[ทดลองอ่าน] Time Mover ตอนที่ 3.4

Time Mover
타임무버

 

야스 ยาสึ เขียน
พัชรวดี ประเสริฐไพบูลย์ แปล

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

“พอคุณผู้หญิงเสีย ระหว่างที่พี่คิดว่าควรบอกเรื่องนี้กับเธอดีไหม พี่ก็ตัดสินใจลาออก หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นเข้าออกที่บริษัทบ่อย ๆ ท่านประธานก็แปลกไปด้วย ถ้าไม่ได้เจอเธอวันนี้ พี่ก็คงจะเก็บเรื่องนี้ไว้ แล้วออกจากงานไปเงียบ ๆ”

“ไม่อยากจะเชื่อเลยครับ”

“พี่แค่อยากบอกให้เธอรู้เอาไว้”

ผมพูดว่าเป็นไปไม่ได้พร้อมกับส่ายหน้า พี่ฮีซูตบบ่าผมเบา ๆ

“เธอเองก็ไม่ใช่เด็กแล้ว อีกอย่าง จำที่ผู้หญิงคนนั้นพูดเมื่อกี้ได้ไหม ที่บังคับให้พี่เรียกเขาว่า คุณผู้หญิง”

“ถ้างั้นคำว่าคุณผู้หญิงนั่นก็…”

“ผู้หญิงคนนั้นมาที่บริษัทบ่อย ๆ โดยไม่มีความเกรงใจตั้งแต่ก่อนคุณผู้หญิงจะเสียแล้ว มาที่นี่แล้วก็ทำตัวอวดเบ่งบอกว่าอีกไม่นานตัวเองจะได้เป็นภรรยาของท่านประธาน เรียกตัวเองว่าคุณผู้หญิง ตอนนั้นพี่ยังคิดเลยว่าท่านประธานเจอผู้หญิงแปลกๆ เข้ามาวุ่นวายคงจะลำบากแย่ แต่มันไม่ใช่แบบนั้น พอคุณผู้หญิงเสียก็ยิ่งหนักขึ้น ท่านประธานบอกว่างานที่บริษัทยุ่งก็เลยไม่ค่อยได้กลับบ้านใช่ไหม”

“ใช่ครับ ช่วงนี้พ่อไม่ค่อยได้กลับบ้านเลยเพราะงานยุ่ง พี่ก็รู้ไม่ใช่เหรอครับ บางทีวันหยุดสุดสัปดาห์ก็ไม่ได้กลับบ้าน…”

“ช่วงนี้ท่านประธานเลิกงานตรงเวลา หลังจากไปที่รูมซาลอนของผู้หญิงคนนั้นก็เลิกงานตรงเวลาตลอด บางทีเข้างานสายแล้วเลิกเร็วก็มี”

“แต่ไม่ได้กลับมาบ้าน ถ้างั้นพ่อ…”

กำลังจะถามว่า ถ้างั้นพ่อไปนอนที่ไหนครับ แต่เพราะเดาคำตอบได้ก็เลยไม่ได้พูดออกไป ผมตกตะลึงมากจริง ๆ ทั้งเรื่องที่พ่อนอกใจแม่มาเกินหนึ่งปีแล้ว ทั้งเรื่องที่ผู้หญิงคนนั้นเข้าออกบริษัทอย่างหน้าตาเฉย ทั้งเรื่องที่พ่อใช้เรื่องงานเป็นข้ออ้างไม่กลับบ้านทั้ง ๆ ที่แม่เพิ่งเสียได้ไม่นาน ทุกอย่างเป็นเรื่องที่ทำใจเชื่อได้ยาก ถึงขนาดที่ถ้าไม่ได้เห็นการกระทำและไม่ได้ยินคำพูดของผู้หญิงที่เป็นมาดามรูมซาลอนต่อหน้าตัวเอง ก็คงจะสงสัยว่าทำไมพี่ฮีซูต้องโกหกแบบนี้ด้วย

“ท่านประธานเหมือนไม่ใช่คนที่พี่เคยรู้จัก แล้วพี่ก็ทนที่ผู้หญิงคนนั้นทำตัวแบบนั้นใส่ไม่ไหวด้วย อีกอย่าง ผู้หญิงคนนั้นไม่ค่อยจะชอบพี่อยู่เหมือนกัน ต่อให้พี่ไม่ลาออก สักวันก็คงถูกบีบให้ออกอยู่ดี”

“ไม่มีทางหรอกครับ ถึงยังไง…พี่ก็ทำงานกับพ่อมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทนี่นา ต่อให้ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าไม่ชอบพี่…”

“พี่ถูกท่านประธานต่อว่ามาหลายครั้งแล้ว บอกว่าทำตัวไม่สุภาพ คิดว่าทำงานมานานก็เลยไม่เห็นหัวใคร เป็นเลขาฯ ก็วางตัวให้สมกับเป็นเลขาฯ หน่อย ถ้าเป็นเมื่อก่อนท่านประธานจะพูดแบบนั้นเหรอ”

พ่อไม่มีทางพูดแบบนั้นกับพี่ฮีซู และพี่ฮีซูก็ไม่มีทางทำอะไรตามอำเภอใจ เห็นกันมาตั้งนานแล้ว พ่อจะพูดแบบนั้นกับพี่ฮีซูได้ยังไง

“ถ้าไม่ทำตัวดี ๆ กับผู้หญิงคนนั้นน่ะ”

“เป็นไปไม่ได้หรอกครับ”

“พวกผู้ชายเวลาหลงผู้หญิงก็เป็นแบบนั้น…ถ้าคุณผู้หญิงไม่เกิดอุบัติเหตุ เรื่องจะเป็นยังไงกันนะ”

พี่ฮีซูยิ้มอย่างขมขื่นพลางลูบหัวผม

“ตอนนี้มีสายตาคอยจับจ้องอยู่อาจจะไม่ได้ แต่อีกหน่อยท่านประธานอาจจะแต่งงานใหม่ก็ได้ แล้วจะทำยังไงล่ะยอง”

ถามว่าผมจะทำยังไงงั้นเหรอ สายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงทำให้ผมพูดอะไรไม่ออกและได้แต่ส่ายหน้า ไม่ใช่หรอก ไม่มีทางเป็นแบบนั้น พ่อผมไม่ใช่คนแบบนั้น

“ทำใจเชื่อยากใช่ไหม”

“…ครับ”

“อยากให้เป็นเรื่องโกหกใช่ไหม”

“…ครับ”

“แล้วคิดว่า…พี่กำลังโกหกรึเปล่า”

ผมไม่กล้าพยักหน้าตอบคำถามของพี่ฮีซู ถึงจะอยากคิดว่าพี่เขาโกหก แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่พี่ฮีซูจะต้องโกหกแบบนั้น ผมตอบไม่ได้ พี่ฮีซูดึงผมเข้าไปกอดแล้วถามว่าเกลียดพี่ไหม

“ผมไม่รู้…ผมไม่รู้อะไรเลยครับ คิดอะไรไม่ออกเลย”

พี่ฮีซูใช้มือตบหลังผมเหมือนเป็นการปลอบ

“ไม่รู้ว่าทำไมท่านประธานถึงเป็นแบบนั้น คุณผู้หญิงเสียไปแล้วก็น่าจะตั้งสติได้แล้วนึกถึงเธอบ้างก็คงจะดี…แต่ตอนนี้ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เหมือนตั้งใจทำแบบนั้น”

ผมหลับตาแน่นเพราะเสียงคล้ายลมหายใจเบา ๆ ที่ผ่านเข้าหูมา สายตาพร่ามัว ปวดหัวจนต้องกัดฟันแน่นเพื่ออดทนกับความเจ็บปวด

“ผมคงกลับเลย ไม่รอเจอพ่อแล้วละครับ”

“อย่าเพิ่งแสดงออกว่ารู้เรื่องแล้วสักพักนะ”

“เรื่องอะไรครับ”

แม้พอจะเดาได้ว่าพี่ฮีซูหมายถึงอะไร แต่ก็ยังถามเหมือนคนไม่เข้าใจ

“คอยดูเงียบ ๆ ไปก่อน แล้วเธอลองคิดดู ต้องจัดการอย่างฉลาด เพราะตอนนี้คุณผู้หญิงไม่อยู่แล้วนี่นา”

“เข้าใจแล้วครับ”

ผมรู้ครับว่าแม่ไม่อยู่แล้ว เคยคิดว่าเหลือพ่อกับผมแค่สองคน…แต่ตอนนี้ได้รู้แล้วว่าไม่ใช่สองคน แต่เป็นผมคนเดียว ผมพยักหน้าอย่างยากลำบาก แล้วผละออกมาจากอ้อมกอดของพี่ฮีซู

“ผมทิ้งถุงใส่เสื้อผ้าที่เอามาไว้ที่นี่นะครับ ฝากเอาให้พ่อด้วย”

“ได้สิ เธอกลับบ้านเลยนะ”

“ถ้าไม่ใช่บ้าน ผมก็ไม่มีที่ไปอยู่แล้วครับ”

ไม่มีที่อื่นให้ไปแล้วใช้บริษัทเป็นข้ออ้างเหมือนพ่อด้วย หึ ผมหัวเราะแห้ง ๆ ออกมาเบาๆ อย่างไร้เรี่ยวแรงโดยไม่ได้พูดประโยคหลัง

“พี่ขอโทษ”

พี่ฮีซูพูดอยู่ด้านหลังผมที่ออกมาจากห้องชงกาแฟแล้ว

“พี่ขอโทษทำไมครับ”

“ทั้ง ๆ ที่เธอก็เหนื่อยอยู่แล้ว พี่ยังพูดเรื่องแบบนี้อีก ขอโทษนะ”

“ไม่หรอกครับ ถ้าพี่ไม่บอกพี่คงจะยิ่งรู้สึกผิด ขอบคุณนะครับที่บอก”

ผมหันกลับไปมองพี่ฮีซู

“ผมรู้ครับว่าพี่เป็นห่วงผมมาก เอ็นดูผมตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วก็ดีกับแม่ของผมด้วย เลยรู้ว่าพี่เล่าให้ผมฟังด้วยความรู้สึกแบบไหน ผมแค่…ปวดหัวนิดหน่อย ช่วงนี้ผมปวดหัวบ่อยน่ะครับ”

ผมขมวดคิ้วพลางเอามือกดนวดขมับ พี่ฮีซูเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าเป็นห่วง แต่ผมถอยหลังหนีไปหนึ่งก้าว

“ผมกลับก่อนนะครับ”

“ยอง”

ถึงยังไงพี่ฮีซูก็ยังเป็นห่วงเลยพยายามจะรั้งตัวผมไว้ แต่มีโทรศัพท์เข้ามาพอดี พี่ฮีซูก็เลยมีสีหน้าสับสน

“รับโทรศัพท์เถอะครับ ผมไม่เป็นอะไร”

ผมโบกมือปฏิเสธแล้วรีบหันหลังกลับ พอผมเดินไปก็ได้ยินเสียงพี่ฮีซูกระแอมเพื่อปรับน้ำเสียงแล้วรับโทรศัพท์

อย่างกับฝันไป ความสมจริงดูห่างไกลออกไป ช่วงนี้ชอบเป็นแบบนี้บ่อย ๆ แยกไม่ออกเลยว่านี่คือความฝันหรือความจริง แค่ความฝันบอกเหตุการณ์ล่วงหน้าที่สมจริงมากยังไม่พอ ตอนนี้ก็เหมือนกำลังฝันทั้ง ๆ ที่ลืมตาอยู่ ตั้งสติหน่อยซอมุนยอง ผมสะบัดหัวเพื่อตั้งสติที่กำลังเบลอแล้วค่อยเดิน

เหมือนได้ยินเสียงแม่เรียกผมว่ายองอยู่ข้างหู ผมพาตัวเองเข้าไปตรงบันไดฉุกเฉินไม่ใช่ลิฟต์ พอลงบันไดไปได้ไม่กี่ขั้นก็ทรุดตัวล้มลงนั่ง

“แม่”

แม่รู้หรือเปล่า แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันใช่ไหม

แบบนี้คงดีกว่า เพราะพี่ฮีซูบอกว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว ถ้าแม่ไม่เกิดอุบัติเหตุ เรื่องที่พ่อนอกใจอาจจะรู้ถึงหูแม่ก็เป็นได้ ถ้าเป็นแบบนั้นแม่คงจะเสียใจมาก หรือไม่พ่อก็อาจจะขอหย่า

ผมควรทำยังไงดีครับแม่ ผม…ยังทำใจเรื่องที่แม่จากไปไม่ได้ พ่อก็ดันเป็นแบบนี้อีก ผมไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี ผมจะทำยังไงดีแม่

ผมนั่งกอดเข่าฟุบหน้าลงไป กางเกงเครื่องแบบนักเรียนเป็นสีเข้ม คงจะเห็นตรงที่เปียกชัดเจน แต่น้ำตาก็ไม่หยุดไหล โตขนาดนี้แล้วทำไมยังร้องไห้อยู่อีก เหมือนได้ยินเสียงหัวเราะของแม่เบา ๆ แต่มองไม่เห็นแม่

ตาแดงก่ำอย่างกับตากระต่าย ผมมองตาตัวเองในกระจกแล้วเอามือรองน้ำเย็นมาแตะ ๆ บนเปลือกตา พอได้สัมผัสความเย็นอาการปวดหัวแปลบก็เหมือนจะบรรเทาลง หลังจากหยุดร้องไห้ได้อย่างยากลำบากก็เดินโซเซลงบันไดมาชั้นหนึ่งแล้วเข้ามาในห้องน้ำ ไม่รู้ตัวเลยว่าใช้สติสัมปชัญญะส่วนไหนเดินมา น่าทึ่งมากที่ไม่ตกบันได ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ใช้น้ำเย็นล้างหน้าไปด้วยเลย แขนเสื้อเชิ้ตขาวเครื่องแบบนักเรียนเปียกชุ่ม

ผมใช้กระดาษเช็ดมือเช็ดหน้าลวก ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองกระจก ไม่คุ้นกับภาพของตัวเองที่กำลังยืนทำหน้ามึนงงอยู่ ก่อนหน้านี้ไม่นานผมยังเป็นเด็กผู้ชาย ม.หกที่ไม่ได้มีเรื่องเครียดอะไรมากมายขนาดนี้อยู่เลย แต่ตอนนี้หน้าตาเหมือนตาแก่ที่แบกความเครียดในโลกนี้ไว้ทั้งหมด จากที่กำลังจ้องใบหน้าแปลกตานั้นอยู่ก็วักน้ำใส่ มองเห็นสีหน้าบูดบึ้งขณะน้ำไหลหยด เมื่อไม่อยากเห็นใบหน้านั้นก็เลยหันหลังเดินออกจากห้องน้ำ

ไม่อยากกลับบ้าน แต่ถ้าไม่ใช่บ้านก็ไม่มีที่ไป อยากเรียกเพื่อนออกมาเจอ แต่อารมณ์แบบนี้ไม่ว่าเจอใครก็คงไม่สนุก แล้วก็ไม่อยากแสดงท่าทีแบบนี้ให้ใครเห็นด้วย ไม่มีที่ที่ให้หาข้ออ้างไปเหมือนใครบางคน สุดท้ายก็ต้องกลับบ้านอยู่ดี ผมกำลังคิดประชดประชันใครบางคนที่น่าโกรธเคืองซึ่งคงจะอยู่ข้างบน แล้วก้าวเท้าเดินอย่างอิดโรย

ตอนกำลังจะออกจากตึกบริษัทก็เห็นคนที่เดินผ่านประตูกระจกเข้าไป เป็นคนที่เคยเจอผ่าน ๆ แค่ครั้งเดียว ถ้าเป็นเวลาปกติคงจะจำไม่ได้ แต่ตอนงานศพของแม่ พอมจูโดมาพร้อมกับผู้ชายคนนั้น ก็เลยพอนึกออกราง ๆ ว่าเขากับลุงลากพ่อออกไปด้านนอกงานศพเพื่อจะคุยอะไรบางอย่างกัน

กำลังคิดอยู่ว่าเขามีธุระอะไรที่นี่ สักพักก็รู้ตัวว่าไม่ใช่เรื่องของผม เลยกำลังจะเดินผ่านไป แต่ในขณะนั้นชายแก่ที่เดินเข้ามาใกล้ตรงหน้าก็หยุดเดิน แล้วจับตัวผมที่กำลังจะเดินสวนไปให้หยุด

“เธอ…ลูกชายประธานซอมุนใช่ไหม”

ตอนแรกคิดอยู่ว่าทำเป็นไม่รู้จักดีกว่า เพราะไม่เคยคุยกันอาจจะจำผมไม่ได้ หรือต่อให้ฝ่ายนั้นจำได้ก็คงไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับเด็กมัธยมปลายอย่างผมอยู่ดี แต่เหมือนว่าชายแก่ตั้งใจจะทัก ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าจะเมินแล้วเดินผ่านไปเลยดีไหม แต่สุดท้ายก็ทักทายเขาว่าสวัสดีครับ

“ไปเจอพ่อมาเหรอ”

“เอ่อ…ครับ แวะเข้ามาแป๊บหนึ่ง แต่คุณพ่อดูยุ่งอยู่ก็เลยจะกลับเลย”

“งั้นเหรอ ถึงจะยุ่งยังไง แต่ลูกชายมาหาทั้งที กลับปล่อยให้กลับไปเฉย ๆ เนี่ยนะ”

ชายแก่ฉีกยิ้มและมองผม

“ร้องไห้มางั้นเหรอ ตาแดงก่ำเลยนี่”

เขาเอียงคอแล้วยื่นมือมาลูบหน้าผม ผมถอยหลังไปก้าวหนึ่งเพราะสัมผัสที่ทำให้รู้สึกไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก แต่มือที่กำลังลูบแถวขอบตาเปลี่ยนมาจับหน้าผมไว้อย่างแรง

“อ๊ะ”

“มีไข้ต่ำ ๆ ด้วยนี่ มีเรื่องอะไรรึเปล่า”

“เปล่าครับ ไม่มีอะไร”

ปกติพวกคุณปู่แรงเยอะแบบนี้กันหมดเลยหรือเปล่า เขาออกแรงจับไว้แน่นมากจนสะบัดไม่หลุด ผมขมวดคิ้วพร้อมส่ายหน้าโดยที่ยังถูกมือของชายแก่จับใบหน้าไว้

“แต่ก็อย่างว่า ยังอยู่ในช่วงอายุที่การสูญเสียแม่เป็นเรื่องที่เกินกำลังนี่นะ”

ชายแก่เดาะลิ้น แต่สายตาของเขายังคงมองพิจารณาใบหน้าผม ผมรู้สึกว่าสายตานั้นน่าอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูกก็เลยใช้แรงทั้งหมดที่มีดันมือที่จับหน้าผมไว้ออกไป เป็นเรื่องที่น่าจะทำให้อารมณ์เสีย แต่เขากลับหัวเราะ ผมรู้สึกไม่ชอบใจแม้แต่ใบหน้าที่กำลังหัวเราะของเขา รู้สึกขยะแขยงเหมือนมีแมลงไต่ไปทั่ว ต่างจากเสียงหัวเราะของคุณปู่ที่มีเมตตาโดยสิ้นเชิง

“ใส่เครื่องแบบนักเรียนอยู่นี่ จะว่าไป เคยบอกว่าเป็นเด็ก ม.ปลายใช่ไหม อยู่ชั้นไหนล่ะ”

ถ้ามาที่นี่เพราะมีธุระก็รีบไปทำธุระสิ ไม่เข้าใจว่าจะมาชวนคุยอยู่ได้ทำไม ผมตอบไปเบา ๆ ว่า ม.หกครับ แล้วหลบตา ชายแก่แสยะยิ้มที่มุมปากทันที

“อายุยังน้อยผิวก็เลยนุ่มสินะ ยังมีขนอ่อนอยู่เลยด้วย”

“เอ่อ มาพบคุณพ่อเหรอครับ”

ผมถอยหลังหลบมือเหี่ยว ๆ ที่กำลังใกล้เข้ามาอีกครั้งแล้วรีบพูดออกไป ชายแก่หัวเราะพร้อมพยักหน้า

“ใช่ ฉันมาหาพ่อเธอ ถ้ายังไม่ได้เจอ ขึ้นไปหาพร้อมกันไหมล่ะ”

“ไม่ครับ ไม่เป็นไร เดี๋ยวตอนเย็นพ่อก็คงกลับบ้าน ผมต้องกลับบ้านครับ”

ผมจับสายกระเป๋าม้วนแล้วรีบพูดอย่างรวดเร็ว แม้ว่าท่าทางที่บอกว่าต้องกลับบ้านอย่างเอาจริงเอาจังทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครรออยู่ที่บ้านนั้นดูน่าตลกก็จริง แต่ผมรู้สึกไม่อยากอยู่ใกล้กับชายแก่คนนี้เอามาก ๆ ถึงจะน่าแปลก แต่พอต้องคุยกันแบบนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาและอยากจะเลี่ยงอยู่ตลอดเวลา ผมลองนึกดูว่านอกจากชายแก่คนนี้แล้วยังมีคนอื่นอีกไหมที่สัญชาตญาณผมบอกว่าไม่อยากยุ่งเกี่ยว แต่ก็นึกไม่ออก ไม่ชอบที่ต้องประจันหน้ากับเขาใกล้ ๆ แบบนี้อย่างน่าประหลาด

“ขึ้นไปเถอะครับ ผมขอตัวก่อน”

กลัวว่าเขาจะพูดอะไรขึ้นมาเพื่อขวางไม่ให้ไปอีก เลยรีบบอกลาแล้วหันหลังอย่างรวดเร็ว รู้สึกได้ถึงสายตาของชายแก่ที่มองตามหลังมา แต่ทำเป็นไม่รู้แล้วเดินออกจากตึกไป

คืนนั้นผมรอพ่อ นั่งอยู่ที่โซฟาห้องนั่งเล่นรอจนถึงเช้ามืดโดยไม่นอน รอแล้วรออีก แต่ประตูที่ปิดอยู่ก็ไม่เปิดออกเลยจนถึงเช้า

– ช่วงนี้ท่านประธานเลิกงานตรงเวลา

สิ่งที่พี่ฮีซูพูดดังก้องอยู่ในหู

จริงเหรอครับพ่อ พ่อหลอกแม่ และตอนนี้ก็กำลังหลอกผมอยู่จริง ๆ เหรอครับ

ไม่จริงใช่ไหมครับ ถึงจะอยากถามแบบนั้นแต่ก็ไม่มีคนให้ถาม ถ้าถามว่าจริงหรือเปล่าก็หวังว่าจะตอบกลับมาว่าไม่ใช่ แต่ไม่มีแม้คนที่จะตอบคำถามนั้น

ผมต้อนรับเช้าวันใหม่ด้วยดวงตาที่ยังลืมอยู่ กินข้าวไปโรงเรียนแล้วกลับมารอพ่ออีกครั้งอย่างกับคนที่วิญญาณหลุดลอยออกจากร่างไปแล้ว วันต่อไปและวันต่อ ๆ ไปก็เป็นเช่นนั้น

 

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า