วรรณกรรมเพื่อมนุษยชาติ ที่พิชิตรางวัลพูลิตเซอร์ “ยิงนกบลูเจย์ได้ตามใจเลย ถ้ายิงมันถูกได้ แต่จำไว้ว่ามันเป็นบาป หากจะฆ่านกม็อกกิ้งเบิร์ด” ถ้าชีวิตหนึ่งคนเราจะเขียนหนังสือเพียงเล่มหรือสองเล่มแล้วก็ขอให้เขียนได้แบบที่ฮาร์เปอร์ ลี เขียน ฆ่าม็อกกิ้งเบิร์ด หรือ To Kill a Mockingbird เถิด
ฮาร์เปอร์ ลี มีผลงานพิมพ์เผยแพร่เพียงสองเล่มเกือบตลอดชีวิตของเธอและหนึ่งในนั้นก็คือ ฆ่าม็อกกิ้งเบิร์ด ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างงดงามทันทีที่ออกสู่สายตาผู้อ่านในปี ๑๙๖๐ ตามมาด้วยการพิชิตรางวัลพูลิตเชอร์ในปีต่อมาและการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์รางวัลออสการ์ในปี ๑๙๖๒ นอกจากนี้ยังได้รับเลือกให้เป็นหนังสืออ่านสำหรับนักเรียนทั่วประเทศสหรัฐฯและได้รับการดัดแปลงเป็นบทละครที่แสดงทุกปีในเมืองบ้านเกิดของฮาร์เปอร์ ลี ด้วย
ฆ่าม็อกกิ้งเบิร์ด เป็นเรื่องราวของอคติ การรังเกียจคนต่างผิว การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม และการสูญเสียความไร้เดียงสาผ่านสายตาของเด็กหญิงคนหนึ่ง บุตรสาวทรายความในเมืองเล็ก ๆ ในภาคใต้ของสหรัฐฯ ช่วงทศวรรษ ๑๙๓๐ ด้วยภาษาง่าย ๆ ของฮาร์เปอร์ ลี ซึ่งทั้งสร้างความอบอุ่น แฝงอารมณ์ขันและในขณะเดียวกันก็บีบคั้นหัวใจ จนต้องหลั่งน้ำตาลท่วมท้นใจดังหนังสือพิมพ์ Independent กล่าวชื่นชมไว้ว่า “ไม่มีใครลืมหนังสือเรื่องนี้ได้ลง”
เสาวภา –
สารภาพว่าไม่เคยอ่านนิยายแนวนี้มาก่อน ตอนไปซื้อหนังสือที่งานหนังสือ พนักงานแนะนำเล่มนี้ เลยซื้อจะได้ครบ3800เฉยๆ
นึกว่าจะน่าเบื่ แต่อ่านแล้วสนุกกว่าที่คิดค่ะ รักสเก๊ามาก สงสารคนดำคนนั้นที่สุด ไม่เข้าใจว่าทำไมคนเราถึงได้มีอคติมากขนาดนั้น อ่านไปถึงตอนใกล้จบที่พิจารณาคดีเสร็จแล้วเหวอไปนิดนงเหมือนกันที่คนเขียนเขียนให้เป็นแบบนั้น เห็นพนักงานบอกว่ามีเล่มต่อด้วย ไม่รู้ว่าสนุกเท่ากันหรือเปล่าจะไปหามาอ่านดูค่ะ
Anna –
เคยได้ยินชื่อเล่มนี้มานาน ลังเลมานานว่าจะหยิบมาอ่านดีไหม เพราะเป็นคนไม่ชอบเรื่องราวเกี่ยวกับกฎหมายและการดำเนินคดี (ตกวิชากฎหมายนั่นแหละ 5555) แต่พอหยิบมาอ่านแล้วก็กลายเป็นหนังสืออันดับ 1 ตลอดกาลไปเฉยเลย ชอบความสัมพันธ์ต่างๆในเรื่อง ชอบวิธีการเล่าเรื่องที่ไม่ได้เป็นการยัดเยียดแนวคิดของการต่อสู้ทางสังคม แต่เป็นการค่อยๆทำให้ผู้อ่านรู้สึกเอง วิเคราะห์เอง จากตัวเอกที่ใสมาก ทำให้มุมมองต่อโลกของคนอ่านเปลี่ยนไป อ่านไปขนลุกไปตลอดเรื่อง จนถึงตอนจบก็ร้องไห้ออกมาเลย อ่านลื่นไหลดี ถึงแม้ช่วงแรกๆจะรู้สึกว่าอ่านยากจัง เพราะใช้ภาษาโบราณ แต่พอหลังๆก็อ่านลื่นปรื้ดเลย
Pimchanok Trikisayakul –
เป็นหนังสือที่อ่านละฟีลกู้ดนะสำหรับเรา ประเด็นคนผิวสีไม่ได้หนักหนาขนาดนั้น หรือเราเสพประเด็นพวกนี้หนักจนชินก็ไม่รู้นะ555555555
แค่รู้สึกว่ามันเน้น coming of age มากกว่า คือการก้าวข้ามผ่านวัยของตัวละคร ได้เห็นวิถีชีวิต ทัศนคติของคนในสมัยนั้น เป็นหนังสือดีที่อ่านง่าย และคิดว่าทุกคนควรได้อ่าน
Kate.z –
เป็นนิยาย adult เรื่องแรกในชีวิตที่หยิบมาอ่าน เป็นนิยายเรื่องเดียวที่เปลี่ยนความคิดทุกๆอย่าง เหมือนกับพลิกโลก จากหน้ามือเป็นหลัง นิยายเรื่องนี้ไม่ได้มีเนื้อเรื่องที่ยากเกินจะเข้าใจ แต่เป็นเนื่อเรื้องที่ต้องคิดและวิเคราะห์ผ่านสายตาของเด็กผู้หญิงในเรื่องที่กำลังโตขึ้นเรื่อยๆ ผ่านช่วงวัยต่างๆ เป็นหนังสือที่ไม่ควรถูกมองข้ามจริงๆ
ฒ่าณ –
ประทับใจมากๆ ยกให้เป็นอันดับหนึ่งในดวงใจเลย ชอบวิธีการพูดเรื่องการเหยียดสีผิวในเรื่อง ที่เป็นการเล่าตีกลับมาให้เห็นผลกระทบในมุมของครอบครัวคนผิวขาว ทำให้ได้เห็นว่าเราจะไม่มีวันเข้าใจคนผิวสีที่โดนกดขี่ได้เลยถ้าเราไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน หรือการพูดเรื่องสิทธิมนุษยชนที่ออกมาในรูปแบบพ่อสอนลูก พี่เลี้ยงสอนเด็กๆ ทำให้มันสนุก อ่านง่าย แล้วก็ค่อยๆซึมซับเข้ามาในความคิดเรา แล้วตัวละครต่างๆก็มีชีวิต พออ่านจบแล้วทุกอย่างมันยังติดอยู่ในใจอยู่เลย เหมือนเราได้ไปทำความรู้จักครอบครัวนี้แล้ว อ่านจบแล้วไม่อยากให้จบเลย 555555