มหาวิทยาลัยซอมบี้
Zombies in College
喪病大學
顏涼雨 เหยียนเหลียงอวี่ เขียน
Jpolly Wu แปล
นิยาย 4 เล่มจบ (วางขายเเยกเล่ม)
———————————————————–
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายหนังสือได้ที่เพจ Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
ตอนที่ 33
แสงจันทร์พร่างพราว ปาร์ตี้วันปีใหม่ของกลุ่มเกรียงไกรไม่ย่อท้อห้องหนึ่งเริ่มจากเสียงดังอึกทึก ก่อนกลับสู่ความเงียบสงบ ช่วงสุดท้ายก่อนหมดวันปีใหม่ยังเหลืออีกสิบสามนาที ร่างกายส่งสัญญาณเป็นความง่วงงุนเพื่อบอกว่าควรพักผ่อนได้แล้ว แต่สมองกลับยังคงจมดิ่งอยู่ในห้วงความปีติยินดีที่หลงเหลืออยู่ จนแทบไม่รู้สึกอยากจะดับเครื่องเลย
เฉียวซือฉีและโจวอีลวี่เล่นโกโมคุ [1] อีกครั้ง คราวก่อนเฉียวซือฉีพ่ายแพ้ยับเยิน จึงสาบานว่าคราวนี้จะต้องล้างอายให้ได้ ทางด้านหลี่จิ่งอวี้กำลังเดินอ้อยอิ่งอยู่แถวชั้นวางหนังสือ สำหรับนักศึกษาหลี่ผู้รักหนังสือยิ่งชีพ หนังสือทุกเล่มในคลังหนังสือปิดจึงเปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่าที่เปล่งประกายระยิบระยับ ปรากฏว่าขณะที่เพิ่งดึงหนังสือออกมาหนึ่งเล่ม ยังไม่ทันจะได้พลิกดูชื่อเรื่องด้วยซ้ำ กลับถูกหลัวเกิงดึงตัวออกมาเสียก่อน หลัวเกิงดึงดันจะสอนมวยทหารให้เขาตอนกลางดึกให้จงได้
แต่จู่ๆ หลี่จิ่งอวี้กลับพูดความในใจอย่างตรงไปตรงมา “นายชื่นชมศิลปะการต่อสู้ ส่วนฉันเทิดทูนตำราภาษาศาสตร์ อุดมการณ์ต่าง มิอาจร่วมทาง”
หลัวเกิงขมวดคิ้วจนกลายเป็นรูปเข็มนาฬิกาชี้เวลา 20.20 น. “หนังสือมีอะไรน่าอ่าน”
หลี่จิ่งอวี้ถอนหายใจแผ่วเบา “พี่หลัวอาจจะไม่เข้าใจ ผู้มุ่งมั่นจนแตกฉานโคลงกลอนแลตำรา จะมีพลังสง่าราศีของความรู้เปล่งออกมา”
หลัวเกิงกลอกตาเงียบๆ “น้องหลี่ตื่นเถอะ ตอนนี้จะต้องการพลังสง่าราศีของความรู้ไปทำไม”
“…” หลี่จิ่งอวี้ครุ่นคิดอย่างจริงจัง ก่อนพบว่านี่เป็นคำถามที่เฉียบคมมาก จนกระทั่งตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานใดที่บ่งชี้ว่าซอมบี้จะยอมแพ้ให้แก่ระดับพลังสง่าราศีที่มุ่งมั่นเหนือธรรมดาของมนุษย์ จนละทิ้งความต้องการที่จะไล่กัดแทะมนุษย์จนตายเลย
ครั้งนี้หลัวเกิงเตรียมพร้อมมาอย่างดี จึงจับมือหลี่จิ่งอวี้ขึ้นมาด้วยดวงตาเป็นประกาย แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “เป็นชายชาตรีไยมิจับดาบ ทวงคืนพสุธาห้าสิบแดน น้อมรับผู้กล้าสู่หอหลิงเยียน บัณฑิตฤาจะเหนือคนนับหมื่น [2] ”
หลี่จิ่งอวี้พลันรู้สึกสะท้านใจเป็นอย่างยิ่ง เลือดในอกที่ไหลรินลงมาทำให้ตัดสินใจได้ทันที “นับจากนี้ไป ข้าหลี่จิ่งอวี้ขอละทิ้งความรู้ มุ่งสู่การต่อสู้! ”
ความคิดและจิตใจที่ตึงเครียดได้รับการบรรเทาแล้ว ต่อไปคือต้องไม่พะว้าพะวังกับเรื่องที่ผ่านมาอีกและก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ แต่ว่าท้องฟ้ามืดแล้ว แผนของหลัวเกิงจึงเหลือเพียงการอธิบายท่วงท่าการเคลื่อนไหวต่างๆ ให้หลี่จิ่งอวี้เข้าใจก่อน รอให้ถึงเช้าวันพรุ่งนี้ เมื่อได้ยินไก่ขันยามรุ่งอรุณ ก็จงตื่นนอนไปรำดาบ [3]
หลี่จิ่งอวี้มองดูหลัวเกิงที่กำลังเขียนกระบวนท่าหมัดอหังการ ลูกเตะพิฆาต อาชาทะยาน [4] และกระบวนท่าต่างๆ ลงบนแผ่นกระดาษก็รู้สึกราวกับกำลังชื่นชมยอดฝีมือผู้สาดหมึกสร้างกลยุทธ์ศิลปะการต่อสู้ชั้นสูง อีกทั้งก่อนหน้านี้หลัวเกิงยังใช้กวีเพียงบทเดียวก็สามารถปลุกอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่และเปี่ยมล้นของเขาให้ลุกโชนได้ จึงยิ่งรู้สึกชื่นชมยกย่องไปถึงเก้าสวรรค์ชั้นฟ้า [5] “พี่หลัวเชี่ยวชาญทั้งบุ๋นและบู๊ ถือเป็นมังกรและฟีนิกซ์ท่ามกลางฝูงชน [6] ! ”
ปลายปากกาของหลัวเกิงลื่นไหล จึงวาดลูกเตะพิฆาตซึ่งเป็นกระบวนท่าสุดท้ายได้อย่างยิ่งใหญ่ เขาวางปากกาลง ยกมือขึ้นเกาศีรษะอย่างซื่อๆ ใบหน้าผุดสีแดงเรื่อด้วยความเขินอาย “ไม่ต้องยกย่องกันขนาดนั้นหรอก สิบกว่าปีที่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือมาอย่างยากลำบาก ร่ำเรียนคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีจนหมดจด แถมยังรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วรรณคดี และปรัชญา จะจำกวีโบราณแค่สองบทไม่ได้ได้ยังไงล่ะ”
หลี่จิ่งอวี้ไม่เห็นด้วย “แต่โรงเรียนมัธยมปลายแบ่งออกเป็นสายวิทย์กับสายศิลป์นี่”
หลัวเกิงพึงพอใจ “ถ้าอย่างนั้นก็อย่าเอาสิ่งที่เรียนไปคืนครูสิ”
“ฉันคืนไปหมดแล้ว…” หลี่จิ่งอวี้ก้มหน้าต่ำด้วยความอับอาย ก่อนเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ยืดตัวตรงอีกครั้ง “ไม่สิ ตอนเรียนฉันก็เรียนไม่ค่อยเข้าใจ โดยเฉพาะวิชาฟิสิกส์ แรงโน้มถ่วงเอย ไฟฟ้าเอย แม่เหล็กอีก แล้วยังมีกฎมือซ้าย กฎมือขวาอะไรนั่น ฉันไม่เคยแยกแยะได้เลย! ”
“แยกง่ายจะตาย” หลัวเกิงไม่เข้าใจความยากลำบากในการเรียนของวาฬน้อย “ครูไม่ได้ให้พวกนายท่องสูตรเหรอ”
หลี่จิ่งอวี้ชะงัก “สูตรอะไร”
หลัวเกิงพ่นลมหายใจยาวด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ มือหนึ่งจับปากกาขึ้นอีกครั้ง ส่วนมืออีกข้างจับคอหลี่จิ่งอวี้ “ฉันจะวาดภาพง่ายๆ ให้ดู แล้วนายจะเข้าใจ ซ้ายคือพลังงานไฟฟ้า ขวาปล่อยกระแสไฟ มือขวาเป็นสนามแม่เหล็กรูปเกลียวสว่าน…”
“คิดอะไรอยู่น่ะ”
หลินตี้เหล่ยที่เดินมาพร้อมรอยยิ้มถามเสียงเบา ดึงสติซ่งเฝ่ยที่กำลังเหม่อลอยให้กลับคืนมา ยามนี้เขากำลังซ่อนตัวอยู่ด้านในสุดระหว่างชั้นหนังสือสองแถวที่ไม่สะดุดตาพลางปล่อยให้กระแสความคิดล่องลอยไปไกล
“ไม่ได้คิดอะไร” ซ่งเฝ่ยพูดความจริง หลายวันที่ผ่านมาต้องเผชิญหน้ากับความกังวลและความเศร้าติดๆ กัน ยากนักที่จะเจอคืนที่จันทร์กระจ่างกลบแสงดาวและรอบด้านเงียบสงบแบบนี้ เขาเพียงอยากอยู่นิ่งๆ ว่างๆ สักครู่หนึ่ง “ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ”
หลินตี้เหล่ยพ่นลมหายใจเหมือนชีวิตไร้ความหมาย “สองคนตรงโน้นเป็นบ้าไปแล้ว ฉันเลยมาซ่อนตัว”
ซ่งเฝ่ยชะงักพลางกะพริบตาถี่ “เฉียวซือฉีกับโจวอีลวี่เล่นโกโมคุอีกแล้วเหรอ”
หลินตี้เหล่ยส่ายหน้าอย่างบ้าคลั่ง สุดท้ายก็พูดอย่างคนเห็นสัจธรรมว่า “ฉันขอลบคำวิจารณ์และคำสบประมาทที่เคยมีต่อโกโมคุก่อนหน้านี้ทั้งหมด ถ้าเทียบกับฟิสิกส์ระดับมัธยมปลายแล้ว เล่นโกโมคุก็ถือว่าน่ารักไปเลย”
ซ่งเฝ่ยมึนงง “ชีเหยียนกับหวังชิงหย่วน?” นอกจากเด็กเรียนสองคนนี้ที่ถูกซอมบี้โอบล้อมแล้วยังอุตส่าห์เจียดเวลาไปหาหนังสืออ่านได้ ซ่งเฝ่ยก็ไม่คิดถึงผู้สมัครกลุ่มที่สองแล้ว
คาดไม่ถึงว่าคำตอบจะเป็นกลุ่มที่สอง “หลัวเกิงกับหลี่จิ่งอวี้”
ซ่งเฝ่ยตกใจ “หลี่จิ่งอวี้เรียนคณะอักษรศาสตร์ไม่ใช่เหรอ”
หลินตี้เหล่ยนั่งลง ถอนหายใจอย่างอ่อนแรง “ใช่ แต่ตอนนี้เขากำลังสนใจเอ็มตัวพิมพ์ใหญ่กับเอ็มตัวพิมพ์เล็กละ”
ซ่งเฝ่ยพยายามค้นความทรงจำ แต่ก็นึกไม่ออกเสียที “มันคืออะไรเหรอ”
หลินตี้เหล่ย “ทฤษฎีแรงโน้มถ่วง”
ซ่งเฝ่ย “…”
หลินตี้เหล่ย “…”
นักศึกษาซ่งจากคณะประวัติศาสตร์ “พวกเราเปลี่ยนหัวข้อกันเถอะ”
นักศึกษาหลินจากคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน “ฉันเห็นด้วย”
ความจริงหลินตี้เหล่ยตั้งใจมาหาซ่งเฝ่ยโดยเฉพาะ ถึงแม้เธอจะมั่นใจว่าถูกกระตุ้นด้วยแรงเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้าหรืออะไรบางอย่างจนทำให้เกิดความไม่สบายใจก็ตาม แต่ของพวกนั้นก็แค่ทำให้เธอเดินเข้าหาเป้าหมายเร็วขึ้นเท่านั้น “นายคิดว่าภัยพิบัติครั้งนี้จะผ่านพ้นไปไหม”
ซ่งเฝ่ยพยักหน้าอย่างไม่ลังเล “แน่นอน”
หลินตี้เหล่ยยิ้ม “ดังนั้นเทอมหน้าพวกเราก็ยังต้องเรียนหนังสือต่อ”
ซ่งเฝ่ยยิ้มกว้างให้เธอ พูดอย่างจริงใจว่า “ฉันคิดว่าฉันพอจะตกหลุมรักการเรียนได้แล้วละ”
“แล้วชีเหยียนล่ะ” หลินตี้เหล่ยถาม “ยังตกหลุมรักได้อยู่ไหม”
ซ่งเฝ่ยรับมือไม่ทัน จึงชะงักนิ่งจนดูเหมือนหนูแฮมสเตอร์ที่ตื่นกลัว
หลินตี้เหล่ยหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง “ทำท่าอะไรของนายเนี่ย”
ซ่งเฝ่ยทำหน้าระอา “พี่สาว ก่อนถามคำถามประเภทนี้ก็ช่วยส่งสัญญาณบอกกันล่วงหน้าหน่อยได้ไหม”
หลินตี้เหล่ยเขยิบเข้าไปใกล้ แล้วกระซิบว่า “พูดความจริงกับพี่สาวมาเถอะนะ พี่สาวรับรองว่าจะไม่แพร่งพรายออกไปแน่”
ซ่งเฝ่ยกลืนน้ำลายอึกใหญ่ “สายตาแรงกล้าแบบนี้ ดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่เลยนะ”
หลินตี้เหล่ยผลักศีรษะของซ่งเฝ่ยอย่างเคืองๆ “เป็นผู้ชายหรือเปล่าเนี่ย ทำไมพูดจาอ้อมค้อมชะมัดยาด!”
เมื่อถูกกระทำอย่างรุนแรง ซ่งเฝ่ยจึงจำต้องให้ความร่วมมือ “ฉันยังไม่ได้พูดเลยว่าไม่ชอบ หน้าตาแบบนั้น รูปร่างแบบนั้น ใหญ่…ช่างเถอะ ฉันไม่ขอลงรายละเอียด ใครมองแล้วไม่เจริญหูเจริญตาบ้าง แต่ในเนื้อเพลงก็บอกแล้วว่า รักกันนั้นง่ายดาย แต่อยู่ด้วยกันสิยากยิ่ง ถ้าไม่ใช่ของเธอก็จงอย่าฝืนอีกเลย [7] ”
หลินตี้เหล่ยมองเขาเงียบๆ ผ่านไปนานครู่ใหญ่ จึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “ตอนแรกนายชอบเขา ก็เพราะเขาหน้าตากับรูปร่างดีอย่างนั้นเหรอ”
ซ่งเฝ่ยชะงัก ไม่ได้พูดอะไรออกมา
นอกจากหวังชิงหย่วน คนในมหาวิทยาลัยที่รู้ว่าเขาคบกับชีเหยียนก็มีแค่คนในกลุ่ม แต่รายละเอียดเรื่องที่ว่าเขาทั้งสองคนคบหาเป็นแฟนกันได้อย่างไร ไม่มีใครรู้ความจริงแน่ชัด ตอนแรกทุกคนคาดเดาและวิจารณ์กันเกรียวกราว แต่ต่อมาก็ค่อยๆ ก่อตัวเป็นความเข้าใจตรงกันว่า ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นหนุ่มหล่อขวัญใจทุกคน คงเป็นซ่งเฝ่ยที่เป็นฝ่ายตามจีบแบบทุ่มสุดตัวอย่างแน่นอน
ซ่งเฝ่ยไม่เคยอธิบายให้ใครฟังมาก่อน รวมถึงชีเหยียน
ความจริงประโยคนี้พูดถูกเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
ที่เขาเริ่มรุกจีบก่อนเป็นเรื่องจริง แต่ตอนที่จีบกันในกลุ่มแชต ชีเหยียนและเขาต่างไม่เคยเห็นหน้ากันจริงๆ ไม่เหมือนคนอื่นที่เอะอะก็โพสต์รูปอยู่เสมอ ชีเหยียนในตอนนั้นมีเพียงบัญชีคิวคิว [8] ที่ไม่มีข้อมูลส่วนตัวใดๆ ทั้งสิ้น พวกเขาพูดคุย ทำความรู้จัก สนิทสนม และยืนยันความสัมพันธ์ในกลุ่มคิวคิว หลังจากนั้นจึงค่อยนัดเจอกัน เขาไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ชีเหยียนเคยถามถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาจากคนอื่นหรือไม่ แต่ตัวเขาไม่เคยทำเช่นนั้น
สิ่งที่เขาชอบก็คือชีเหยียนเป็นคนที่ไม่พูดมากในกลุ่มแชต แต่ทุกครั้งที่ส่งข้อความล้วนจริงใจและตรงไปตรงมา ไม่เคยพูดจาโอ้อวดเลย ตอนที่พวกเขาแชตกันแบบส่วนตัว คนคนนี้อยากพูดอะไรก็พูด ปากตรงกับใจ ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคาดเดาความหมายที่อยู่เบื้องหลัง ทั้งยังจริงใจ จึงคุยได้อย่างสบายใจ
แต่แน่นอนว่าหลังจากได้พบหน้ากันโดยไม่คาดคิด การคบหากับหนุ่มหล่อสุดๆ ที่ปากตรงกับใจนั้นก็ได้กลายเป็นดาบสองคมไปเสียแล้ว
“เขาเป็นคนเรียบง่ายมาก” ในที่สุดซ่งเฝ่ยก็ยอมพูดความในใจออกมา “ถ้าจะใช้คำว่าไร้เดียงสากับผู้ชายก็ดูไม่ค่อยเหมาะ แต่ระบบความคิดของเขาบริสุทธิ์ไร้เดียงสามาก ไม่คิดจะเล่นกับความรู้สึกของใคร คิดยังไงก็พูดยังงั้น พูดอะไรก็ทำตามนั้น…” ความทรงจำเก่าๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่นานนักอย่าง “เครื่องใช้ไฟฟ้าทำความร้อน” และที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้อย่าง “จูบฉันหน่อยสิ” ผุดขึ้นมาขัดจังหวะความคิดของซ่งเฝ่ย สุ้มเสียงอันนุ่มนวลค่อยๆ หายไป “แต่นั่นมันก็เป็นอดีตไปหมดแล้ว ให้ตายเถอะ ตอนนี้เขาเรียนรู้แต่เรื่องแย่ๆ ไปซะแล้ว”
หลินตี้เหล่ยแบมือสองข้างพลางยักไหล่ “ใกล้ชาดติดสีแดง ใกล้หมึกติดสีดำไงล่ะ”
ซ่งเฝ่ยจวนจะบ้า “ทำไมพวกเธอถึงชอบพูดแบบนี้นะ เห็นฉันเป็นปลาหมึกหรือไง วันๆ ถึงได้เอาแต่พ่นหมึกดำ!”
หลินตี้เหล่ยโพล่งหัวเราะอย่างพึงพอใจ “โอเค นายไม่ต้องพ่นหมึกหรอก นายแค่อาเจียนเป็นเลือดก็พอ ใครรับนายไว้ก็จะติดสีแดงไปทั้งวัน!”
ซ่งเฝ่ย “…”
“ความจริงฉันอยากจะบอกว่า หากนายยังชอบเขาอยู่ก็ให้โอกาสเขาอีกสักครั้งเถอะ” หลินตี้เหล่ยพูดถึงตรงนี้ก็เงียบไปชั่วครู่ รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “นายอาจคิดว่าฉันเข้ามายุ่มย่ามมากเกินไป แต่ฉันกับชีเหยียนรู้จักกันมานานขนาดนี้ ไม่เคยเห็นเขาให้ความสำคัญหรือพูดจาหวานเลี่ยนกับใครมาก่อนเลยจริงๆ นะ เขาทำเหมือนให้ไปแล้วทั้งใจ ต่อให้นายด่าเขาแค่หนึ่งประโยค เขาก็จะเจ็บปวดใจไปอีกนานเลย”
ซ่งเฝ่ยถามอย่างจริงจัง “เจ็บปวดใจ เธอมองออกได้ยังไงเนี่ย” แต่ทำไมในความทรงจำของเขาถึงนึกออกแต่ภาพจมูกของอีกฝ่ายที่เชิดหยิ่งขึ้นฟ้าล่ะ
“ไม่ต้องย้อนความไปไกลนะ อย่างเมื่อเช้านี้ นายเจอซอมบี้ในห้องเก็บเอกสารไม่ใช่เหรอ” หลินตี้เหล่ยกล่าว “ตอนที่พวกเราย้อนกลับไปที่คลังหนังสือปิด ไม่มีใครรู้เลยว่าสมาชิกหายไปหนึ่งคน ทุกคนกำลังล้อมวงตรวจสอบอาหารที่ยึดมาได้ มีแค่เขาเท่านั้นที่สังเกตเห็นทันที แล้วก็พุ่งตัวออกไปปีนระเบียงขึ้นไปหานายอย่างบ้าคลั่ง ทำเอาพวกเราตกใจแทบแย่แน่ะ”
ซ่งเฝ่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเงยหน้าขึ้น “ฉันสนใจปัญหาที่ว่าคนอื่นๆ ไม่รู้ว่าสมาชิกหายไปหนึ่งคนมากกว่า…”
“เอ่อ” หลินตี้เหล่ยแบมือพลางยักไหล่ “อย่าสนใจรายละเอียดเรื่องนี้เลย”
ซ่งเฝ่ย “นี่ต่างหากเล่าที่เป็นประเด็นสำคัญจริงๆ น่ะ! ”
แน่นอนว่าหัวข้อถูกเปลี่ยนกลับมาเป็นประเด็นสำคัญแล้ว ที่จริงความหมายของหลินตี้เหล่ยนั้นเรียบง่ายมาก หากอยากรู้ว่าใครดีต่อตนเองหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องสนใจสิ่งที่เขาพูด แต่จงดูสิ่งที่เขากระทำ
“นายจะทำอะไร” หลินตี้เหล่ยยังพูดไม่ทันจบก็เห็นซ่งเฝ่ยผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
“หาคน” ซ่งเฝ่ยทิ้งท้ายไว้แค่นั้น จากนั้นก็เดินไปโดยไม่หันกลับมามอง
หลินตี้เหล่ยยกยิ้มด้วยความโล่งใจ
ซ่งเฝ่ยเข้าไปสำรวจชั้นวางหนังสือที่อยู่ด้านข้างทีละแถว กระทั่งมาถึงแถวที่สองและสามจากด้านหลัง จึงได้ยินเสียงดังมาจากช่องว่างระหว่างแถวหนึ่งกับแถวสอง เป็นเสียงของชีเหยียน
“ปีนขึ้นไปบนต้นไม้”
ซ่งเฝ่ยถึงกับไปต่อไม่ถูก ขณะคิดว่าชีเหยียนกำลังทำบ้าอะไรอยู่ก็ได้ยินเสียงอีกคนหนึ่งพูดว่า
“จากนั้นล่ะ จะกลับไปยังไง”
หวังชิงหย่วน!
ซ่งเฝ่ยเลิกคิ้วด้วยความสงสัยพลางสงสัยว่าสองคนนี้มาอยู่ด้วยกันได้ยังไง แล้วก้าวเท้าไปโดยไม่รู้ตัว พร้อมกับเงี่ยหูไปฟังที่ชั้นหนังสือ
ชีเหยียน “ฉันมีวิธี”
หวังชิงหย่วน “นายมันขี้โม้”
ชีเหยียน “นายมีอคติกับฉัน”
หวังชิงหย่วน “นายมั่นใจในตัวเองมากเกินไปแล้ว ไม่สิ นายมันจองหองพองขน”
ชีเหยียน “คุยเรื่องแผนก็คุยเรื่องแผนสิ ทำไมนายต้องพุ่งเป้ามาที่ฉันตลอดเลย”
หวังชิงหย่วน “เปล่าสักหน่อย ก็ว่ากันไปตามเนื้อผ้า”
ชีเหยียน “นายเหลือบมองฉันสามสิบเจ็ดครั้งแล้ว ใช่ สายตาแบบนี้เลย มีทั้งความรังเกียจแล้วก็ดูถูกกัน”
หวังชิงหย่วน “นายนี่ประสาทสัมผัสไวชะมัด”
ชีเหยียน “เพราะนายมองแบบโต้งๆ ต่างหาก”
หวังชิงหย่วน “ไม่รู้ว่าซ่งเฝ่ยชอบนายเข้าไปได้ยังไง ชิ ก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้นสักหน่อย”
ชีเหยียน “หืม?”
หวังชิงหย่วน “นายเลิกกับเขาแล้วก็เลิกยุ่งกับเขาสักทีสิ”
ชีเหยียน “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วยล่ะ”
หวังชิงหย่วน “เขาคือเพื่อนที่สนิทที่สุดของฉัน…”
กระแสความอบอุ่นแล่นวาบขึ้นในหัวใจของซ่งเฝ่ย เขาคิดว่าหวังชิงหย่วนรังเกียจเขามาโดยตลอด เพราะทุกครั้งที่อีกฝ่ายพยายามโน้มน้าวให้เขาตั้งใจเล่าเรียน เขากลับทำท่าทางเหมือนหมูตายที่ไม่กลัวน้ำร้อนลวก [9] อีกฝ่ายจึงพูดอย่างมากสุดก็เพียงสองหรือสามประโยคเท่านั้น จากนั้นก็ไม่สนใจไยดีอีก เขาคิดว่าเป็นเพราะต้องอยู่ร่วมห้องกัน อีกฝ่ายจึงเป็นเพื่อนกับเขาด้วยความจำยอม แต่ไม่เคยคิดเลยว่า…
“ถึงแม้เขาจะไม่มีความมานะพยายาม ไม่เรียนหนังสือ เอาแต่กินกับนอน มีชีวิตอยู่ไปวันๆ แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายโดยสันดาน”
มาตรฐานของเพื่อนรักต่ำเกินไปแล้ว!!!
“และเขายังมีข้อดีที่คนอื่นไม่มีอีกมาก…”
จะกลับมาชมตอนนี้ก็ไม่ทันหรอกนะ!
“จิตใจดี มองโลกในแง่บวก สดใสร่าเริง มีชีวิตชีวา จริงใจต่อผู้อื่น…”
ก็ได้ ฉันยกโทษให้นาย
“ทั้งหมดนี้ฉันก็รู้ดี” ชีเหยียนขัดจังหวะหวังชิงหย่วน “ไม่อย่างนั้น นายคิดว่าทำไมฉันถึงคบกับเขาล่ะ”
หวังชิงหย่วน “ทุกคนล้วนมีข้อดีข้อเสียปะปนกันไป นายไม่ควรชอบใครเพราะข้อดี แล้วไปบังคับให้อีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อเสียของตัวเอง”
ชีเหยียน “ข้อเสียไม่ควรแก้ไขให้ถูกต้องรึไง”
หวังชิงหย่วน “ควรสิ แต่ในเมื่อแก้ไขไม่ได้ นายก็แค่ต้องยอมรับมัน”
ชีเหยียน “แล้วถ้าฉันไม่ยอมรับล่ะ”
หวังชิงหย่วน “ถ้าอย่างนั้นนายก็ยอมโดนเตะซะเถอะ”
ชีเหยียน “…”
หวังชิงหย่วน “อีกอย่างนายคิดว่าตัวเองไม่มีข้อเสียหรือไง ซ่งเฝ่ยขาดทักษะในการสรุปความ งั้นฉันขอพูดแทนเขาว่านายมันเป็นพวกเผด็จการ อีคิวติดลบ เย็นชา โดยพื้นฐานแล้วคือขาดทักษะในการทำให้คนรักมีความสุข”
ชีเหยียน “หนึ่งคืนฉันทำได้สามรอบ”
หวังชิงหย่วน “…ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น!”
ชีเหยียน “โทษที นายพูดต่อเลย”
หวังชิงหย่วน “เมื่อกี้ฉันพูดถึงไหนแล้ววะ บ้าเอ๊ย!”
สำหรับเด็กเรียนผู้ไม่เคยแม้แต่จะลิ้มรสการมีรักครั้งแรกมาก่อน การที่จู่ๆ ถูกลากเข้าเรื่องลามกโดยไม่ทันได้เตรียมใจถือเป็นเรื่องที่โหดร้ายอย่างยิ่ง
ชีเหยียนเองเมื่อตระหนักได้ถึงความโหดเหี้ยมของตนเองก็บังเกิดความเห็นอกเห็นใจ จึงเอ่ยเตือนอย่างจริงใจว่า “นายบอกว่าฉันขาดทักษะในการทำให้คนรักมีความสุขงั้นเหรอ”
หวังชิงหย่วนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อบรรเทาความว้าวุ่นภายในใจของตนเอง “ใช่ พูดง่ายๆ ก็คือนายไม่เคารพเขา”
ริมฝีปากของชีเหยียนเม้มเป็นเส้นตรงบางเฉียบ เขานั่งตัวตรง ตั้งใจฟังอย่างยินดี
หวังชิงหย่วนกล่าวต่อ “นายชี้ให้เขาเห็นข้อเสียได้ แต่นายจะเอาความมุ่งมั่นตั้งใจของตัวเองไปยัดใส่หัวเขาไม่ได้ ถึงแม้เมื่อก่อนฉันจะไม่รู้จักนาย และสิ่งที่ได้ยินมาอาจเป็นความข้างเดียวจากซ่งเฝ่ย แต่ว่าวิธีการพูดทั้งหมดนั้นคือการบังคับกัน เขาคงไม่ได้พูดขึ้นมาโดยไม่มีมูลความจริงเลยหรอก”
ชีเหยียนนึกย้อนความทรงจำอย่างละเอียด ก่อนพยักหน้าด้วยความละอายใจ “มันก็จริง”
หวังชิงหย่วนยักไหล่ “นี่ไงคือปัญหา คนสองคนคบกันถือเป็นความเท่าเทียม ไม่มีใครถูกหรือผิดไปทั้งหมด นายอย่าเอาแต่คิดจะเปลี่ยนแปลงทัศนคติของซ่งเฝ่ยอย่างเดียว นายเป็นคนรัก ไม่ใช่อาจารย์ นายเอาแต่ยืนอยู่ในที่สูง ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปความสัมพันธ์ก็จะเสียสมดุล ไม่แปลกหรอกที่นายจะถูกเขี่ยทิ้ง”
ชีเหยียนนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ทันใดนั้นก็ถามว่า “ทำไมนายถึงมาพูดเรื่องนี้กับฉัน”
หวังชิงหย่วนขมวดคิ้ว ใช้นิ้วดันแว่นตาเล็กน้อยราวกับเพิ่งตระหนักได้ถึงปัญหาข้อนี้เช่นเดียวกัน จึงเอ่ยด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อยว่า “ตอนแรกฉันก็ไม่อยากพูดหรอก แต่หลังจากได้พูดคุยกับนายเยอะขึ้น ฉันคิดว่านายก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ซ่งเฝ่ยว่า เพราะก็ยังมีข้อดีอยู่ ถ้าไม่พูดถึงเรื่องอื่นนะ อย่างแค่นายกล้าเผชิญหน้ากับคำวิพากษ์วิจารณ์ก็ถือเป็นความใจกว้างที่หาได้ยากแล้ว…เดี๋ยวนะ ตอนนั้นเขาหมายถึงใจใหญ่ใจกว้างหรอกเหรอ”
ชีเหยียน “หืม?”
ทำไมทุกครั้งที่หวังชิงหย่วนพูดคำว่า “ใหญ่” เขามักจะฟังไม่ค่อยเข้าใจนะ
“ช่างเถอะ” หวังชิงหย่วนส่ายหน้า “ยังไงก็ตาม ฉันยังคิดว่าพวกนายสองคนไม่เหมาะสมกัน แต่ถ้าให้ตายนายก็จะขอคืนดีให้ได้ ทางที่ดีก็ควรปรับเปลี่ยนทัศนคติของนายซะ”
ชีเหยียน “นายเป็นเกย์เหรอ”
หวังชิงหย่วน “หา?”
ชีเหยียน “นายเป็นเกย์รึเปล่า”
หวังชิงหย่วน “ฉันดูเหมือนเกย์หรือไง”
ชีเหยียน “มาก”
หวังชิงหย่วน “แม่ฉันก็คิดงั้นเหมือนกัน แต่ฉันไม่ใช่เกย์จริงๆ นะ”
ชีเหยียน “ถ้าอย่างนั้นเราก็เป็นเพื่อนกันได้ แล้วก็ฝากทักทายคุณป้าแทนฉันด้วยละ”
หวังชิงหย่วน “…ใครเขาจะยอม make friend [10] กับนาย!”
ซ่งเฝ่ยที่อยู่ตรงชั้นวางหนังสือลอบยิ้มกว้าง นี่คือชีเหยียนที่เขาไม่คุ้นเคยและคือหวังชิงหย่วนที่เขาไม่รู้จัก คนแรกน่ารัก คนหลังอ่อนโยน หวังชิงหย่วนบอกว่าชีเหยียนไม่เคารพเขา ไหนเลยจะอภัยให้ชีเหยียนอีกครั้งได้ ซ่งเฝ่ยมักจะรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่เสมอ เขาเหนื่อยกับความสัมพันธ์นี้จะตายอยู่แล้ว แต่เมื่อกระโดดออกมา แล้วมองจากนอกวงกลับได้เห็นมุมมองอีกแบบหนึ่ง
หลินตี้เหล่ยเคยถามเขาว่าหนทางข้างหน้าไม่แน่นอน จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ ถึงตอนนั้นเขาจะไม่รู้สึกเสียใจเหรอ เขาก็ให้คำตอบได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ความจริงเพียงหนึ่งเดียวคือ เขาไม่อยากตาย เขาไม่เคยหวังอยากมีชีวิตมากเท่านี้มาก่อน ทั้งโหยหาความดีใจ ความโกรธ ความเศร้าโศก และความสุข โหยหาครอบครัว มิตรภาพ และความรัก โหยหาการเข้าเรียน โหยหาการถูกอาจารย์เช็กชื่อ โหยหาการได้ชื่นชมดอกไม้ นก ปลา และแมลงในมหาวิทยาลัยอีกครั้ง
ความปรารถนาอันแรงกล้าและเปล่งประกายนี้แทบจะขจัดความกลัวและความมืดมิดทั้งหมดไปได้เลย
ณ สนามแข่งขันโกโมคุ
เฉียวซือฉี “ทำไมเหมือนฉันได้ยินเสียงคนพูดภาษาอังกฤษเลย”
โจวอีลวี่ “สองต่อสาม นายตายอีกแล้ว”
เฉียวซือฉี “Fuck!”
ภายในห้องเรียนวิชาฟิสิกส์
หลี่จิ่งอวี้ “ทำไมง่ายแบบนี้ล่ะ”
หลัวเกิง “ก็ง่ายๆ แบบนี้แหละ”
หลี่จิ่งอวี้ “คุณครูฟิสิกส์สมัยมัธยมปลายของฉันอาจจะย้ายมาจากภาควิชาพลศึกษาก็ได้นะ”
บนชั้นวางหนังสือ
หลินตี้เหล่ยนอนแผ่อยู่บนที่สูงอย่างเงียบเชียบ เฝ้ามองซ่งเฝ่ยที่กำลังแอบฟังพลางยกยิ้มโง่ๆ อยู่บนพื้นทางเดิน จากนั้นก็มองเลยผ่านไปด้านหน้าด้วยความรู้สึกแปลกตา มีชีเหยียนและหวังชิงหย่วนที่อาจกำลังพูดถึงวิธีการเรียนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด มองไปแล้วก็เหมือนกับแรงดึงดูดของแม่เหล็กขั้วบวกกับขั้วลบที่ยากจะแยกออกจากกัน หลินตี้เหล่ยเผลอขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
ลมเหนือนอกหน้าต่างทวีความหนาวเย็นจนเข้ากระดูก อากาศหลังจากกลางดึกกำลังจะแปรเปลี่ยนเป็นอึมครึม เช้าวันพรุ่งนี้จะนำพาหิมะแรกของต้นฤดูหนาวมาเยือน แต่ในเวลานี้นักศึกษาเกรียงไกรไม่ย่อท้อห้องหนึ่งยังคงไม่รับรู้การมาถึงของมัน
[1] เกมกระดานชนิดหนึ่ง นิยมใช้กระดานและเม็ดหมากล้อมในการเล่น โดยผู้เล่นสองฝ่ายจะผลัดกันวางหมากสีของตนเองให้เรียงกันในแนวนอน แนวตั้ง หรือแนวทแยงติดต่อกันให้ได้ห้าตัว ใครทำได้ก่อนจะเป็นผู้ชนะ
[2] บางส่วนจากบทประพันธ์ อุทยานหนานหยวนสิบสองบท ประพันธ์โดย หลี่เฮ่อ กวีสมัยราชวงศ์ถัง
[3] สำนวนจีน หมายถึง ผู้ที่มีความมุ่งมั่นมักจะตื่นเช้าเพื่อฝึกปรือความสามารถต่างๆ
[4] หมัดอหังกา ลูกเตะพิฆาต และอาชาทะยาน คือ ชื่อกระบวนท่าต่างๆ ของมวยทหาร
[5] เป็นการชื่นชมว่ายอดเยี่ยมมาก โดยการเปรียบเทียบกับสวรรค์ซึ่งมีเก้าชั้น
[6] เป็นคำกล่าวชื่นชมยกย่องว่ามีความสามารถเหนือกว่าคนทั่วไป เพราะมังกรเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจ ส่วนนกฟีนิกซ์เป็นสัญลักษณ์ของความอดทน ไม่ยอมแพ้ และพร้อมจะฟื้นคืนชีพอย่างแข็งแกร่งขึ้นมาจากเถ้าถ่านของตนเอง
[7] เพลง ใจอ่อนเกินไป ขับร้องโดย เริ่นเสียนฉี
[8] QQ คือโปรแกรมรับส่งข้อความทางอินเทอร์เน็ตของประเทศจีน
[9] หมายถึง ไม่มีความยำเกรงต่อสิ่งใดทั้งสิ้น
[10] แปลว่า คบหากันเป็นเพื่อน