มหาวิทยาลัยซอมบี้
Zombies in College
喪病大學
顏涼雨 เหยียนเหลียงอวี่ เขียน
Jpolly Wu แปล
นิยาย 4 เล่มจบ (วางขายเเยกเล่ม)
TRIGGER WARNING : นิยายเรื่องนี้ NOT FOR EVERYONE *
มีเนื้อหาเกี่ยวกับ angst (มีความรุนแรงในอารมณ์ บีบคั้นกดดัน), death (การตาย),
depression (ภาวะซึมเศร้า), gore (เนื้อหามีความโหดร้าย และรุนแรง) และ suicide (การฆ่าตัวตาย)
———————————————————–
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายหนังสือได้ที่เพจ Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
ตอนที่ 61
หลังจากคนในลิฟต์ตอบกลับมา เสียงเคาะนอกลิฟต์ก็เป็นอันเงียบหายไป ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยเสียงขูดขีดโลหะแผ่วเบา…มันคือเสียงชีเหยียนสอดใบมีดเข้าไปในรอยแยกของประตูหน้าชั้น [1] !
ถึงแม้จะมองไม่เห็น แต่ซ่งเฝ่ยก็รับรู้ได้
เขาถึงขั้นจินตนาการได้ถึงการกระทำที่เฉียบแหลมทรงพลัง แววตาสุขุมลุ่มลึกและมุ่งมั่น บวกกับความไม่ยอมแพ้จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายของชีเหยียน
ครั้งหนึ่งซ่งเฝ่ยเคยคิดว่าสิ่งเหล่านี้ค่อนข้าง “มากเกิน” ไปสักหน่อย เพราะแม้ว่าชีวิตจะไม่ใช่สนามเด็กเล่น แต่ก็ไม่ใช่สงครามเช่นเดียวกัน การเอาแต่ใจตนเองและใช้ชีวิตสบายๆ ไปเรื่อยเปื่อยเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็จริง แต่ชีเหยียนเป็นประเภทที่ต้องทำทุกอย่างให้ดีที่สุด จึงทำให้ชีวิตของเขาพลอยขาดสีสันไปไม่น้อย
กระทั่งไวรัสซอมบี้ระบาด
คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้ชีเหยียนกลายเป็นพันธมิตรที่น่าไว้วางใจที่สุด เป็นเพื่อนที่พึ่งพาได้มากที่สุด และเป็นนักรบที่กล้าหาญที่สุด
ซ่งเฝ่ยพบว่าแนวคิดของตนเองได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
การทำอะไรตามใจชอบกับการมีวินัยในตนเองถือเป็นทัศนคติในการใช้ชีวิตสองรูปแบบที่ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ แม้ว่าจะดูเหมือนเกี่ยวโยงกัน ไม่ว่าจะเลือกรูปแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน ทว่าในความเป็นจริง กลุ่มคนที่เลือกรูปแบบแรกมักจะทำอะไรโดยที่ไม่นึกตรึกตรองก่อน ส่วนกลุ่มคนที่เลือกรูปแบบหลังมักจะพิจารณาใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งและรอบคอบ
การจะนำรูปแบบหลังไปใช้ในชีวิตจริง จึงค่อนข้างยากกว่ารูปแบบแรกมากทีเดียว
ใบมีดที่ถูกสอดเข้ามาน่าจะอยู่ตั้งแต่ช่วงกลางถึงช่วงบนของประตูหน้าชั้น เนื่องจากซ่งเฝ่ยและเหอจือเวิ่นมองไม่เห็นใบมีดตอนที่แสงจันทร์สาดส่องลงมาตามรอยแยกของประตู อีกทั้งตอนที่พวกเขาลองงัดประตูด้านในลิฟต์ก็ทำได้สำเร็จเพราะงัดช่วงกลางถึงช่วงบนเช่นเดียวกัน แต่เมื่อเห็นเพียงส่วนล่างของประตูหน้าชั้นก็รู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง
ช่องว่างของประตูหน้าชั้นค่อยๆ กว้างขึ้นด้วยความเร็วคงที่ กระทั่งไหล่ของมนุษย์หนึ่งคนสามารถแทรกเข้ามาได้ การเปิดประตูลิฟต์จึงหยุดลง
วินาทีต่อมาหลังประตูเปิดออก ก็ปรากฏใบหน้าแทรกเข้ามาในช่องว่าง
เนื่องจากมุมที่ซ่งเฝ่ยอยู่นั้นย้อนแสง ซ่งเฝ่ยจึงมองเห็นใบหน้าของชีเหยียนไม่ชัดเจน หรือก็คือใบหน้าครึ่งบนของเขาถูกปกคลุมด้วยความมืด มีเพียงส่วนจมูกถึงปากที่พอจะเพ่งมองให้เห็นเป็นเค้าโครงได้
แม้จะเห็นเพียงเท่านี้ แต่ดวงตาของซ่งเฝ่ยกลับร้อนผ่าวทันที นี่คือริมฝีปากที่เขาเคยกัดเม้มราวแปดร้อยครั้ง นี่คือจมูกที่ตราตรึงอยู่ในสมองของเขา เห็นแค่จมูกกับปากก็แทบทนไม่ไหวแล้ว!
ริมฝีปากขยับแล้วขยับอีก ราวกับมีคำพูดนับหมื่นพันคำ แต่กลับไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหนดี
ชีเหยียนสัมผัสได้ถึงความซาบซึ้งตรึงใจของซ่งเฝ่ย หากพูดว่าสมองซ่งเฝ่ยสามารถจดจำจมูกและริมฝีปากของเขาได้แล้วละก็ เช่นนั้นเขาเองก็น่าจะสลักซ่งเฝ่ยทั้งร่างไว้ที่ลิ้นหัวใจแล้ว ทุกครั้งที่หัวใจเต้น ผู้ชายคนนี้จะขยับเคลื่อนไหวตรงหัวใจเขา ไม่มีวันตายและไม่หยุดพัก
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา แม้อยากจะพูดเพียงใดก็ต้องอดทนเอาไว้ก่อน
ชู่ว์
ชีเหยียนรีบวางนิ้วชี้แตะที่ริมฝีปาก หยุดคำพูดนับหมื่นพันของซ่งเฝ่ย
แต่ดูเหมือนซ่งเฝ่ยจะไม่ยอม ต้องการจะอ้าปากพูดให้ได้
ชีเหยียนขมวดคิ้วมุ่น ออกแรงกดนิ้วชี้ลงบนริมฝีปากอีกครั้ง เป็นการเตือนโดยไร้คำพูด!
ซ่งเฝ่ยจึงจำต้องโพล่งขึ้นว่า “ฉันเองก็ไม่อยากพูดหรอกนะ แต่มีขาสองข้างยืนอยู่ข้างๆ นาย!”
ชีเหยียนตะลึงลาน รู้สึกได้ถึงกระแสลมเย็นเยียบที่แผ่มาจากด้านข้าง ก่อนจะม้วนตัวหลบไปอีกด้านหนึ่ง ทำให้ผู้มาเยือนกระโจนเข้าใส่ความว่างเปล่า!
ชีเหยียนที่กลิ้งไปด้านข้างรีบลุกขึ้นยืน ส่วนซอมบี้ที่ล้มลงดังตึงยังคงดิ้นอยู่บนพื้น ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ มันสวมเสื้อสีดำ เมื่ออยู่ภายใต้แสงสลัวจึงมองไม่ออกว่าเป็นเสื้อฮู้ดกันหนาวหรืออะไร แต่ในสายตาของชีเหยียนมันเป็นเพียงเงาดำลักษณะทรงกลมเหมือนกับผี ที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น!
ชีเหยียนจ้วงแทงลงไปโดยปราศจากความลังเล ตอนแรกเขาเล็งที่บริเวณท้ายทอย แต่เพราะอยู่ในเงามืดจึงสูญเสียความแม่นยำ ดูเหมือนมีดจะปักลงที่หลังคอของมันแทน ซอมบี้หันกลับมาอย่างรวดเร็ว แล้วดึงมีดที่ปักบนเนื้อตนเองออกตรงๆ!
ชีเหยียนยังคงกระชับหอกในมือแน่น หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงจะจัดการซอมบี้ไม่ได้แน่ เขาจึงตัดสินใจดึงหอกกลับ ขณะที่ซอมบี้กระโจนเข้ามาอีกครั้ง เขาก็แทงเข้าที่หน้าอกของอีกฝ่ายและออกแรงเหวี่ยงไปด้านข้าง ซอมบี้ที่ยืนไม่มั่นคงจึงทรุดลงกับพื้นในทันที ชีเหยียนดึงใบมีดออก ไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามอีกแล้ว ก่อนจะแทงครั้งที่สามเข้าที่ขมับของมัน
แต่เมื่อซอมบี้ตนนี้ล้มลง นั่นหมายความว่าจะมีซอมบี้อีกหลายหมื่นพันตนแห่แหนกันเข้ามา!
โชคดีที่ซ่งเฝ่ยกับเหอจือเวิ่นเปิดประตูลิฟต์รอล่วงหน้าไว้แล้ว จึงช่วยทุ่นแรงชีเหยียนได้ไม่น้อย
จากนั้นเขาก็คุกเข่าสองข้างลงอย่างไม่ลังเล โยนอาวุธทิ้ง สอดแขนยื่นลงไปในลิฟต์ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเร่งรีบแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังว่า “ส่งมือมา!”
ซ่งเฝ่ยแทบจะกระโจนพุ่งเข้าจับชีเหยียนแน่น เมื่อสัมผัสอุณหภูมิฝ่ามือของแฟนเก่า จิตวิญญาณในตัวพลันกรีดร้องกึกก้องอยู่ในหูเขานับครั้งไม่ถ้วนว่า ‘นายเลิกกับชายหนุ่มผู้มีตั้งแต่ออร่ายันความแข็งแกร่งแผ่กระจายเจิดจ้าแบบนี้ นี่นายโง่หรือเปล่า นาย โง่ หรือ เปล่า เนี่ย!’
สัญชาตญาณการเอาตัวรอดทำให้สภาพจิตใจของซ่งเฝ่ยและเหอจือเวิ่นฟื้นคืนอย่างรวดเร็ว ความเฉื่อยชาหรือหดหู่จากการเฝ้ารอความตายก่อนหน้านี้ทั้งหมดถูกแทนที่ด้วยจิตวิญญาณอันเข้มแข็งและทักษะร่างกายที่แข็งแกร่ง จากนั้นทั้งสองก็กลับมาเหยียบพื้นดินอีกครั้งในชั่วพริบตาเดียว!
แต่เสียงต่อสู้และเสียงพูดคุยทำให้ซอมบี้วิ่งมาที่นี่ อีกทั้งจากเสียงฝีเท้าที่ได้ยินยังมีมากกว่าหนึ่งด้วย!
ทั้งสามคนหันมองไปรอบๆ อยู่ที่มุมหน้าลิฟต์ ความดำมืดแผ่ขยายและทวีความเข้มไล่ระดับขึ้นเรื่อยๆ ไปตามสองฟากฝั่งของโถงทางเดิน จนจมอยู่ในความมืดมิดทั้งหมด พวกเขาทำได้เพียงวิเคราะห์จากเสียงว่าซอมบี้มาจากทางขวา แต่กลับมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
ซ่งเฝ่ยและเหอจือเวิ่นต่างไม่คุ้นเคยกับการต่อสู้ในอาคารแห่งนี้ ตอนนี้จึงไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม ชีเหยียนซึ่งยืนอยู่ด้านหน้าของพวกเขาสองคนก็จ้องมองไปทางต้นเสียงราวกับกำลังรอคอยและเตรียมพร้อม
ซ่งเฝ่ยเข้าใจในทันที ชีเหยียนมีแผนแล้ว!
ทว่าเหอจือเวิ่นที่อยู่ข้างๆ ไม่เข้าใจ จึงรู้สึกกังวลจนหัวใจแทบจะกระดอนออกมา เขาเผลอคว้าแขนของสหายข้างกายโดยไม่รู้ตัว ด้วยเหตุนี้สหายซ่งซึ่งไม่รู้ว่าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน จึงส่งสายตาระยิบระยับเป็นเชิงว่า ‘กลืนหัวใจลงท้อง [2] ไปซะ’!
หลังจากมองดูอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ชีเหยียนก็ขยับตัว ในมือเขามีถุงพลาสติกบ้าๆ ที่ไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหน แต่มีอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนที่ไปกระทบอีกฟากหนึ่งของโถงทางเดิน!
เสียงกระเด้งกระดอนดังก้องไปทั่วบริเวณ ตามด้วยลูกบอลขนาดเล็กที่กระเด้งไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ราวกับกระแสน้ำไหลเชี่ยว
ลูกปิงปอง!
ซ่งเฝ่ยเข้าใจในทันที ชีเหยียนยังคงถือถุงพลาสติกเอาไว้ในมือ ที่เขาขว้างไปเมื่อครู่นี้เป็นเพียงลูกปิงปองหนึ่งในสามของถุงพลาสติกเท่านั้น
แต่เท่านี้ก็เพียงพอให้พวกซอมบี้เล่นสนุกได้แล้ว
คนทั้งสามเดินเลียบกำแพงถอยกลับไปยังข้างประตูลิฟต์เงียบๆ โดยพยายามอยู่ให้ห่างจากโถงทางเดิน กลั้นหายใจรอ จนกระทั่งซอมบี้หลายสิบตนวิ่งมาจากทางขวาและไล่ตามไปทางซ้ายมือ
เวลาผ่านไปราวหนึ่งนาทีกว่า เมื่อเสียงฝีเท้าของซอมบี้ตนสุดท้ายผ่านประตูลิฟต์เลยไปไกลจนแทบไม่ได้ยิน ทันใดนั้นชีเหยียนก็ลากซ่งเฝ่ยวิ่งไปยังโถงทางเดินด้านขวามือที่ว่างเปล่า!
ซ่งเฝ่ยไม่เข้าใจเหตุผล แต่เชื่อมั่นอีกฝ่ายเต็มหัวใจ ก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างลากเหอจือเวิ่นไปด้วยกัน สหายร่วมรบทั้งสามคนจึงจับมือกันวิ่งอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้เอง จากนั้นไม่นานก็ก้าวเข้าสู่ห้องเรียนว่างเปล่าห้องหนึ่ง
นี่คือห้องอ่านหนังสือขนาดเล็ก โต๊ะและเก้าอี้หลายแถวอยู่ในสภาพระเกะระกะท่ามกลางแสงจันทร์ บนแต่ละโต๊ะยังมีเอกสารกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด ภาพนี้บอกได้ว่าเคยมีนักศึกษาที่ขยันขันแข็งและมีสมาธิจดจ่อตั้งใจทำงานอยู่ในห้อง
น้อยครั้งที่ประตูห้องอ่านหนังสือเหล่านี้จะถูกล็อกระหว่างวัน เนื่องจากสิ่งที่มีมูลค่ามากที่สุดในห้องมีเพียงโต๊ะและเก้าอี้ ทั้งยังไม่ได้ทำมาจากไม้หวงฮวาหลี [3] หรือไม้จินซือหนาน [4] จึงไม่จำเป็นต้องล็อกห้องป้องกันขโมย
แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว
หลังจากเข้าไปในห้อง สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือปิดและลงกลอนประตู
ห้องอ่านหนังสือไม่ใหญ่มาก กำแพงฝั่งทางเดินไม่มีหน้าต่าง หลังจากล็อกประตูและวางโต๊ะสองสามตัวขวางไว้ ก็ถือว่าปลอดภัยแล้วชั่วคราว
ชีเหยียนเปิดซิปหยิบไฟฉายที่ใช้งานอย่างประหยัดไปเพียงไม่กี่ครั้งออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ท จากนั้นก็กดเปิด
ไฟฉายนำเข้านี้เป็นของเริ่นเจ๋อ สมแล้วที่เป็นสินค้าระดับไฮเอนด์ [5] เพราะแม้ชีเหยียนจะปรับแสงไฟฉายให้เป็นระดับต่ำถึงกลางเพื่อประหยัดพลังงานแล้ว แต่ก็ยังทำให้ห้องอ่านหนังสือสว่างไสวได้ครึ่งหนึ่งอยู่ดี
เหอจือเวิ่นมองปราดเดียวก็จำสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยได้ “นี่คือชั้นเจ็ด”
“อ้อ” ซ่งเฝ่ยตอบรับอย่างขอไปที เมื่อเทียบกับเรื่องชั้น ตอนนี้เขาสนใจชีเหยียนมากกว่า
ซ่งเฝ่ยหันมองเล็กน้อย นับแต่หนีออกจากลิฟต์จนถึงตอนนี้ ในที่สุดซ่งเฝ่ยก็มองเห็นใบหน้าของชีเหยียนชัดเจนเป็นครั้งแรกสักที
แต่สภาพของอีกฝ่ายกลับทำให้เขาตกใจ
เส้นผมของชีเหยียนเปียกโชก ใบหน้าเหมือนเพิ่งถูกดึงขึ้นมาจากน้ำ ขนตาเส้นเล็กละเอียดเปียกจนจับกันเป็นก้อน มองดูเหมือนหญิงสาวที่ทามาสคาร่าไม่ดี ใบหน้าซีดขาวอมแดง กล่าวคือทั้งขาวซีดจนเหมือนสุขภาพไม่แข็งแรง ทั้งมีสีแดงเลือดฝาดเหมือนมีอาการผิดปกติ
ระหว่างที่กำลังประหลาดใจ หยดน้ำอีกหนึ่งหยดก็ไหลจากจอนผมของชีเหยียนลงไปที่สันกราม และจากสันกรามหยดลงบนพื้น
“ข้างนอก…ฝนตกเหรอ” เมื่อเปล่งคำถามนั้นออกมา ซ่งเฝ่ยก็รู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนโง่ทันที เพราะเมื่อเงยหน้าขึ้นมองหน้าต่างก็จะเห็นท้องฟ้ายามค่ำคืน ซึ่งไม่มีฝนเกาะบนกระจกสักเม็ด
ชีเหยียนชะงัก เขาไม่รู้ว่าซ่งเฝ่ยได้วิเคราะห์ไตร่ตรองก่อนถามคำถามนี้ออกมาหรือไม่ รู้สึกเพียงว่าหมอนี่ตั้งใจแขวะเขา ทั้งยังตั้งใจแขวะหลังจากเขาเสี่ยงชีวิตมาช่วยเสียด้วย บ้าชะมัด เขาโกรธจนอกจะแตกตายแล้ว!
“อืม ตกหนักด้วย”
น้ำเสียงของชีเหยียนนุ่มนวลจนเกือบจะอ่อนโยน เหอจือเวิ่นที่ได้ยินถึงกับทำหน้างง
ไม่สิ นับตั้งแต่ตอนที่ซ่งเฝ่ยเอ่ยถามเกี่ยวกับสภาพอากาศ เขาก็ตามจังหวะของคนพวกนี้ไม่ทันแล้ว
ซ่งเฝ่ยกลืนน้ำลายลงคอ เห็นท่าไม่ดีเสียแล้ว
ความโกรธของชีเหยียนมีหลายระดับ หากโกรธขั้นแรกเขาจะต่อว่า โกรธแค่ไหนก็จะทำเพียงต่อว่าอย่างดุเดือดเท่านั้น แต่หากโกรธขั้นรุนแรงเขาจะสะกดกลั้นเอาไว้ ยิ่งน้ำเสียงเย็นลง ค่าความโกรธก็ยิ่งสูง
แต่เขาไม่ได้กวนอีกฝ่ายสักหน่อย
ถึงแม้ด้านนอกจะไม่มีฝนตก แต่เขาถามคำถามโง่ๆ ออกไป ก็เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมีหยดน้ำเกาะพราวทั่วศีรษะและใบหน้า เขาโง่เองที่ไม่รู้สาเหตุและคาดเดาไปผิดๆ แต่นี่ก็ไม่ใช่อาชญากรรมร้ายแรงสักหน่อย…เดี๋ยวนะ!
ซ่งเฝ่ยถึงกับสะดุ้งราวกับถูกปลุกสมองเปิดทวาร [6] เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงก้าวไปตรงหน้าชีเหยียนหนึ่งก้าว ยกมือขึ้นและสอดเข้าไปในชายเสื้อชีเหยียน อีกฝ่ายยังไม่ทันตอบโต้ ซ่งเฝ่ยก็สัมผัสแผ่นหลังได้เต็มๆ แล้ว
ฝ่ามือเปียกชื้นไปหมด
เมื่อเห็นว่าชีเหยียนได้สติแล้วแต่ก็ไม่ได้เบี่ยงหลบ ซ่งเฝ่ยจึงลูบขึ้นด้านบน หากนี่คือการแต๊ะอั๋ง เช่นนั้นเขาก็แต๊ะอั๋งแฟนเก่าทั่วทั้งแผ่นหลังแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่ซ่งเฝ่ยไม่ได้สัมผัสด้วยความคิดที่อยากจะหยอกล้อ
แม้ว่าทุกส่วนที่ปลายนิ้วสัมผัสคืบคลานขึ้นทีละน้อยๆ นั้น จะทำให้เขารู้สึกคันยุบยิบในหัวใจก็ตาม
ทั้งแผ่นหลังของชีเหยียนชุ่มเหงื่อ
กว่าจะวิ่งรวดเดียวขึ้นมาถึงชั้นเจ็ดต้องใช้เวลานานแค่ไหนกันนะ หนึ่งนาที? สองนาที? สามนาที? หากเขาถูกขวางทางล่ะ ก็ต้องย้อนกลับไปแล้ววิ่งขึ้นมาต่อ? ครั้งแรกไม่ได้ก็ต้องบุกครั้งที่สอง? ครั้งที่สองไม่สำเร็จก็ต้องบุกครั้งที่สาม? หากครั้งที่สามยังไม่สำเร็จก็ต้องบุกครั้งที่สี่?
ข้างนอกไม่มีฝนตก
มีเพียงคนโง่คนหนึ่ง หลังจากพวกเขาถูกขังอยู่ในลิฟต์ ชีเหยียนก็ใช้เวลาห้าชั่วโมงหาทางช่วยชีวิตพวกเขาโดยไม่ได้หยุดพัก
ซ่งเฝ่ยโอบกอดชีเหยียน เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงที่สุดในชีวิตว่า “ฉัน…”
“เดี๋ยวก่อน”
ถึงแม้จะถูกสัมผัสโดยไม่ทันตั้งตัว แต่ชีเหยียนก็ยังคงขัดจังหวะแฟนเก่าอย่างเด็ดเดี่ยว และพยายามขืนตัวออกจากอ้อมกอดอันเร่าร้อน ขณะเดียวกันก็ดึงกรงเล็บที่ยังเกาะค้างอยู่บนแผ่นหลังของตนเองออก
กระแสอารมณ์พลุ่งพล่านของซ่งเฝ่ยถูกหนุ่มสกุลชีปฏิเสธอย่างโจ่งแจ้ง ซ่งเฝ่ยตามอารมณ์ของอีกฝ่ายไม่ทัน เขาสับสนดั่งเกลียวคลื่นเกี่ยวกระหวัดกันอยู่ คิดไม่ออกว่าควรระงับความรู้สึกไว้หรือแสดงความรักต่อให้สุดตัวดี
ในความเป็นจริงชีเหยียนไม่ได้คิดซับซ้อนขนาดนั้น การที่ซ่งเฝ่ยเกิดอารมณ์พลุ่งพล่านตามอำเภอใจได้ตลอดเวลา เป็นสิ่งที่เขาพบเจอในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว จะเกิดขึ้นช้าหรือเร็วก็ไม่มีผลต่อระดับความสนุก
แต่ทว่าสถานการณ์ของสหายอีกคนหนึ่งจะล่าช้าไม่ได้อีกแล้ว…
ณ ต้นแอ๊ปเปิ้ล ด้านล่างอาคารเก๋ออู้
จ้าวเฮ่อรู้สึกเหมือนตนเองได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับต้นไม้ไปแล้ว นายอยู่ในตัวฉัน ฉันอยู่ในตัวนาย เมื่อยามหลับตาลง เขาถึงกับจินตนาการถึงกิ่งก้านที่อุดมสมบูรณ์และเต็มไปด้วยผลแอ๊ปเปิ้ลที่สวยงามได้
ร่างกายของเขาเย็นเฉียบทุกอณู เสื้อแจ็กเก็ตขนเป็ดต้านทานลมหนาวได้อยู่บ้าง แต่ไม่อาจป้องกันอุณหภูมิที่ลดลงเรื่อยๆ ได้ และนอกจากปาก เขาก็ไม่กล้าขยับร่างกายส่วนอื่นอีก นับตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้ กิ่งก้านของต้นไม้ต้นนี้ยังไม่เคยหัก นี่คือรางวัลที่สวรรค์ประทานให้กับความมั่นคงดุจเขาไท่ซาน [7] ของเขา หากเขาไท่ซานสั่นคลอน แล้วสวรรค์เกิดพิโรธ ความพยายามที่เขาทำไปก่อนหน้านั้นก็อาจจะสูญเปล่า
จ้าวเฮ่อไม่กลัวตก แต่กลัวตกลงไปในอ้อมแขนของแฟนคลับหลายสิบตนที่อยู่ด้านล่างมากกว่า
พวกมันรักเขามากเกินไปแล้ว จนเขากลัวว่าจะถูกกินไม่เหลือแม้แต่กระดูก
ในช่วงกลางดึก จ้าวเฮ่อผูกมิตรแนบแน่นกับพวกซอมบี้ใต้ต้นไม้ได้แล้ว ถึงขั้นจดจำใบหน้าของซอมบี้อย่างน้อยหนึ่งในสามได้อย่างแม่นยำ ต่อให้พวกมันกำลังขยับร่างเคลื่อนไหวไปตามจังหวะ เขามองแวบเดียวก็สามารถแยกแยะพวกมันจากท้องทะเลซอมบี้อันกว้างใหญ่ได้
“อย่ามองฉันด้วยสายตาคาดหวังแบบนั้นสิ ฉันยังถ่วงเวลาไม่เสร็จเลย ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาคุยเรื่องไร้สาระกันอีกดีไหม”
เมื่อสองชั่วโมงก่อน จ้าวเฮ่อเปลี่ยนจากการร้องเพลงมาเป็นร้องแรปแทน ไม่เช่นนั้นลำคอและสภาพร่างกายของเขาคงจะทนไม่ไหวเป็นแน่ แต่ว่าเขามีลิสต์เพลงไม่พอน่ะสิ โชคดีที่ท่านผู้ฟังยังไว้หน้า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอยู่ด้วยกันมานานจนทำให้พวกซอมบี้เกิดความรู้สึกผูกพันหรือไม่ ตอนนี้ไม่ว่าจ้าวเฮ่อจะร้องเพลงหรือพูดคุย พวกมันก็จะให้การตอบรับสนับสนุน ดวงตาจดจ่อและร่างกายตอบสนองเป็นอย่างดี
“บ้าเอ๊ย ทำไมเป็นแกอีกแล้ว!” จ้าวเฮ่อใช้มีดทหารแทงซอมบี้เสื้อไหมพรมที่พยายามปีนต้นไม้เป็นครั้งที่เท่าไรไม่รู้อย่างไม่สบอารมณ์ “ตอนนี้ฉันขี้เกียจทำอะไรทั้งนั้น ถ้าปีนขึ้นมาอีกฉันจะไม่เกรงใจแล้ว เชื่อไหมว่าฉันจะระเบิดหัวของแกซะ”
พูดจบเขาก็มองไปยังประตูหลัก ถอนหายใจด้วยความรู้สึกสับสนและยากที่จะปิดซ่อนความเหนื่อยล้าเอาไว้
“ไม่ต้องรีบร้อน” จ้าวเฮ่อมองพวกซอมบี้เคลื่อนที่ไปมาใต้ต้นไม้ราวกับพวกมันฟังเข้าใจ แล้วพูดโน้มน้าวอย่างจริงใจว่า “เดี๋ยวเสี่ยวชีก็ออกมา หลายสิบครั้งแล้วนะ ทำไมซอมบี้อย่างพวกแกไม่เชื่อฟังกันบ้างเลย”
แต่ทว่า…
จ้าวเฮ่อเหลือบมองไปที่ประตูอีกครั้งอย่างไม่สบายใจนัก ตรงนั้นก็ยังคงว่างเปล่าและเงียบสนิทเหมือนเดิม
“คราวนี้ไปนานจังนะ”
จ้าวเฮ่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงเชิงหยอกเย้า แต่แท้จริงกลับกำลังปลอบใจตนเอง
จริงๆ แล้วก่อนหน้านั้นชีเหยียนวิ่งกลับไปกลับมาแทบนับครั้งไม่ถ้วน เขาเคยอยู่ในอาคารนานที่สุดมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่นานเท่าครั้งนี้ แน่นอนว่าหากพบตัวซ่งเฝ่ย คงต้องเฉลิมฉลองกันทั่วประเทศ แต่เกรงว่าหากมีเหตุอะไรบางอย่างทำให้ตามหาซ่งเฝ่ยไม่พบ ชีเหยียนคงออกไปต่อสู้ครั้งที่หนึ่งพันหนึ่งไม่ได้อีกแล้ว
จ้าวเฮ่อคิดว่าตนคงทนรับผลลัพธ์เช่นนั้นไม่ไหว
แม้เขากับชีเหยียนจะไม่ได้มีมิตรภาพลึกซึ้ง ก่อนหน้านี้เขาเห็นชีเหยียนเป็นเพียงเพื่อนร่วมทางที่บังเอิญเจอระหว่างหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น จะพูดว่าเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมก็ได้ เพราะเคยร่วมสมรภูมิรบเฉียดเป็นเฉียดตายเคียงบ่าเคียงไหล่มาด้วยกันแล้ว แต่ถ้าให้พูดไม่น่าฟังนัก หากชีเหยียนยอมสละชีพอย่างองอาจกล้าหาญจริงๆ เขาก็คงจะเสียใจมาก และจะขอหลั่งน้ำตาแด่สหายผู้นี้ ทว่าเมื่อร้องไห้จนเสร็จสิ้น ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เป็นความคิดของเขาเมื่อเกือบหกชั่วโมงก่อน ความรู้สึกตอนนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว
ซ่งเฝ่ยและเหอจือเวิ่นถูกขังอยู่ในลิฟต์ ชีเหยียนต้องการเข้าไปช่วย เขาช่วยหลอกล่อซอมบี้อยู่บนต้นไม้ แผนการทั้งหมดไร้ซึ่งอุปสรรคปัญหาใดๆ
แต่เขาไม่เคยคิดมาก่อน ว่าตนจะต้องดึงดูดซอมบี้ไว้ถึงครึ่งค่อนคืน
เมื่อชีเหยียนพุ่งเข้าไป จ้าวเฮ่อก็เห็นเขาถูกซอมบี้ที่ไม่รู้ว่ามาจากชั้นไหนบ้างวิ่งไล่ออกมาจากอาคารอย่างบ้าคลั่ง กระทั่งเขาปีนขึ้นไปบนต้นไม้อีกต้นเพื่อพักร่าง หลังจากจ้าวเฮ่อสกัดกั้นซอมบี้ที่วิ่งตามออกมาแทนชีเหยียนแล้ว ก็เห็นอีกฝ่ายไถลตัวลงจากต้นไม้อีกครั้ง วิ่งเข้าไปข้างในอย่างไม่ลดละ จากนั้นก็ล้มเหลวอีก ถูกพวกซอมบี้ตัวใหม่ไล่ออกมา ปีนขึ้นต้นไม้อีกรอบ แล้วรอจังหวะลงไปใหม่และบุกเข้าไปในอาคารอีกครั้งอย่างต่อเนื่อง
ทะลวงผ่านบันไดไปถึงลิฟต์แต่ละชั้น ทะลวงผ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก นอกจากนี้เขายังต้องคอยตรวจสอบให้แน่ใจด้วยว่าในลิฟต์แต่ละชั้นมีใครอยู่หรือไม่ เหตุการณ์เช่นนี้พูดง่ายแต่ทำยาก โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีไฟฟ้า และยังมีซอมบี้ไม่รู้เท่าไรเดินไปเดินมาอยู่แทบทุกชั้น ทั้งยังจำเป็นต้องดูแลความปลอดภัยของตนเองไปพร้อมกัน ยากเย็นพอๆ กับการปีนขึ้นสวรรค์เลย!
หนึ่งครั้ง
สองครั้ง
สิบครั้ง
ยี่สิบครั้ง
ชีเหยียนมุมานะบากบั่น วิ่งไปวิ่งมาไม่หยุดพัก จนสุดท้ายจ้าวเฮ่อก็นับจำนวนครั้งไม่ถูกแล้ว
ราวกับผู้ชายคนนั้นไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย ไม่เข้าใจความท้อแท้ และไม่รู้ว่าบนโลกใบนี้ยังมีคำอีกสองคำที่เรียกว่า ยอมแพ้
หากเปลี่ยนเป็นตนเอง จ้าวเฮ่อคิด เขาจะต้องเป็นบ้าแน่ๆ
หากล้มเหลวกลับมา เขาก็ยินดีคุกเข่าเอาศีรษะโขกพื้นเพื่อขอให้สหายช่วยยกโทษให้ตนเองที่ไร้ความสามารถ หรือให้ออกไปสู้กับซอมบี้แบบเอาชีวิตเข้าแลกก็ได้ แม้สุดท้ายจะต้องติดเชื้อและกลายพันธุ์ แต่ก็ยังถือว่ามีความสุขอยู่ดี
ทว่าชีเหยียนกลับเลือกเส้นทางที่ยากลำบากที่สุด
แบกรับความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่อาจสิ้นหวัง ไม่อาจยอมแพ้ ไม่อาจใจร้อน ไม่อาจบ้าคลั่ง แต่ต้องสงบเยือกเย็นและมุ่งมั่นยิ่งกว่าครั้งที่ผ่านๆ มา
หากไม่เห็นกับตา จ้าวเฮ่อคงไม่เชื่อว่าจะมีคนประเภทนี้อยู่บนโลกจริงๆ
ก็เหมือนกับพวกรายการโทรทัศน์ที่ให้โหวตบุคคลแห่งปีด้านต่างๆ ของประเทศจีน เขามักจะคิดว่าเนื้อหาเหล่านั้นดูเกินจริงและปลุกเร้าอารมณ์ความรู้สึกมากไปหน่อย จนมักจะเกิดคำถามว่า ‘คนธรรมดาสามารถทำได้ถึงขั้นนั้นเชียวหรือ’
ตอนนี้เขารู้แล้ว มีคนแบบนี้อยู่จริง และคนแบบนี้มีอิทธิพลต่อสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างมหาศาล
คนรอบข้างย่อมได้รับพลังไปด้วยแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงยอมนอนอยู่บนต้นไม้เป็นเวลาครึ่งคืน และร้องเพลงให้ซอมบี้ฟังมาค่อนคืนแล้ว แม้อากาศจะหนาวเย็นจนแข็งไปทั้งตัว แต่กลับยังรู้สึกว่าตนเองทนค่ำคืนที่เหลืออยู่ไหวด้วยซ้ำ
ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ
“บางทีชีเหยียนอาจจะหาสองคนนั้นเจอแล้วก็ได้ ถึงได้ลืมฉันไปแล้ว” จ้าวเฮ่อสนทนากับอดีตเพื่อนนักศึกษาที่อยู่ใต้ต้นไม้ด้วยน้ำเสียงจริงจัง พูดไปก็ถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อยไปด้วย “เฮ้อ โจวอีลวี่มีเฉียวซือฉี เฝิงฉี่ไป๋มีอู๋โจว ชีเหยียนวิ่งไปหาซ่งเฝ่ยกับเหอจือเวิ่น มีแค่ฉันที่อยู่คนเดียวโดดเดี่ยว…เกลียวคลื่นไล่ตามเกลียวคลื่น~~อีกาเหมันต์เคียงเคล้าคลอเคลีย~~หญิงสาวล้วนมีคู่ชู้ชื่น~~ใครบ้างจะเหมาะสมกับฉัน [8] ~~~”
“จ้าวเฮ่อ…”
“อารมณ์เพิ่งมา รอฉันร้องจบก่อนได้ไหม…เอ่อ เอ๊ะ? ชีเหยียน?!!!”
จ้าวเฮ่อเงยศีรษะล้านใสขึ้นมองทันที เสียงมาจากชั้นที่อยู่สูงมากเกินไป เขามองเห็นเพียงแสงสะท้อน จึงต่างมองเห็นใบหน้าอีกฝ่ายไม่ชัดเจน แต่ก็พอบอกจำนวนได้แม่นยำว่าบนต้นไม้มีหนึ่งคน บนอาคารมีสามคน
“นายหาพวกเขาเจอจริงๆ เหรอเนี่ย!!!”
ดวงตาของจ้าวเฮ่อเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตา แทบจะระงับความยินดีในอกไว้ไม่ได้ แม้แต่น้ำเสียงก็เปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นที่หายไปนาน
“อืม ปลอดภัยดีหมด” ด้วยท่าทางของเจ้าเฮ่อ ทำให้น้ำเสียงของชีเหยียนฟังดูเย็นชาไปเลยทีเดียว หรือเพราะการช่วยเหลือใช้เวลาค่อนข้างยาวนาน เขาจึงใช้เหตุผลบีบคั้นตนเองจนเคยชิน จนยากที่จะแสดงอารมณ์ในเวลาแบบนี้ “ใต้ต้นไม้มีซอมบี้กี่ตน”
“หกสิบเก้าตน!”
ซ่งเฝ่ยทำหน้าระอา ต้องนับเป๊ะขนาดนี้ไหม!
ทว่าเส้นประสาทคิดคำเสียดสีของของชีเหยียนถูกกดทับไปหมดแล้ว แม้ว่าอันที่จริงเขาต้องการเพียงตัวเลขคร่าวๆ ก็พอจะประมาณการในใจได้ “ตอนนี้พวกเราจะร้องเพลงหลอกล่อพวกมันเพื่อช่วยนาย พอได้โอกาสนายก็วิ่งลงจากต้นไม้แล้วหนีไป ได้ยินไหม…”
จ้าวเฮ่อขมวดคิ้วแน่น “พวกนายได้วิทยุมาหรือยัง”
“ยังไม่ได้”
“แล้วฉันจะไปได้ยังไง! พวกนายอยู่ชั้นเจ็ดหรือชั้นแปด เดี๋ยวตอนขึ้นไปที่ชั้นสิบสอง ถ้าไม่สำเร็จก็ต้องวิ่งกลับออกมาอีก ถ้าไม่มีฉันคอยควบคุมพวกที่อยู่ใต้ต้นไม้ พวกนายเตรียมจะกลับไปเกิดใหม่หรือไง”
ชีเหยียนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “พวกเรายังลงมือเร็วๆ นี้ไม่ได้ ต้องพักก่อน”
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะพักอยู่บนต้นไม้” จ้าวเฮ่อตอบโดยแทบไม่ต้องคิด “พอพวกนายพักเสร็จ ฉันพักเสร็จ พวกเราก็ร่วมมือกันต่อเลย รอให้ได้วิทยุมาก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง!”
ชีเหยียนค่อนข้างกังวลใจ ถึงแม้จะสามารถควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้ แต่กลับคุมน้ำเสียงไม่อยู่แล้ว “อุณหภูมิจะลดต่ำลงอีกในช่วงกลางดึก นายจะอยู่บนต้นไม้ไม่ได้!”
“ฉันอยู่ได้…”
“แต่พวกเราไม่ได้!” ชีเหยียนไม่ยอมง่ายๆ รีบยื่นคำขาดในทันที “คืนพรุ่งนี้พวกเราถึงจะเริ่มลงมือ ยังเหลืออีกหนึ่งวันครึ่งคืน นายคิดเอาเองแล้วกันว่าจะทำยังไง”
“แม่ง!!!” จ้าวเฮ่อชอบฟังคำขอร้องดีๆ มากกว่า เมื่ออีกฝ่ายพูดเช่นนี้เขาก็แทบจะระเบิดออกมา
ซ่งเฝ่ยไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไป เขารู้ดีว่าสองคนนี้คือสหายร่วมรบ แต่คนที่ไม่รู้อาจคิดว่าพวกเขาเป็นศัตรูกัน มีอย่างที่ไหนปรึกษาหาเรื่องกันอย่างนี้!
ซ่งเฝ่ยดึงชีเหยียนออกมา แล้วตะโกนบอกคนด้านล่างอย่างใจเย็นว่า “จ้าวเฮ่อ พวกเราต้องได้วิทยุมาแน่นอน และจะถอยกลับไปอย่างปลอดภัย นายเชื่อใจฉันสักครั้งได้ไหม”
“ไม่ได้!” ถ้าเป็นชีเหยียนยืนกรานอย่างนั้น เขาอาจจะหวั่นไหว แต่หมอนี่ไม่มีหลักจิตวิทยาในการโน้มน้าวใจเอาซะเลย “แม้แต่ลิฟต์ตัวเดียวก็ยังพิชิตไม่ได้ จะให้ฉันเชื่อใจนายได้ยังไง!”
ซ่งเฝ่ย “แต่ชีเหยียนทำได้!”
จ้าวเฮ่อ “แล้วมันเกี่ยวบ้าอะไรกับนาย!”
ซ่งเฝ่ย “ชีเหยียนพิชิตซอมบี้ พิชิตลิฟต์ พิชิตทั้งโลก แต่ฉันพิชิตชีเหยียนได้ ดังนั้นผู้ชายที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารก็คือฉัน คือฉัน คือฉันเอง!!!”
จ้าวเฮ่อ “…”
ซ่งเฝ่ย “ยังมีปัญหาอีกไหม!”
จ้าวเฮ่อ “…”
ซ่งเฝ่ย “ทำไมไม่พูดล่ะ”
จ้าวเฮ่อ “ห่วงโซ่อาหารซับซ้อนขนาดนี้ นายจะไม่ให้ฉันทำความเข้าใจสักหน่อยหรือไง!!!”
[1] ประตูด้านนอกลิฟต์ที่อยู่ตามอาคารชั้นต่างๆ
[2] เป็นการปลอบโยนอีกฝ่ายว่าไม่ต้องเป็นกังวล
[3] ไม้เนื้อแข็ง มีลวดลายสวยงาม ราคาสูง และติดอันดับ 1 ใน 4 ต้นไม้ที่มีชื่อเสียงของประเทศจีน
[4] ไม้หายาก มีลวดลายสวยงาม เนื้อไม้มีลักษณะคล้ายดิ้นทอง ไม่เปลี่ยนรูปและสามารถอยู่ได้เป็นพันปีโดยไม่ผุพัง นิยมนำมาทำเป็นโลงศพ
[5] High-end แปลว่า ชั้นดี หรือชั้นสูง ในที่นี้หมายถึง สินค้าแบรนด์ดัง มีคุณภาพดี และราคาสูง
[6] เปรียบเปรยว่าจากที่โง่เขลา ราวกับจู่ๆ ก็ได้รับการเบิกเนตรจนเข้าใจแจ่มแจ้ง
[7] เปรียบเปรยถึงความตั้งมั่น มั่นคงไม่เคลื่อนคล้อย ไม่สั่นคลอน
[8] เพลง สายน้ำ หรือ อี้เจียงสุ่ย ต้นฉบับขับร้องโดย สวี่เวย และหานหง