[ทดลองอ่าน] อย่าเหยียดเผ่าพันธุ์กันสิ เล่ม 2 บทที่ 51

不要物种歧视
อย่าเหยียดเผ่าพันธุ์กันสิ เล่ม 2

月下蝶影
เย่ว์เซี่ยเตี๋ยอิ่ง
เขียน

นกแก้ว
แปล

— โปรย —

‘พยับเมฆบนท้องนภาหมุนแปรปรวนคล้ายจะบังเกิดอสนีบาต
ฝูหลีมองมังกรทองที่ขวางด้านหน้าตนก่อนแหงนหน้ามองฟ้า’
เขาไม่เคยคาดคิดและก็ไม่เคยคาดหวังมาก่อนว่าวันหนึ่งจะมีใครเอาชีวิตทั้งชีวิตมาปกป้องเขา
หลังจากตัดสินใจเข้าทำงานใน ‘กรมควบคุม’ ความสัมพันธ์ของฝูหลีกับจวงชิงก็รุดหน้า
ทว่าจะอย่างไรก็คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะปกป้องเขาถึงเพียงนี้
การมีใครสักคนร่วมต่อสู้ไปด้วยกันก็ดีเช่นนี้เอง
ไม่ว่าต้องเจอกับปีศาจตนใด หรือเรื่องราวในอดีตที่เลวร้ายสักแค่ไหน
ขอแค่มีใครสักคนยอมเดิน ‘จับมือ’ กันไปก็ใช้ได้แล้ว
ว่าแต่ ‘จับมือ’ เลยเหรอ ปีศาจน้อยใหญ่ในกรมควบคุมจะไม่ว่าอะไรใช่ไหม
แต่ความจริงจะว่าอะไรก็ช่างเถอะ แค่อย่าเหยียดเผ่าพันธุ์กันก็พอแล้ว

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 51

 

เจ้าหน้าที่กรมควบคุมดูแลข้อมูลออนไลน์เห็นข่าวนี้บนอินเทอร์เน็ตก็พูดกับเพื่อนร่วมงานข้าง ๆ “คราวก่อนที่จู่ ๆ มีพายุฝนติดกันหลายวันในมณฑลหนานจวิ้น ดูเหมือนว่ากรมอุตุฯก็โดนด่าที่ประกาศไม่ทันเวลานี่”

“ครั้งนั้นพวกเขาโดนเผ่ามังกรทำพิษไม่ใช่เหรอ” เพื่อนร่วมงานค้นหาเหตุการณ์เหนือธรรมชาติต่าง ๆ ในระบบเครือข่าย ซึ่งในอินเทอร์เน็ตมักจะมีเรื่องราวเหนือธรรมชาติต่าง ๆ ปรากฏอยู่เป็นประจำ แผนกสารสนเทศอย่างพวกเขาต้องคอยมอนิเตอร์แบบเรียลไทม์ เผื่อจะมีภูตผีปีศาจแผลงฤทธิ์จริง ๆ พวกเขาจะได้รับมือได้ทันท่วงที แม้ในความเป็นจริงแล้วบรรดาเรื่องเล่าเหนือธรรมชาติทั้งหลายแทบไม่มีเรื่องไหนเป็นเรื่องจริงสักเรื่อง

เด็กรุ่นใหม่สมัยนี้ว่างไม่มีอะไรจะทำก็ดันชอบอัญเชิญวิญญาณเล่น พอเรียกไม่ออกมาก็บ่นว่าไม่น่าตื่นเต้น ถ้าเรียกผีร้ายออกมาได้จริง มีหวังได้ตื่นเต้นจนวิญญาณหลุดแน่ สมาชิกทีมสารสนเทศเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์ทั้งหมด ระดับตบะของพวกเขาไม่เท่าไหร่ แต่เนื่องจากความเชี่ยวชาญด้านการจัดการกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์บนอินเทอร์เน็ตอย่างเร่งด่วน ไม่ก็การใช้งานคอมพิวเตอร์ ดังนั้นแม้กระทั่งบอร์ดพูดคุยของโลกผู้ฝึกตนก็ได้ช่างเทคนิคในหน่วยงานอย่างพวกเขาเป็นผู้ดูแล

“เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรหรือเปล่า กลางดึกเพื่อนฉันที่เป็นผีฝึกตนโทร.มาบอกว่า ตลาดผีเปิดได้แค่ครึ่งคืนก็ต้องสลายตลาดฉุกเฉิน” เจ้าหน้าที่ดูคลิปวิดีโอที่คล้ายจะเป็นพายุมังกรสูบน้ำ[1]พลางพูดกับเพื่อนร่วมงาน “เมื่อคืนพวกนายไปเที่ยวตลาดกันหรือเปล่าล่ะ”

“ตลาดผีก็เดิม ๆ ทุกปี มีอะไรน่าไป” เพื่อนร่วมงานหาวหวอด “เวลาป่านนี้แล้ว เบื้องบนก็ไม่มีข่าวอะไรลงมาด้วย ต่อให้เกิดเรื่องก็คงไม่ใหญ่อะไร”

“โย่ว กำลังมอนิเตอร์เน็ตอยู่เหรอ” จางเคอเดินเข้ามาด้านหลังคนทั้งสอง เห็นในจอคอมพิวเตอร์กำลังฉายคลิปสั้นพายุมังกรสูบน้ำก็หัวเราะแล้วพูด “นี่มันพายุในทะเลไม่ใช่เหรอ ชาวเน็ตพวกนี้ก็มโนเก่งกันจริง ๆ ขนาดร่างจริงของมังกรยังนั่งเทียนเขียนออกมาได้ แถมยังเล่าเสียเป็นตุเป็นตะ”

หากเป็นมังกรจริง ๆ ด้วยความเร็วและความสูงในการบินของพวกเขา ตาเปล่าของมนุษย์มองไม่เห็นหรอก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเดี๋ยวนี้คุมเข้มมาก ใครกล้าบินบนฟ้าโดยไม่กางอาคมซ่อนตัว วันรุ่งขึ้นก็จะได้รับใบสั่งเป็นกองเอง

“พี่จาง” เจ้าหน้าที่สองคนนั่งตัวตรงทันที “พี่มาได้ยังไงครับ”

“เมื่อคืนฉันถ่ายวิดีโอมา พวกนายเอาไปปรับแต่งตัดต่อทำเป็นคลิปสอนใจผู้ฝึกตนที” จางเคอส่งหินบันทึกภาพให้ “พวกนายลองดูกันก่อน”

เมื่อทั้งสองนำหินบันทึกภาพวางบนรางที่เป็นร่องบุ๋มลงไป ข้อมูลที่อยู่ข้างในก็ถูกส่งเข้าคอมพิวเตอร์อัตโนมัติ ภาพในวิดีโอเป็นลมพายุสีดำกับฝุ่นหินดินทรายปลิวว่อนเต็มฟ้า จากนั้นสัตว์ประหลาดที่โผล่ออกมาในวิดีโอก็ทำให้เจ้าหน้าที่สองคนเหงื่อกาฬแตกพลั่กทั่วตัว

ที่บุกเข้าไปในตลาดผีเมื่อคืนคงไม่ใช่เจ้านี่หรอกใช่ไหม

“พี่จาง นี่มันอะไรน่ะ”

“อวี๋เจียง” จางเคอตบ ๆ บ่าทั้งสองคน “ลำบากหน่อยนะ อย่าลืมว่าต้องตัดต่อให้ดุเดือดเลือดพล่าน จุดจบน่าอนาถของอวี๋เจียงนั่นก็ต้องซูมเน้นทุกมุม ให้ทุกคนในโลกผู้ฝึกตนตระหนักว่าผลของการกระทำชั่วกำเริบเสิบสานจะมีจุดจบยังไง”

สัตว์ประหลาดที่เรียกว่า ‘อวี๋เจียง’ นี่มีจุดจบน่าอเนจอนาถขนาดไหนกันแน่ กระทั่งตายแล้วยังเอามาเป็นเครื่องเตือนใจให้กับทั้งโลกผู้ฝึกตนได้ ขนาดปีศาจบรรพกาลอย่างจูเยี่ยนยังไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เลย

“อ้อ จริงสิ ตัดต่อเสร็จแล้วอย่าลืมส่งไปให้เผ่ามังกรเขียวสักสองชุดนะ” จางเคอยักคิ้วเอ่ย “ฉันว่าพวกเขาจำเป็นต้องดูคลิปพวกนี้ให้มาก ๆ หน่อย”

พอจางเคอจากไปแล้วเจ้าหน้าที่ทั้งสองก็กรอเนื้อหาไปท้ายคลิปทันที ภาพอสนีสวรรค์ที่ผ่าเปรี้ยงลงมาไม่หยุดราวกับกำลังฟาดใส่ตัวพวกเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น ทำเอาพวกเขาอดเสียวสันหลังไม่ได้

มิน่า เบื้องบนถึงอยากให้เอาสิ่งนี้ทำเป็นคลิปเตือนใจ พวกที่ใจเสาะหน่อยดูคลิปนี้มีหวังเกิดเงาฝังใจ แค่เห็นฝนฟ้าคะนองธรรมดาก็กลัวแล้ว

“ตัดต่อคลิปเหรอ ของถนัดของพวกเราละ เอาแบบซูมโคลสอัพเต็ม ๆ จอ แต่งแสงสีเพิ่มบรรยากาศ ปรับภาพให้สดชัดแล้วใส่เพลงประกอบเหมาะ ๆ ภาพความกล้าหาญของเจ้านายกับพี่ฝูต้องโดดเด่นไม่เป็นสองรองใคร โชว์ความชั่วร้ายและกำเริบเสิบสานของอวี๋เจียงออกมาทุกด้าน” เจ้าหน้าที่พูดเล่นไปด้วยพลางย้อนดูคลิปใหม่ตั้งแต่ต้น

“ซี้ด…” ตอนเห็นร่างจริงฝูหลีถูกงูเหลือมเขียวกลืนลงท้อง เจ้าหน้าที่ทั้งสองพากันสูดหายใจเฮือก จวบจนเห็นฝูหลีทะลวงท้องมันออกมาพวกเขาถึงค่อยโล่งอก เมื่อดูคลิปจบถึงได้รู้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น และน่าขนพองสยองเกล้าแค่ไหน

หลังจากนิ่งเงียบไปสักพัก ท่าทีทีเล่นทีจริงของทั้งสองก็ไม่เหลือแล้ว เพื่อนร่วมงานซึ่งเป็นปีศาจแทบเอาชีวิตไปทิ้งเพื่อชาวบ้านด้านล่างภูเขา ในฐานะมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียร หากยังมีแก่ใจหัวเราะได้อีก เช่นนั้นพวกเขาจะต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉาน

การเสริมรายละเอียดให้เด่นเอย ใส่เพลงประกอบเอย เหล่านี้ล้วนเป็นวิธีเพิ่มความน่าสนใจให้กับคลิปวิดีโอ อย่างไรก็ตาม คลิปวิดีโอนี้ไม่จำเป็นต้องตัดต่อใด ๆ ก็ทำให้คนอกสั่นขวัญผวาได้แล้ว

 

เมื่อมีปีศาจแข็งแกร่งอย่างอวี๋เจียงปรากฏตัว แม้จะถูกฟ้าผ่าตายแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นกรมควบคุมก็ต้องรายงานต่อหน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องอยู่ดี สวีย่วนที่กำลังเรียบเรียงเอกสารต่างๆ จึงคว้าตัวจางเคอที่กลับมาจากแผนกสารสนเทศมาเขียนรายงานด้วยกัน

“พี่สาวคนสวยจ๋า คนที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อคืนไม่ได้มีแค่ผมสักหน่อย ทำไมต้องจำเพาะเจาะจงผมด้วย” จางเคอนั่งหน้ายู่พลางปรึกษาสวีย่วนว่าจะเขียนรายงานยังไง

“ฉันไม่กล้าไปหาเจ้านายกับพี่ฝูน่ะสิ วันนี้เว่ยชางก็ไม่เข้างานด้วย” สวีย่วนเคาะแป้นพิมพ์พลางเอ่ย “เมื่อคืนนายดูเหตุการณ์อยู่ข้าง ๆ ในเขตอาคมตลอด ไม่แม้แต่จะออกมา ถ้านายไม่ช่วยแล้วใครจะช่วย”

คนตบะต่ำไม่มีสิทธิ์โต้แย้งหรือไง

จางเคอกวาดตามองรอบ ๆ เห็นห้องทำงานส่วนตัวของเว่ยชางไม่ได้เปิดไฟ ดูแล้วไม่มีคนอยู่ข้างใน

ศิษย์น้องเป็นอะไรไป หรือว่าเมื่อคืนจะได้รับบาดเจ็บ แต่เมื่อคืนก็พากลับไปให้สำนักตรวจดูแล้ว ไม่ได้บาดเจ็บภายในตรงไหนนี่นา

ขณะกำลังใจลอย จางเคอก็เห็นฝูหลีถือนมเปรี้ยวหนึ่งกล่องเดินเข้ามา จึงอาศัยจังหวะนี้ดอดหนีจากสวีย่วน “มาแล้วเหรอครับพี่ฝู”

ฝูหลีถอยหลังไปสองก้าว ปักหลอดดูดนมเปรี้ยวก่อนอึกหนึ่งค่อยตอบ “ต้อนรับอะไรกันแต่เช้า”

แต่ต่อให้ต้อนรับดีกว่านี้เขาก็ไม่แบ่งนมเปรี้ยวให้หรอกนะ นมเปรี้ยวนี่เป็นการคิดค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ มันอร่อยเหลือเกิน

“ไม่เจอหนึ่งวันเหมือนจากกันสามสารทไงครับ” จางเคอยิ้มพลางพูดประจบ “วันนี้ศิษย์น้องผมไม่มาเข้างาน ผมห่วงว่าร่างกายเขาจะเป็นอะไรหรือเปล่า ไม่ทราบว่าจะรบกวนพี่ไปดูให้ผมหน่อยได้ไหมครับ พี่ก็รู้ ตั้งแต่ศิษย์น้องเข้ากรมมาไม่เคยเข้างานสายออกงานเร็วมาก่อน แต่วันนี้จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่มา อาจจะบาดเจ็บภายใน…”

“พี่ฝู ศิษย์พี่ มายืนทำอะไรกันตรงนี้หรือครับ” เว่ยชางดึง ๆ หมวกบนศีรษะพลางมองทั้งสองอย่างสงสัย

ฝูหลีหันไปมอง จากนั้นพูดกับจางเคอว่า “เขาก็ดูแข็งแรงดีไม่ใช่เหรอ”

เว่ยชางก้มหน้าอย่างกระสับกระส่าย หลบสายตาสำรวจจากจางเคอกับฝูหลี

“นี่มันอะไรน่ะศิษย์น้อง” จางเคอเห็นอีกฝ่ายไม่ถอดหมวกเบสบอลออกก็อดไม่ได้เอ่ยถามขึ้น “เช้าตรู่เดือนกันยาแบบนี้แดดไม่แรงสักหน่อย จะใส่หมวกทำไมน่ะ”

เขายื่นมือไปถอดหมวกบนหัวเว่ยชางออก พอเห็นกลางกระหม่อมอีกฝ่ายล้านเลี่ยนไปจุดหนึ่งก็รีบสวมกลับเข้าที่เดิม “เอ่อ…ในแผนกเราก็มีคนหัวล้านไม่น้อยเหมือนกัน นายยังมีผมเหลือเยอะกว่าพวกเขาอีก อย่าน้อยเนื้อต่ำใจไปเลยนะ”

เว่ยชางพูดอย่างห่อเหี่ยว “พี่จะให้ผมไปเปรียบเทียบกับฉู่อวี๋ หลินกุย กับซ่งอวี่เหรอครับ”

จางเคอไอแห้ง ๆ สองที “ไม่เป็นไรหรอก ของนายยังงอกกลับมาได้ แต่ของพวกนั้นทั้งชีวิตนี้ไม่มีหวังเลยนะ”

เว่ยชางมองไปทางด้านหลังจางเคอ จู่ ๆ ก็ยิ้มแปลก ๆ ออกมา

“นายยิ้มอะไรน่ะ” จางเคอหันไปมอง ฉู่อวี๋ที่ยืนอยู่ข้างหลังยิ้มเย็นเยือกให้พวกเขา

ฝูหลีกุมกระเป๋าเสื้อนอกเดินเลี่ยงสงครามระหว่างมนุษย์กับปลาก้าวเข้าไปในห้องทำงานของจวงชิง ซึ่งตอนนี้เจ้าของห้องกำลังคุยโทรศัพท์กับคนจากหน่วยงานความมั่นคงพอดี พอเห็นฝูหลีเข้ามาเขาก็ชี้ไปที่เก้าอี้แถวนั้นแล้วหันไปคุยโทรศัพท์ต่อ

“เรื่องของสวรรค์ มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้” น้ำเสียงจวงชิงมักจะไม่ทุกข์ไม่ร้อนเสมอ คล้ายกับไม่มีความรู้สึกใด ๆ เจือปน “เพื่อนร่วมงานของผมก็ได้รับบาดเจ็บกัน ส่วนวิดีโอเหตุการณ์ผมจะส่งให้พวกคุณทีหลัง”

“อืม” จวงชิงวางสายเรียบร้อยก็หันมามองฝูหลี “มีธุระอะไรหรือเปล่า”

“ไม่มีอะไร ผมแค่จะมาดูว่าแผลคุณเป็นอย่างไรบ้าง” ฝูหลีโยนกล่องนมเปรี้ยวที่กินหมดแล้วทิ้งลงถังขยะ “คุณควรไปพักฟื้นร่างกายที่ใต้ทะเลนะ ถึงบรรพบุรุษเผ่ามังกรทองของพวกคุณจะโชคร้ายประสบเคราะห์ แต่อย่างไรก็ยังเหลือวังมังกรใต้ทะเลอยู่”

“แค่แผลเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร” จวงชิงวางมือถือบนโต๊ะ “คุณกลับไปทำงานเถอะ ผมไม่เป็นไร”

“ช่วงร่างกายกำลังเจริญเติบโตไม่ระวัง เดี๋ยวตอนลอกคราบขึ้นมาแล้วจะเสียใจทีหลังเอาหรอก” ฝูหลีรวบรวมพลังวิญญาณตรงดวงตาหมายจะดูสภาพร่างเดิมของจวงชิง ทว่าอีกฝ่ายมีชะตาเมืองปกปัก เขาจึงมองเห็นไม่ชัดเจน “ผมดูสภาพคุณแล้ว น่าจะลอกคราบเป็นผู้ใหญ่ในเร็วๆนี้ ได้ยินว่าช่วงลอกคราบเพื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ของเผ่ามังกรสำคัญมาก หากไม่ระวังจะกระทบกับตบะหลังโตเต็มวัย”

“คุณรู้เรื่องเผ่ามังกรของผมดีเหมือนกันนะ” จวงชิงมองฝูหลี “หรือว่าเคยตั้งใจศึกษามาก่อน”

ฝูหลีพยักหน้าตามตรง “อืม”

ตอนนั้นเขาตั้งใจศึกษาจุดแข็งและจุดอ่อนของเผ่ามังกรมาอย่างดี หากไม่เพราะตอนหลังเห็นกู่เตียวกับเจิงโดนฟ้าผ่าตายต่อหน้าต่อตา เขาก็คงไม่ล้มเลิกแผนการเดิม

จวงชิงหัวเราะคลุมเครือทีหนึ่ง “ยุ่งไม่เข้าเรื่อง”

ฝูหลีเงยหน้าไม่เข้าใจ หมายความว่าอะไรน่ะ

“ความจริงที่มาในวันนี้ผมมีเรื่องสำคัญมากอยากจะปรึกษาคุณ” ฝูหลีลากเก้าอี้ไปทางโต๊ะทำงานเพื่อเข้าใกล้จวงชิงอีกหน่อย “เมื่อคืนผมกลับไปคิดครึ่งค่อนคืนก็ยังรู้สึกว่าผมไม่ใช่กระต่ายธรรมดาอยู่ดี”

พอเห็นฝูหลีมีความคิดแบบนี้ จวงชิงก็ประสานมือวางบนโต๊ะพร้อมกล่าว “เหตุผลคือ?”

“คุณยังจำเมื่อคืนที่ผมถูกงูเหลือมเขียวกลืนลงท้องได้ไหม”

“จำได้” นิ้วชี้จวงชิงกระตุก “ดังนั้น?”

“แม้งูเหลือมเขียวที่อวี๋เจียงเลี้ยงจะกลายร่างไม่ได้ แต่ก็มีอายุกว่าหมื่นปี หลายปีมานี้ก็ได้รับการกราบไหว้บูชาจากมนุษย์พร้อมกับอวี๋เจียง แล้วจะกลายเป็นผุยผงหลังจากกลืนผมลงไปอย่างไม่มีสาเหตุได้อย่างไร” ฝูหลีขมวดคิ้วพลางทวนความจำ “ผมจำได้ว่าตอนนั้นตัวผมร้อนไปทั้งตัว ได้สติอีกทีก็ปีนออกมาจากท้องงูเหลือมเขียวแล้ว ความรู้สึกตอนนั้นเหมือน…มีอะไรบางอย่างห่อหุ้มร่างกายผมเอาไว้จนสิ่งที่อยู่ข้างนอกไม่สามารถทำอะไรผมได้ง่ายๆ”

“หรือว่าจะเป็นสวรรค์…”

“ไม่มีทาง คุณน่ะคือลูกรักแท้ ๆ ของสวรรค์ ส่วนผมไม่ใช่” ฝูหลีปฏิเสธเด็ดขาด “ไม่เห็นหรือว่าเมื่อคืนตอนฟ้าผ่า ผมลากแค่เว่ยชางหนี ไม่ได้ห่วงคุณ”

จวงชิงเคาะนิ้วชี้บนหลังมือ “ผมนึกว่าคุณเห็นว่าตบะผมสูงกว่าเว่ยชางเสียอีก”

“ต่อให้ตบะสูงแค่ไหนก็รับฟ้าผ่าไม่ไหวหรอก กู่เตียวกับเจิงตบะสูงขนาดนั้น สวรรค์นึกจะผ่าพวกเขาเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครหนีรอดได้” ฝูหลีนึกภาพตอนกู่เตียวกับเจิงถูกฟ้าผ่ากลายเป็นเถ้าธุลีแล้วก็ตัวสั่นเทาขึ้นมาเล็กน้อย “ตอนนั้นผมนึกว่าจะโดนผ่าตามไปด้วยแล้ว หลบอยู่แต่ในเขตอาคมตั้งนานไม่กล้าออกมา”

“จูเยี่ยนบอกว่ากู่เตียวกับเจิงถูกจักรพรรดิปีศาจฆ่า” จวงชิงพลันเข้าใจกุญแจสำคัญอย่างหนึ่ง ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะหนีไม่พ้นสวรรค์ ที่เหล่าจอมปีศาจจำศีลก็เพราะสวรรค์ อย่างนั้นที่พวกเขาพากันตื่นขึ้นมา…ดีไม่ดีก็เกี่ยวข้องกับสวรรค์ด้วย

“ในตำนานจูเยี่ยนเองก็ไม่ใช่ปีศาจที่ซื่อสัตย์อะไร” ฝูหลีเอียงคอคิด “ถ้าว่าตามเหตุการณ์ที่เขาเล่า ยกเว้นเรื่องรูปลักษณ์ที่ไม่สอดคล้องแล้ว ผมก็คือจักรพรรดิปีศาจที่เขาพูดถึง”

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นแค่ปีศาจน้อยที่วัน ๆ ถูกปีศาจบนภูเขาคุมเข้มฝึกบำเพ็ญ ใคร ๆ ในภูเขาก็รังแกได้โดยที่เขาไม่สามารถเอาคืนได้

จวงชิงเกือบจะหลุดขำ สิ่งที่ฝูหลีพูดมาก็มีเหตุผล เรื่องที่จูเยี่ยนเล่า ฝูหลีก็อยู่ในเหตุการณ์พอดี หากเขาไม่ใช่จักรพรรดิปีศาจแล้วยังจะมีใครอีก แต่ด้วยสภาพของฝูหลี…

เขาส่ายหัว เห็นชัด ๆ ว่าอีกฝ่ายเป็นแค่ปีศาจที่ถูกปีศาจทั้งหลายประคบประหงมเสียจนไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไม่รู้จักความโหดร้ายของโลก ปีศาจพวกนั้นเลี้ยงดูฝูหลีจนใสซื่อบริสุทธิ์ยุติธรรมขนาดนี้ หลังจากพวกเขาจากโลกนี้ไปแล้ว ฝูหลีจะมีชีวิตรอดต่อไปได้อย่างไร

“สองพันปีมานี้คุณไม่ได้ข้องแวะกับมนุษย์คนอื่น ๆ เลยเหรอ” จวงชิงคิดว่าหากฝูหลีได้รู้จักกับด้านมืดของมนุษย์แล้ว เขาจะยังรักษาตัวตนแบบตอนนี้ได้อีกหรือไม่

“สองพันปีก่อนผมเคยคิดอยากไปโลกมนุษย์เหมือนกัน แต่พอเห็นกู่เตียวกับเจิงตายต่อหน้า ผม…เกิดกลัวขึ้นมา” ฝูหลีจำที่ปีศาจบนภูเขาพูดกับเขาได้เสมอว่า ไม่ว่าจะเวลาไหน หรือสถานที่ใด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือรักษาชีวิตตัวเอง ถ้าเจอเรื่องที่ไม่เข้าใจก็ให้หาที่ซ่อนนอนก่อน เผื่อตื่นขึ้นมาทุกอย่างจะดีเอง

เขาได้รับการปกป้องมาตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยประสบความยากลำบาก สุดท้ายจึงได้แต่ปฏิบัติตามวิธีที่ปีศาจบนภูเขาสอน หาป่าลึกลับตาคนกางเขตอาคมแล้วนอนหลับ

“หลับตื่นหนึ่งก็สองพันปี ผมแอบดูรายการข่าวในบ้านชาวนาตีนภูเขาถึงได้รู้ว่าโลกนี้เปลี่ยนไปหมดแล้ว” ฝูหลีหลุบตาลง แพขนตาสั่นไหวเบา ๆ “ผมไม่อาจนอนหลับแบบนี้ต่อไปได้ สุดท้ายจึงตัดสินใจออกมาข้างนอก”

เขาไม่มีบรรพตเงาหมอกให้กลับไปอีกแล้ว ไม่มีวานรขาวที่คอยลากเขามาพร่ำบ่นให้ฟังทุกวัน ไม่มีปีศาจตนอื่น ๆ ที่ไล่จับเขากินข้าว หน้าถ้ำก็ไม่มีเสียงจิ๊บ ๆ ของนกกระจอกอีกต่อไป กระทั่งไก่ฟ้าอารมณ์ร้ายก็ไม่สามารถมาลากเขาไปฝึกวิชาด้วยได้แล้ว ในที่สุดเขาก็ได้เริ่มชีวิตเอกเทศโดยไร้ซึ่งกรอบควบคุมจากใครจริง ๆ

สองพันปีก่อนเขาเอาแต่โวยวายว่าตัวเองเป็นปีศาจที่โตแล้ว ตอนนี้พอสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเองจริง ๆ กลับพบว่าไม่มีปีศาจที่นั่งยองๆอยู่ข้างเขา เตะต้นไม้ล้มเพื่อเขา หรือปรบมือร้องชมเวลาเขาออกกระบวนท่าสะบัดแส้ได้สมบูรณ์แบบอีกแล้ว

เมื่อต้องสูญเสียไปจริง ๆ เท่านั้นถึงได้รู้ว่าสิ่งที่เคยครอบครองดีงามเพียงไร

“ผมว่าอาจจะไม่มีจักรพรรดิปีศาจอะไรนั่นเลยก็ได้ แค่จอมปีศาจพวกนั้นวาดหวังให้มีปีศาจที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานออกมาช่วยพวกเขาต่อกรกับสวรรค์ กดขี่มนุษย์ไว้แทบเท้าได้อีกครั้งก็เท่านั้น ถึงเกิดข่าวลือแบบนี้ขึ้นมา” ฝูหลีเงยหน้ายิ้มให้จวงชิง “ถ้าหากมีจักรพรรดิปีศาจจริง ๆ สวรรค์จะปล่อยเขาได้อย่างไร”

“คุณ…” จวงชิงรู้สึกว่ารอยยิ้มของฝูหลีดูเศร้าสร้อยอย่างบอกไม่ถูก ขณะกำลังจะเอ่ยปาก หลินกุยก็เคาะประตูเสียก่อน

“เจ้านายครับ พี่ฝูอยู่กับเจ้านายจริง ๆ ด้วย” หลินกุยพูดกับฝูหลี “พี่ฝู มีผู้ชายชื่อฟู่ซือมาหาพี่น่ะ เขาบอกว่าเป็นเพื่อนเก่าพี่”

“เขา?” ฝูหลีประหลาดใจไม่น้อย คนคนนี้จะมาหาตนทำไม

เขาลุกขึ้นและพูดกับจวงชิง “ผมลองลงไปดูหน่อย”

จวงชิงพยักหน้า รอฝูหลีออกจากห้องไปแล้วจวงชิงก็เอ่ยถามหลินกุย “ใช่ฟู่ซือที่เป็นคู่ค้ากับบริษัทฝั่งมนุษย์ของเราหรือเปล่า”

“เขานั่นแหละครับ” หลินกุยพูดอย่างไม่เข้าใจ “ได้ยิน รปภ.เซียบอกว่าเขามาหาพี่ฝูหลายรอบแล้ว แต่พี่ฝูไม่อยู่ทุกครั้ง ไป ๆ มา ๆ ก็เลยลากยาวมาจนถึงวันนี้”

เมื่อฟังจบจวงชิงก็ขมวดคิ้วไม่พูดอะไร

 

“คุณฟู่เชิญนั่งค่ะ” พนักงานต้อนรับรินชาให้ฟู่ซือ

จู่ ๆ เขาก็ชี้ไปที่ภาพแขวนสาวงามบนผนัง “ภาพนั้นมีกลไกอะไรหรือเปล่าครับ ผมเหมือนเห็นตาของเธอกะพริบ”

พนักงานต้อนรับสาวสวยพูดยิ้มๆ “คุณฟู่สายตาดีจริง ๆ ค่ะ เพื่อให้ภาพพวกนี้ดูสมจริงยิ่งขึ้น พวกเราเลยใส่เทคนิคทางศิลปะนิดหน่อย”

“แบบนี้นี่เอง ดูตอนกลางวันยังดี นี่ถ้าเป็นตอนกลางคืนคงน่ากลัวน่าดู” ฟู่ซือแซวเล่นขำ ๆ “โชคดีที่ผมจิตแข็ง ไม่งั้นคงมีสะดุ้งตกใจเหมือนกัน”

พนักงานต้อนรับสาวยิ้ม ไม่พูดอะไร ผ่านไปไม่กี่วินาที จู่ ๆ เธอก็เอ่ยปากขึ้น “คุณฟู่คะ คุณฝูมาแล้วค่ะ”

ฟู่ซือจ้องมองประตูทางเข้าอย่างแปลกใจ มีคนด้วยเหรอ ทำไมเขาถึงไม่เห็น

ฝูหลีเดินเข้าห้องรับรองมาในจังหวะที่ฟู่ซือกำลังจ้องประตูพอดี เขาหันหลังไปเมียงมองบ้าง “คุณฟู่กำลังดูอะไรอยู่หรือครับ”

“ไม่มีอะไรครับ” ฟู่ซือยิ้มละมุนพร้อมดึงสายตากลับมา “พนักงานบริษัทคุณหูดีจังเลยนะครับ ห่างขนาดนี้ยังได้ยินเสียงฝีเท้าคุณได้”

พนักงานต้อนรับค้อมตัวให้ฝูหลีเล็กน้อย “ดิฉันออกไปก่อนนะคะคุณฝู หากมีอะไรเรียกดิฉันได้ค่ะ”

ฝูหลีพยักหน้า เดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามฟู่ซือ “ไม่ทราบคุณฟู่มาหาผมมีธุระอะไรหรือครับ”

รอยยิ้มบนใบหน้าฟู่ซือจางลงบางส่วน เขายกชาบนโต๊ะขึ้นจิบ “คุณฝูไม่เคยฝันเกี่ยวกับชาติก่อนจริง ๆ หรือครับ”

“นึกไม่ถึงว่าคุณฟู่จะยังเชื่อเรื่องพวกนี้อยู่” มือของฝูหลีที่หยิบขนมชะงัก เขาเงยหน้าพิจารณามนุษย์แปลกหน้าเบื้องหน้าอย่างละเอียด “ขอโทษนะครับ ผมไม่เชื่อเรื่องชาติภพก่อนอะไรเทือกนี้ ต่อให้มีการเวียนว่ายตายเกิดจริง ชาติก่อนก็ควรเป็นเรื่องของชาติก่อน ชาตินี้จะไปเห็นชาติก่อนได้อย่างไร”

ได้ยินคำพูดฝูหลี รอยยิ้มฟู่ซือก็ยิ่งจางลง เขามองไอร้อนที่ลอยกรุ่นจากถ้วยชา “ผมเองก็รู้ว่าเรื่องพวกนี้มันน่าขำมาก ทว่าตั้งแต่ผมเห็นคุณที่โรงแรมคราวนั้น ผมก็ฝันถึงคนคนเดียวกันตลอด คนคนนั้นรูปร่างหน้าตาเหมือนคุณฝูทุกกระเบียด ต่างแค่เขาใส่ชุดแพรสีอ่อนและนิสัยดูเด็กกว่าคุณฝูสักหน่อย ระหว่างผมกับเขาเหมือนเป็น…เหมือนเป็นคนรักกัน”

พอพูดถึงตรงนี้ฟู่ซือก็ยิ้มเยาะตัวเองเล็กน้อย “ผมเองก็รู้สึกว่าความคิดนี้น่าตลก ใครจะไปชอบคนในฝันได้ แถมยังเป็นผู้ชาย สิ่งที่กีดกั้นผมกับเขาไม่ได้มีแค่เรื่องเพศ แต่อาจรวมถึงเวลาด้วย ผมมีชีวิตอยู่ในตึกสูงระฟ้ายุคปัจจุบัน ส่วนเขามีชีวิตอยู่เมื่อไม่รู้กี่ร้อยกี่พันปีก่อน”

ฝูหลีลุกขึ้นโน้มตัวเข้าไปใกล้ ๆ ศีรษะฟู่ซือและดมกลิ่นบนตัวชายหนุ่ม

สีหน้าฟู่ซือลนลานนิด ๆ เมื่อเห็นใบหน้าฝูหลีเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ

“บนตัวคุณมีกลิ่นทะเล” ฝูหลีเอ่ยทันที “ไม่นานมานี้คุณไปทะเลมาหรือเปล่า”

ฟู่ซือพยักหน้าอย่างไม่เข้าใจ “หลังจากเพื่อนผมจัดปาร์ตี้สละโสดที่โรงแรมหยวนเยว่ ก็จัดงานแต่งกลางทะเลบนเรือสำราญต่อ มีอะไรผิดปกติหรือครับ”

“คุณเคยได้ยินปรากฏการณ์ภาพลวงตา[2]ไหมครับ” ฝูหลีพูด “วิทยาศาสตร์อธิบายว่าเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติจากการหักเหของแสง แต่ความจริงแล้วในทะเลมีสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่สามารถสร้างภาพลวงตาได้ มันถึงขั้นล่อลวงสิ่งมีชีวิตเข้าสู่ภวังค์ความฝัน ทำให้แยกความจริงกับภาพมายาไม่ออก”

ฟู่ซือขมวดคิ้วกล่าว “คุณหมายความว่า?”

“ใต้ทะเลลึกมีปีศาจที่เรียกว่าเซิ่น รูปร่างลักษณะของพวกมันคล้ายมังกร แต่ไม่ใช่มังกร มักจะสร้างภาพลวงตาบนทะเลเพื่อล่อนกทะเลมาติดกับและกินพวกมันในคำเดียว” จู่ ๆ ฝูหลีก็เอื้อมมือคว้าฟองอากาศโปร่งใสคล้ายแมงกะพรุนออกมาจากสมองฟู่ซือโดยไม่สนใจสีหน้าตื่นตกใจสุดขีดของอีกฝ่าย เมื่อบีบฟองอากาศแตก ก็ปรากฏฉากเลือนรางทีละตอน ๆ กลางอากาศ

ในภาพเขาสวมชุดแพรหรูหราวิจิตรนั่งกินข้าวร่วมโต๊ะ นอนร่วมเรียงเคียงหมอนกับฟู่ซือ รักใคร่สนิทสนมกันอย่างยิ่งยวด

เมื่อเห็นภาพเหล่านี้แล้วฝูหลีก็หัวเราะหยันออกมาทีหนึ่งอย่างอดไม่ได้ เขาโบกมือปัดภาพกลางอากาศให้หายวับ “เพียงแค่เซิ่นยินยอม มันจะสร้างอดีตชาติอันงดงามให้คุณเท่าไหร่ก็ได้ แต่ถึงกระนั้นของปลอมก็คือของปลอม ไม่มีวันเป็นความจริงไปได้”

“คุณ…คุณเป็นใครกันแน่” รอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าฟู่ซือเลือนหาย ถึงขนาดไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงมีความรู้สึกดี ๆ ให้ชายแปลกหน้าตรงหน้าอย่างอธิบายไม่ถูกได้ “ทำไมคุณถึงรู้จักวิธีประหลาด ๆ เยอะขนาดนี้”

ฝูหลีโบกมือให้ฟู่ซือหมดสติไป ก่อนจะดึงความทรงจำที่เกี่ยวกับตนเองออกมาจากสมองอีกฝ่าย

การที่เซิ่นสามารถสร้างความทรงจำปลอมให้มนุษย์ได้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ปีศาจประเภทนี้ใจเสาะนัก ทั้งที่ใช้ชีวิตอยู่ในท้องทะเล แต่กล้ากินแค่นกทะเลเท่านั้น แล้วเช่นนี้เหตุใดถึงได้สร้างความทรงจำปลอมแบบนี้ยัดใส่สมองมนุษย์กันล่ะ

หรือว่ามีคนรู้ว่าตอนนั้นเขาเคยเลี้ยงมนุษย์ไว้คนหนึ่ง ถึงได้จงใจสร้างเรื่องขึ้นมา

ทว่าเขาเคยกินนอนร่วมกับสัตว์เลี้ยงตอนไหน แถมยังนอนร่วมเตียงกันอีกด้วย

ใช้วิธีการหยาบ ๆ หลอกปีศาจก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ให้มนุษย์มาอ้างเรื่องชาติก่อนชาตินี้กับเขา ไม่รู้ว่ามีจุดประสงค์อะไร หรืออยากให้เขาเลี้ยงสัตว์เลี้ยงอีกครั้งอย่างนั้นหรือ

เขาก้มมองมนุษย์ที่นอนหมดสติบนโซฟาแล้วถอนหายใจ มนุษย์คนนี้ถือว่าโชคร้ายแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าทำไมผู้อยู่เบื้องหลังถึงเลือกคนคนนี้

ฝูหลีเรียกผีรับใช้เข้ามาสั่ง “ส่งคนผู้นี้กลับไปด้วย ระวังอย่าให้เขาพบความผิดปกติ”

“ได้ค่ะคุณฝู” ผีสาวรับใช้สังเกตว่าสีหน้าฝูหลีไม่ค่อยปกติจึงถือวิสาสะถาม “ไม่ทราบว่าคุณฝูจะรีบไปไหนหรือเปล่าคะ”

“ผมอยู่มาสี่พันกว่าปีไม่เคยแวะเวียนไปยมโลกสักครั้ง วันนี้อยากไปเยี่ยมเยียนสักหน่อย” ฝูหลีหยิบร่มกระดูกหยกจากถุงเฉียนคุน จากนั้นเอื้อมมือแหวกอากาศออกเป็นเส้นทางเชื่อมไปสู่ยมโลก

“คุณฝูคะ” ผีสาวรับใช้รีบท้วง “ยมโลกไอหยินรุนแรง คุณ…”

“ไม่ต้องกลัว” ฝูหลีกางร่มกระดูกหยก “ผมแค่ไปขอคำชี้แนะบางอย่างเท่านั้น ไม่นานก็กลับ”

เขาว่าจบก็กระโดดเข้าไปในทางเดินมืดมิดนั้นทันที

ผีสาวรับใช้ตื่นตะลึงก่อนหันหลังวิ่งออกไปข้างนอก เธอจำเป็นต้องแจ้งเรื่องนี้กับคนอื่น ๆ

 

[1] พายุงวงช้างที่เกิดขึ้นกลางทะเล ของไทยเรียก พญานาคเล่นน้ำ

[2] หรือมิราจ ภาษาจีนเรียกว่า 海市蜃楼 (เมืองทะเลตึกเซิ่น) ซึ่งคนโบราณเชื่อว่า ตัวเซิ่นสามารถพ่นไอเป็นภาพลวงตาที่มีลักษณะเป็นตึกหรือเมืองกลางทะเล

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า