[ทดลองอ่าน] พายุจารชนแห่งหล่งซี บทที่ 3 เสียสละกับแผนลับ

พายุจารชนแห่งหล่งซี
风起陇西

 

หม่าป๋อยง
马伯庸 เขียน
เรืองชัย รักศรีอักษร แปล

 

 ท่ามกลางไฟสงครามแห่งยุคสมัยสามก๊ก
ยังมีสมรภูมิที่พงศาวดารไม่ได้บันทึกไว้
นั่นคือสงครามแห่งจารชนของเหล่าสายลับผู้เปี่ยมปฏิภาณ

เมื่อการข่าวรายงานว่ามีจารชนของแคว้นเว่ยแทรกซึมเข้าสู่ฮั่นจง
เพื่อขโมยอาวุธสงครามของแคว้นสู่ นั่นคือเครื่องยิงหน้าไม้
‘สวินสวี่’ หัวหน้ากองสันติบาลจึงออกคำสั่งให้คุ้มกันแบบร่าง
เครื่องยิงหน้าไม้ และช่างฝีมือ จากการบุกรุกของศัตรูอย่างเข้มงวด

ทว่ากองทัพกับกองสันติบาลกลับเอาแต่ระแวงซึ่งกันและกัน
ไหนจะศิษย์พรรคใต้ดินของลัทธิข้าวสารห้าโต่วคอยป่วนปั่น
ยังมี ‘หนู’ ตัวหนึ่งที่แฝงเร้นอยู่ในหมู่ขุนนางชั้นสูงของฮั่นจง

…สายลับแคว้นเว่ยที่ใช้รหัสนามว่า ‘จู๋หลง’
สงครามใต้ดินนอกสมรภูมิรบระหว่างการข่าวกรองของสองแคว้น
ภารกิจช่วงชิงและภารกิจพิทักษ์อาวุธล้ำค่าของแคว้นสู่นี้
มีเวลาเพียงสิบเอ็ดวันเท่านั้น!

 

ต้นฉบับนี้ยังไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์

 

บทที่ 3

เสียสละกับแผนลับ

 

รัชศกไท่เหอแห่งเว่ยปีที่สาม วันที่สิบสามเดือนสอง

เฉินกงไม่ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับการเสียชีวิตของไป๋ตี้มากเกินไป การตายของเพื่อนร่วมงานเป็นเรื่องที่น่าเศร้าและเจ็บปวด แต่ต้องไม่ให้กระทบต่องาน ไป๋ตี้จากไปแล้ว แต่ยังมีเอกสารส่วนหนึ่งเก็บไว้ในที่ลับ ทั้งนี้เพราะตำแหน่งไป๋ตี้ในจวนเจ้าเมืองคือรองแม่ทัพตูเว่ย ช่วยแม่ทัพตูเว่ยดูแลกองทหารของเขตเทียนสุ่ย แม้จะเป็นเพียงกองทัพท้องถิ่น ไม่ใช่กองทัพศูนย์กลาง แต่ก็ได้ข่าวกรองที่เป็นประโยชน์มาก

บนพื้นฐานนี้ เฉินกงตัดสินใจจะเอาเอกสารเหล่านี้มาให้ได้ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการปลอบดวงวิญญาณไป๋ตี้

วันนี้ห้องหัวหน้าอาลักษณ์มีงานยุ่งเป็นพิเศษ สาเหตุส่วนหนึ่งเพราะเจียนจวินซือหม่ากัวกังต้องการตรวจทะเบียนราษฎร์ของทุกคนที่อยู่ในร้านเหล้าหนิวจี้เมื่อวาน เฉินกงกับเพื่อนร่วมงานง่วนแต่เช้าจนถึงบ่าย จึงตรวจสอบทะเบียนราษฎร์ของทุกคนได้หมด คัดลอกจนปวดหลังปวดเอวกันทั่วหน้า แต่ละคนต่างบิดเอวบ่นกัน

“หัวหน้าอาลักษณ์ ให้คนเอาของนี้ไปส่งแทนข้าได้หรือไม่ ข้าเหนื่อยเหลือเกิน”

เว่ยเลี่ยงผลักสำเนาทะเบียนราษฎร์ที่คัดลอกเสร็จมาให้เฉินกงด้วยสีหน้าอมทุกข์ งานวันนี้สำหรับเว่ยเลี่ยงแล้วนับว่าหนักมาก ตอนแรกเฉินกงอยากจะมอบหมายให้ลูกน้องไปทำแทน แต่ฉุกคิดขึ้นได้ จึงถามขึ้น

“ทางโน้นจะให้เอาสำเนาทะเบียนราษฎร์ไปส่งที่ไหน”

“อ้อ ให้ข้าดูก่อน” เว่ยเลี่ยงพลิกหาของบนโต๊ะซึ่งรกรุงรังอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายจึงพบเอกสารแผ่นหนึ่ง “นี่ไง อยู่ที่ถนนนระหว่างคลังอาวุธกับศาลเจ้า เรือนหลังที่สามขวามือ…ฮ่า ๆ บังเอิญจริง ๆ ที่นั่นเป็นบ้านของจารชนสู่ก๊กคนนั้น”

“ทะเบียนราษฎร์เป็นเอกสารสำคัญ ข้าเอาไปเองดีกว่า” เฉินกงพูด แล้วลุกขึ้น เว่ยเลี่ยงบอกขอบอกขอบใจ หยิบเสื้อคลุมกับหมวกกันหนาวยื่นให้เฉินกงอย่างเอาใจ เปิดประตูให้เขาด้วยตัวเอง

ตั้งหน่วยตรวจสอบไว้ที่บ้านของคนร้าย นี่เป็นความคิดของหลินเหลียงนายทหารผู้ช่วยของกัวกัง หลินเหลียงมีความเห็นว่าเวลานี้ทัพใหญ่รวมตัวกันที่ซั่งกุย อาคารที่พักมีไม่เพียงพอ ให้หน่วยตรวจสอบพักที่เรือนของนักโทษช่วยลดความยุ่งยากได้มาก อีกอย่างหนึ่ง หน่วยตรวจสอบจะได้ถือโอกาสค้นบ้านของนักโทษอย่างเต็มที่ กัวกังมีงานยุ่ง หลินเหลียงจึงเป็นคนรับผิดชอบการตรวจสอบงานจารกรรมของกู่เจิ้งแทน

เฉินกงเอาสำเนาทะเบียนราษฎร์ไปที่เรือนของไป๋ตี้ ในใจรู้สึกอาลัยอาวรณ์ นึกไม่ถึงว่าการนัดพบกันครั้งแรกจะเกิดเหตุการณ์อย่างนั้น เรือนนี้ก่อด้วยอิฐธรรมดา แบ่งเป็นห้องโถงกับห้องตะวันออกและตะวันตกเหมือนเรือนส่วนใหญ่ในซั่งกุย ที่ลานมีคอกม้า คงเป็นเพราะเขามีตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพตูเว่ย

ทหารยามที่หน้าประตูตรวจเฉินกงคร่าว ๆ มองป้ายคำสั่งกับตราประทับในมือ แล้วปล่อยให้เข้าไป บอกเขาว่าหลินเหลียงทำงานอยู่ที่ห้องตะวันตก เฉินกงยกทะเบียนราษฎร์ปึกใหญ่เข้าไปที่ห้องตะวันตกอย่างเหนื่อยแรงแล้วเคาะประตูห้อง

“เชิญเข้ามา”

มีเสียงจากในห้อง เฉินกงวางทะเบียนราษฎร์ลง ผลักประตูเข้าไป เห็นนายทหารร่างค่อนข้างอ้วนเตี้ยกำลังเอามือกอดอกมองภาพที่ผนังอย่างละเอียด

“หัวหน้าหลิน รายชื่อทะเบียนราษฎร์มาแล้ว”

“ดี เอาไปไว้ข้างชั้นหนังสือ” หลินเหลียงหันมาตอบ เขามองเฉินกงแล้วพูดขึ้น “อ้อ ท่านเฉินหัวหน้าอาลักษณ์ใช่หรือไม่”

“ใช่ ข้าเอง”

หลินเหลียงรีบเดินเข้ามาประสานมือคารวะ “เกรงใจเกินไปแล้ว เรื่องนี้มอบให้เจ้าหน้าที่เอกสารหรือคนรับใช้มาก็พอ” หลินเหลียงไม่เหมือนกัวหวายและกัวกัง เขาให้ความเกรงใจขุนนางในจวนเจ้าเมืองและกระตือรือร้นมาก

เฉินกงจึงคารวะตอบอย่างเกรงใจ “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ มีความสำคัญมาก จะให้คนรับใช้ทำได้อย่างไร”

“พูดมีเหตุผล พูดมีเหตุผล” หลินเหลียงพยักหน้า มองออกว่าเขาพอใจกับการรับผิดชอบงานจริงจังอย่างนี้ เฉินกงแกะเชือกออกจากทะเบียนราษฎร์แต่ละปึก แสร้งถามเหมือนไม่ตั้งใจ

“ได้ข่าวว่าจารชนคนนี้แฝงตัวอยู่ที่นี่นานแล้ว”

หลินเหลียงหยิบจอกเหล้าบนโต๊ะมาจิบคำหนึ่ง แล้วพูดอย่างโกรธแค้น “ใช่ หลายปีมานี้ไม่รู้ว่าส่งข่าวกรองออกไปเท่าไรแล้ว”

“หึ…ร้ายกาจจริง ๆ ในผนังคงมีเอกสารซ่อนไว้ไม่รู้เท่าไร” เฉินกงถอนหายใจตาม

“ฮ่า ๆ ๆ อาลักษณ์เฉินรู้ได้อย่างไรว่ากู่เจิ้งเอาเอกสารซ่อนไว้ในผนัง”

เฉินกงแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงแบบปัญญาชนซึ่งไม่รู้เรื่องจารชนแม้แต่น้อย “สมัยฉินหวงอิ้งเจิ้งครองอำนาจ เผาหนังสือฝังสานุศิษย์ลัทธิหรู ขงฟู่หลานของขงจื๊อก็เอาหนังสือซ่อนไว้ในผนังห้อง”

การแสดงออกอย่างนี้หลอกหลินเหลียงได้สนิท เขาหัวเราะร่า กล้ามเนื้อใบหน้าก็สั่นไหวตามเสียงหัวเราะ พอหยุดหัวเราะแล้วหลินเหลียงจึงพูดว่า “ท่านเฉินช่างไม่รู้เรื่องเลย จารชนที่แท้จริงไม่มีวันทำเรื่องไม่ประสีประสาอย่างนี้ ขอบอกให้รู้ ตอนที่พวกข้าเข้ามาในบ้านก็ตรวจค้นทุกซอกทุกมุม อย่าว่าแต่ช่องลับในผนังห้องเลย แม้แต่อิฐปูพื้นพวกข้าก็ยกขึ้นมาดู”

“แล้วผลเป็นอย่างไร”

เฉินกงถาม หลินเหลียงยกมือทำท่าว่าไม่เจออะไร

“ข้าก็เดาว่าอย่างนั้น” เฉินกงคิดในใจพร้อมกับถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยของเหล่านี้ก็ไม่ได้ตกอยู่ในมือศัตรู แต่เช่นนี้แล้วก็เกิดเรื่องยุ่งยาก บ้านพักของไป๋ตี้ถูกรื้อค้นอย่างละเอียดกลับไม่พบเอกสาร ถ้าเช่นนั้นเขาเอาไปซ่อนที่ไหน

เฉินกงลาหลินเหลียงกลับไปที่ห้องหัวหน้าอาลักษณ์พร้อมกับข้อสงสัยนี้ เขาเห็นซุนลิ่งซึ่งไปขนไม้เมื่อสองวันก่อนกลับมาแล้ว จมูกซุนลิ่งถูกอากาศเย็นจนแดง เขาใช้มือปัดเสื้อคลุม พลางบ่นกับเว่ยเลี่ยงซึ่งอยู่ข้าง ๆ

“หัวหน้าอาลักษณ์เฉิน สบายดีไหม”

พอซุนลิ่งเห็นเฉินกงก็รีบประสานมือคารวะ ส่วนเว่ยเลี่ยงก็เข้ามาช่วยปัดฝุ่นตามตัวให้อย่างเอาใจ แล้วพูดขึ้น “ข้ากำลังคุยกับขุนนางราชสำนักอยู่ว่าเขาพลาดเรื่องน่าตื่นเต้น”

ปกติซุนลิ่งชอบเรื่องอย่างนี้ พอพูดถึงก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันที “ใช่สิ ได้ยินว่าหลังข้าไปสองสามวัน แม่ทัพกัวจับจารชนสู่ก๊กได้คนหนึ่ง เป็นรองแม่ทัพตูเว่ยจวนเจ้าเมืองของเราด้วย ไม่อยากจะเชื่อ”

“ใช่ ไม่มีใครคาดคิด” เฉินกงตอบเรียบ ๆ เรื่องนี้เขาไม่อยากวิพากษ์วิจารณ์มากเกินไป แต่ซุนลิ่งกลับพูดไม่หยุดปาก

“แม่ทัพกัวคนนั้นเกิดในตระกูลต้อยต่ำ เห็นไหม ใครว่าตระกูลต้อยต่ำไม่มีคนเก่ง! ให้ขุนนางขั้นเก้าไปตายซะ!”

ซุนลิ่งยังอยากจะพูดต่อ แต่ถูกเว่ยเลี่ยงห้าม “นี่ ๆ พี่ขุนนางราชสำนัก วันนี้อากาศหนาว เจ้ากับข้าชวนหัวหน้าอาลักษณ์เฉินไปดื่มด้วยกันหน่อย เป็นการต้อนรับเจ้า เราจะได้อยู่คุยกันนาน ๆ”

ซุนลิ่งย่อมยกมือสนับสนุนคำชวนนี้ ส่วนเฉินกงคิดครู่หนึ่งแล้วรับปาก เขาไม่ชอบดื่มเหล้า แต่เหล้าเป็นของดีจริง ๆ บางครั้งในวงเหล้าจะได้รู้ข่าวกรองมากกว่าจากมุมลับในราชสำนัก

ในเมืองซั่งกุยมีร้านเหล้าแห่งเดียวคือร้านหนิวจี้ เถ้าแก่กับคนงานถูกเรียกตัวไปสอบสวนกลับมาเปิดร้านแล้ว เหตุการณ์จารชนเมื่อวานไม่ได้ทำให้การค้าลดลง แต่กลับมีแขกมาที่ร้านด้วยความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น ร้านจึงครึกครื้นกว่าปกติมาก

เฉินกง ซุนลิ่งและเว่ยเลี่ยงมาที่ร้านเหล้า เลือกนั่งที่โต๊ะพิเศษติดหน้าต่างบนชั้นสอง ทยอยกันนั่ง เฉินกงนั่งที่ตำแหน่งใกล้หน้าต่าง

ซุนลิ่งเรียกคนงานเข้ามาถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น “เจ้าหนุ่ม ได้ยินว่าเมื่อวานที่นี่เกิดเรื่องใหญ่” คนงานเองก็เป็นคนประเภทกลัวบ้านเมืองจะไม่วุ่นวาย เอาผ้าเช็ดโต๊ะพาดบนไหล่ขวา ทำมือทำไม้เล่าขึ้นมาทันที เขาพูดจาฉาดฉาน เล่าอย่างมีสีสัน ทั้งเสียงสูงต่ำเร็วช้าสลับกัน ไม่เพียงแต่ซุนลิ่ง เว่ยเลี่ยง แม้แต่แขกโต๊ะข้าง ๆ ก็ยื่นหน้ามาฟัง

“เวลานั้นเสียงที่บันไดเหมือนฟ้าผ่าฤดูวสันต์ แม่ทัพกัวเดินอาด ๆ เข้ามาที่หน้าบันได ร้องขึ้นมาทีหนึ่ง ใจหายวาบ เบื้องหน้าเขามีคนคนหนึ่งนั่งอยู่! คนคนนี้หน้าสี่เหลี่ยมกว้าง คิ้วเข้มรูปไม้กวาด จมูกโด่ง ปากกว้าง ดวงตาเหมือนแสงไฟจ้องเขม็งที่กัวกัง โชคดีที่แม่ทัพกัวผ่านศึกมามาก ชั่วพริบตาไม่ขยับเขยื้อน อยากรู้ว่าคนคนนี้เป็นใคร…”

“หลังจากนั้นล่ะ” ซุนลิ่งและคนอื่นฟังเพลิน เตือนให้เขาเล่าต่อ คนงานพอเห็นผู้ฟังต่างเอนหลังพิงพนักอย่างไม่รู้ตัว จึงชี้ไปที่เฉินกงแล้วพูดขึ้น

“คนคนนี้ก็คือกู่เจิ้งจารชนสู่ก๊ก วันนั้นเขานั่งอยู่ที่ตำแหน่งเดียวกับแขกท่านนี้!”

ผู้คนต่างร้อง ‘อ้อ’ ขึ้น แล้วเบนสายตามาทางเฉินกง เฉินกงยิ้ม “นึกไม่ถึงว่าจะให้ข้ารับบทสำคัญ”

เว่ยเลี่ยงรินเหล้าเต็มจอก ยกขึ้นข้างหน้าเฉินกง “หัวหน้าอาลักษณ์เฉิน ในเมื่อรับบทสำคัญ ต้องดื่มเหล้าจอกนี้ให้หมด”

“เอาละ ๆ ข้าจะดื่มให้หมด!” เฉินกงรับจอกเหล้า ชูขึ้นเล็กน้อย เอ่ยชื่อในใจ ไป๋ตี้ แล้วดื่มรวดเดียวหมด ถือว่าเป็นการไว้อาลัยเพื่อนร่วมงาน คนงานเดิมทียังอยากจะพูดต่อ แต่ถูกเถ้าแก่ตะโกนเรียกที่ชั้นล่าง จำต้องลงไปอย่างขัดใจ แขกจึงกลับไปโต๊ะของตน แล้วดื่มเหล้าพูดคุยกันต่อ

เฉินกงกับเพื่อนร่วมงานผลัดกันดื่ม ไม่ทันรู้ตัวก็เริ่มรู้สึกตาลอยหูร้อน คุยกันไปเรื่อย ๆ ซุนลิ่งเริ่มบ่น เฉินกงคิดในใจว่าบัณฑิตพวกนี้มีเรื่องไม่พอใจมากที่สุด

“ราชสำนักควรใช้คนให้เป็นประโยชน์ที่สุด จึงจะสอดคล้องกับหลักการปกครอง เวลานี้กลับให้ข้าซึ่งเป็นบัณฑิตสำนักไท่เสว์ไปขนไม้ เหลวไหล เหลวไหลจริง ๆ”

ซุนลิ่งถือจอกเหล้าพูดพึมพำ เว่ยเลี่ยงเอากระบวยตักทำจากสัมฤทธิ์ตักเหล้าให้เขาอีกจอกหนึ่ง พูดปลอบใจ “เมืองจี้เฉิงอุดมสมบูรณ์กว่าเมืองซั่งกุย มีร้านเหล้ามากกว่า สาวนักร้องก็สวยกว่าที่นี่ เจ้าไปมีความสุขอยู่หลายวัน”

“ถุย!” ซุนลิ่งถ่มน้ำลายลงพื้นเสียงดัง “เมืองจี้เฉิงอะไรกัน ที่ข้าไปเป็นหุบเขาใกล้กับจี้เฉิง! แม้แต่หมาป่าก็ยังไม่ไปขี้ที่นั่น มีแต่ก้อนหินทั้งนั้น ไม่มีอะไรเลย!”

พอเฉินกงได้ยินก็รีบถามทันที “แต่เจ้าเอาไม้ไปส่งเมืองจี้เฉิงไม่ใช่หรือ”

ซุนลิ่งร้อง ‘หึ’ ดื่มเหล้าอีกจอกหนึ่ง แล้วพูด “เดิมทีบอกไว้ว่าไปเมืองจี้เฉิง แต่พอขบวนขนไม้ของข้าเข้าไปใกล้เมืองจี้เฉิงสามสิบลี้ จู่ ๆ ก็มีทหารกองหนึ่ง บอกว่าได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการกัว ให้พวกข้าเปลี่ยนเส้นทางไปภูเขา ปรากฏว่าตลอดทางเป็นหุบเขา”

“ที่นั่นไม่มีผู้คนเลยหรือ”

“จะว่าไม่มีเลยก็ไม่ได้ ในหุบเป็นที่ราบกว้าง ตอนที่ข้าไปถึงมีกระโจมตั้งอยู่สิบกว่าหลัง มีคนไม่น้อยกำลังวางฐาน ก่อกำแพงหิน เหมือนสร้างค่าย”

เฉินกงรับกระบวยสัมฤทธิ์จากมือเว่ยเลี่ยง ตักเหล้าอุ่นให้ซุนลิ่งด้วยตัวเอง แล้วถามต่อ “เจ้าเห็นชัดไหมว่าค่ายนั่นมีอะไร”

“เฮ้อ! พูดถึงเรื่องนี้ข้าอดโมโหไม่ได้ พวกนั้นไม่สนใจใครเลย ให้พวกข้าเอาไม้ไปที่ปากทางเข้าหุบ แล้วก็ไม่ให้เข้าไปต่อ มีคนอีกกลุ่มหนึ่งมาขนไม้กับแท่งเหล็กเข้าไป”

“มีแท่งเหล็กด้วยหรือ”

“ใช่ ที่ไปถึงพร้อมกับข้ายังมีขบวนขนแท่งเหล็กอีกขบวนหนึ่ง ส่งมาจากกวนเน่ย มีประมาณยี่สิบสามสิบคัน ไม่ใช่แค่นี้ ยังมีขบวนขนปูน ขนหญ้า ขนถ่านหิน วางทั่วปากทางเข้าหุบ…” ซุนลิ่งดื่มต่อเนื่องหลายจอก เริ่มพูดเสียงอ้อแอ้ “ตอนนั้นจู่ ๆ ข้าก็ปวดเบา คิดในใจว่าข้าเป็นคนมีมารยาท จะให้คนอื่นเห็นเรื่องไม่ดีไม่งามไม่ได้ จึงวิ่งไปที่หลุมบนเนินเขา แล้วบังเอิญเห็นของในค่าย”

“ในค่ายมีอะไรหรือ” เว่ยเลี่ยงถามแทรก

“ไม่รู้ นอกจากกระโจมแล้วข้าเห็นหลุมดินเรียงเป็นแถว ๆ เหมือนหลุมฝังศพ ดูไม่เป็นมงคลเลย”

“เอาละ ๆ อย่างน้อยเจ้าก็กลับมาแล้ว ดื่มอีกสักจอกเถอะ ของพวกนั้นปล่อยให้อยู่ในหุบไป”

“ใช่ อ้อ จริงด้วย นายทหารคนนั้นให้ข้าเก็บเป็นความลับ พวกเจ้าก็อย่าได้พูดออกไป”

จากนั้นซุนลิ่งกับเว่ยเลี่ยงก็เริ่มเชิญชวนกันดื่มอีก เฉินกงดื่มกับสองคนนี้พอเป็นพิธีไม่กี่จอก สมองครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว วิเคราะห์คำพูดของซุนลิ่งเมื่อกี้ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นงานก่อสร้างขนาดใหญ่ ถึงได้ขนแท่งเหล็กมากมายมาจากกวานเน่ย และยังอยู่ใต้บัญชาของกัวหวายโดยตรง งานก่อสร้างนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นโรงงานผลิตอาวุธ ที่เรียกว่า ‘หลุมดิน’ น่าจะเป็นเตาหลอมเหล็ก

ปัญหาอยู่ที่ว่าเวลานี้กองทัพเว่ยสร้างโรงงานผลิตอาวุธขนาดใหญ่และเก็บเป็นความลับ มีจุดหมายเพื่ออะไรกันแน่

เฉินกงคิดพลางจิบเหล้า เขาดื่มเหล้าได้ไม่มาก ดื่มไม่กี่จอกสมองก็เริ่มมึน เวลานี้ท้องฟ้าเริ่มมืด เฉินกงนึกอยากลุกไปปิดหน้าต่าง พอลุกขึ้นก็ทำถุงผ้าที่ผูกกับเอวตกลงไปที่ใต้โต๊ะ เขานึกด่าตัวเองที่ไม่ระวัง ก้มตัวลงคลำ โต๊ะเตี้ยเกินไป อยู่ห่างจากพื้นไม่มาก คลำลำบากจริง ๆ คลำอยู่ครู่ใหญ่ มือของเขาก็แตะถูกพู่ของถุงผ้า พอยกมือขึ้นมาก็แตะถูกพื้นล่างของโต๊ะ

เขารู้สึกว่านิ้วมือสัมผัสกับอะไรบางอย่าง พื้นโต๊ะดูเหมือนจะมีส่วนที่เว้ากับนูนไม่เรียบ เริ่มแรกเฉินกงนึกว่าโต๊ะนี้ทำไม่เรียบตั้งแต่แรก แต่ต่อมาจึงพบว่าส่วนที่เว้ากับนูนนี้มีรูปแบบบางอย่างอยู่ เขายกลำตัวขึ้น ค่อย ๆ ใช้ฝ่ามือแนบพื้นโต๊ะ ลูบคลำช้า ๆ เพื่อหาความหมายที่แท้จริงของส่วนเว้านูน

ส่วนที่เว้ากับนูนคือรอยขูด เป็นเส้นเฉียงเอียงขวาสองรอยและวงกลมสองวงติดกัน หากใครพลิกโต๊ะขึ้นมาดูก็คงคิดว่ามีคนทำโดยไม่ตั้งใจ แต่เฉินกงรู้ว่าสองรอยนี้มีแต่จารชนเท่านั้นที่ดูออก เส้นเฉียงหมายถึง ‘คำเตือน’ ส่วนวงกลมสองวงนั้นไม่รู้ว่ามีความหมายอะไร แต่ที่มั่นใจได้อย่างหนึ่งคือเป็นรอยที่ไป๋ตี้ใช้มีดสั้นที่ติดตัวขูดขณะอยู่ในร้านเหล้า ไป๋ตี้รู้ว่าตนหนีไม่รอดและต่อสายกับเฉินกงไม่ได้ จึงใช้วิธีนี้ส่งข่าวให้เฉินกง

เมื่อทั้งสามดื่มเหล้าเสร็จ พอดีกลองบอกเวลาบนหอคอยดังขึ้นสามครั้ง เหลืออีกครึ่งชั่วยามก็จะเป็นเวลาห้ามออกนอกบ้าน เสียงกลองเตือนให้ชาวเมืองรีบกลับบ้าน ทั้งสามชำระเงิน ร่ำลากันแล้วต่างก็เดินไปคนละทาง

บ้านของเฉินกงอยู่ห่างจากร้านเหล้าหนิวจี้ไม่ไกลนัก เขาอยากให้ลมหนาวช่วงหัวค่ำพัดกลิ่นเหล้าระเหยไปบ้าง จึงเดินช้า ๆ หลังจากเลี้ยวสองสามครั้ง จู่ ๆ เขาเห็นร้านขายน้ำแกงเนื้อแพะที่หัวมุมเจ้านั้นยังเปิดร้านอยู่

“นายท่าน มาดื่มน้ำแกงเนื้อแพะให้หายหนาวเถอะ”

เถ้าแก่โผล่หน้าออกมาจากประตูร้องบอก เฉินกงโบกมือ ทำท่าว่าไม่ต้องการ ขณะที่กำลังจะเดินไปก็เห็นเสาหน้าร้านแพะตุ๋นนี้มีป้ายผ้าเลอะเทอะโบกสะบัดอยู่ อาศัยแสงสายัณห์ลำสุดท้ายที่เหลือ เขาเห็นอักษร ‘แพะตุ๋น’ บนป้าย และอักษรสองตัวนี้อยู่ในวงกลมสีเหลืองสองวงต่อกัน

เฉินกงรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า หรือนี่เป็นข่าวที่ไป๋ตี้ต้องการส่งให้เขาก่อนตาย? หรือว่าร้านเนื้อแพะตุ๋นเป็นห่วงโซ่หนึ่งในเครือข่ายข่าวกรองของไป๋ตี้ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วเดินเข้าไปในร้าน

ร้านนี้เล็กมาก ขนาดครึ่งหนึ่งของบ้านอาศัยทั่วไป ในห้องมีหม้อเหล็กใบใหญ่ ในนั้นมีน้ำแกงเข้มข้นสีเหลืองกำลังเดือดปุด ๆ ผนังข้างเตาเต็มไปด้วยคราบน้ำมัน ข้างหม้อมีกองฟางต้าไม่[1]ใช้เป็นเชื้อเพลิง มีขี้เถ้าปลิวเข้าไปในหม้อเป็นระยะ ๆ ปนกับเครื่องในแพะซึ่งแยกไม่ออกว่าเป็นส่วนไหน บนขื่อมีตะขอเหล็กเกี่ยวแพะสองตัวซึ่งถูกหั่นไปครึ่งหนึ่ง มีดคมหลายด้ามวางอยู่ข้าง ๆ ในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเนื้อแพะ

“นายท่านเชิญนั่ง เชิญนั่ง”

เถ้าแก่ยกเบาะฟางเปื้อนคราบน้ำมันมาให้ เฉินกงไม่ได้นั่ง เขามองหน้าเถ้าแก่อย่างถี่ถ้วน เถ้าแก่คนนี้อายุประมาณห้าสิบกว่า กระดูกโหนกแก้มทั้งสองข้างแดงเรื่อ ใบหน้ามีรอยเหี่ยวย่น ดวงตาถูกหนีบอยู่ระหว่างรอยย่นจนแทบดูไม่ออก ฟันเหลืองซี่ใหญ่เอียงเขเต็มปาก

“นายท่านจะสั่งอะไรหรือไม่ ข้าจะไปตักให้”

“จากกันที่ลั่วหยางครั้งนั้น ผ่านไปยี่สิบปี จนเดี๋ยวนี้ยังนึกถึงความไพเราะอ่อนหวานใน ‘ลำนำซั่งหลิน’ ของซือหม่าเสี้ยงหรูแล้วอดอาวรณ์ไม่ได้”

เฉินกงพูด เถ้าแก่ทำท่าเหมือนไม่ได้ยิน เพียงแต่หันไปหยิบชามกระเบื้องหยาบใบใหญ่จากตู้มา ใช้ผ้าเช็ดแล้ววางข้างหม้อใหญ่ เฉินกงจึงพูดอีกรอบหนึ่ง อีกฝ่ายก็ยังไม่พูดไม่จา แต่ท่าทางช้าลงอย่างเห็นได้ชัด

นี่เป็นรหัส จารชนกับเครือข่ายข่าวกรองทุกคนจะรู้รหัสชุดนี้ เพราะใช้ในการทำความรู้จักกันระหว่างสายข่าวกรองอิสระสองสาย

ผ่านไปครู่หนึ่ง เถ้าแก่จึงหันมาอย่างช้า ๆ พูดกับเฉินกงด้วยน้ำเสียงปวดร้าว “อย่าพูดเลย ข้ารู้แล้ว” เฉินกงผงะ ตามระเบียบแล้วคำตอบมาตรฐานก็คือ ‘แม้ลำนำซั่งหลินจะไพเราะแต่ไม่กินใจเท่ากับบท ‘ชีฟา’ หรอก’ พอเถ้าแก่พูดอย่างนี้ เขาไม่รู้ว่าจะไปต่ออย่างไร เวลานี้เถ้าแก่ผลักฟางข้าวซึ่งอยู่ข้างตู้ไปข้าง ๆ แล้วดึงแท่งไม้กับจุกปลายของที่สูบลมออกมา ดึงกระดาษซึ่งเต็มไปด้วยตัวหนังสือออกมาจากในนั้น

“นี่เป็นของที่เจ้าต้องการใช่หรือไม่”

เฉินกงรับกระดาษอย่างลังเลแล้วเปิดดู ในนั้นเป็นเอกสารด้านการทหารของเฉาเว่ย ดูแล้วที่นี่เป็นสถานที่ลับที่ไป๋ตี้ใช้เก็บเอกสาร เถ้าแก่กลับไปนั่งคุกเข่าที่พื้น ประกอบที่สูบลมเข้าใหม่ ขยับมัดฟางในเตา เปลวไฟลุกโชนขึ้น

“ข้าไม่รู้รหัสของพวกเจ้า แต่นายท่านกู่เคยบอกไว้ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับเขา ให้เอาของนี้มอบให้คนที่พูดคำนี้”

“อ้อ…” เฉินกงไม่รู้ว่าว่าเวลานี้ควรจะพูดอะไรดี “การตายของเขาเป็นความเสียหายใหญ่หลวงของภารกิจฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่นเรา ข้าเสียใจมาก แต่งานของเราต้องทำต่อไป ตั้งแต่วันนี้ไปข้าจะมาแทนตำแหน่งของเขาในสายข่าวกรอง พวกเจ้าขึ้นตรงต่อข้า”

เถ้าแก่ยิ้มอย่างขมขื่นพลางโบกมือแล้วโยนฟางข้าวใส่ในเตา “สู่ฮั่นเอย ราชวงศ์ฮั่นเอย เรื่องพวกนี้ข้าไม่เข้าใจ ข้าเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา”

“งั้นเจ้า…”

“นายท่านกู่เคยช่วยชีวิตข้า ข้าจึงติดตามเขามาที่เมืองซั่งกุย ทุกอย่างที่ข้าทำก็เพื่อตอบแทนบุญคุณ เวลานี้เขาตายไปแล้ว ความปรารถนาของเขาก็บรรลุแล้ว ข้าคิดว่าข้าควรจะกลับไปที่บ้านเกิดของข้าทางตะวันตก คนเราพอตายก็จะกลับคืนสู่รากเดิม” เสียงของเขาเหมือนใบไม้ร่วงที่เหี่ยวแห้ง เต็มไปด้วยความสิ้นหวังและปวดร้าว ไร้ชีวิตชีวา

เฉินกงจึงนึกขึ้นได้ว่าชายชราคนนี้เป็นชาวเผ่าเชียง ชายชราลุกขึ้น หยิบกระบวยมาคนในหม้อรอบหนึ่ง ตักเครื่องในแพะกลิ่นหอมใส่ชามใหญ่ ใช้ผ้าเช็ดขอบให้สะอาด เอาใบไม้ปิดปากชาม มอบให้เฉินกง

“ท่านรับของไปแล้ว พรุ่งนี้ร้านก็จะปิด วันหลังท่านดูแลตัวเองให้ดี”

พูดจบชายชราก็หันหลังไปนั่งที่ริมเตาอีกครั้ง เฉินกงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา เสียงกลองบนหอคอยห่างออกไปดังขึ้นอีกครั้ง เป็นการเตือนให้ชาวเมืองรีบกลับบ้าน เฉินกงจึงออกจากร้านอย่างเงียบ ๆ ชายชราไม่ได้ออกมาส่ง

พอกลับถึงบ้าน เฉินกงปิดประตูเรียบร้อย จุดเทียนไขแล้วเริ่มอ่านเอกสารที่ไป๋ตี้ทิ้งไว้ให้

เอกสารนี้มีทั้งประกาศ คำอบรม บันทึกการประชุม การโยกย้ายตำแหน่ง ฯลฯ ในกองทัพเว่ย มีคุณค่าสูงมาก และที่มีความหมายกว่านั้นคือไม่เพียงแต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกองทหารของที่ทำการเมืองเทียนสุ่ย ส่วนใหญ่ยังเกี่ยวข้องกับกองทัพของศูนย์กลาง เช่นการเคลื่อนไหวของกองทหารของกัวหวาย การเอาเอกสารเหล่านี้มาต้องอาศัยความกล้าหาญและสติปัญญาอย่างสูง เฉินกงคิดด้วยความรู้สึกทั้งนับถือและปวดร้าว

เอกสารของกู่เจิ้งนั้นหลายฉบับเป็นบันทึกการประชุมกองทัพเมื่อต้นรัชศกไท่เหอปีที่สาม ซึ่งก็คือสำเนาการประชุมแม่ทัพท้องถิ่นและแม่ทัพศูนย์กลางที่กัวหวายเรียกประชุม เฉินกงสังเกตเห็นว่าในการประชุมครั้งหนึ่งกัวหวายได้ย้ำครั้งแล้วครั้งเล่าถึงบทบาทของเครื่องยิงหน้าไม้ในการทำสงคราม ยกตัวอย่างที่หวังซวงถูกสังหาร เขายังพูดออกมาตรง ๆ ว่าวิทยาการการสร้างเครื่องยิงหน้าไม้ของกองทัพเว่ยล้าหลังกว่ากองทัพสู่ถึงสิบปี

เอกสารภายในของกองทัพอีกหลายฉบับเป็นคำอบรม มีใจความดังนี้ แม้เหตุการณ์การเสียชีวิตจากการสู้รบของหวังซวงราชสำนักจะทำให้จางหายไป แต่ทางกองทัพให้ความสำคัญต่อการสูญเสียครั้งนี้มาก เคยส่งคนไปสำรวจที่เฉินชัง ผลการสำรวจทำให้นายทหารระดับสูงประหลาดใจ ทหารของหวังซวงตายหมดทั้งกองเนื่องจากกองทัพสู่มีอาวุธใหม่ คือเครื่องยิงหน้าไม้ซึ่งมีอานุภาพในการยิงและความถี่ในการยิงมากกว่ารุ่นที่เรารู้จักกันก่อนหน้านี้ คนที่ไปสำรวจถึงกับบอกว่าอาวุธชนิดนี้สามารถยิงทั้งคนและม้าไปติดกับกำแพงได้

ผลสำรวจนี้ทำให้นายทหารระดับสูงกองทัพเว่ยที่มีสายตายาวไกลรู้สึกกระวนกระวาย

นี่เป็นเรื่องแน่นอน แคว้นเราอาจจะเข้มแข็งสู้เว่ยก๊กไม่ได้ แต่ด้านวิทยาการอยู่ในฐานะเหนือกว่าอย่างสิ้นเชิง เฉินกงคิดอย่างสะใจ มหาเสนาบดีจูเก๋อทุ่มเทให้กับวิทยาการมากที่สุดในบรรดาสามแคว้นคือเว่ยก๊ก สู่ก๊ก และอู๋ก๊ก ยุทธศาสตร์ ‘การสร้างกองทัพให้เข้มแข็งด้วยวิทยาการ’ ทำให้อาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพสู่เหนือกว่าอีกสองก๊ก

เอกสารเหล่านี้มีการจัดลำดับและเรียงตามวันเวลา แสดงว่ากู่เจิ้งเป็นคนละเอียดรอบคอบจริง ๆ เฉินกงพลิกอ่านเอกสารอย่างช้า ๆ อยากค้นหาฐานะของจี่ซื่อจงคนนั้นจากในนี้ เสียดายที่ไม่มีเอกสารชุดไหนให้คำตอบเขาได้ อย่างน้อยก็ไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน

เฉินกงวางกระดาษลงอย่างผิดหวัง คิดว่าจะไปหาอะไรมาดื่ม จึงเขี่ยไส้เทียนไข จู่ ๆ เขาก็สังเกตเห็นหน้าสุดท้ายในกองเอกสารระบุว่าเป็นเอกสารลงลำดับอี๋โหย่ว (ลำดับที่ยี่สิบสอง) วันที่สิบเดือนสองรัชศกไท่เหอปีที่สาม พิจารณาจากวันเวลา นี่เป็นเอกสารล่าสุด คงเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายในชีวิตของกู่เจิ้ง

เอกสารฉบับนี้เป็นเอกสารราชการที่กัวหวายในฐานะเจ้าเมืองยงโจวออกคำสั่งให้สำนักอู่ปิงแห่งที่ทำการเมือง โดยในเอกสารนี้กัวหวายขอให้ที่ทำการเมืองเทียนสุ่ยจัดการนำหนังสือส่งตัวขุนนางฉบับหนึ่งลำดับที่ ‘เจี่ยเฉินสี่ห้าหนึ่งหกสองสี่’ จากเมืองเย่เฉิง ให้เข้าไปอยู่ในบัญชีรายชื่อขุนนางของเมือง กัวหวายยังได้ย้ำในเอกสารว่าการโยกย้ายครั้งนี้กระทำโดยไม่เปิดเผย บอกกล่าวเฉพาะขุนนางที่ได้เบี้ยหวัดสองร้อยต้านขึ้นไปเท่านั้น

ในสายตาของคนทั่วไป นี่เป็นเพียงเอกสารพื้น ๆ แต่ในสายตาของเฉินกงซึ่งคุ้นเคยกับระบบการทำงานในองค์กรของขุนนางเฉาเว่ย เอกสารนี้มีอะไรหลายอย่างซ่อนอยู่

เอกสารราชการเว่ยก๊กจัดเรียงลำดับตามระบบเทียนกานตี้จือ[2] ลำดับแรกเริ่มต้นด้วย ‘เจี่ย’ เกี่ยวกับขุนนางในราชสำนัก ‘อี่’ คือขุนนางนอกราชสำนัก ถัดไปคือ ‘ปิ่ง’ ขุนนางท้องถิ่นระดับเมืองและเขต เอกสารนี้เริ่มต้นด้วย ‘เจี่ย’ แสดงว่าเขาเป็นขุนนางในราชสำนัก ส่วน ‘เฉิน’ แสดงว่าเขายังรับราชการอยู่ จากนั้นก็เป็นตัวเลขสามตำแหน่ง สี่ห้าหนึ่งหมายถึงเขตฝูเฟิงซึ่งก็คือภูมิลำเนาของคนคนนี้ ตัวเลขสามตำแหน่งสุดท้ายหมายถึงหมายเลขประจำตัวของเขา

ตามธรรมเนียมแล้ว เวลาขุนนางเฉาเว่ยย้ายไปรับตำแหน่งที่สูงขึ้น เอกสารจะส่งไปพร้อมกับคนคนนั้น ดังนั้นเอกสารฉบับนี้จึงซ่อนความจริงที่ว่ามีขุนนางราชสำนักย้ายไปที่เมืองเทียนสุ่ย ที่น่าประหลาดใจคือการย้ายครั้งนี้เป็นคำสั่งของแม่ทัพกัวหวาย เป็นที่ชัดเจนว่าขุนนางคนนี้มาที่หล่งซีตามข้อเสนอของฝ่ายทหาร แต่เอกสารกลับถูกจัดไว้ในแฟ้มขุนนางฝ่ายบุ๋นของเมือง และตามรายละเอียดในเอกสารก็บอกให้รู้ว่าขุนนางคนนี้เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นจริง ๆ

ในเอกสาร กัวหวายไม่ได้กล่าวถึงชื่อและตำแหน่งของขุนนางคนนี้ เพียงแต่ให้หมายเลขประจำตัวของเอกสาร เห็นได้ชัดว่ากัวหวายปิดบังแม้กระทั่งต่อที่ทำการเมืองเทียนสุ่ย แสดงว่าการโยกย้ายครั้งนี้เป็นความลับขั้นสุดยอด

เฉินกงเห็นอย่างนี้ก็แทบมั่นใจได้ว่าขุนนางคนนี้คือจี่ซื่อจงคนที่เขาตามหามาตลอด ช่วงนี้มีจี่ซื่อจงมาที่เทียนสุ่ยจริงและปิดเป็นความลับมาก ซึ่งก็สอดคล้องกับเอกสาร

ประเด็นสำคัญคือจี่ซื่อจงคนนี้เป็นใครกันแน่

เฉินกงหลับตา ค่อย ๆ หวนนึกถึงจี่ซื่อจงห้าคนในข้อมูลที่เขาอ่านวันนั้น แล้วจึงได้ข้อสรุปทันที ในจำนวนห้าคนนี้มีเพียงคนเดียวที่มีภูมิลำเนาอยู่เขตฝูเฟิง ชื่อของคนนี้ก็คือหม่าจวิน ชื่อรองเต๋อเหิง

พอนึกถึงว่าจี่ซื่อจงคนนั้นต้องเป็นหม่าจวินแน่ เฉินกงก็อดขนลุกไม่ได้ รู้สึกเย็นวาบตั้งแต่ฝ่าเท้าถึงอก

หม่าจวินเป็นขุนนางที่มีชื่อเสียงและเป็นคนเดียวในราชสำนักเฉาเว่ยที่รู้วิทยาการ มีผลงานประดิษฐ์คิดค้นด้านกลไกเป็นที่เลื่องลือมานาน จักรพรรดิเฉารุ่ยจึงแต่งตั้งให้เขาเป็นจี่ซื่อจง แล้วจัดตั้งหน่วยเครื่องกลสังกัดราชสำนัก โดยมีหม่าจวินเป็นผู้ดูแล

หน่วยเครื่องกลโดยชื่อแล้วทำหน้าที่ค้นคว้าวิทยาการด้านอาวุธใหม่ ๆ แต่งานประจำวันจริง ๆ กลับเป็นการทำหุ่นเคลื่อนไหวที่น่าสนใจให้จักรพรรดิเฉารุ่ย หรือปรับปรุงของเล่นบางอย่าง หลังจากตั้งหน่วยเครื่องกลแล้วผลงานที่มีประโยชน์ต่อการทหารอย่างเดียวคือเครื่องยิงหินที่ยังไม่ได้ตั้งชื่อซึ่งหม่าจวินออกแบบ อาวุธชนิดนี้มีอานุภาพสูงมาก ถ้าเอาไปใช้อย่างกว้างขวางในกองทัพจะยกระดับความสามารถในการโจมตีของกองทัพเว่ย เสียดายที่จักรพรรดิไม่ใส่พระทัยกับเรื่องนี้ ฝ่ายทหารเองก็ไม่อาจพูดอะไรได้ อีกทั้งยังมีขุนนางที่ชอบคุยโวโอ้อวดกลุ่มหนึ่งทัดทาน ในที่สุดเครื่องยิงหินจึงหยุดอยู่แค่ขั้นตอนการออกแบบในกระดาษ

แม้ที่ผ่านมาหม่าจวินจะไม่ได้รับความสนใจจากราชสำนัก แต่ฝ่ายทหารสนใจและชื่นชมความสามารถของเขา เฉินกงรู้สึกได้อย่างชัดเจน ครั้งนี้ที่กัวหวายตั้งใจเรียกให้หม่าจวินมาที่เทียนสุ่ย แสดงว่ากองทัพเว่ยมีอาวุธใหม่ชนิดหนึ่ง และกำลังจะ…หรือวางแผนจะติดตั้งในกองทัพ จำเป็นต้องอาศัยพรสวรรค์ด้านวิทยาการของหม่าจวิน

ที่หุบเขาใกล้เมืองจี้เฉิงมีการสร้างโรงงานอาวุธขนาดใหญ่ เป็นไปได้ว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด

ถ้าเช่นนั้นอาวุธใหม่ของกองทัพเว่ยมีเครื่องยิงหน้าไม้หรือไม่

เฉินกงครุ่นคิด จากเอกสารฉบับอื่นทำให้ดูออกว่าหลังการตายของหวังซวง ฝ่ายทหารของเว่ยก๊กรู้สึกหวาดกลัวเครื่องยิงหน้าไม้แบบใหม่ของสู่ก๊กมาตลอด เป็นไปได้ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนความรู้สึกที่กลัวอันตรายเป็นความสนใจเครื่องยิงหน้าไม้อย่างรุนแรง

จู่ ๆ เขาก็นึกถึงอะไรบางอย่าง รีบพลิกอ่านเอกสารของไป๋ตี้ สุดท้ายสายตาก็หยุดอยู่ที่เอกสารที่ระบุลำดับซินเว่ย (ลำดับที่แปด) วันที่สิบเดือนหนึ่งรัชศกไท่เหอปีที่สาม เป็นการประชุมพลภายในของฝ่ายทหาร ในที่ประชุมครั้งนี้กัวหวายได้พูดเป็นนัยว่าอีกไม่กี่เดือนกองทัพเว่ยจะมีความสามารถทัดเทียมกับกองทัพสู่ โศกนาฏกรรมของหวังซวงจะไม่เกิดขึ้นอีก

ตอนที่เฉินกงอ่านครั้งแรก เข้าใจว่ากองทัพเว่ยคงจะเพิ่มกำลังทหารเท่านั้น แต่เมื่อผนวกเข้ากับเรื่องการย้ายหม่าจวิน การสร้างโรงงานอาวุธของกองทัพ และความสนใจเครื่องยิงหน้าไม้ของฝ่ายกองทัพเว่ย เขาพลันตระหนักว่าอาจจะหมายถึงแผนการที่น่ากลัวกว่านั้น

แม้เฉินกงไม่เคยค้นคว้าเรื่องอาวุธมาก่อน แต่พอจะรู้บ้างว่าการผลิตอาวุธใหม่ภายในเวลาหนึ่งถึงสองเดือนเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ต่อให้มีอัจฉริยะอย่างหม่าจวินก็เป็นไปไม่ได้ นี่เป็นระบบงานที่ซับซ้อน เฉาเว่ยไม่สามารถทำได้

มีวิธีเดียวที่จะบรรลุเป้าหมายได้คือการปรับปรุงเล็ก ๆ น้อย ๆ บนพื้นฐานวิทยาการที่มีอยู่เวลานี้ หรือใช้วิทยาการที่มีอยู่โดยตรง เป็นที่รู้กันว่าวิทยาการของเว่ยก๊กไม่ได้สั่งสมจนถึงจุดนี้ มีแต่ของสู่ก๊กเท่านั้นที่มีวิทยาการเครื่องยิงหน้าไม้ที่สมบูรณ์ แต่วิทยาการที่อ่อนไหวเช่นนี้สู่ก๊กไม่มีวันบอกใครแม้กระทั่งตงอู๋[3]ซึ่งเป็นพันธมิตร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเฉาเว่ยซึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาต

สำหรับสองแคว้นซึ่งเป็นศัตรูกัน การ ‘นำเข้า’ วิทยาการมีวิธีเดียว คือขโมย

ไปขโมยที่สู่ก๊ก

 

คืนนี้เฉินกงไม่ได้นอน เขาเขียนคำวิเคราะห์เหล่านี้ในรายงาน แล้วเขียนลงท้ายเตือนอำเภอเหมี่ยนว่าถ้าไม่ใส่ใจเรื่องนี้จะส่งผลร้ายแรงมาก ในอนาคตพอจะคาดเดาได้ว่าสู่ก๊กจะมียุทธศาสตร์เป็นการบุกตลอดไป ถ้ากองทัพเว่ยขโมยและกุมวิทยาการเครื่องยิงหน้าไม้ที่ก้าวหน้าจากสู่ก๊กได้สำเร็จ เพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกัน การบุกเหนือครั้งต่อไปจะยากขึ้นอย่างน่ากลัว

ตอนที่เขาทำงานนี้เสร็จ ขอบฟ้าก็เริ่มปรากฏแสงสีเงิน เฉินกงพับรายงานอย่างระมัดระวัง เอาวางไว้ที่ลับใต้กล่องอาหาร แล้วผลักประตูออกไปสูดอากาศสดชื่น วันนี้เป็นวันที่สิบสี่เดือนสอง ในที่สุดเขาก็เขียนรายงานสำคัญนี้เสร็จ

ก่อนเที่ยงวัน เฉินกงไปถึงเนินเขาแห่งหนึ่งที่นอกเมืองซั่งกุย เอารายงานไปซ่อนไว้ใต้ต้นไม้ที่นัดแนะไว้ หนึ่งชั่วยามผ่านไป เจ้าหน้าที่ข่าวกรองของสำนักข่าวกรองซึ่งปลอมตัวเป็นพ่อค้าผ้าชาวสู่ก็มาที่นี่ หยิบรายงานไป ซ่อนไว้ที่ช่องพิเศษในเกือกม้า แล้วเอาเกือกม้านี้ตอกใส่ขาหน้าของลาตัวหนึ่ง

จากนั้นเขาจึงจูงลากลับไปที่กองคาราวานพ่อค้า เดินทางอ้อมถนนใหญ่ไปตามทางเล็กบนเขาฉินหลิ่งกลับฮั่นจงพร้อมกับพ่อค้าจำนวนมาก เฉินกงมองดูเทือกเขาฉินหลิ่งสลับซับซ้อนไกลออกไป พลางคิดในใจ

งานต่อจากนี้ขึ้นอยู่กับสำนักข่าวกรองที่อำเภอเหมี่ยนแล้ว

ขณะเดียวกันนั้น ในเมืองเดียวกัน อีกคนหนึ่งกำลังมองดูภูเขาห่างออกไปเช่นกัน แต่ในใจของเขากลับนึกถึงเรื่องที่ตรงกันข้ามกับเฉินกง

 

[1] หมายถึง ข้าวบาร์เลย์

[2] เทียนกาน-ตี้จือ หรือแกนฟ้า-กิ่งดิน ภาษาไทยภาคเหนือเรียกระบบแม่มื้อลูกมื้อ ประกอบด้วยเทียนกาน 10 อักษร ตี้จือ 12 อักษร มีระบบในการผสมออกมาเป็น 60 ลำดับ ใช้นับวันเดือนปีและนับลำดับต่าง ๆ เมื่อจบลำดับที่ 60 จะย้อนวนมานับที่ 1 ใหม่เช่นนี้ไปเรื่อย ๆ

[3] ตงอู๋ แปลว่า ก๊กอู๋ซึ่งอยู่ทางตะวันออก หมายถึงง่อก๊ก

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า