มหาวิทยาลัยซอมบี้
Zombies in College
喪病大學
顏涼雨 เหยียนเหลียงอวี่ เขียน
Jpolly Wu แปล
นิยาย 4 เล่มจบ (วางขายเเยกเล่ม)
TRIGGER WARNING : นิยายเรื่องนี้ NOT FOR EVERYONE *
มีเนื้อหาเกี่ยวกับ angst (มีความรุนแรงในอารมณ์ บีบคั้นกดดัน), death (การตาย),
depression (ภาวะซึมเศร้า), gore (เนื้อหามีความโหดร้าย และรุนแรง) และ suicide (การฆ่าตัวตาย)
———————————————————–
ตอนที่ 93
ชีเหยียนมองดูซ่งเฝ่ยตกลงไป เมื่อเห็นก้นซ่งเฝ่ยกระแทกพื้น หัวใจเขาพลันแตกร้าวออกเป็นแปดส่วน
ซอมบี้อยู่ห่างแค่เอื้อม!
ดูเหมือนซ่งเฝ่ยจะตระหนักได้ถึงข้อนี้ จึงไม่มัวทำหน้าบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความเจ็บปวด รีบผุดลุกขึ้นยืน ตอบสนองได้รวดเร็วยิ่งกว่าชีเหยียนซะอีก!
ซ่งเฝ่ยปีนขึ้นไปบนท่อระบายน้ำอีกครั้งอย่างว่องไว พยายามหนีหัวซุกหัวซุน ฝ่าเท้าอยู่ห่างจากพื้นหนึ่งเมตร เคลื่อนไหวได้ราวกับถูกผีสิง
แต่ความสูงยังไม่พอให้คว้าปลายเชือกเอาไว้
ซอมบี้สี่ตัวหน้าสุดที่ไล่ตามมาใกล้จะวิ่งมาถึงท่อระบายน้ำแล้ว และกองทัพซอมบี้ที่อยู่ด้านหลังเองก็ออกจากป่ามาแล้วเช่นเดียวกัน!
ชีเหยียนไม่รอให้ซ่งเฝ่ยปีนขึ้นมาเอง เขานำเชือกที่อยู่ด้านบนท่อระบายน้ำมาคล้องเข้ากับข้อมือ จับเชือกด้วยสองมือ ก่อนจะหย่อนลงไปตรงๆ!
ปลายเชือกที่เคยอยู่สูงเหนือศีรษะของซ่งเฝ่ยถึงหนึ่งเมตร จู่ๆ ก็ถูกหย่อนลงมาตรงหน้า!
ซ่งเฝ่ยไม่เห็นว่าเชือกมาได้อย่างไร เพียงยื่นมือคว้าตามสัญชาตญาณ เขาเรียนรู้จากบทเรียนในอดีต เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นอีกครั้ง จึงไม่ใช้เท้า แต่เปลี่ยนมาใช้ท่อนขาหนีบท่อระบายน้ำเอาไว้แทน เมื่อเปลี่ยนท่าทางแล้ว ซ่งเฝ่ยจึงจับเชือกในมือแน่น และคลายสองขาออก ก่อนจะทิ้งน้ำหนักทั้งตัวโอนถ่ายไปบนเชือก!
ชีเหยียนเตรียมพร้อมตั้งแต่ตอนที่อีกฝ่ายคว้าเชือกแล้ว แต่แรงดึงที่จู่ๆ ก็เพิ่มขึ้นยังไกลเกินความคาดหมายไปมาก จนตัวเขาเองเกือบถูกลากลงไปด้วย!
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็ว ภายในชั่วพริบตา ซ่งเฝ่ยก็ล้มลงกับพื้นและปีนขึ้นมาใหม่อีกครั้ง กระทั่งชีเหยียนหย่อนเชือกลงไป ทุกคนจึงเพิ่งได้สติกลับมา
แต่การเคลื่อนไหวของชีเหยียนเร็วกว่ามาก ขณะที่พวกเขากำลังคิดจะเข้าไปช่วยจับเชือก ร่างกายครึ่งท่อนของชีเหยียนก็ถูกดึงออกไปนอกชายคาแล้ว อย่าว่าแต่เชือกเลย พวกเขาทั้งหมดยังต้องช่วยกันสุดแรงถึงจะคว้าเอวกับท่อนขาชีเหยียนเอาไว้ได้ทัน!
เดิมทีซ่งเฝ่ยคิดว่าการปีนเชือกขึ้นไปครั้งนี้คงไม่ต้องเปลืองแรง แต่กลายเป็นว่าเขาไม่ได้ถูกดึงขึ้นไปในทันที และเกือบจะตกลงไปอีกครั้ง ทำเอาตกใจแทบแย่!
ดีที่สุดท้ายเชือกก็หยุดตกลงมา ซ่งเฝ่ยรีบเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ ก่อนจะมองเห็นร่างกายท่อนบนกับใบหน้าที่เกร็งจนเส้นเลือดปูดโปนของชีเหยียนยื่นออกมา!
คนอื่นที่เหลือกอดชีเหยียนแน่นและช่วยกันดึงเขากลับเข้าไป รวมถึงดึงเชือกที่อยู่ในมือของชีเหยียนด้วย ซ่งเฝ่ยที่อยู่บนเชือกค่อยๆ ถูกดึงสูงขึ้นทีละน้อย
ทว่าซอมบี้สี่ตัวนั้นตามมาทันแล้ว พวกมันรีบคว้าท่อนขาซ่งเฝ่ยที่ยังไม่พ้นระยะปลอดภัยในทันที!
ซ่งเฝ่ยใช้เท้าถีบหน้าซอมบี้ตนหนึ่งไปเต็มแรง แต่ซอมบี้อีกสามตนยังคงคว้าท่อนขาเขาได้ และพยายามจะกระชากลงมา!
แรงดึงที่พวกเขาต้องรับมือเพิ่มขึ้นเป็นสี่เท่า ทำให้การดึงเชือกหยุดชะงัก ยังดีที่ชีเหยียนและทุกคนจับเชือกได้มั่นแล้ว
ทว่าซ่งเฝ่ยไม่เป็นเช่นนั้น
คราวนี้เขารู้สึกปวดแสบปวดร้อนจริงๆ ฝ่ามือเสียดสีกับความหยาบของเชือกจนผิวหนังหลุดลอก ทิ้งไว้เพียงรอยเลือดแดงจางๆ จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงดัง “ตุ้บ” เขาร่วงลงสู่พื้นอีกครั้ง!
ซ่งเฝ่ยกระแทกกับพื้นอย่างแรง เท้าหลุดออกจากรองเท้าที่ซอมบี้สามตนนั้นจับเอาไว้!
ซอมบี้สามตนชะงักครู่หนึ่งก่อนจะโยนรองเท้าทิ้ง พุ่งเข้าใส่ซ่งเฝ่ยที่นอนอยู่บนพื้น และพยายามกดร่างเขาลง!
ซ่งเฝ่ยไหนเลยจะให้โอกาสพวกมัน
ตอนล้มครั้งแรกอาจจะยังไม่คุ้นเคย แต่หลังจากนั้นเขาก็เริ่มชิน ครั้งแรกซ่งเฝ่ยยังตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ครั้งที่สองจึงยิ่งว่องไวกว่า จังหวะที่ดึงเท้าออกก็กลิ้งไปกับพื้น กว่าซอมบี้จะพุ่งมาถึง เขาก็กลิ้งห่างออกไปด้านข้างราวหนึ่งเมตรแล้ว โดยไม่ได้มองว่าซอมบี้เป็นอย่างไรด้วยซ้ำ เขารีบยันตัวลุกขึ้นยืน วิ่งตรงแหน็วไปที่ประตูสระว่ายน้ำที่เปิดอยู่ด้านข้างโดยไม่หันกลับมามอง
“ใช้เสียงช่วยสกัดพวกมันเอาไว้ ชีเหยียน นายห้ามลงมานะ!!!”
ตอนที่เสียงตะโกนดังขึ้นท่ามกลางสายลมยามค่ำคืน ชีเหยียนทิ้งเชือก หยิบหอก และก้าวขาข้างหนึ่งออกไปกลางอากาศครึ่งหนึ่งแล้ว ถ้าซ่งเฝ่ยตะโกนช้ากว่านี้อีกนิดเดียว ชีเหยียนคงพุ่งตรงลงมาจากหลังคาเรียบร้อย
ที่ความสูงระดับนั้น ไม่ต้องให้ถึงมือซอมบี้ พระแม่ธรณีก็รับเขากลับไปได้เช่นกัน!
เสียงประสานบทเพลง แม่น้ำฮวงโห อันไพเราะทรงพลังไหลทะลักออกมาอีกครั้ง คราวนี้สมาชิกทุกคนเต้นรำเพิ่มแรงดึงดูดให้มากขึ้นด้วย กระทั่งชีเหยียนที่เต้นไปเต้นมายังเริ่มปล่อยท่าเด็ดๆ ของตัวเอง
นอกจากซอมบี้สี่ตนแรกสุดที่จดจ้องซ่งเฝ่ย กองทัพซอมบี้ที่ไล่ตามหลังมาล้วนถูกสมาชิกคนอื่นๆ หลอกล่อเอาไว้ให้อยู่ใกล้ท่อระบายน้ำได้ทั้งหมด
แต่ซ่งเฝ่ยไม่รู้เรื่องนั้นเลย
เขาไม่รู้ว่ามีซอมบี้ไล่ตามหลังมากี่ตน และไม่รู้ว่าการร้องประสานเสียงที่ดังขึ้นอีกครั้ง มาจากสหายร่วมรบจริงๆ หรือเป็นภาพลวงตาจากเหตุการณ์ในอดีตกันแน่
สิ่งเดียวที่รับรู้ได้คือลมหนาวที่ปะทะพวงแก้ม กระทั่งเข้ามาในอาคารสระว่ายน้ำ อากาศก็พลันสงบนิ่งในทันใด
ซ่งเฝ่ยยังไม่หยุดวิ่ง เขาถอดรองเท้าข้างเดียวที่เหลือและวิ่งด้วยท่าทางผิดมนุษย์ไปที่ขอบสระโดยที่สวมเพียงถุงเท้า แล้วทิ้งตัวนั่งลงโดยไม่ลังเล ก่อนจะมุดลงน้ำไปอย่างเงียบเชียบ
สายน้ำเย็นฉ่ำทะลักเข้าใส่ตา หู ปาก และจมูกในทันที ซ่งเฝ่ยหลับตาลง กลั้นลมหายใจ ก่อนจะค่อยๆ จมลงช้าๆ
บริเวณสระว่ายน้ำเงียบสงบตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้ แทบไม่มีแม้แต่เสียงน้ำสาดกระเซ็นในตอนที่เขาลงน้ำ เมื่อซ่งเฝ่ยจมลงสู่ก้นบึ้ง ระลอกคลื่นในสระว่ายน้ำก็ค่อยๆ สงบลง ทุกอย่างเงียบสงัดราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
เย็นเยียบ อึดอัด และหายใจไม่ออก
ซ่งเฝ่ยรู้ว่าตนเองจำเป็นต้องโผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำแล้ว
เขารู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปยาวนาน แต่ก็รู้แก่ใจดีว่าอย่างมากก็เพิ่งผ่านไปได้ไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำ แต่นั่นคือขีดจำกัดในการกลั้นหายใจของเขา
ผิวน้ำสั่นกระเพื่อมก่อระลอกคลื่นอีกครั้ง
เขาโผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำครึ่งศีรษะอย่างเงียบเชียบเช่นเดียวกับตอนที่ดำลงไป
แสงจันทร์เย็นยะเยือกตกกระทบกระจกบานใหญ่ สาดส่องพื้นกระเบื้องไปจนถึงสระว่ายน้ำ แต่งแต้มแสงสลัวไปทั่วทั้งบริเวณ
ภายในสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ มีซอมบี้เพียงหกหรือเจ็ดตนเท่านั้น ซอมบี้สี่ตนจากทั้งหมดนั้นดูคล้ายซอมบี้ที่เคยดึงขาเขาก่อนหน้านี้มาก แต่เนื่องจากอยู่ไกลกัน ซ่งเฝ่ยจึงไม่ค่อยแน่ใจนัก
แม้ว่าซอมบี้ทั้งหกตนจะปักหลักอยู่ในอาคารสระว่ายน้ำตั้งแต่ต้น แต่อาคารเปิดแบบนี้ ต่อให้อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ก็ไม่น่าจะมีซอมบี้แค่ไม่กี่ตน
ซ่งเฝ่ยอ้าปากกว้างรับออกซิเจนเงียบๆ พลางนึกสงสัยใคร่รู้
แต่แล้วก็เห็นซอมบี้หกเจ็ดตนนั้นเดินช้าๆ เข้าไปใกล้ประตูด้านข้าง ราวกับด้านนอกมีสิ่งที่กำลังดึงดูดพวกมันอยู่
ซ่งเฝ่ยจ้องมองด้วยความประหลาดใจ เมื่อซอมบี้ตนสุดท้ายพ้นจากกรอบประตู เขาถึงได้สติกลับคืน ร่างกายพลันตื่นตัว
สวรรค์เหรอจะช่วยชีวิตเขาเอาไว้
ตั้งแต่แรกจนตอนนี้ มีเพียงเหล่าสหายร่วมรบต่างหากที่ช่วยกันร้องประสานเสียงชุดใหญ่!
พวกเขาไม่เพียงแต่ช่วยสกัดกั้นทหารหลักที่ไล่ล่าซ่งเฝ่ย แต่ยังดึงดูดทหารที่ไม่ได้ไล่ตามและซอมบี้ที่อยู่ในสระว่ายน้ำตั้งแต่แรกออกไปด้วย!
เมื่อเทียบกับอาคารสระว่ายน้ำที่เงียบสงบและไร้วี่แววของเหยื่อ เสียงจากด้านนอกย่อมมีแรงดึงดูดกว่ามาก!
ในที่สุดเส้นประสาทที่ตึงแน่นก็เริ่มคลายลงทีละน้อย ซ่งเฝ่ยที่รอดชีวิตในที่สุดผ่อนลมหายใจออกมาครึ่งหนึ่ง แต่ยังไม่กล้าผ่อนคลายเต็มที่
เขาตีน้ำเบาๆ เพื่อหมุนตัวหันมองรอบๆ ให้ทั่ว
แต่เมื่อหมุนไปได้เพียงครึ่งทาง จู่ๆ ร่างกายกลับไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ ราวกับใต้น้ำมีคนกำลังจับเท้าเขาอยู่!
เลือดในกายซ่งเฝ่ยพลันเย็นยะเยือกไปทั่วร่าง
เขาเริ่มเปลี่ยนไปเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง แม้จะกลัว แต่ยังอยากให้ร่างกายส่วนบนโผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำ ทว่าดิ้นรนได้ไม่เท่าไร ก็ถูกกระชากลงไป ซ่งเฝ่ยจมดิ่งลงสู่ใต้น้ำทั้งร่างอีกครั้ง!
บริเวณนี้คือส่วนที่มีความลึก 1.8 เมตรและอยู่ใกล้กับประตูด้านข้าง ถึงจะว่ายน้ำเป็น แต่เวลาที่ฝ่าเท้าไม่ได้สัมผัสกับพื้นก็ทำให้กลัวได้ไม่น้อย ยิ่งถูกกระชากลงไปใต้น้ำยิ่งแล้วใหญ่!
แม้จะแสบตา แต่ซ่งเฝ่ยก็พยายามฝืนลืมตาในน้ำ ทว่าเขามองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความดำมืด
ซ่งเฝ่ยดิ้นรนใช้ขาถีบเตะสุดชีวิต แต่แรงดันจากใต้น้ำทำให้ทั้งหมดนี้ไร้ความหมาย!
ซ่งเฝ่ยอยากจะบ้า การขาดอากาศหายใจกับความกลัวทำให้หน้าอกใกล้จะระเบิดเต็มที
เขาดิ้นรนสุดชีวิตเหมือนปลาตายตาข่ายขาด [1] !
แต่แล้วเขาก็หยุดถีบ ปล่อยร่างกายไปตามแรงกระชากแทน!
จากนั้นก็รู้สึกเหมือนตนเองกระแทกเข้ากับร่างบางอย่าง ในวินาทีต่อมา เขาจึงออกแรงดิ้นและพุ่งไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง!
ซ่งเฝ่ยมีแรงดันของน้ำเป็นอุปสรรค ทั้งยังมี “ผีพราย” ที่จับเขาไม่ปล่อยด้วย กระทั่งทั้งสองชนเข้ากับขอบสระว่ายน้ำ การต่อสู้ในครั้งนี้จึงสิ้นสุดลง
ซ่งเฝ่ยอาศัยจังหวะนี้ถอนตัวออกมา โผล่ขึ้นเหนือน้ำโดยไม่มีเวลาไปสนใจเสียงน้ำที่สาดกระเซ็นอีกแล้ว ก่อนจะใช้ทั้งมือและเท้าช่วยกันปีนขึ้นไปบนขอบสระ!
ซ่า…
ผีพรายก็ขึ้นจากน้ำตามหลังเขามาด้วย!
แสงจันทร์ส่องกระทบใบหน้าเปียกลู่ของอีกฝ่าย ซีดเซียวไร้เลือดฝาด!
ซ่งเฝ่ยเกือบจะกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบเผ่นแน่บทันที!
ผีพรายไม่ยอมแพ้ มันลุกขึ้นยืนและวิ่งไล่ตามไป พลางส่งเสียงร้องโหยหวน “อ๊าก-ก-ก”
ซ่งเฝ่ยขนลุกตั้งชัน ทุกเซลล์ในร่างกายพลันสั่นสะท้าน เขาไม่กลัวซอมบี้แล้ว แต่ยังกลัวผีอยู่น่ะสิ!!!
“ซ่งเฝ่ย ทางนี้!”
“ห้องล็อกเกอร์”
เสียงเรียกของสหายเปรียบดังเสียงจากสวรรค์ ซ่งเฝ่ยแทบจะหลั่งน้ำตาออกมา!
ไม่สิ เขาน้ำตาไหลนองอยู่ก่อนแล้ว แถมเผลอเหยียบคราบน้ำจนตัวเซตั้งหลายครั้งหลายหน!
ในที่สุดเขาก็วิ่งเข้าไปในโถงทางเดินของห้องแต่งตัว ผู้ชายอยู่ทางซ้าย ผู้หญิงอยู่ทางขวา แต่ซ่งเฝ่ยไม่สนใจ เนื่องจากชีเหยียนยืนอยู่ตรงกลางทางแยก กำลังอ้าแขนรอรับเขาอยู่!
ซ่งเฝ่ยพุ่งตัวเข้าใส่อ้อมกอดชีเหยียน กระแทกอย่างแรงจนอีกฝ่ายเกือบล้ม!
ไม่ต้องรอให้ชีเหยียนตั้งตัวได้ ผีพรายก็ไล่ตามมาจนทัน!
จ้าวเฮ่อยืนขวางหน้าชีเหยียนเอาไว้ ในมือถือตะเกียบโลหะ ตั้งท่ารอให้ผีพรายพุ่งเข้ามา
อีกฝ่ายไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง ซ่งเฝ่ยอยู่ในอ้อมกอดของชีเหยียนฉันใด ผีพรายก็ซบหน้าอกจ้าวเฮ่อฉันนั้น!
จ้าวเฮ่อหรี่ตาลง เงื้อมือขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่กำลังจะแทงลงไปก็ได้ยินเสียงโหยหวน “อ๊าก-ก-ก”
เสียงหวีดแหลมเศร้ารันทด
แต่น้ำเสียง…แปลกชะมัด
จ้าวเฮ่อถูกกระแทกจนถอยหลังไปสองก้าว
ผีพรายยังคงแหกปากร้องโหยหวนอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับลงมือทำร้ายร่างกายจ้าวเฮ่อ
แต่เขาไม่กัดคน ในมือไม่มีอาวุธ เพียงใช้มือเปล่าทำร้ายร่างกายเท่านั้น แต่เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านส่วนสูง จ้าวเฮ่อจึงหลบเลี่ยงได้เสมอ
“เขาไม่ใช่ซอมบี้!” หลินตี้เหล่ยโพล่งขึ้นด้วยความตกใจ
ฟู่ซีหยวนกับอู๋โจวตาไวมือไว ช่วยกันจับแขนคนละข้าง ป้องกันไม่ให้เขาข่วนหน้าจ้าวเฮ่อ
“คนเหรอ!” หลี่จิ่งอวี้ที่เฝ้าประตูอยู่ไม่ไกลเปล่งเสียงสั่นเทาออกมา
“งั้นก็เข้ามาข้างในก่อน!” เฝิงฉี่ไป๋ที่ทำหน้าที่เดียวกับหลี่จิ่งอวี้เอ่ยเร่ง
เมื่อบานประตูปิดและลงกลอนเรียบร้อยแล้ว ซ่งเฝ่ยจึงมองเห็นห้องเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดในห้องล็อกเกอร์ภายใต้แสงไฟอย่างชัดเจน คุณป้าแม่บ้านทำความสะอาดจะพักเที่ยงในห้องนี้ เครื่องมือทำความสะอาดก็เก็บเอาไว้ที่นี่เช่นเดียวกัน ตอนนี้กระจกเล็กๆ ด้านบนของหน้าต่างถูกทุบแตก ผ้าม่านที่สหายร่วมรบดึงปิดไว้จึงปลิวสะบัดตามกระแสลม
เห็นได้ชัดว่าสหายร่วมรบเข้ามาทางหลังคา
แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญในตอนนี้
ผีพรายเริ่มต่อสู้กับฟู่ซีหยวนกับอู๋โจวเป็นพัลวัน จ้าวเฮ่อพยายามแทรกเข้าไปหลายครั้งหลายหน แต่ทุกครั้งดันดึงออกมาได้แต่สหายร่วมรบของตัวเอง
“นายแม่งบ้าไปแล้ว”
“อ๊าก-ก-ก”
“ตื่นสักที!”
“อ๊าก-ก-ก”
“บ้าเอ๊ย!”
จ้าวเฮ่อจับผีพรายอีกครั้งจากด้านหลัง ไม่ว่าเขาจะดิ้นและส่งเสียงร้องโวยวายแค่ไหนก็ไม่ยอมปล่อยมือ แต่การกระทำอย่างสุภาพของจ้าวเฮ่อกลับไม่สามารถดึงสติของอีกฝ่ายกลับมาได้
“พวกนายคิดหาวิธีซิ!!!”
พวกเขาต่อสู้กับซอมบี้ได้ สื่อสารกับเพื่อนนักศึกษาได้ แต่คนที่ดิ้นรนต่อสู้และไม่ยอมสื่อสารแบบนี้ทำเอาจ้าวเฮ่อใกล้จะสติแตกเต็มทน
ภายใต้สถานการณ์คับขัน จ้าวเฮ่อรีบปิดปากอีกฝ่ายอย่างแรง เพื่อป้องกันไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านนอกแตกตื่นเพราะเสียงร้องโหยหวนของเขา!
หลี่จิ่งอวี้ “งั้นก็ตีเขาให้สลบไปเลย!”
หลัวเกิง “นายคิดว่าจะตีทีเดียวให้สลบได้เหมือนในละครทีวีหรือไง ถ้าเกิดทุบแล้วตายขึ้นมาจะทำยังไงฮะ!”
เฉียวซือฉี “แล้วจะปล่อยให้เขาแหกปากอยู่แบบนี้เหรอ!”
โจวอีลวี่ “หาอะไรมาอุดปากเขาหน่อย!”
จ้าวเฮ่อ “บ้าเอ๊ย เขาจะกัดมือฉัน!”
ผีพราย “อ๊าก-ก-ก”
เพี๊ยะ!
เสียงตบดังสนั่นหยุดเสียงกรีดร้องบ้าคลั่งเอาไว้ได้ บรรยากาศภายในห้องเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดพลันเงียบสนิท
หวงมั่วหยุดมือที่กำลังสั่นค้างกลางอากาศ ลมหายใจติดขัดไม่คงที่ เห็นได้ชัดว่าเธอไม่คุ้นเคยกับการทำแบบนี้
ใบหน้าของผีพรายหันไปอีกข้าง แน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว แววตาฉงนงงงวย แลดูสับสนไม่น้อย
หวงมั่วสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะค่อยๆ ปล่อยออกมา ราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้ว เธอยื่นมือออกไปและตบหน้าเขาอีกสองสามที!
ภายใต้เสียงตบก้องกังวาน ดวงตาของผีพรายค่อยๆ เปลี่ยนไป เมื่อหวงมั่วหยุดมือ เขาจึงกะพริบตาช้าๆ
หวงมั่วเขยิบเข้าใกล้อีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเน้นย้ำทีละคำว่า “พวกเราไม่ใช่ซอมบี้ พวกเราเป็นนักศึกษา”
ผีพรายกะพริบตาอีกครั้ง แต่ยังตกอยู่ในความสับสนจนพูดไม่ออก
จ้าวเฮ่อที่กำลังคุมตัวเขาไว้จึงออกแรงสะกิด “นี่ เธอพูดกับนายอยู่นะ”
ผีพรายยังคงนิ่งเงียบ ไม่รู้สึกถึงแรงสะกิดนั้น
จ้าวเฮ่อกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “หรือว่า…จะเสียสติไปแล้วจริงๆ”
หวงมั่วเม้มริมฝีปาก มึนงงสับสนเช่นเดียวกัน เธอไม่ใช่ครึ่งเซียน เป็นเพียงนักศึกษาคนหนึ่งที่นำเอาสิ่งที่เรียนรู้มาประยุกต์ใช้ แต่จิตวิทยาไม่ใช่ยาครอบจักรวาล ต่อให้หลักจิตวิทยาใช้รักษาได้จริง แต่เธอก็ยังเป็นเพียงนักศึกษาคนหนึ่งเท่านั้นเอง
ซ่งเฝ่ยอยากก้าวไปข้างหน้า แต่ชีเหยียนห้ามไว้ทันที
“ฉันไม่เป็นไรหรอก สิบสี่ต่อหนึ่งเชียวนะ”
ซ่งเฝ่ยดึงแขนชีเหยียนออก เดินเข้าไปใกล้พี่ชายแสนดีท่านนั้นบนบกเป็นครั้งแรก
ใบหน้าเขาเขียวคล้ำและซีดจางไร้เลือดฝาด มองแวบแรกแทบไม่ต่างจากพวกซอมบี้เลย แต่เมื่อมองรูม่านตาอย่างละเอียด ก็จะพบว่ามันไม่ได้ดำสนิทเหมือนคนที่ติดเชื้อ และยังไม่มีรอยแผลบนผิวหนังตั้งแต่หัวจรดเท้า ส่วนผิวหนังในร่มผ้านั้นก็น่าจะไม่มีเช่นกัน เนื่องจากเขาสวมเพียงกางเกงว่ายน้ำทรงบรีฟ [2] ตัวเดียวเท่านั้น
หวงมั่วเขยิบไปด้านข้าง เพื่อเปิดทางให้ซ่งเฝ่ย
ซ่งเฝ่ยเดินมาหยุดตรงหน้าผีพราย จดจ้องดวงตามึนงงคู่นั้น “นี่”
ซ่งเฝ่ยเรียกอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยนยิ่งกว่าหวงมั่วซะอีก น้ำเสียงคล้ายกำลังปลอบประโลมคนรัก
ผีพรายยังคงกะพริบตาปริบๆ ปฏิบัติกับทุกคนอย่างเท่าเทียม ราวกับนี่เป็นปฏิกิริยาเดียวที่เขามีต่อโลกภายนอกทั้งหมด
ซ่งเฝ่ยพูดต่อ “พวกเราไม่ใช่ซอมบี้”
ผีพรายกะพริบตาเป็นครั้งที่สอง
ซ่งเฝ่ยเป่าลมใส่หน้าเขาอย่างไร้มารยาท แต่น้ำเสียงกลับอ่อนโยนขึ้นเรื่อยๆ “พวกเราเป็นนักศึกษา”
ผีพรายกะพริบตาเป็นครั้งที่สาม
ทันใดนั้นซ่งเฝ่ยก็ตะโกนขึ้นว่า “มั่งคั่ง เข้มแข็ง เพื่อประชาชน มีอารยะ สามัคคี!” [3]
ผีพรายสะดุ้งเฮือก “เสรีภาพ เท่าเทียม ยุติธรรม เคารพกฎหมาย!” [4]
เสียงของเขาแหบพร่า ราวกับถูกขัดด้วยกระดาษทรายมาก่อน แต่น้ำเสียงกลับมุ่งมั่นจริงจังราวกับตอบคำถามครูฝึกทหาร!
ซ่งเฝ่ยพยายามต่อไป “รักประเทศชาติ อุทิศตนเพื่อสังคม!” [5]
ผีพรายสะอื้นไห้ออกมา น้ำตาไหลริน “ซื่อสัตย์สุจริต มีไมตรีจิต มีมิตรภาพ…” [6]
ซ่งเฝ่ยขอให้จ้าวเฮ่อปล่อยตัวเขา จากนั้นก้าวไปข้างหน้าเพื่อมอบอ้อมกอดที่ปลอดภัยและพึ่งพาได้ให้กับอีกฝ่าย “นายปลอดภัยแล้ว จริงๆ นะ”
ผีพรายร้องไห้คร่ำครวญ ชายหนุ่มสูงกว่าซ่งเฝ่ยไม่กี่เซนติเมตร แต่กลับร้องไห้เหมือนเด็กน้อย
หัวใจของคนอื่นๆ พลันปวดแปลบ แต่ก็โล่งใจขึ้นมาก
ซ่งเฝ่ยยิ้มกว้างโชว์ฟันขาวให้กับทุกคน
คนที่เหลือกลอกตาไปมาอย่างเอือมระอา
นี่คือสิ่งที่ทางมหาวิทยาลัยเคยขอให้นักศึกษาทุกคนท่องจำ โดยอาจารย์ของแต่ละคณะจะสุ่มตรวจอยู่บ่อยครั้ง และหากคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลายฉุกคิดขึ้นมาได้ ก็จะสุ่มเรียกถามนักศึกษาที่เดินผ่านไปผ่านมา หากจำคติพจน์มหาวิทยาลัยไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องจำสิ่งนี้ได้ อาจารย์พูดประโยคแรก นักศึกษาก็ต้องตอบประโยคถัดไป จนกลายเป็นปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติไปโดยปริยาย
ตอนนั้นไม่มีใครฉุกคิดขึ้นมาได้หรอก ว่าสักวันหนึ่งตัวอักษรไม่กี่สิบตัวนี้จะกลายเป็นดาบไม้ท้อ [7] ขับไล่สิ่งชั่วร้าย เบิกเมฆเห็นตะวัน แม้จะอยู่ในนรก ก็ยังสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของครอบครัวสังคมนิยม
[1] หมายถึง ต่อสู้สุดชีวิตจนตายไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย
[2] กางเกงว่ายน้ำทรงเดียวกับกางเกงในพอดีตัว
[3] ค่านิยมหลักของระบอบสังคมนิยม หัวข้อ เป้าหมายค่านิยมแห่งชาติ
[4] ค่านิยมหลักของระบอบสังคมนิยม หัวข้อ เป้าหมายค่านิยมต่อสังคม
[5] ค่านิยมหลักของระบอบสังคมนิยม หัวข้อ เป้าหมายค่านิยมส่วนตัวของประชาชน
[6] ค่านิยมหลักของระบอบสังคมนิยม หัวข้อ เป้าหมายค่านิยมส่วนตัวของประชาชน
[7] มีความเชื่อว่าไม้จากต้นท้อมีเทพสิงสถิตอยู่ จึงมีอำนาจดึงดูดโชคลาภ และปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย