[ทดลองอ่าน] มหาวิทยาลัยซอมบี้ (Zombies in College) ตอนที่ 34

มหาวิทยาลัยซอมบี้
Zombies in College 

喪病大學

 

顏涼雨 เหยียนเหลียงอวี่ เขียน
Jpolly Wu แปล

 

นิยาย 4 เล่มจบ (วางขายเเยกเล่ม)

 

———————————————————–

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายหนังสือได้ที่เพจ Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

ตอนที่ 34

ชีเหยียนตื่นจากฝันร้ายที่ถูกผีกดไว้กับเตียง เมื่อเขาลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือท้องฟ้ายังคงมืดมิด แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พบว่าฟ้าสว่างแล้ว เพียงแต่ท้องฟ้าไม่แจ่มใส ไม่ค่อยมีแดด แม้แต่แสงในห้องสมุดก็ยังมืดสลัว

ชีเหยียนยกต้นขาของโจวอีลวี่ที่พาดทับอยู่บนหน้าท้องของตนออกโดยปราศจากความอ่อนโยนใดๆ นักศึกษาโจวขมวดคิ้วก่อนพลิกตัว เขาส่งเสียงอู้อี้ออกมาไม่ดังนัก แล้วจมดิ่งสู่ห้วงนิทราต่อ

ชีเหยียนลุกขึ้นนั่ง เสื้อขนเป็ดที่คลุมร่างกายร่นไปอยู่ที่หน้าขา ความจริงสหายคนอื่นๆ ยังคงนอนหลับสนิทด้วยท่าทางสงบนิ่ง สวยหวาน กังวล และ…ตะกละ

ชีเหยียนเผลอชื่นชมน้ำลายที่ไหลลงมาราวสามพันฟุต [1] ของนักศึกษาซ่งอย่างเพลิดเพลิน ต่อมาเขาก็ตระหนักได้ว่าออกจะดูโรคจิตไปสักหน่อย จึงถอนสายตาไปอย่างไม่เต็มใจนัก

เขากดโทรศัพท์มือถือของโจวอีลวี่ บนหน้าจอที่ล็อกอยู่แสดงตัวเลข 8.01 น. ตามเวลาปักกิ่ง

นับตั้งแต่ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ตารางการใช้ชีวิตและพักผ่อนของชีเหยียนก็ยุ่งเหยิงมาก ตอนแรกร่างกายยังดำเนินไปตามนาฬิกาชีวิตแบบที่ผ่านมา แต่การวิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอดนั้นไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว ความตึงเครียดของเส้นประสาท อีกทั้งสภาพแวดล้อมที่เกือบจะปิดสนิทในห้องสมุด ทำให้การรับรู้เวลาของเขาค่อยๆ พร่าเลือน

เมื่อคืนทุกคนนอนดึกมาก เพราะหลังจากล้มตัวนอนลงแล้ว ไม่รู้ว่าใครผงกหัวขึ้นมาคิดแผนบุกโรงอาหาร เดิมทีพวกเขาเพียงแค่อาศัยบรรยากาศอันรื่นเริงของงานเทศกาลมาจินตนาการไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น แต่คุยกันไปคุยกันมา สุดท้ายทุกคนก็เลยปรึกษากันจนได้แผนการหนึ่งซึ่งพอจะเป็นไปได้เสียอย่างนั้น

ความสุขที่ไม่คาดคิดจากสิ่งที่ไม่ได้คาดหวังทำให้ทุกคนรู้สึกตื่นเต้น เมื่อพิจารณาจากการที่ตอนนี้พวกเขายังมีเสบียงอยู่ แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร อีกทั้งโรงอาหารยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่เสี่ยงว่าจะมีการแข่งขันสูง หากชิงลงมือก่อนย่อมดีกว่ามัวชักช้า จึงให้ทุกคนยกมือโหวต ผลคือมีคะแนนเสียงเห็นด้วยหกเสียง ไม่เห็นด้วยหนึ่งเสียง และงดออกเสียงหนึ่งเสียง มติที่จะเริ่มปฏิบัติการในคืนพรุ่งนี้จึงเป็นอันผ่านฉลุย

หลี่จิ่งอวี้ที่รู้สึกหดหู่นิ่งเงียบไปนาน เฉียวซือฉีที่ไร้ความรู้สึกไปแล้วจึงโอบไหล่เขาเป็นเชิงปลอบโยน “ไม่เป็นไรนะ ฉันกับโจวอีลวี่ก็ปีนต้นไม้ไม่เป็นเหมือนกัน รอให้คนอื่นปีนเสร็จแล้วค่อยใช้เชือกดึงขึ้นไปก็ได้” โจวอีลวี่ที่จู่ๆ ก็ถูกลากเข้าไปติดร่างแหด้วยเลยถอดรองเท้าเขวี้ยงออกไป ทว่าเฉียวซือฉีผู้มีประสาทสัมผัสยอดเยี่ยมกลับหลบได้ทันที สุดท้ายพื้นรองเท้าจึงจุมพิตลงบนหน้าผากของระเบิดน้อยพอดิบพอดี

เหตุการณ์ต่อจากนั้นชีเหยียนไม่อยากจดจำอีกต่อไปแล้ว ด้วยเกรงว่าจะทำให้ความเชื่อมั่นในชีวิตของตนเองต้องสั่นคลอน

หลังจากสวมเสื้อขนเป็ด ชีเหยียนก็ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง อากาศด้านนอกขมุกขมัวและมืดครึ้มเหมือนช่วงเวลาพลบค่ำ เกล็ดหิมะมากมายถูกพัดพาไปตามกระแสลม บางส่วนตกลงบนขอบหน้าต่าง บางส่วนตกกระทบกระจก แต่ส่วนใหญ่ยังคงลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ไม่รู้จะล่องลอยไปในทิศทางใดและไม่รู้ว่าลอยมาจากที่แห่งไหน ยากที่จะรู้ว่าหิมะเริ่มตกตั้งแต่เมื่อไร เนื่องจากเกล็ดหิมะบางและเล็กเกินไป ไม่ว่าจะตกลงที่ใดก็ละลายกลายเป็นคราบน้ำอย่างรวดเร็ว และถึงแม้จะบอกว่าเป็นหิมะ แต่กลับเหมือนสายฝนมากกว่า จึงทำเอาขอบหน้าต่างเปียกชื้น มีหยดน้ำเกาะพราวอยู่บนกระจก

“ฝนตกเหรอ” ไม่รู้ว่าซ่งเฝ่ยลุกขึ้นนั่งตั้งแต่เมื่อใด เจ้าของเส้นผมยุ่งเหยิงเหมือนรังนกยังคงงัวเงียในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น

ชีเหยียนหันกลับมา รู้สึกขบขันท่าทางของอีกฝ่ายจนหัวคิ้วคลายออกจากกัน “หิมะตกแล้ว แต่ก่อนที่จะห่วงเรื่องสภาพอากาศ นายเช็ดน้ำลายหน่อยดีไหม”

ซ่งเฝ่ยชะงักพลางกะพริบตาถี่ เขายกมือขึ้นเช็ดปากลวกๆ เปียกชุ่มเต็มฝ่ามืออย่างที่คิดเอาไว้เลย

ชีเหยียนอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เมื่อก่อนเขาชอบท่าทางที่เพิ่งตื่นนอนของซ่งเฝ่ยมาก ทั้งที่ร่างกายตื่นแล้ว แต่สมองกลับไม่ยอมตามมา ดูเซ่อซ่า เด๋อด๋า ทั้งยังมึนงง เป็นช่วงเวลาที่น่าแกล้งที่สุด

ซ่งเฝ่ยหาววอดใหญ่ ในที่สุดก็ได้สติคืนมาเจ็ดสิบถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ เขามองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง แววตาค่อนข้างเต็มไปด้วยความกังวล “โชคดีที่ตกไม่หนัก แต่หวังว่าหิมะจะหยุดก่อนที่พวกเราจะเริ่มลงมือคืนนี้นะ”

หนึ่งชั่วโมงถัดมา นักศึกษาเกรียงไกรไม่ย่อท้อห้องหนึ่งก็ทยอยตื่นจากนิทรา การที่หิมะตกทำให้ทุกคนรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย โชคดีที่ยังเป็นช่วงต้นเดือนมกราคม ยังไม่ถึงช่วงที่หนาวเหน็บที่สุด เกล็ดหิมะที่ละเอียดเช่นนี้เมื่อตกลงบนพื้นจึงอยู่ได้ไม่นานและละลายไปเกินครึ่ง ขอเพียงอย่าลากยาวไปจนถึงช่วงกลางคืน พื้นดินที่ถูกหิมะจับและละลายไปบ้างก็จะยังพอเดินได้

ทุกคนตัดสินใจเลื่อนกำหนดการเดิมที่จะเริ่มเดินทางไปโรงอาหารในเวลาหกโมงเย็นเข้ามาเป็นเวลาห้าโมงเย็นแทน หากสภาพอากาศยังคงมีเมฆมาก ถึงตอนนั้นท้องฟ้าก็คงจะมืดสนิทแล้ว ดังนั้นตลอดช่วงเวลากลางวันทุกคนจึงพากันเตรียมตัวก่อนออกเดินทาง สระผม เช็ดตัว เก็บข้าวของ ตรวจสอบแผนการ

หิมะหยุดตกช่วงเที่ยง เร็วกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ แต่ดวงอาทิตย์ก็ยังไม่ปรากฏ วันที่มืดครึ้มยังคงยืดเยื้อไปจนถึงเวลาห้าโมงเย็น กระทั่งท้ายที่สุดท้องฟ้าก็มืดสนิท

หนุ่มสาวทั้งแปดบ้างสวมเสื้อหนาวกันหิมะ บ้างสวมเสื้อแจ็กเก็ตขนเป็ด หวังชิงหย่วนและหลี่จิ่งอวี้สวมเสื้อโค้ตตัวเดียวกับตอนที่พวกเขาถูกขังอยู่ในห้องน้ำชา หลินตี้เหล่ยเปลี่ยนมาสวมเสื้อขนเป็ดแบรนด์ดังที่ขโมยมาจากจุดรับพัสดุ พวกเขาทั้งหมดสวมหน้ากากและแว่นตานิรภัย ติดตั้งอาวุธพร้อมกระเป๋าเป้ กระเป๋าเดินทาง และสเปรย์น้ำหอมซิกซ์ก๊อด ในที่สุดก็ออกเดินทาง!

เวลาพลบค่ำหลังหิมะหยุดตก กระแสลมพัดแรง

เงาร่างของคนทั้งแปดที่ปีนอยู่บนกำแพงด้านนอกของห้องสมุดกำลังเคลื่อนตัวลงมาทีละน้อย แสงไฟอันเจิดจ้าของห้องสมุดทำให้พวกเขาไม่อาจซ่อนตัวได้ แต่ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ลงมาถึงใต้อาคาร ชั่วพริบตาเดียวท้องฟ้าก็เข้าสู่ความมืดมิด

หากไม่ใช่เพราะเสียงเบาๆ จากล้อที่หมุนได้รอบทิศทางของกระเป๋าเดินทางที่กระทบพื้นบ้างเป็นครั้งคราว ทุกอย่างก็คงจะเงียบงันราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

บริเวณนี้ยังคงเป็นถนนเส้นเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยต้นสนเขียวชอุ่มเช่นขามา ถนนมีความลาดชันเล็กน้อย สหายร่วมรบทั้งแปดคนเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังและเป็นระเบียบ พวกเขาพยายามบังคับฝีเท้าของตนให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดั่งเป็นเพียงวิญญาณกลุ่มหนึ่ง

ปลายทางของถนนเส้นเล็กคือถนนสายหลัก นับแต่เกิดเรื่องจนถึงตอนนี้ ทุกคนพยายามหลีกเลี่ยงถนนสายหลักไม่ว่าจะในแผนการใดก็ตาม เนื่องจากถนนกว้างเกินไป ทัศนวิสัยค่อนข้างกว้าง ซ่อนตัวได้ยาก แต่ประตูทางทิศตะวันตกของโรงอาหารหันหน้ามาทางถนนเส้นนี้ และประตูทางทิศตะวันตกก็เป็นจุดที่ใกล้กับประตูหลังของห้องครัวมากที่สุด ครั้งนี้ พวกเขาจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

สองฟากฝั่งของถนนสายหลักปลูกต้นไม้ลักษณะใบกว้างไว้หนึ่งต้นทุกๆ สามหรือสี่เมตร ซึ่งแตกต่างจากต้นไม้ขนาดเล็กที่อยู่หน้าจุดรับพัสดุตรงที่ต้นไม้บริเวณนี้มีลักษณะสูงใหญ่และตั้งตรง ในฤดูร้อนต้นไม้ทั้งสองฝั่งจะแผ่กิ่งก้านสาขายื่นออกมาปกคลุมถนนหลินอินทั้งเส้น แต่ในเวลานี้ใบไม้ร่วงโรยจนหมด กิ่งไม้แห้งไม่สามารถให้ร่มเงาได้อีกต่อไป ต่างจำต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางสายลมหนาว

คนกลุ่มหนึ่งหยุดห่างจากเส้นทางข้างหน้าประมาณสิบเมตร แล้วทอดสายตามองไปไกล มีเงาดำราวสี่หรือห้าเงาเดินเอ้อระเหยลอยชายอยู่บนถนน ความน่าจะเป็นที่จะเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยนั้นต่ำมาก

“ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม ฉันจะไปล่อพวกมันมา” ชีเหยียนพยายามกดเสียงให้ต่ำ

เวลาแบบนี้ไม่จำเป็นต้องใช้อารมณ์ถกเถียงกันว่าใครจะเป็นคนบุกโจมตีศัตรู ความเร็วและทักษะของชีเหยียนนั้นไม่เป็นสองรองใคร ทุกคนจึงทำได้เพียงกำชับว่า “ระวังตัวด้วย”

ชีเหยียนผงกศีรษะ แล้วเดินไปข้างหน้า

จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไปตามสองข้างทางอย่างเงียบๆ เพื่อหลบซ่อนตัว

ในเวลาเพียงครึ่งนาทีก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่รวดเร็วและยุ่งเหยิงดังลอยมา ทุกคนกลั้นหายใจ รอจนกระทั่งชีเหยียนและซอมบี้ห้าตนเข้ามาถึงระยะซุ่มโจมตี แล้วทุกคนก็ลงมือทันที โดยแบ่งกลุ่มตามแผนการที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ คือสองคนต่อซอมบี้หนึ่งตน ส่วนชีเหยียนและโจวอีลวี่ประกบหนึ่งต่อหนึ่ง และปฏิบัติการทั้งหมดก็เกิดขึ้นในความเงียบงัน มีดขาวเข้า มีดแดงออก [2] !

หลี่จิ่งอวี้อยู่กลุ่มเดียวกับหวังชิงหย่วน ไม่ต้องรอให้เขาจัดการซอมบี้ที่ล้มลง หวังชิงหย่วนก็ขึ้นไปนั่งอยู่บนท้องของอีกฝ่ายแล้ว จากนั้นใช้มีดแทงที่หัว ซอมบี้ยังคงดีดดิ้น ลงมีดแรกไม่อาจเทียบมีดสอง และมีดสองไม่อาจเทียบมีดสาม กระทั่งซอมบี้แน่นิ่งไป

จากนั้นหวังชิงหย่วนก็หันกลับมาถามเขาอย่างเย็นชาว่า “ดูเข้าใจไหม”

หลี่จิ่งอวี้พยักหน้าอย่างแข็งทื่อ รู้สึกราวกับว่าสมองของตนเป็นเหมือนกับซอมบี้ เขาแทบกระอักเลือดออกมาแล้ว

หลังจากต่อสู้เสร็จอย่างรวดเร็ว ทุกคนไม่มัวชักช้า รีบวิ่งไปใต้ต้นไม้ริมถนนด้วยความเร็วสูงสุด หลัวเกิง โจวอีลวี่ และเฉียวซือฉีวิ่งมายังต้นไม้ต้นแรกตรงทางแยก ซึ่งเป็นต้นไม้ที่อยู่ใกล้ประตูทางทิศตะวันตกมากที่สุด ซ่งเฝ่ย หลินตี้เหล่ย และหลี่จิ่งอวี้วิ่งไปยังต้นที่สองที่อยู่ห่างออกไปสามถึงสี่เมตร เพื่อเตรียมเป็นเพื่อนบ้านกับสามคนแรก ชีเหยียนและหวังชิงหย่วนอยู่ปิดท้าย ซึ่งไม่ใช่ต้นที่สาม แต่เป็นต้นที่ห้า ห่างจากคนกลุ่มใหญ่ออกไปราวสิบเมตร

เมื่อซ่งเฝ่ยและหลัวเกิงปีนมาถึงสถานที่เหมาะๆ ก็พร้อมใจกันปล่อยเชือกลงไป แล้วช่วยกันดึงหลี่จิ่งอวี้และโจวอีลวี่ขึ้นมาตามลำดับ หลินตี้เหล่ยและเฉียวซือฉีค่อนข้างช้า แต่หลังจากนั้นก็ปีนขึ้นไปได้ด้วยตัวเอง

ขณะที่คนทั้งแปดประจำตำแหน่ง จู่ๆ กระแสลมก็หยุดชะงัก ราวกับรับรู้ได้ถึงอันตรายที่กำลังจะถาโถมเข้ามา จนแม้แต่สายลมก็ยังกลั้นหายใจ

เมื่อมองเข้าไปทางประตูทิศตะวันตก ในโรงอาหารเป็นเพียงหลุมดำ มองแทบไม่เห็นอะไรเลย

“พร้อมไหม” เฉียวซือฉีถามอย่างประหม่า

หลัวเกิงและโจวอีลวี่เหลือบมองเขาด้วยความเฉยชา “นายพร้อมก็พอแล้ว”

เฉียวซือฉีปรับลมหายใจ เมื่อรู้สึกมั่นคงขึ้นมากก็อ้าปากกว้าง

“ช่วยด้วย-ย-ย!!!”

เสียงของเฉียวซือฉีติดอยู่ในลำคอ เขานิ่งค้างไปครู่ใหญ่ กระทั่งประโยคที่สองดังขึ้น “รีบเปิดประตูเร็ว” เสียงนั้นดังก้องไปทั่วบริเวณ เขาจึงได้สติกลับคืนมา “ไม่ใช่เสียงฉันตะโกนนะ! ”

แน่นอนว่าสหายคนอื่นๆ ย่อมรู้ดีว่าไม่ใช่เสียงตะโกนของเฉียวซือฉี เนื่องจากตามแผนการที่วางไว้ไม่มีเสียงแหบแห้งร้องขอความช่วยเหลือแบบนี้!

ทุกคนบนต้นไม้มองไปตามเสียง ดังคำกล่าวที่ว่ายิ่งสูงยิ่งมองเห็นได้ไกล แต่พวกเขาก็เห็นเพียงแสงไฟหน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตที่ยังคงสว่างจ้า นักศึกษาห้าหกคนที่ไม่รู้ว่าวิ่งมาตั้งแต่ตอนไหนกำลังทุบประตูอย่างสุดชีวิต เห็นได้ชัดว่าม่านผ้าฝ้ายยังคงปิดกั้นจากภายใน ไม่มีใครตอบรับ

“ขอร้องละ ช่วยเปิดประตูที!!! ”

นักศึกษานอกประตูเริ่มร้องไห้ฟูมฟาย น้ำเสียงทิ่มแทงใจ

เบื้องหลังประตูไร้การเคลื่อนไหว ราวกับไม่มีใครอยู่ด้านใน

แต่คนทั้งแปดที่อยู่บนต้นไม้รู้ดีว่าข้างในนั้นมีคนอยู่

ถึงแม้จะมองเห็นไม่ชัดเจน แต่แน่นอนว่าวงกลมสีดำๆ ใกล้กับมือจับประตูคือสายล็อกจักรยานหลายต่อหลายเส้นที่พวกเขาเป็นคนล็อกเองกับมือ โดยก่อนที่จะจากมาซ่งเฝ่ยยังได้มอบกุญแจทั้งหมดให้พวกเขา “แม้จะรู้ว่าพูดไปก็ไร้ประโยชน์ แต่หากมีเพื่อนนักศึกษามาขอความช่วยเหลืออีก ก็ลองคิดดูว่าพวกนายเข้ามาได้ยังไง”

แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้พวกเขาไม่ยอมแม้แต่จะเสียเวลาคิดถึงมัน

มีซอมบี้ไล่ตามมาจากบริเวณหอพัก

นักศึกษาที่กำลังทุบประตูอยู่นั้นมองไม่เห็น แต่พวกเขาที่อยู่บนต้นไม้มองเห็นได้อย่างชัดเจน

“ระวังข้างหลัง!”

ซ่งเฝ่ยรวมรวบพลังทั้งหมดตะโกนออกไปจนอกแทบจะระเบิด!

นักศึกษาหลายคนที่อยู่หน้าประตูรู้สึกตัว จึงพากันหันหลัง วินาทีต่อมาพวกเขาก็วิ่งหนีไปคนละทิศคนละทาง!

พื้นที่ใช้สอยรูปทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ไหนเลยจะมีที่หลบซ่อน ซอมบี้คงจะไล่ตามถึงตัวพวกเขาในไม่ช้า ทุกครั้งที่มีใครสักคนล้มลงก็จะมีซอมบี้หลายตนรีบพุ่งเข้าไปกัดกินเป็นอาหาร จนสุดท้ายก็ไม่มีใครเหลือให้ล้มลงอีกแล้ว

ในค่ำคืนที่มืดมิดไร้แสงจันทร์ พวกเขามองไม่เห็นคราบเลือด มองไม่ชัดถึงความดุร้าย แม้แต่เสียงร่ำไห้ก็ยังได้ยินไม่ชัดเจน แต่พวกเขาทั้งหมดกัดฟันแน่นราวกับกำลังกัดแทะร่างกายของตนเอง

ซอมบี้ในโรงอาหารที่ได้ยินเสียงก็ออกมาร่วมสนุกข้างนอกด้วย แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ จึงไม่รุนแรงพอที่จะดึงดูดพวกมันให้ออกมามากกว่านี้ จำนวนซอมบี้ที่ทยอยออกมาจึงมีจำกัด

หลังจากนั้นไม่นาน ยามค่ำคืนก็ค่อยๆ กลับสู่ความเงียบสงบ ซอมบี้สิบกว่าตนยังคงรวมตัวกันอยู่ที่นั่น กลุ่มละสามถึงห้าตนกำลังแทะกินอาหารอย่างเงียบๆ แต่ดูเหมือนซอมบี้จำนวนมากจะหมดความสนใจต่อก้อนเนื้อที่ไม่สดใหม่และไร้ชีวิตแล้ว พวกมันจึงแยกย้ายกันไปอย่างไร้จุดหมาย เดินโงนเงนเร่ร่อนต่อไป

เสียงลูกคอของซ่งเฝ่ยก่อนหน้านี้ก็ดึงดูดซอมบี้จำนวนหนึ่งออกมาจากประตูทางทิศตะวันตกของโรงอาหารเช่นเดียวกัน เวลานี้พวกซอมบี้จึงกำลังวิ่งวนอยู่รอบๆ ต้นไม้ของเขา แต่เนื่องจากลำต้นของต้นไม้สูงเกินไป พวกซอมบี้จึงไม่สามารถทำอะไรได้

“ตอนนั้นเราไม่ควรช่วยพวกเขาเลย” โจวอีลวี่กัดฟันพูดประโยคนี้ออกมา

ทุกคนนิ่งเงียบ

“ถ้าเป็นอย่างพวกขุนนางในจิ้งฮวาหยวน [3] ก็ดีสิ” หลี่จิ่งอวี้สะท้านใจ “ผู้สง่าผ่าเผยยึดมั่นในคุณธรรม ก้าวย่ำปรากฏเมฆสี ทำชั่วคิดร้ายแอบแฝง ก้าวเหยียบไซร้เผยเมฆดำ ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว ทรยศหรือภักดี มองปราดเดียวก็รู้แจ้ง”

สหายคนอื่นยกยิ้มเล็กน้อย ภาพที่กลุ่มเกรียงไกรไม่ย่อท้อห้องหนึ่งเหยียบเมฆสีที่ลอยอยู่ใต้ฝ่าเท้าช่างยิ่งใหญ่เสียนี่กระไร หลินตี้เหล่ยเปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดถึงเรื่องสนุกอะไรอยู่

บรรยากาศที่หดหู่และเคร่งเครียดจึงเกิดความผ่อนคลายลงบ้าง

หลายวันที่ผ่านมาพวกเขาประสบพบเจอเรื่องราวหลายอย่าง ซึ่งอาจมากกว่าที่เจอมาตลอดชีวิตสิบหรือยี่สิบปีก่อนหน้านี้รวมกันเสียอีก หัวใจของพวกเขาอาจยังไร้เทียมทานไม่พอ แต่ก็กำลังแข็งแกร่งขึ้นอย่างช้าๆ

“Ready? [4] ” เฉียวซือฉีปรับลมหายใจ แล้วเอ่ยถามเป็นครั้งที่สอง

หลัวเกิง โจวอีลวี่ “อืม”

หลินตี้เหล่ย ซ่งเฝ่ย “อืม”

หลี่จิ่งอวี้ “…อืม”

สุดท้ายเสียงของชีเหยียนและหวังชิงหย่วนก็ดังขึ้นพร้อมกัน “โอเค”

เฉียวซือฉีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมพลังเสียงให้ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต ก่อนเปล่งออกมาว่า “เตรียมตัว เริ่ม!”

ต้นไม้ต้นแรกและต้นที่สอง “We will we will…”

ต้นที่ห้า “rock you [5] !”

 

[1] เป็นคำเปรียบเปรยในภาษาจีน หมายถึง ยาวสุดสายตา

[2] หมายถึง การฆ่าคนด้วยมีด ซึ่งเมื่อดึงมีดออกก็จะมีเลือดติดมาด้วย

[3] นวนิยายของหลีหรู่เจินที่พูดถึงบัณฑิตในสมัยราชวงศ์ชิง

[4] แปลว่า พร้อมไหม

[5] “We will we will rock you” เป็นเนื้อร้องจากเพลง We Will Rock Youของวงควีน มีความหมายว่าพวกเราจะจัดการนายแน่นอน!

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า