลย อาศัยแค่ขนมปังแห้ง ๆ สองชิ้นในกระเป๋าเสื้อกับน้ำที่ไหลลงมาจากท่อตรงมุมกำแพงประทังชีวิตมาจนถึงตอนนี้

อันที่จริงเธอไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ของกินอย่างสุดท้ายคือช็อกโกแลตที่คนแปลกหน้าให้มา

เธอรู้สึกหนาวและปวดหัวมาก แต่ไม่กล้านอนหลับตอนกลางวัน เพราะยังไม่เห็นพี่ชายเดินออกมาจากข้างในสักที

“ทำไมเธอถึงมานั่งอยู่ตรงนี้เนี่ย” เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นเหนือศีรษะ

โรซี่ ดาห์เล่ ใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะเงยหน้าขึ้น เธอหิวจนตาลาย พลอยทำให้มองใบหน้าของชายคนนั้นไม่ชัด เห็นเพียงแค่รอยแผลเป็นยาวข้างใบหน้า

รอยแผลเป็นนั้นคุ้นตาอยู่บ้าง น่าจะเป็นคนที่เธอรู้จัก

“พระเจ้า เธอไม่ได้กินอะไรมากี่วันแล้ว”

โรซี่ ดาห์เล่ หน้ามืดคอตก ก่อนกล่าวเสียงเบา “ไม่รู้…”

“ฉันพาเธอไปหาอะไรกินก่อนดีไหม” ชายคนนั้นกล่าว “ข้าง ๆ มีร้านขนมปัง เธอต้องกินอะไรสักหน่อย ไม่อย่างนั้นจะเป็นลมอยู่ตรงนี้เอานะ”

เขาพูดพลางจับแขนของโรซี่โดยที่ไม่ได้ออกแรงมากนัก

โรซี่ดึงมือกลับมาแล้วขดตัวเข้าหากำแพงอีกหน “หนูกำลังรอพี่”

“แต่สีหน้าเธอน่ากลัวเกินไปแล้ว ฉันรู้จักพี่ชายเธอ ฉันอยู่ซอยเดียวกับพวกเธอจำได้ไหม พี่ชายคงไม่อยากเห็นเธอเป็นลมอยู่ตรงนี้แน่นอน”

“ไม่เอา หนูจะรอเขา…” โรซี่ ดาห์เล่ ยืนกรานอีกครั้ง

ชายคนนั้นถอนหายใจแผ่วเบา “เฮ้อ…”

 

[1] หมายถึง การประจบประแจงเพื่อหวังผลประโยชน์ ตรงกับสำนวนไทยที่ว่า ทำดีหวังผล

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า