ข้าอยากเป็นภรรยาจอมยุทธ์
鸢鸢相报
จ้าวเฉียนเฉียน 赵乾乾 เขียน
ลีลรักษ์ แปล
— โปรย —
หวังชิงเฉี่ยน บุตรีเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ผู้มีความคลั่งไคล้ที่จะเป็นจอมยุทธ์หญิง
และมีความใฝ่ฝันว่าอยากแต่งงานกับจอมยุทธ์หนุ่ม
ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าวันหนึ่งบุตรชายอัครเสนาบดี ฟั่นเทียนหาน
ผู้มีคุณสมบัติเป็นเลิศระดับจ้วงหยวนบู๊คนใหม่จะมาสู่ขอนาง
ที่ไม่มีคุณสมบัติกุลสตรีตามแบบฉบับอะไรเลย นอกจาก “ความรวย”
นางแคลงใจนักว่าเขาคงแต่งเพราะหมายตาสินเดิมเจ้าสาวอันมหาศาลของนางล่ะสิ!
แต่ในเมื่อสตรีอย่างไรก็ต้องออกเรือน แต่งกับจ้วงหยวนบู๊
ก็ใกล้เคียงความฝันของนางกึ่งหนึ่ง เช่นนั้น “แต่งก็แต่ง”
แต่หลังจากแต่งงานกันแล้ว กลับพบว่าเรื่องราวมันแสนจะพิลึกพิลั่นกว่านั้นมาก
มีอย่างที่ใด ในจวนจ้วงหยวนที่นางกับสามีอยู่ด้วยกัน
ยังมีญาติผู้น้องของเขาตามมาอยู่ด้วย!
ทั้งนางยังถูกดึงเข้าไปพัวพันกับเรื่องราวความรักความแค้นของคนอื่นโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่อีก
ตกลงว่าที่สามีจ้วงหยวนบู๊รูปงามยืนกรานจะแต่งงานกับนางเป็นเพราะอะไรกันแน่
แล้วความฝันที่จะได้ผาดโผนผจญภัยไปกับยอดฝีมือผู้รู้ใจของนางจะเป็นอย่างไรต่อ
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
2.1
ชมจันทร์
อารมณ์รักของเด็กสาวคือโรคร้ายชนิดหนึ่ง
กัดกินลึกถึงไขกระดูก ไร้หนทางเยียวยา
ยามสามเกิง ข้ากำลังหลับฝันหวาน หน้าต่างค่อยๆ ถูกผลักเปิดออก
“เฉี่ยนเอ๋อร์”
ศิษย์พี่ใหญ่เจ้าบ้าที่กลางวันกลางคืนกลับตาลปัตรนี่ ชาวยุทธ์ต้องปล่อยให้คนอื่นเขาได้หลับได้นอนกันบ้างสิ ข้าคิดอย่างขุ่นเคือง พลิกตัวจะหลับต่อ
“เฉี่ยนเอ๋อร์ เจ้าไม่อยากเจออาจารย์แล้วหรือ”
อาจารย์? อาจารย์ใจหมาป่าปอดสุนัข[1]นั่นน่ะหรือ
ข้าดีดตัวลุกขึ้นจากเตียง สวมเสื้อตัวนอกทับ ศิษย์พี่ใหญ่ยืนอยู่นอกหน้าต่าง ส่วนอาจารย์นั่งกระดิกเท้าโบกมือให้ข้าอยู่บนหลังคาเรือนฝั่งตรงข้าม
ข้าผูกสายรัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย พลิกตัวกระโดดออกไปทางหน้าต่าง แล้วเหาะขึ้นไปบนหลังคาด้วยความช่วยเหลือของศิษย์พี่ใหญ่ ยังไม่ทันยืนได้มั่นคง ข้าก็เปิดฉากด่าอาจารย์ทันที “ตาเฒ่าน่าตาย ในที่สุดก็ยอมโผล่หัวมาแล้วหรือ ข้ายังนึกว่าท่านไปฝึกคัมภีร์ทานตะวัน[2]แล้วเสียอีก”
อาจารย์เป็นพวกคลั่งไคล้วิชายุทธ์ เขาดิ้นรนทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้สัมผัสวิชาของแต่ละสำนักในยุทธภพ มีเพียงคัมภีร์ทานตะวันเท่านั้นที่เขาไม่อยากได้ยินแม้แต่ชื่อ เพราะกลัวว่าหากได้ยินมากเข้าจะอดใจใคร่รู้ไม่ไหว คัมภีร์ทานตะวันเผยแพร่อยู่ในยุทธภพมาช้านาน ไม่เห็นจะลึกลับซับซ้อนสักนิด ถึงขั้นหาซื้อฉบับคัดลอกได้ตามท้องตลาดด้วยเงินเพียงเหวิน[3]เดียว แต่คนที่ฝึกวิชานี้สำเร็จมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย สาเหตุหลักต้องยกความดีความชอบให้คำขวัญติดหูที่ว่า “อยากฝึกวิชาสำเร็จ ต้องตอนตนเอง”
อาจารย์รอจนข้านั่งลงแล้วก็เขกหัวข้า “เจ้าศิษย์น้อย ไม่ทันไรก็โตจนแต่งงานได้แล้วหรือนี่”
ข้ากระชับเสื้อคลุม “ต้องขอบคุณตาเฒ่าอย่างท่านที่ยังจำศิษย์คนนี้ได้อยู่”
อาจารย์เหลือบมองศิษย์พี่ใหญ่ที่ยืนเงียบมาตลอด แล้วเอ่ยกับข้าว่า “เฉี่ยนเอ๋อร์ เจ้าอยากแต่งเองหรือว่าถูกพ่อเจ้าบังคับ”
ข้ามองศิษย์พี่ใหญ่อย่างขุ่นเคือง “ท่านคาบข่าวเอาไปนินทาให้อาจารย์ฟังหรือ”
อาจารย์เขกหัวข้าอีกที “เป็นอาจารย์แล้วจะรู้ข่าวมงคลของเจ้าไม่ได้หรือ”
ข้าจึงได้แต่อธิบายอย่างเรียบง่าย “เมื่อถึงวัยสมควร บุรุษพึงแต่งภรรยา สตรีพึงออกเรือน จะเรียกว่าถูกบังคับให้แต่งไม่ได้หรอก”
อาจารย์ยังคงเกลี้ยกล่อมไม่ลดละด้วยความหวังดี “เฉี่ยนเอ๋อร์ หากเจ้าแต่งงาน แล้วซิวเอ๋อร์จะทำเช่นไร เจ้านี่มันได้เขาแล้วก็ทิ้งขว้าง ต้องถูกจับใส่กระชุหมูไปถ่วงน้ำ[4]”
ข้ามองศิษย์พี่ใหญ่ เขากำลังมองจันทร์กระจ่างด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ราวกับว่าเรื่องที่เราคุยกันเป็นเรื่องของเจ้าเสี่ยวเฮยลูกหมาดำท้ายตรอก
น้อยนักที่อาจารย์จะถามเช่นนี้ หากศิษย์พี่ใหญ่มีใจให้ข้าแม้สักครึ่งส่วน เราคงเป็นคู่สวรรค์สร้างที่ผู้คนในยุทธภพต่างชื่นชมไปนานแล้ว
คิดถึงคราวที่ข้าเข้าพิธีปักปิ่น[5] ตาเฒ่าเคราขาวนักเล่านิทานของเรือนแรมไหลฝูกำลังเล่าเรื่องจอมยุทธ์เทพอินทรี[6]อย่างออกรสออกชาติ เรื่องราวระหว่างอาหญิงผู้นั้นกับกั้วเอ๋อร์ช่างแสนรันทดและตราตรึงใจ ชวนให้คนฟังเศร้าจนน้ำตาไหล
ข้ายังจำได้ว่าคืนนั้นก็เหมือนเช่นคืนนี้ ศิษย์พี่ใหญ่ยืนอยู่บนหลังคา จันทราสุกสกาวลอยอยู่เหนือศีรษะ ชุดขาวพลิ้วสะบัด ฟ้าลิขิตดินอำนวยคนสามัคคี[7] หัวใจของข้าคล้ายถูกผ่าแบะออก จากนั้นก็สื่อความนัยให้เขาอย่างอ้อมๆ ว่า “มิสู้เรามาเลี้ยงอินทรีด้วยกันสักตัว” ศิษย์พี่ใหญ่ปฏิเสธข้าอย่างไร้เยื่อใย เขาคิดว่าแม้แต่นกข้ายังเลี้ยงไม่รอดเลย นับประสาอะไรกับเลี้ยงอินทรี ทารุณสัตว์เปล่าๆ ข้าจึงตระหนักได้ว่าการคุยกับชาวยุทธ์จะพูดจาอ้อมค้อมไม่ได้ จึงเอ่ยตามตรงว่า “ข้ายินดีโบยบินเคียงคู่ท่าน” พอศิษย์พี่ใหญ่ได้ฟัง เท้าก็พลิกทันที เหยียบกระเบื้องหลังคาเรือนพ่อข้าแตกไปสองแผ่น แล้วก็เผ่นแน่บไปเลย
ต่อมาเขาแสดงท่าทีอย่างอ้อมๆ ว่าเขาคิดกับข้าเช่นพี่ชายกับน้องสาว มิได้มีใจปฏิพัทธ์เช่นชายหญิง
อันว่าความรักนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจบังคับฝืนใจกันได้ ข้าเข้าใจดี เพียงแต่เขายังคงทิ้งบาดแผลไว้ในหัวใจอันอ่อนเยาว์ไร้เดียงสาที่คิดเกินเลยของข้า ตอนนั้นข้าสาบานกับตนเองในใจ ใต้หล้าแม่น้ำรั่วสามพันหลี่[8] ข้าจะไม่มีวันเลือกเขาอีกเป็นอันขาด!
ข้าตบไหล่อาจารย์เบาๆ “พูดเช่นนี้ไม่ถูก ศิษย์พี่ขาดตัวปัญหาหมายเลขหนึ่งอย่างข้าไปสักคน ก็ยังอยู่ดีมีสุขได้ทุกวัน”
อาจารย์นึกคำพูดลึกซึ้งเปี่ยมหลักการไม่ออกไปชั่วขณะ ได้แต่เอ่ยกับศิษย์พี่ “ซิวเอ๋อร์ เรื่องของพวกเจ้าอาจารย์จะไม่ยุ่ง เจ้าอธิบายกับนางเองแล้วกัน”
ศิษย์พี่ใหญ่เพิ่งรู้สึกมีส่วนร่วมบ้างก็ตอนนี้ สายตายังคงทอดมองไปไกล แววตาเลื่อนลอย น้ำเสียงแผ่วเบา “เฉี่ยนเอ๋อร์ ข้าสามารถรับเจ้าเป็นภรรยาได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องน้อยเนื้อต่ำใจเช่นนี้เลย”
ข้าเองก็ทอดสายตามองไปไกลเช่นกัน เห็นเพียงสีดำมืดมิดทุกแห่งหน ดังนั้นจึงผละสายตากลับมา “ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจอะไรเลย การได้แต่งงานกับจ้วงหยวนเป็นสิ่งที่สตรีตั้งไม่รู้เท่าใดใฝ่ฝันถึง”
ศิษย์พี่ใหญ่ฉุนขึ้นมา “เจ้ามิใช่สตรีทั่วไปเสียหน่อย!”
ข้าจับทางไม่ถูกว่าคำพูดนี้เขาชมหรือด้อยค่าข้ากันแน่ จึงไม่หือไม่อือ เพียงแค่ถอนหายใจ
หลังจากศิษย์พี่ใหญ่สงบสติอารมณ์ได้แล้วจึงเอ่ยเสียงเนิบ “เจ้ากำลังเอาคืนข้าใช่หรือไม่ ข้า…ข้ายินดีแต่งเจ้าเป็นภรรยา เมื่อก่อนอายุเจ้ายังน้อย ข้าจึงไม่ได้มีความคิดในทางนั้น แต่ตอนนี้เจ้าโตเป็นสาวสะพรั่งแล้ว ข้าย่อมสามารถ…”
น้ำเสียงแผ่วเบาวังเวงของเขาทำเอาข้าฟังแล้วขนลุก ราวกับเราสองคนจะกำลังจะเข้าวิวาห์ผี
ข้ากระดิกขาเลียนแบบอาจารย์บ้าง “ศิษย์พี่ ข้าปล่อยวางได้ตั้งนานแล้ว มิเช่นนั้นด้วยนิสัยของข้า ไหนเลยจะยังให้เป่าเอ๋อร์ตุ๋นพระกระโดดกำแพงมาให้ท่านกินอีก”
ศิษย์พี่คงคาดไม่ถึงว่าจู่ๆ ข้าจะพูดถึงพระกระโดดกำแพงขึ้นมา จึงเงียบไปชั่วขณะ
อาจารย์เห็นเราสองคนต่างฝ่ายต่างชะงักงัน ก็ถอนหายใจยาวเอ่ยว่า “ถามโลกหล้ารักนั้นเป็นฉันใด โลกหล้าตอบว่า เหมือนผายลมแล้วถอดกางเกงนั่นแล”
ข้าอุทานด้วยความทึ่ง มีเพียงปรมาจารย์แห่งอู๋หลิน[9]ผู้ยิ่งใหญ่อย่างอาจารย์เท่านั้น ที่สามารถใช้ความกระจ่างแจ้งในชีวิตวิเคราะห์ความลึกลับของความรักด้วยคำพูดเรียบง่ายทว่าลึกซึ้งเช่นนี้ได้
การชมจันทร์บนหลังคาเป็นการพักผ่อนหย่อนใจของพวกเราศิษย์อาจารย์สามคนมาตลอด แต่นี่ก็เข้าปลายฤดูสารทแล้ว กลางคืนอากาศเย็นจัด ข้าสู้พวกเขาไม่ได้ กำลังภายในของพวกเขาแข็งแกร่ง เกรงว่าต่อให้วิ่งนุ่งลมห่มฟ้าในทุ่งหิมะก็คงไม่รู้สึกหนาว แต่กำลังภายในของข้าใกล้เคียงกับคำว่าไม่มี แผ่นกระเบื้องหลังคาเย็นเฉียบ ข้านั่งจนบั้นท้ายแช่แข็ง กอปรกับนั่งชมจันทร์มาหนึ่งชั่วยาม ดวงจันทร์จะยิ้มให้ข้าสักครั้งก็ไม่มี ส่วนศิษย์พี่ที่อยู่ข้างๆ ยิ่งไม่หันมาแลข้าด้วยซ้ำ ข้าจึงยิ่งง่วง ได้แต่เสนอว่า “ดึกมากแล้ว อาจารย์ท่านก็อายุปูนนี้แล้ว มิสู้รีบกลับไปพักผ่อน?”
อาจารย์ลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง “เฉี่ยนเอ๋อร์ ก่อนแต่งงานพาจ้วงหยวนผู้นั้นมาให้อาจารย์เห็นหน้าค่าตาสักหน่อยสิ”
ข้ายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะให้ฟั่นเทียนหานรู้ความฝันเรื่องท่องยุทธภพของข้าดีหรือไม่ จึงไม่กล้ารับปากอาจารย์ เพียงรับปากไปตามเรื่อง “ไว้ถึงตอนนั้นจะเชิญอาจารย์มาดื่มสุรามงคลแล้วกัน”
ศิษย์พี่ใหญ่ทิ่มแทงข้าด้วยสายตาแค้นเคือง “หวังชิงเฉี่ยน ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นคนได้ใหม่ลืมเก่าเช่นนี้”
เฮ้อ คำพูดคำจาเช่นนี้ไปเอามาจากไหนอีกแล้ว
อาจารย์แจกมะเหงกศิษย์พี่ใหญ่ไปหนึ่งดอก “ต้วนจ่านซิว เจ้าพูดเพ้อเจ้ออะไร! เจ้านี่มันทำบาปไว้แล้วหนีไม่พ้นจริงๆ!”
ในใจข้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง นับวันตาเฒ่ายิ่งเป็นคนมีเหตุผลขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
ศิษย์พี่ใหญ่ทิ้งสายตาขุ่นเคืองมาที่ข้าก่อนจะจากไป อาจารย์ตบหัวข้าเบาๆ อย่างอ่อนโยนแล้วตามเขาไป
และเป็นอีกครั้งที่ข้าต้องนั่งจ๋องอยู่บนหลังคา อยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา รอให้บ่าวที่เฝ้ายามกะดึกผ่านมาช่วย…เพียงแต่คืนนี้บ่าวแอบอู้งาน ข้ารอแล้วรอเล่า รอจนหมดแรง สุดท้ายก็ผล็อยหลับไป
เช้าตรู่วันต่อมา อาเตาตื่นขึ้นมาหุงหาอาหารก็เห็นข้าหลับไม่รู้เรื่องอยู่บนหลังคา จึงเรียกชายฉกรรจ์สามสี่คนมาพาข้าลงไป
โชคไม่ดีที่ข้าถูกลมเย็นจนจับไข้ ตัวร้อนทั้งวันทั้งคืน พ่อข้าจึงเชิญหมอผีมาทำพิธีตรงหน้าเตียงข้า ถึงอย่างไรเรื่องที่ลูกสาวซึ่งควรจะนอนอยู่บนเตียงดีๆ กลับไปโผล่อยู่บนหลังคาเรือนเขาก็เป็นเรื่องเลวร้ายมาก ศิษย์พี่ใหญ่และอาจารย์แอบมาเยี่ยมข้าหลายครั้ง ถือโอกาสที่ข้าไร้เรี่ยวแรงขัดขืน ยัดยาลูกกลอนแปลกๆ ใส่ปากข้าไม่น้อย ฝ่ายหลิ่วจี้ตงกับเป่าเอ๋อร์มาร้องไห้คร่ำครวญราวกับไว้ทุกข์ข้างเตียงข้าแทบทุกวัน ข้าล้มป่วยครั้งนี้ กลับกลายเป็นทำให้สองคนนี้บังเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ ร้องไห้จนหอบตัวโยนไปตามๆ กัน เข้าขากันได้ดีอย่างไม่มีที่ติ ส่วนฟั่นเทียนหานนั้นหมั่นมาเยี่ยมข้าอยู่เสมอ ทุกครั้งจะยืนที่หัวเตียงพูดจาเป็นห่วงเป็นใย ทำนองว่าพักผ่อนให้มากๆ ขอให้หายวันหายคืน และดูเหมือนยังพูดด้วยว่าโชคชะตาช่างกลั่นแกล้งคน ข้ายินดียกถาดเสมอคิ้วกับเจ้า หวังว่าเมื่อถึงตอนนั้นเจ้าจะเข้าใจข้า…ข้าจับไข้จนไม่รู้สึกตัว จึงไม่แน่ใจว่าตื่นอยู่หรือกำลังฝัน แต่ในใจรู้สึกอึดอัดอย่างไร้สาเหตุ
ข้าป่วยอยู่ครึ่งเดือนจึงลุกจากเตียงได้ พอลงจากเตียงไปล้างหน้าหวีผมส่องคันฉ่อง แล้วก็ต้องตกใจ ใบหน้าซูบเซียวนั้นช่างน่าเวทนาจนทนดูไม่ได้
ล้างหน้าหวีผมเสร็จแล้ว ข้ายังคงสังเวชใจกับใบหน้าซูบเซียวนั้นในคันฉ่อง ท่านพ่อส่งคนมาแจ้งข้าว่า งานแต่งงานของข้ากับฟั่นเทียนหานกำหนดเป็นวันที่ห้าเดือนหน้า ข้านับนิ้วดู เหลือเวลาอีกเพียงหกวัน ดังนั้นข้าจึงลากสังขารปางตายนี้ไปต่อว่าเจ้าอ้วนหวัง
ตอนข้าบุกเข้าไปในห้อง เจ้าอ้วนหวังกำลังร่ำสุรากระเซ้าเย้าแหย่กับอี๋เหนียงเก้า ดูสุขสำราญราวกับเทพเซียน สองคนเห็นข้าเข้ามาก็รีบผละออกจากกัน ทำอย่างกับถูกจับได้ว่าเล่นชู้อย่างนั้นแหละ
เจ้าอ้วนหวังมือสั่น “เฉี่ยน…เฉี่ยนเอ๋อร์ เจ้าลุกจากเตียงมาทำไม”
ข้าบุกเข้ามาเร็วเกินไปจึงหน้ามืดเล็กน้อย รีบกว้าเก้าอี้พยุงตัวไว้แล้วนั่งลง แค่นเสียงเย็นชา “ท่านอยากให้ข้านอนแล้วปล่อยให้ท่านหามเข้าจวนอัครเสนาบดีกระมัง”
อี๋เหนียงเก้ารีบรินชายื่นให้ถึงมือข้า “เฉี่ยนเอ๋อร์ เจ้าป่วยหนักเพิ่งหายดี อย่าเพิ่งโมโหเลย”
เจ้าอ้วนหวังทำหน้าละอายใจ “ใช่ๆๆ อย่าโมโหเลย”
ข้าจิบชาอึกหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงเย็น “ข้าเรียกท่านว่าพ่อมาสิบแปดปี หากท่านรังเกียจนัก แค็ก ข้าไม่เรียกก็ได้ แค็ก เหตุใดต้องรีบร้อนผลักไสให้ข้าออกเรือนด้วย แค็กๆ…”
อี๋เหนียงเก้าลูบหลังข้าเบาๆ ให้ข้าผ่อนคลาย “เฉี่ยนเอ๋อร์ ทางจวนใต้เท้าฟั่นเป็นคนกำหนดวันมาเอง บอกว่าระยะนี้เจ้าดวงไม่ค่อยดี มิสู้อาศัยงานแต่งงานเรียกมงคลคู่มาปัดเป่าโชคร้าย พ่อเจ้าเห็นว่าหลายวันมานี้เจ้าล้มป่วยจนสภาพเป็นเช่นนี้ ใต้เท้าฟั่นก็ยังมาเยี่ยมทุกวัน เขารู้สึกซาบซึ้งใจจึงได้ตอบตกลงไป”
ท่านพ่อรีบพยักหน้า “เจ้าคิดดู เขาเป็นถึงจ้วงหยวน อยากได้สตรีเช่นไรก็ย่อมได้ แต่กลับดีต่อเจ้าคนเดียวถึงเพียงนี้ พ่อย่อมไม่อาจปฏิเสธได้”
ข้าค่อยๆ ปรับลมหายใจ ”พูดเสียน่าฟังจริง มิสู้บอกว่าท่านอยากประจบเอาใจผู้ดีใจแทบขาดยังจะตรงกว่า”
ท่านพ่อถอนใจ “เฉี่ยนเอ๋อร์ หากพ่อจัดการเรื่องงานมงคลของเจ้าเพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวแม้แต่น้อยนิด ป่านนี้เจ้าต้องแต่งให้คุณชายสกุลหลิ่วไปแล้ว พ่อเพียงอยากให้เจ้าได้ตบแต่งกับคนดีๆ ที่คอยดูแลเจ้าอย่างดีไปชั่วชีวิต ไม่ให้เจ้าต้องลำบากก็พอแล้ว พ่อเห็นว่าใต้เท้าฟั่นผู้นี้ดีพร้อมทั้งนิสัยใจคอและความรู้ความสามารถ ไม่สนคำครหาที่คนข้างนอกมีต่อบ้านเรา ทั้งยังจริงใจกับเจ้าอีก สามีที่ดีเช่นนี้ พ่อกลัวว่าต่อไปจะไม่มีปัญญาหาให้เจ้าได้อีก จึงรีบตัดสินใจเรื่องวันแต่งงาน”
ข้าสงบสติอารมณ์ได้แล้ว “พวกท่านไม่เห็นหรือว่าสภาพข้าอ่อนแอเช่นนี้ จะเป็นเจ้าสาวได้อย่างไร ข้าว่าเรื่องแต่งงานพักไว้ก่อนชั่วคราว รอข้าหายดีแล้วค่อยหารือกันใหม่”
ท่านพ่อเห็นข้ามีท่าทีอ่อนลงแล้ว จึงยิ้มหน้าบานเอ่ยว่า “เจ้าไม่รู้อะไรเอาเสียเลย ใต้เท้าฟั่นมาเยี่ยมเจ้าทุกวัน เจ้าป่วยจนสารรูปขี้ริ้วขี้เหร่เขาก็เห็นหมดแล้ว ไม่เห็นเขามีท่าทีรังเกียจเลยสักนิด”
แปลกดีแท้ จ้วงหยวนผู้นี้รีบร้อนหาเมียเกินไปหน่อยหรือไม่ เห็นทีคำพูดที่ข้าได้ยินช่วงที่นอนซมติดเตียงจะไม่ใช่ความฝันเสียทั้งหมด ข้าจึงนึกอยากลองทดสอบดู ละครที่มีแรงจูงใจซ่อนเร้นเช่นนี้ ข้าละโปรดปรานนัก มาลองดูกันว่าจ้วงหยวนผู้นี้ขายยาอะไรในน้ำเต้ากันแน่[10]
ตกบ่ายข้านั่งพิงหน้าต่างอาบแดด ตั้งแต่ข้าเรียนวิชายุทธ์กับอาจารย์ก็ไม่ค่อยเจ็บป่วยบ่อยนัก ป่วยหนักครานี้ทำเอาความเศร้าระทมหมองหม่นในตัวข้าสำแดงฤทธิ์เดช แสงตะวันแยงตาข้าจนแห้งผาก จู่ๆ ก็นึกอยากร้องไห้ขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
เสียงเคาะประตูเบาๆ สองสามครั้งดังมา ข้าชะโงกหน้าออกไปทางหน้าต่างมองดู เห็นจ้วงหยวนผู้กระตือรือร้นคนนั้นถือชามกระเบื้องเคลือบยืนอยู่หน้าประตูห้องข้า
ข้าผลุบหัวกลับเข้ามา คำนวณระยะห่างระหว่างหน้าต่างกับประตูสักครู่ เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่อยากเดินไปทั้งอย่างนี้ จึงชะโงกหน้าออกไปทางหน้าต่างอีกครั้ง “คุณชายฟั่น…แค็ก เทียนหาน”
ฟั่นเทียนหานเบนปลายเท้าเดินมาทางข้า พอมาถึงตรงหน้าข้า ก็มุ่นคิ้วถามว่า “เจ้ามานั่งตากลมทำไม”
สายตาเฉียบคมของข้าเหลือบมองชามกระเบื้องเคลือบในมือเขาก่อน ยาต้มในชามดำปี๋เหมือนน้ำหมึกไหวกระเพื่อม ข้ารีบยันกายกระถดหนี ยิ้มหวานพลางเอ่ย “อาบแดดเจ้าค่ะ ในตำราบอกไว้ ดูดซับแก่นแท้แห่งตะวันจันทรา จะยิ่งหายป่วยได้เร็ว”
เขาถาม “ตำราเล่มใดบอกไว้หรือ”
ข้าตอบฉะฉาน “เปิ๋นเฉ่ากังมู่”[11]
ฟั่นเทียนหานเหลือบมองข้า “ไม่มี”
เจ้าเด็กนี่ แม้แต่เปิ๋นเฉ่ากังมู่ ก็เคยอ่านด้วยหรือ คนอะไรกัน
เขายื่นชามในมือมาให้ “นี่ต่างหากเทียบยาที่มีบันทึกในเปิ๋นเฉ่ากังมู่ของจริง รีบดื่มเสียตอนร้อนๆ”
ข้าถอยหลังอีก “อาการป่วยข้าไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว”
เขาพลันหัวเราะ “หรือว่าเจ้ากลัวขม”
ข้ารู้สึกว่าเขาช่างหัวเราะได้ไร้เหตุผลสิ้นดี ใต้หล้ากว้างใหญ่ บางคนกลัวตาย บางคนกลัวจน บางคนกลัวผี…ข้ากลัวขม มีอะไรน่าให้เขาดีอกดีใจขนาดนี้
ข้ากระถดถอยห่างจากหน้าต่างไปอยู่ในจุดที่มือยื่นมาไม่ถึง เอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจ “ได้ยินว่าช่วงที่ข้าป่วยหลายวันนี้ ท่านแวะมาเยี่ยมอยู่เสมอ ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหล”
ฟั่นเทียนหานยืนอมยิ้มอยู่นอกหน้าต่าง “มารับยาไปดื่มก็เท่ากับตอบแทนบุญคณที่ข้ามาเยี่ยมเจ้าทุกวันแล้ว”
นี่นับว่าเป็นบุญคุณอะไรกัน ข้าไม่เคยขอให้เจ้ามาเยี่ยมข้าสักหน่อย เจ้ามาเยี่ยมข้า ข้าก็ไม่ได้หายเร็วขึ้นสักหน่อย จะมาพูดว่าตอบแทนบุญคุณอะไร ฟังไม่ขึ้นเอาซะเลย
เห็นข้าทำหน้าไม่เอาด้วย เขาก็เอ่ยต่อ “ต้องทำเช่นไรเจ้าถึงจะยอมดื่มยา”
ข้าครุ่นคิดสักพัก ดูจากท่าทีของเขาแล้ว หากวันนี้ข้าไม่ดื่มยาชามนี้คงสลัดเขาไม่หลุดแน่ ในเมื่อต้องดื่มอยู่ดี เช่นนั้นก็ได้แต่เริ่มด้วยการลดปริมาณที่ต้องดื่มลง เห็นเขายืนถือชามอยู่นอกหน้าต่าง ทันใดนั้นข้าก็เกิดแผนการในใจ
ข้าค่อยๆ เดินไปนั่งเก้าอี้ ทำท่าหายใจรวยริน “ข้าไม่มีแรงเลย น่ากลัวจะลุกไปเปิดประตูให้ท่านไม่ไหว ท่านกระโดดเข้ามาทางหน้าต่างแล้วกัน”
ข้าไตร่ตรองดูแล้วว่าข้างหน้าต่างไม่มีที่ให้วางยาต้มชามนั้น ไม่ว่าเขาจะกระโดดเข้ามาท่าไหน ยาในชามก็ต้องกระฉอกออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เท่านี้ข้าก็ดื่มน้อยลงไปอีกหลายอึก
เขาได้ยินแล้วพยักหน้า ยื่นมือมายันลายฉลุหน้าต่าง ข้ากะพริบตาทีหนึ่ง เขาก็มายืนยิ้มละไมอยู่ตรงหน้าข้าแล้ว ยาต้มในชามกระเพื่อมเล็กน้อย ไม่ได้กระฉอกออกมาแม้แต่หยดเดียว
มารดามันเถอะ ลืมไปเลยว่าเขาคือจ้วงหยวนบู๊คนปัจจุบัน
ภายใต้การบังคับป้อนยาและอาหารบำรุงทุกวี่วันของฟั่นเทียนหาน ข้าจึงฟื้นตัวแข็งแรงขึ้น ไม่ถึงสามวันก็สดชื่นคึกคักดุจพยัคฆ์มังกรผาดโผนแล้ว
เช้าวันนี้พอกินข้าวเช้าเสร็จ ข้าก็พาเป่าเอ๋อร์ออกไปนอกจวน อ้างว่าจะไปไหว้พระที่วัด ยามนี้ข้าเป็นสตรีมีคู่หมั้นคู่หมายแล้ว การออกไปข้างนอกจึงไม่ง่ายเหมือนเช่นแต่ก่อน
ออกมาแล้วข้าตรงดิ่งไปที่ตลาด เป่าเอ๋อร์วิ่งตามมาพลางตะโกนไล่หลัง “คุณหนู เราจะไปไหว้พระที่วัดหลงซานมิใช่หรือเจ้าคะ”
ข้าตอบโดยไม่เหลียวหลัง “มีอะไรน่าไหว้ หรือว่าข้าต้องขอบคุณที่เขาทำให้ข้าป่วยหนักคราวนี้ด้วยหรือ”
เป่าเอ๋อร์รีบสาวเท้าปรี่เข้ามาปิดปากข้า “ถุยๆๆ คุณหนู อย่าพูดจาส่งเดชสิเจ้าคะ ทวยเทพเป็นผู้ปกปักรักษาท่านให้หายดีเชียวนะ”
ข้าถูกปิดปากแน่นจนหายใจแทบไม่ออก ต้องใช้กำลังอันน้อยนิดเท่าเด็กดูดนมดึงมือเป่าเอ๋อร์ออก นับวันเรี่ยวแรงของนางชักจะยิ่งไร้ขีดจำกัด สมแล้วที่นางเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ยังไม่ผ่านการทะลวงจุดตัน
“ตอนนี้ข้าจะไปกินเสี่ยวหลงเปา ฟังนิทานที่เรือนแรมไหลฝู ในเมื่อเจ้ามีศรัทธาสูงนัก ก็ไปไหว้เทพเจ้าแทนข้าด้วยแล้วกัน”
เป่าเอ๋อร์ตาลุกวาว “ข้าจะไปเรือนแรมไหลฝูด้วย”
ข้าหรี่ตามองนาง “แล้วตอนกลับถึงบ้าน หากท่านพ่อหรืออี๋เหนียงถามเล่า”
เป่าเอ๋อร์เอ่ยอย่างชอบธรรม “คุณหนูกับเป่าเอ๋อร์อยู่ในวัดหลงซานไหว้พระขอพรให้นายท่านตลอดทั้งวันเลยเจ้าค่ะ”
เด็กมีอนาคตสั่งสอนได้
[1] หมายถึง จิตใจโหดเหี้ยม ไม่เหลือความเป็นคน
[2] ชื่อคัมภีร์ยุทธ์ในนิยายกำลังภายในของจินยง (กิมย้ง) ปรากฏครั้งแรกในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักร คิดค้นโดยขันทีผู้หนึ่ง มีจุดเด่นด้านกระบวนท่ารวดเร็วสุดยอด และวิธีการฝึกที่ประหลาดพิสดาร
[3] หน่วยเงินจีนโบราณ 1,000 เหวิน (อีแปะ) เท่ากับ 1 ก้วน (พวง) 1 ก้วน เท่ากับ 1 ตำลึงเงิน
[4] เป็นการลงโทษชายหญิงที่ลักลอบคบชู้กันในสมัยโบราณของจีน
[5] พิธีซึ่งจัดเมื่อเด็กหญิงอายุครบ 15 ปี เพื่อแสดงว่าเป็นหญิงสาวเต็มตัว พร้อมออกเรือนได้
[6] มังกรหยก ตอนตำนานศึกเทพอินทรี มีตัวละครเอกคือเสี่ยวหลงหนี่ว์ (เซียวเหล่งนึ่ง) และหยางกั้ว (เอี้ยก้วย)
[7] หมายถึง จังหวะเวลา สิ่งแวดล้อม และคน สามองค์ประกอบสอดคล้อง คือปัจจัยแห่งความสำเร็จ
[8] มาจากสำนวนเต็ม “แม่น้ำรั่วสามพันหลี่ เพียงหนึ่งจอกดับกระหาย” แปลว่า ต่อให้คนบนโลกนี้มีมากมายนับหมื่นแสน ก็จะขอรักเจ้าคนเดียว ในบริบทนี้เอาเฉพาะท่อนแรกมาใช้ เพื่อสื่อว่าในโลกนี้มีผู้ชายมากมาย ข้าจะไม่มีวันเลือกเจ้าอีกแล้ว
[9] บู๊ลิ้ม (อ่านแบบแต้จิ๋ว)
[10] หมายถึง มีความคิดหรือจุดประสงค์อะไรซ่อนอยู่กันแน่
[11] ตำราเภสัชวิทยาที่เขียนขึ้นโดยหลี่สือเจิน แพทย์หลวงในสมัยราชวงศ์หมิง