มหาวิทยาลัยซอมบี้
Zombies in College
喪病大學
顏涼雨 เหยียนเหลียงอวี่ เขียน
Jpolly Wu แปล
นิยาย 4 เล่มจบ (วางขายเเยกเล่ม)
TRIGGER WARNING : นิยายเรื่องนี้ NOT FOR EVERYONE *
มีเนื้อหาเกี่ยวกับ angst (มีความรุนแรงในอารมณ์ บีบคั้นกดดัน), death (การตาย),
depression (ภาวะซึมเศร้า), gore (เนื้อหามีความโหดร้าย และรุนแรง) และ suicide (การฆ่าตัวตาย)
———————————————————–
ตอนที่ 94
“ผีพราย” มีชื่อว่าค่วงเหย่ แต่นอกจากชื่อที่ได้ยินชัดเจนแล้ว เมื่อเปล่งคำพูดที่เหลือออกมาพร้อมกับเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น ก็ไม่มีใครในห้องเกรียงไกรไม่ย่อท้อที่สามารถแปลได้อีก
หวงมั่วรู้ว่านี่คือการปลดปล่อยอารมณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากเผชิญกับความตึงเครียด ความสิ้นหวัง และความตื่นตระหนกมาเป็นเวลานาน จึงเข้าไปเกลี้ยกล่อมซ่งเฝ่ยที่กำลังทำหน้าเซ็ง “ปล่อยให้เขาร้องไห้ต่อไปอีกสักพักเถอะ พอร้องเสร็จเดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง”
“กว่าเขาจะร้องไห้เสร็จ ฉันก็กลายเป็นไอศกรีมแท่งพอดี!” ซ่งเฝ่ยพยายามดึงอีกฝ่ายออกหลายครั้งหลายหน แต่ก็ล้มเหลวทุกครั้ง ความแข็งแกร่งของเขาช่างตรงข้ามกับจำนวนเสื้อผ้าบนตัว อีกฝ่ายใกล้จะรัดคอซ่งเฝ่ยตายอยู่รอมร่อ หายใจไม่ออกยังพอทนได้ แต่เขาเปียกโชกไปถึงข้างใน เสื้อผ้าที่หลงเหลือความอบอุ่นเพียงน้อยนิดพลันเย็นเยียบราวกับชั้นน้ำแข็ง ตอนนี้แค่กระแสลมพัดแผ่วเบา ก็รู้สึกหนาวเหน็บราวกับถูกปลายมีดแหลมทิ่มแทงแล้ว
“ฮัดชิ้ว-ว-ว”
ไม่รู้ว่าจามตั้งกี่ครั้งแล้วด้วย
“ฮือ-อ-อ เอ๊ะ?!”
ทันใดนั้นเสียงโหยหวนของค่วงเหย่ก็กลายเป็นน้ำเสียงแสดงความสงสัย
ซ่งเฝ่ยรู้สึกเหมือนร่างกายเบาขึ้น เขาเห็นชีเหยียนที่ไม่รู้ว่าเดินเข้ามาตั้งแต่ตอนไหน กำลังจับค่วงเหย่แยกออกไป แล้วเหวี่ยงจนอีกฝ่ายหลุดเข้าไปในอ้อมกอดของจ้าวเฮ่อแทน
จ้าวเฮ่อก็เหมือนกับเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นในห้องเกรียงไกรไม่ย่อท้อ เขาเพียงมองดูด้วยท่าทางสบายๆ โดยคิดไม่ถึงว่าความน่าจะเป็นหนึ่งในสิบสองจะโดนเข้ากับตัวเอง เมื่อเห็นดอกไม้สีขาวโบยบิน ก็เผลอเอื้อมมือออกไปคว้าไว้โดยไม่รู้ตัว ทำให้ร่างกายของชายหนุ่มตกอยู่ในอ้อมแขนของตนเองซะงั้น
ชีเหยียนใช้แรงเหวี่ยงไม่น้อย จนจ้าวเฮ่อที่ถูกกระแทกเซถอยหลังไปครึ่งก้าว เขากับค่วงเหย่ถึงจะทรงตัวได้
ชีเหยียนพอใจกับการตัดสินใจของตนเองเป็นอย่างมาก เพราะจ้าวเฮ่อตอบสนองรวดเร็วว่องไว สมกับเป็นมืออาชีพ
เมื่อเห็นว่าใบหน้าซ่งเฝ่ยซีดเซียวแทบไม่ต่างจากค่วงเหย่ สีหน้าชีเหยียนจึงไม่ค่อยดีนัก หัวคิ้วขมวดมุ่นเข้าหากัน ก่อนจะสั่งออกมาตรงๆ และชัดเจน “ถอดสิ”
จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมาเฉยๆ สมาชิกคนอื่นได้ยินถึงกับมึนงง
แต่ซ่งเฝ่ยกลับเข้าใจความหมายดี ไม่สิ ควรจะพูดว่าเขาก็แทบรอต่อไปไม่ไหวแล้วต่างหาก!
ซ่งเฝ่ยรูดซิปเสื้อขนเป็ดลง เพียงพริบตาเดียวก็ปลดเปลื้องร่างกายท่อนบนออกจนล่อนจ้อน เขาไม่หยุดแค่นั้น เมื่อร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่าแล้ว ก็เริ่มถอดกางเกงต่อทันที
“ว้าก-ก-ก” หลินตี้เหล่ยร้องด้วยความตกใจ
เมื่อหวงมั่วที่ใบหน้าแดงก่ำได้สติ ก็รีบหมุนตัวหนีภาพที่ไม่ควรมอง
“หืม-ม-ม” หลินตี้เหล่ยร้องขึ้นอีกครั้ง
ซ่งเฝ่ยถอดจนเหลือเพียงกางเกงชั้นในตัวเดียว
“ขาวมาก…” หลินตี้เหล่ยปิดตา แต่ก็อดทอดถอนใจไม่ได้
ซ่งเฝ่ยถอนหายใจด้วยความระอา “ถ้าเธออยากดูก็ดูแบบเปิดเผยไปเลย ไม่ต้องลำบากลำบนแบบนี้หรอก”
ดวงตาหลังรอยแยกของนิ้วกะพริบขึ้นลงสองหน หลินตี้เหล่ยผละมือออก เผยรอยยิ้มหวาน “ฉันชอบที่นายเป็นคนใจกว้างแบบนี้นี่แหละ”
“เช่นกันๆ” ซ่งเฝ่ยเอ่ยอย่างจริงใจที่สุดแล้ว
หลัวเกิงร้อนใจ เริ่มถอดเสื้อแจ็กเก็ตขนเป็ดออกบ้าง “ถ้าเธอชอบคนไม่ใส่เสื้อ ทำไมไม่รีบบอกตั้งแต่แรกล่ะ”
หลินตี้เหล่ยชักสีหน้าเอือมระอา ขณะที่กำลังจะพูดว่าเธอเองก็เลือกชมผู้ชายเหมือนกันนะ ก็เหลือบเห็นชีเหยียนเนื้อตัวล่อนจ้อนตามไปด้วย ไม่รู้ว่าเขาถอดเสื้อผ้าท่อนบนออกตั้งแต่ตอนไหน
หลินตี้เหล่ยตกตะลึง เมื่อก่อนตอนที่เธอตามจีบชีเหยียน อีกฝ่ายหนีไปซ่อนตัวไกลแสนไกลสุดความสามารถ และในความทรงจำของเธอ เขาเป็นคนประเภทที่แม้แต่ในหน้าร้อนก็ต้องติดกระดุมให้ครบทุกเม็ด แต่จะว่าไป ชีเหยียนโดดเด่นกว่าซ่งเฝ่ยมาก ไม่เพียงแต่รูปร่างกำยำ กล้ามหน้าอกเองก็…ฮึ่ย นี่มันไม่ใช่ประเด็นหลักสักหน่อย!
แม้การที่หนุ่มหล่อคนหนึ่งโชว์เนื้อหนังจะทำให้เธอมีความสุขได้ แต่ถ้าผู้ชายพวกนี้พากันถอดเสื้อผ้าอีก ก็ออกจะเป็นมลภาวะทางสายตาแก่คนอื่นเกินไปหน่อยไหม!
ชีเหยียนไม่สนใจระเบิดน้อย หลังจากถอดเสื้อเสร็จก็หยิบเสื้อขนเป็ดมาสวมทับอีกครั้ง แล้วอ้าแขนออก เอ่ยเรียกซ่งเฝ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “มาสิ”
ซ่งเฝ่ยหัวเราะอย่างพึงพอใจ เหมือนนกน้อยที่กำลังมีความสุข ก่อนจะพุ่งตัวเข้าหาอ้อมอกของคนตรงหน้า
ชีเหยียนใช้เสื้อขนเป็ดห่อตัวซ่งเฝ่ย คนทั้งสองเดินไปที่มุมห้องเหมือนเป็นแฝดสยาม ก่อนจะทิ้งตัวนั่งตรงมุมกำแพง ซ่งเฝ่ยนั่งอิงแอบชีเหยียน ผิวเนื้อเย็นร้อนแนบประสานกัน
ซ่งเฝ่ยรู้สึกได้เลยว่าร่างกายค่อยๆ อุ่นร้อนขึ้น และรับรู้ได้ว่าตนเองกำลังดูดซับความร้อนจากร่างกายของอีกฝ่าย
“อุ่นแล้วใช่ไหม” ชีเหยียนกระซิบถาม
“อืม…” ลมร้อนที่สัมผัสอยู่ตรงลำคอทำให้ทั้งร่างของซ่งเฝ่ยแทบจะลอยได้
ซ่งเฝ่ยหลับตาลง ความคิดพร่าเลือน คล้ายว่าโลกใบนี้กำลังค่อยๆ หลอมละลาย
‘หากนี่คือวันโลกาวินาศ’ ซ่งเฝ่ยครุ่นคิดเพ้อเจ้อ ‘ก็ถือว่าไม่เลวนะ…’
“ฉันอยากเผาเกย์คู่นี้ชะมัด มีใครเห็นด้วยไหม” เฉียวซือฉีชักทนไม่ไหว ขบกรามแน่น
ชายสองคนมีหนุ่มน้อยในอ้อมอกเช่นเดียวกัน แต่ชีเหยียนกำลังมีความสุขจนไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ขณะที่จ้าวเฮ่อกลับรู้สึกราวกับอยู่อย่างนั้นมานานแรมปี “รวม ฉัน ไป ด้วย คน”
สมาชิกชายหนุ่มทั้งหมด “พวกเราด้วย!!!”
ค่วงเหย่มองดูด้วยความสับสน จนเกือบลืมไปแล้วว่าเมื่อวินาทีก่อนตัวเองยังร้องไห้อยู่เลย อีกทั้งยังลืมด้วยว่าร้องไห้ทำไม ภาพตรงหน้าต่างหากที่โคตรสยองขวัญขั้นสุด! ยิ่งกว่าซอมบี้บ้าคลั่งซะอีก บางทีเขาอาจจะเจอเพื่อนนักศึกษาตัวปลอมก็ได้ อ๊าก-ก-ก!!!
เรือนร่างอันงดงามของมนุษย์กำลังแสดงความรักอย่างร้ายกาจ ระเบิดน้อยไม่อยากทนอีกต่อไป แต่เมื่อเหลือบมองพฤติกรรมของสองคนนั้น คนหนึ่งดื่มด่ำเพลิดเพลิน อีกคนหนึ่งก็เคลิบเคลิ้มหลงใหล พอมาคิดดูว่าตอนนี้ซอมบี้โอบล้อมเมืองอยู่ ถ้าพวกเขาอยากจะลุ่มหลงมัวเมาแบบนั้นกันไปจนตายก็พอเข้าใจได้
“เอ๊ะ นายหยุดร้องไห้แล้วเหรอ” เมื่อเหลือบเห็นค่วงเหย่ หลินตี้เหล่ยก็ร้องทักด้วยความประหลาดใจ
เมื่อได้ยินเสียงของเธอเอ่ยทัก สายตาของสมาชิกห้องเกรียงไกรไม่ย่อท้อทั้งหมดจึงย้ายจุดโฟกัสไปที่เขาแทน
ค่วงเหย่อ้าปากเตรียมจะตอบคำถาม แต่เผลอจามเสียงดังลั่นออกมาก่อน
จ้าวเฮ่อรีบปล่อยตัวเขาและถอยหลังไปสองก้าว พูดอย่างมีเหตุผลว่า “เสื้อขนเป็ดของฉันพอดีตัวมาก ไม่มีช่องว่างหรอกนะ!”
ค่วงเหย่ทำหน้าเซ็ง ตั้งแต่ได้รับความช่วยเหลือในที่สุดก็เพิ่งยอมพูดประโยคแรกออกมา “ต่อให้เสื้อนายยัดโอ่งได้ ฉันก็ไม่มีทางเข้าไปแน่นอน!”
เมื่อชายแท้เจอชายแท้ก็จะเป็นกันเองจนน่าเหลือเชื่ออย่างนี้ละ
เมื่อจ้าวเฮ่อได้ทำความดีแล้ว ก็ทำต่อจนถึงที่สุด เขาพาอู๋โจวกับฟู่ซีหยวนปีนขึ้นมาบนหลังคาอีกครั้ง ออกไปนำกระเป๋าเดินทางที่ซ่อนไว้ใต้กำแพงข้างท่อระบายน้ำกลับมา
สุดท้ายก็หยิบชุดลองจอห์นกับเสื้อแจ็กเก็ตผ้าฝ้ายกันหนาวออกมา ยื่นให้ค่วงเหย่ที่กำลังมึนงงสับสนเพื่อให้ความอบอุ่นชั่วคราว ทั้งหมดนี้เป็นเสื้อผ้าที่ซ่งเฝ่ยนำออกมาจากหอพัก
ตอนที่กำลังจะปิดกระเป๋าเดินทาง จู่ๆ หวงมั่วก็ยื่นมือออกมาขวางไว้
จ้าวเฮ่อชะงัก ก่อนจะเห็นว่าเธอมาพร้อมกับหลินตี้เหล่ย เห็นได้ชัดว่ามีแผนจะจัดการกับกระเป๋าเดินทางใบนี้
จ้าวเฮ่อจึงยอมถอยออกมาแต่โดยดี ปล่อยให้สาวๆ เป็นคนจัดการ
หลินตี้เหล่ยเปิดกระเป๋าเดินทางอีกครั้ง หยิบกางเกงวอร์มผ้ากำมะหยี่กับเสื้อขนเป็ดตัวสั้นออกมา สุดท้ายก็หันมองหวงมั่วด้วยแววตาไม่แน่ใจนัก “เอาไหม”
อีกฝ่ายพยักหน้า “เอามาเถอะ”
หลินตี้เหล่ยยังคงลังเล “จะโดนเกลียดไหม”
หวงมั่วถอนหายใจแผ่วเบา “โดนคนอื่นเกลียดก็ยังดีกว่าต้องทนอุจาดตานะ”
หลินตี้เหล่ยเหลือบตามองไปทางมุมกำแพง ภาพเมื่อครู่นี้งดงามเสียจนเธอไม่กล้ามอง ตอนนี้พวกเขาก็ยังคงโบยบินกันอย่างอิสระ จิตวิญญาณกับร่างกายหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันไปแล้ว
เสื้อผ้าแห้งสะอาดย่อมทำให้สบายตัวกว่าแน่นอน
แต่ซ่งเฝ่ยกับชีเหยียนที่รับเสื้อผ้าชุดนั้นมากลับดูไม่ค่อยชอบของขวัญชิ้นนี้นัก
ด้วยแรงกดดันจากคนรอบข้าง ซ่งเฝ่ยทำได้เพียงผละออกจากอ้อมกอดของชีเหยียน แล้วสวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยด้วยความคับแค้นใจ
ชีเหยียนหรี่ตามองไปรอบๆ
สหายร่วมรบต่างอกตั้งหลังตรง ท่าทางไม่แข็งกร้าวและไม่อ่อนข้อจนเกินไป เหล่าธารกำนัลต่างปลดเกียร์ว่าง เหยียบคันเร่ง เปิดไฟหน้ารถ ฉีดน้ำ และเปิดที่ปัดน้ำฝนให้จนหมดแล้ว ขออย่างเดียว พวกนายอย่าขับรถตอนนี้ ช่วยมีเหตุผลหน่อยเถอะ!!!
แม้ต้องกดข่มอารมณ์เอาไว้ แต่ซ่งเฝ่ยก็ค่อยๆ ปรับสติอารมณ์ของตนเองให้กลับมาเป็นปกติได้ในที่สุด ส่วนค่วงเหย่ก็กลับมามีสติสัมปชัญญะครบถ้วนสมบูรณ์อีกครั้งเรียบร้อยแล้ว จึงเริ่มพูดจารู้เรื่องและชัดถ้อยชัดคำมากขึ้น
เขาไม่ได้พูดเรื่องของตัวเองก่อน แต่กลับเอ่ยถามเรื่องราวของโลกภายนอกแทน “เกิดอะไรขึ้นกับมหาวิทยาลัยกันแน่ แล้วคนพวกนั้นเป็นอะไร ตอนนี้ข้างนอกเป็นยังไงบ้าง นอกจากพวกนายแล้วนักศึกษาคนอื่นๆ ล่ะ!”
ชุดคำถามบ่งบอกได้ว่าเขากำลังหวาดกลัวและสับสน
แม้จะถูกขังอยู่ที่นี่มานาน แต่เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกลับทำให้เขารู้สึกราวกับไม่ใช่เรื่องจริง
พวกเขาบอกเล่าสถานการณ์และข้อเท็จจริงทั้งหมดที่ตนเองรู้ให้ค่วงเหย่ฟัง ตอนแรกเขายังไม่อยากจะเชื่อ ไวรัสซอมบี้อะไรนั่นฟังดูอย่างกับเรื่องราวในภาพยนตร์ แต่หลังจากซ่งเฝ่ยเปิดรายงานจากวิทยุที่เคยอัดไว้ในโทรศัพท์มือถือให้ฟัง เขาจึงเชื่อสนิทใจ
หลังจากฟังรายงานข่าวอยู่นาน ค่วงเหย่ก็ทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นดื้อๆ
ทุกคนเฝ้ารอเป็นเพื่อนอย่างอดทน รอให้ความคิดของเขาตกผลึก
ในที่สุด ริมฝีปากค่วงเหย่ก็สั่นไหวเบาๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างเชื่องช้าว่า “ตอนนั้นคนในสระว่ายน้ำยังมีไม่มาก ฉันเพิ่งว่ายน้ำเสร็จขึ้นจากสระมาพอดี แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องมาจากด้านนอก จากนั้นหลูเหมี่ยวก็วิ่งเข้ามา บอกว่ามีคนบ้าอาละวาด ตอนแรกไม่มีใครสนใจ มีบางคนอยากออกไปดูให้เห็นกับตาด้วยซ้ำ สุดท้ายคนพวกนั้นก็พากันบุกเข้ามา พอเห็นคนก็กัด ฉันตกใจแทบบ้า หลูเหมี่ยวตัดสินใจกระโดดลงไปในน้ำ ฉันเองก็กระโดดตามไปโดยไม่ทันรู้ตัว เราสองคนซ่อนตัวอยู่ในสระว่ายน้ำ มองดูคนอื่นๆ วิ่งหนีออกไปด้านนอก โดยมีคนบ้ากลุ่มนั้นไล่ตามไป จากนั้นสระว่ายน้ำก็ว่างเปล่า เขาบอกว่าต้องหาสถานที่หลบซ่อนตัว เราสองคนก็เลยไปที่ห้องล็อกเกอร์ แต่คิดไม่ถึงว่าการซ่อนตัวครั้งนี้จะทำให้ออกไปไหนไม่ได้อีกเลย…”
เหอจือเวิ่น “นายซ่อนตัวอยู่ในห้องล็อกเกอร์มาหนึ่งเดือนแล้วเหรอ แล้วนายกินอะไรล่ะ”
โจวอีลวี่ “ซ่อนตัวหนึ่งเดือนโดยที่ใส่แต่กางเกงว่ายน้ำเนี่ยนะ”
หวังชิงหย่วน “หลูเหมี่ยวล่ะ”
เดิมทีค่วงเหย่คิดจะตอบสองคำถามแรกก่อน แต่เมื่อได้ยินคำถามสุดท้ายของหวังชิงหย่วน ทุกอย่างก็พลันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
เขาหลุบตาลง นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกดเสียงต่ำตอบ “เขาทนไม่ไหว เมื่อหลายวันก่อนเขาบอกว่าทนไม่ไหวแล้ว ไม่อยากอดทนอีกต่อไป จากนั้นก็เปิดประตูและพุ่งออกไป…” เมื่อเล่าถึงตรงนี้ น้ำเสียงพลันเจือสะอื้น หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่งก็พูดต่อว่า “เป็นช่วงเวลากลางคืนเหมือนกัน เหมือนกับตอนนี้ ฉันเห็นเขาปรี่เข้าไปทางพวกนั้น สุดท้าย…ก็กลายเป็นพวกมัน”
ภายในห้องเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดเหลือเพียงความเงียบงัน
ทุกคนเสียใจ อยากจะปลอบโยนอีกฝ่าย แต่ไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไรดี
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความตายอันน่าเศร้าสลด ทุกคำพูดล้วนบางเบาราวกับเถ้าธุลี
หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ ติดต่อกันสองสามครั้ง ค่วงเหย่ก็พยายามฉีกยิ้มขมขื่น “โชคดีที่โซนพักผ่อนมีตู้หยอดเหรียญอัตโนมัติ สองวันแรกพวกเรายังมองโลกในแง่ดีอยู่ คิดว่าทางมหาวิทยาลัยจะส่งคนมาทางนี้ แต่หลังจากนั้นก็หิวจนทนไม่ไหว และไม่สามารถดื่มน้ำเย็นจากท่อได้ตลอดเวลา พอไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจากข้างนอก ก็เลยเปิดประตูออกไป แต่โชคดีมาก ที่พวก…เอ่อ ซอมบี้ ไปหมดแล้ว ทั้งสระว่ายน้ำเลยว่างเปล่า เราสองคนเลยเริ่มคิดจะหนี แต่ยังไม่ทันออกไปก็เห็นซอมบี้เดินโซเซอยู่หน้าทางเข้าพอดี เราสองคนคิดไม่ตก ก็เลยไปทุบกระจกตู้หยอดเหรียญอัตโนมัติที่โซนพักผ่อน เพื่อเอาเครื่องดื่มกับบะหมี่ถ้วยกลับมาก่อน”
“โชคดีที่ทางนี้ไม่ค่อยมีคน” ซ่งเฝ่ยที่ได้ฟังก็เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาอีก
“อืม ปกติไม่ค่อยมีคนมาที่สระว่ายน้ำหรอก มิหนำซ้ำวันนั้นยังมีการสอบด้วย”
“แล้วนายไม่ต้องสอบเหรอ”
“ฉันเรียนปีสี่แล้ว”
“…ปีสี่ นายไม่ออกไปหางานทำ แล้วมาว่ายน้ำอยู่ในมหาวิทยาลัยทำบ้าอะไรเนี่ย!”
ซ่งเฝ่ยแทบทรุด สหายร่วมรบคนอื่นๆ เองก็งงจนไม่รู้จะพ่นคำไหนออกมา คนอื่นไม่มีทางเลือก แต่นักศึกษาคนนี้กลับพาตัวเองมารับกระสุนซะเอง!
ค่วงเหย่ที่ถูกตะโกนใส่ด้วยความคับแค้นใจตอบว่า “ฉันได้งานแล้ว เป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่อยู่ในการจัดอันดับของฟอร์จูนโกลบอล 500 [1] ด้วย…”
ซ่งเฝ่ย “งั้นนายก็ควรรีบไปฝึกงานสิ มีเรื่องสำคัญอะไรให้ต้องกลับมา!”
ค่วงเหย่ “ก็ฉันรอลายเซ็นรับรองจากทั้งสามฝ่ายอยู่น่ะสิ [2] ”
ซ่งเฝ่ย “…อืม ใช่ นายเรียนคณะอะไรเหรอ”
สมาชิกทั้งหมดยกมือขึ้นกุมขมับ มันใช่ตรงไหนกันเล่า!!!
แม้ว่าหัวข้อสนทนาจะค่อนข้างน่าอึดอัด แต่เมื่อค่วงเหย่พูดคำว่า “คณะอักษรศาสตร์” ออกมา สมาชิกทั้งหมดก็แทบจะลืมว่าอะไรเป็นอะไร แล้วพากันหันไปมองหลี่จิ่งอวี้
อีกฝ่ายทำหน้างง “ฉันไม่รู้จักเขา”
ทุกคนหรี่ตา ก่อนจะหันไปมองสำรวจค่วงเหย่อีกครั้ง เป็นครั้งแรกที่พวกเขาคลางแคลงใจตัวตนของคนผู้นี้
ค่วงเหย่จนปัญญา “ขนาดเรียนอยู่ปีเดียวกันยังจำกันไม่ได้ ฉันกับเขาอยู่คนละปี ไม่รู้จักกันก็เป็นเรื่องปกติ”
“ได้ เป็นเรื่องปกติ” ซ่งเฝ่ยนึกถึงความแค้นในอดีต “นายซ่อนตัวอยู่ในน้ำแล้วมาหลอกฉันทั้งที่โป๊อยู่ ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องผิดปกติบ้างหรือไง”
“ไม่ใช่นะ” ใบหน้าค่วงเหย่เหยเก “ฉันไม่ได้จะแกล้งให้นายตกใจ แต่ฉันอยากฆ่าตัวตาย”
ซ่งเฝ่ยชะงัก เขาไม่เคยคิดว่าจะได้คำตอบเช่นนี้มาก่อนเลย
ดวงตาของคนที่เหลือพลันเบิกกว้างด้วยความตกใจ
ค่วงเหย่ถอนหายใจ “หลังจากหลูเหมี่ยวเป็นแบบนั้น ฉันเองก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว แต่ก็กลัวจะถูกกัดมาก ฉันเลยคิดจะฆ่าตัวตายในน้ำ แต่ฉันมีทักษะการว่ายน้ำดีเป็นพิเศษ กลั้นหายใจอยู่ในน้ำได้นานมาก ทำยังไงก็ไม่ตายสักที จนกระทั่งนายลงมา ฉันคิดว่าเป็นซอมบี้ซะอีก เลยคิดว่าในเมื่อจะตายแล้ว ก็ลากลงไปในน้ำเพื่อระบายความแค้นสักหน่อย…”
ซ่งเฝ่ยเงยหน้าขึ้นและถอนหายใจออกมายาวๆ คราวเคราะห์ครั้งนี้อยู่ดีๆ ก็ซวยแท้ๆ แต่ต่อให้อยากเอาคืนก็ทำไม่ลงจริงๆ
“จะฆ่าตัวตายแล้วทำไมนายต้องถอดเสื้อผ้าด้วย” โจวอีลวี่ยังไม่เข้าใจ “ไม่ใช่ว่าใส่เสื้อผ้าแล้วจะจมเร็วกว่าเหรอ”
ค่วงเหย่ส่ายหน้า ตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ชีวิตของคนเรา ตอนมาก็มาตัวเปล่า ตอนจะไปก็ไม่ควรเอาอะไรติดตัวไปด้วย ฝุ่นกลายเป็นฝุ่น ดินกลับสู่ดิน เปลือยกายและจากไปอย่างหมดห่วง”
โจวอีลวี่ “…”
สหายทั้งหมด “…”
หลี่จิ่งอวี้ “ใช่แล้ว เขาอยู่คณะเดียวกับฉันแน่นอน”
เมื่อได้รู้เรื่องราวยี่สิบแปดวันในนรกของเพื่อนใหม่จนแจ่มแจ้งแล้ว อีกทั้งเขายังเป็นเครือญาติของวาฬน้อย สุดท้ายทุกคนก็ไม่อยากจะคิดอะไรให้มาก จึงเอาเวลาที่เหลือไปพักผ่อนแทน
หลังจากผ่านไปครึ่งค่อนคืน พวกเขายังเดินทางได้ไม่ถึงครึ่งทาง ในอัตราความเร็วเท่านี้ ย่อมไปถึงลานจอดรถใต้ดินก่อนฟ้าสางได้ยาก อีกทั้งเรี่ยวแรงก็ไม่ได้ล้นเหลือดังเดิม แม้จะยังไม่ถึงกับวิกฤติ แต่ก็ไม่ควรประมาท
เมื่อเห็นใบหน้าเหนื่อยล้าของสหายคนอื่นๆ ซ่งเฝ่ยก็ครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะเสนอว่า “วันนี้พักค้างคืนที่นี่ก่อนแล้วกัน”
เฝิงฉี่ไป๋หาวหวอด “ฉันเห็นด้วย”
สมาชิกทั้งหมดหันมองหน้ากัน มติเป็นเอกฉันท์
ที่นี่คือฐานทัพแห่งใหม่ ย่อมต้องปูพื้นใหม่อีกครั้ง
ตอนค่วงเหย่ออกจากห้องล็อกเกอร์ชายไปฆ่าตัวตาย เขาไม่ได้ปิดประตูไว้ ตอนแรกทุกคนจึงกลัวว่าจะมีซอมบี้บุกเข้ามา แต่หลังจากออกไปสำรวจอย่างละเอียด พบว่าพวกซอมบี้เพียงเดินโงนเงนไปมาอยู่รอบๆ สระว่ายน้ำ จึงโกยแน่บกลับเข้ามา หลังจากปิดประตูลงกลอนเรียบร้อยแล้ว ก็ช่วยกันเปิดตู้ล็อกเกอร์ทั้งหมด
นอกจากเสื้อผ้าของค่วงเหย่เอง พวกเขานำเสื้อผ้าที่เหลือมาปูพื้นทั้งหมด แต่นอกจากสิ่งเหล่านี้ เหล่าสมาชิกยังได้โทรศัพท์มือถือติดมือกลับมาอีกหกเครื่อง และยังได้ของที่ระลึกชิ้นใหญ่จากสงครามกลับมาด้วย…พวงกุญแจสองชุด
ดูเหมือนว่าในล็อกเกอร์ทุกตัวจะมีกุญแจ แต่มีแค่สองพวงนี้เท่านั้นที่มีกุญแจรถยนต์อยู่ด้วย
ตอนที่โจวอีลวี่มองเห็น ดวงตาเขาพลันลุกวาวเป็นประกาย
แต่ตอนที่ค่วงเหย่มองเห็น ใบหน้าเขาพลันรู้สึกปวดแปลบขึ้นมาทันที ถึงแม้กุญแจรถยนต์จะไม่เกี่ยวกับการถูกตบหน้าแต่อย่างใด แต่เขากลับรู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนไข้ที่ถูกปลุกให้ตื่นจากการสะกดจิต เมื่อได้ยินเสียงสั่นกระทบของพวงกุญแจ เขาก็จะยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้า แล้วเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจว่า “ก่อนหน้านี้มีคนตบหน้าฉันหรือเปล่า”
จ้าวเฮ่อเดินไปยืนขวางหน้าหวงมั่วโดยอัตโนมัติ
ซ่งเฝ่ยดึงตัวค่วงเหย่มาประจันหน้ากัน ก่อนเอ่ยด้วยท่าทางเคร่งเครียดจริงจังว่า “ไม่มี แต่เป็นนายต่างหากที่ทำร้ายพวกเรา ทั้งในน้ำ บนบก แล้วก็ในห้องเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาด นี่นายลืมหมดแล้วเหรอ”
ค่วงเหย่ชะงัก นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกผิด “ขอโทษนะ”
ซ่งเฝ่ยส่ายหน้า “ไม่เป็นไรหรอก พวกเราเป็นเพื่อนร่วมสถาบันเดียวกันทั้งนั้น”
หวงมั่วที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังจ้าวเฮ่อเผลอหัวเราะออกมา เธอรู้สึกตื้นตันใจอย่างประหลาด
ความรู้สึกตื้นตันใจนั้นไม่ได้มาจากซ่งเฝ่ยหรือจ้าวเฮ่อเพียงคนใดคนหนึ่ง แต่มาจากทุกคนในกลุ่ม
หลินตี้เหล่ยเคยบอกกับเธอว่า พวกเขาคือกลุ่มเพื่อนนักศึกษาชายที่พึ่งพาได้มาก
ตอนนี้เธออยากบอกอีกฝ่ายว่า พวกเขาคือเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ดีที่สุดเท่าที่เธอเคยพบเจอมาเลยละ
[1] เป็นการจัดอันดับบริษัทชั้นนำกว่า 500 แห่งทั่วโลก ที่รวบรวมและเผยแพร่โดยนิตยสาร Fortune เป็นประจำทุกปี
[2] หนังสือรับรองต้องมีการเซ็นพร้อมตราประทับทั้งสามฝ่าย ได้แก่ สถานศึกษา ผู้สำเร็จการศึกษา และนายจ้าง เป็นการรับรองหลักฐานต่างๆ ของผู้สำเร็จการศึกษาว่าเป็นความจริง