[ทดลองอ่าน] ยุคสมัยแห่งธิดาอ๋อง เล่ม 3 บทที่ 101

ยุคสมัยแห่งธิดาอ๋อง

王女韶华

 

溪畔茶 ซีพั่นฉา เขียน

ภวิษย์พร แปล

 

— โปรย —

มู่หยวนอวี๋มาอยู่ในเมืองหลวงได้สามปีแล้ว
แม้จะต้องเผชิญอุปสรรปัญหา
ล้วนฝ่าฟัน เอาตัวรอดมาได้ทั้งสิ้น
แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันพลันบังเกิด
มู่หยวนอวี๋ประสบเหจุร้ายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
ความลับที่พยายามเก็บรักษามาตลอดชีวิตกลับมีคนล่วงรู้
ผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังเหตุร้ายทั้งหมดนี้คือใคร
มู่หยวนอวี๋จะรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ
และรักษาชีวิตอยู่ในเมืองหลวงได้ตลอดไปหรือไม่ …

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

 

บทที่ 101

 

ผ่านไปอีกสองเดือน เมื่อภัยแล้งที่ส่านซีและกานซู่ผ่านพ้นไป ข่าวที่ว่าจูจิ่นยวนจะเลือกพระชายาถึงได้ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ

ถือว่าจูจิ่นยวนได้ใบบุญจากจูจิ่นจื้อ หากไม่เพราะสภาพการณ์ที่พิเศษของจูจิ่นจื้อ และฮ่องเต้ยอมแบกรับแรงกดดัน ฝืนกฎเกณฑ์ยกระดับเรื่องชาติกำเนิดของผู้ที่จะมาเป็นพระชายาขององค์ชายใหญ่ให้สูงขึ้นแล้ว เมื่อถึงคราวของจูจิ่นยวน เขาก็คงไม่มีทางได้คุณหนูจากตระกูลขุนนางอย่างเหวยเหยาเป็นชายา

สำหรับเรื่องนี้จูจิ่นยวนพึงพอใจอย่างมาก โดยเฉพาะการที่เหวยเหยามีความเกี่ยวข้องกับทั้งทางฝ่ายเหวินกั๋วกงและเจี้ยนอันโหว แม้ว่าจะไม่ใช่ญาติทางฝั่งบิดาที่มีความใกล้ชิดสนิทสนม แต่เมื่อมีความเกี่ยวข้องกับสองตระกูลนี้ ถึงอย่างไรก็มีหน้ามีตายิ่งกว่าตระกูลเล็กๆยากจนมากนัก

โชคดีที่หาได้ยากนี้ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ นับว่าเสด็จแม่ของเขาพยายามทำเพื่อเขามากจริงๆ เมื่อนึกถึงจูจิ่นเซินว่าต้องรออีกห้าปีเขาถึงจะแต่งภรรยาได้ ถึงเวลานั้นใบบุญของจูจิ่นจื้อก็จะผ่านเลยไป และจูจิ่นเซินก็คงจะได้แต่งงานกับสตรีผู้เป็นชาวบ้านจากตระกูลธรรมดาตามกฎที่บรรพบุรุษตั้งไว้เท่านั้น ภรรยาของจูจิ่นเซินจะเป็นเพียงสตรีที่รู้จักตัวหนังสือแค่ไม่กี่ตัว ออกจากบ้านทีก็กล้าๆกลัวๆ ถ้าไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนเป็นเวลาหลายปีก็คงไม่กล้าลงมือทำอะไร แล้วยิ่งถ้าเป็นคนอ่อนแอสักหน่อยละก็ แม้แต่คนในจวนก็คงกำราบไม่ได้…ฮ่า!

จูจิ่นยวนคิดแบบนี้ก็หลุดเสียงหัวเราะออกมา

 

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ฤดูร้อนปีนี้มู่หยวนอวี๋อารมณ์ไม่ใคร่จะดีนัก

ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับจูจิ่นยวน เป็นปัญหาของตัวนางเองล้วนๆ

หลังผ่านเทศกาลตวนอู่ก็เข้าสู่ช่วงฤดูร้อน ยิ่งนานอากาศก็ยิ่งร้อนระอุ แต่นางกลับไม่กล้าละเลย ยังคงพันผ้าที่ใช้รัดหน้าอกไว้แน่นหนา ทุกวันที่กลับมาถึงบ้าน เหงื่อกาฬภายในจะต้องเปียกจนซึมออกมาถึงข้างนอก หากไม่เป็นเพราะมีคนปรนนิบัติช่วยกันผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง ทั้งยังคอยเอายาสมุนไพรเย็นๆมาถูตัวให้ นางคงถูกอากาศร้อนๆอบจนผดขึ้นไปแล้ว

พวกสาวใช้สงสารนางอย่างยิ่ง แต่กลับไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว ไม่สามารถเกลี้ยกล่อมให้นางเลิกใช้ผ้ารัดหน้าอกได้ เพราะถึงแม้มู่หยวนอวี๋จะมีหน้าตาคล้ายเตียนหนิงอ๋อง แต่กลับได้รูปร่างของพระชายาเตียนหนิงอ๋องมา หลังจากที่เข้าสู่ช่วงวัยเจริญพันธุ์ แม้หน้าอกของนางจะถูกรัดทุกวันอย่างไม่เคยละเลย ก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งการ “โต” ของหน้าอกนางไว้ได้

มู่หยวนอวี๋กลัดกลุ้มมาก “โชคดีที่ข้าตัดสินใจว่าจะรัดหน้าอกไว้แต่เนิ่นๆ หากช้ากว่านี้ เกรงว่าคงลำบากมากกว่าเดิม…พรุ่งนี้ช่วยรัดให้แน่นกว่าเดิมดีกว่า”

หมิงฉินตกใจสะดุ้งโหยง รีบกล่าวว่า “ไม่ได้ รัดแน่นกว่านี้…ซื่อจื่อจะหายใจลำบากนะเจ้าคะ”

กวานฉีเองก็ขยับเข้ามาช่วยโน้มน้าวนางอีกแรง “ไม่เป็นไรหรอก แบบนี้กำลังพอดีเจ้าค่ะซื่อจื่อ ถึงอย่างไรท่านก็เป็นผู้หญิง หากรัดหน้าอกจนแบนราบเป็นกระดานแบบผู้ชายก็น่าเกลียดแย่”

“กระดานช่วยชีวิต”

กวานฉีหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “ตอนนี้ก็ไม่มีใครสงสัยท่านสักหน่อย จะต้องกลัวอะไร รอให้ผ่านไปอีกพักหนึ่ง อากาศเริ่มหนาวก็จะดีขึ้นเอง”

แล้วกวานฉีก็ขยับเข้ามาใกล้ยิ่งกว่าเดิม กระซิบเบาๆ ข้างหูนาง “รูปร่างของซื่อจื่อตอนนี้น่าดูที่สุดแล้ว กะทัดรัดน่ารัก คิกๆ”

มู่หยวนอวี๋ผลักกวานฉีออก ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “บังอาจ เจ้ากล้าล้อเลียนข้า”

“โอ้ ซื่อจื่อโปรดไว้ชีวิต”

กวานฉีหัวเราะจนหงายหลังลงไปบนผ้าห่มผืนบาง คว้าพัดตรงมุมเตียงมาพัดให้นาง “ด้วยสถานะของท่าน นอกจากพวกองค์ชายแค่ไม่กี่คนก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ท่านอีก ไม่ต้องเป็นกังวลจริงๆ”

มู่หยวนอวี๋ที่ถูกกวานฉีหว่านล้อมเริ่มคลายความกังวลลง “ที่เจ้าพูดมาก็ถูก และในบรรดาองค์ชายทั้งหลาย ข้าก็สนิทกับองค์ชายรองแค่คนเดียว เขาเป็นโรครักความสะอาดมาก ปกติก็ไม่เคยฉุดกระชากลากถูใคร”

หมิงฉินกล่าวอย่างอ่อนโยน “เพราะฉะนั้นซื่อจื่อก็วางใจได้ เลิกคิดว่าจะรัดหน้าอกให้แน่นอีกไปเลย ก่อนหน้านี้กวานฉีก็บอกแล้วว่าทำแบบนั้นไม่ดีต่อสุขภาพของท่าน”

แต่มู่หยวนอวี๋กลับรู้สึกเสียดาย “ตอนนี้องค์ชายรองกำลังเรียนขี่ม้า เดิมทีข้าอยากจะสอนเขา แต่ดันมาตรงกับเวลาช่วงนี้พอดี ข้าเลยไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้เขามากเกินไป ได้แต่คอยมองเวลาองครักษ์สอนเขา”

ก่อนหน้านี้นางเคยรับปากจูจิ่นเซินเอาไว้ ตอนนี้กลับได้แต่แสร้งทำเป็นจำไม่ได้ ยังดีที่การขี่ม้าไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะที่สูงส่งลึกซึ้งเกินไปนัก องครักษ์ที่สามารถสอนเขาได้มีมากมาย และเขาเองก็ไม่เคยพูดกับนาง คาดว่าตอนนั้นเขาคงไม่ได้คิดจริงจังเหมือนกัน แค่ฟังแล้วก็ปล่อยผ่านเลยไป

หมิงฉินปลอบใจนาง “ไม่ต้องรีบร้อน ฤดูร้อนผ่านไปก็ดีเอง”

มู่หยวนอวี๋หาว พยักหน้ารับ “อืม”

ท่ามกลางการรอคอยอย่างกระวนกระวายของมู่หยวนอวี๋ อากาศร้อนแผดเผาผ่านไปได้อีกช่วงหนึ่ง ในที่สุดอานุภาพของมันก็ค่อยๆลดน้อยลง

 

ฤดูใบไม้ร่วง อากาศเย็นสบาย

ภัยแล้งที่ส่านซีและกานซู่จัดการได้เรียบร้อย หลังจากที่จูจิ่นเซินออกนอกจวนก็ไม่เคยล้มป่วยอีก เรื่องงานแต่งงานของจูจิ่นยวนก็ถูกกำหนดไว้แล้ว ช่วงนี้เรื่องวุ่นวายใจของฮ่องเต้ลดน้อยลงไปมาก ด้วยอารมณ์ที่ผ่อนคลายจึงหาเวลาว่างสั่งการให้จัดเตรียมงานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วง

เวลานี้จูจิ่นเซินก็เรียนขี่ม้าสำเร็จในขั้นต้นแล้ว เขาเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่เกิด ไม่ว่าอะไรก็เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว มีเพียงการยิงธนูที่ยังไม่เป็นผล เขามีความแม่นยำในการยิงก็จริง แต่พละกำลังกลับไม่มากพอ องครักษ์ที่สอนกลัวว่าเขาที่เพิ่งหัดเรียนอาจทำให้กล้ามเนื้อบาดเจ็บ จึงระมัดระวังอย่างมาก ยอมให้เขาใช้ธนูที่หนักสองโต่ว[1]เท่านั้น จูจิ่นเซินทะนุถนอมร่างกายของตัวเองอย่างมาก จึงไม่คิดอวดเก่ง ยอมใช้ธนูเบาแต่โดยดี

เพียงไม่นานก็ถึงวันเทศกาลงานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วง ผืนธงโบกสะบัด เสียงย่ำเท้าของม้าดังอึงอล ทั้งกษัตริย์และขุนนางต่างพากันเดินขบวนมุ่งหน้าไปยังลานล่าสัตว์นอกเมืองอย่างยิ่งใหญ่

ที่นี่คือลานกว้างขนาดใหญ่ที่ถูกล้อมไว้ใต้ตีนเขาลูกหนึ่ง ก่อนที่ฮ่องเต้จะเสด็จมา องครักษ์เสื้อแพรได้ทำการตรวจสอบพื้นที่แห่งนี้อย่างละเอียดหลายรอบราวกับร่อนตะแกรงเพื่อรับประกันความปลอดภัยให้ฮ่องเต้

วันนี้อากาศดีมาก ลมเย็นๆพัดโชยพาให้ใจคนสงบ ฮ่องเต้เสด็จมาครั้งนี้ หลักๆแล้วก็เพื่อยืดเส้นยืดสาย ผ่อนคลายจิตใจ เขายืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มองครักษ์เสื้อแพรที่ห้อมล้อมแน่นขนัดและยกธนูขึ้นยิงกวางหนุ่มแข็งแรงตัวหนึ่งเพื่อเป็นการเริ่มงาน

เหล่าขุนนางไชโยโห่ร้องแสดงความยินดี

แน่นอนว่ากวางตัวนี้องครักษ์เสื้อแพรช่วยต้อนมาให้ แต่ฮ่องเต้สามารถยิงโดนในครั้งแรก ก็แสดงให้เห็นว่ายังทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง เหล่าขุนนางก็พากันสบายใจ

“ทุกคนอย่ามัวแต่ยืนเฉยกันอยู่เลย” ฮ่องเต้หันกลับมาแย้มพระสรวลตรัสกับทุกคน “เราเตรียมของรางวัลไว้เรียบร้อยแล้ว คงต้องดูว่าผู้กล้าคนไหนจะได้รางวัลที่หนึ่งไปครอง”

“ฝ่าบาทคอยทอดพระเนตรกระหม่อม!”

เสียงหนึ่งดังตอบรับขึ้นมา

กลุ่มขุนนางหันไปมองตามเสียง แล้วก็พากันส่งเสียงหัวเราะบ้างดังบ้างเบาทันที

คนที่ตะโกนผู้นี้ก็คือท่านกั๋วจิ้ว หลี่เฟยจาง

เขาถลึงตาโต “หัวเราะอะไรกัน ดูแคลนข้าผู้เป็นกั๋วจิ้วงั้นรึ!”

งานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงจัดขึ้นทุกปี เขาเป็นคนที่ชอบเล่นสนุก แต่ละปีจึงไม่เคยพลาด ฝีมือของเขาเป็นเช่นไร เหล่าขุนนางล้วนรู้กันดี ถ้าจะมอบของรางวัล “กล้าหาญในการเข้าร่วม” ให้เขาก็คงได้อยู่ แต่รางวัลที่หนึ่งนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางตกถึงมือเขา ดังนั้นทุกคนถึงได้หัวเราะ

เวลาที่กั๋วจิ้วน้อยไม่สร้างเรื่อง ฮ่องเต้ปฏิบัติต่อเขาดีพอสมควร จึงเอ่ยหยอกเย้า “เฟยจาง ถ้าอย่างนั้นก็ต้องพึ่งเจ้าแล้ว อย่าทำให้เราผิดหวังล่ะ”

หลี่เฟยจางยืดอก “พ่ะย่ะค่ะ!”

จูจิ่นยวนที่อยู่ด้านข้างเบ้ปาก…เมื่อสองปีก่อนเขาต่างหากที่เป็นคนได้รางวัลที่หนึ่ง ทว่าต้องรักษาภาพลักษณ์ถ่อมตนของตัวเองเอาไว้จึงไม่ได้รีบเสนอตัว คิดไม่ถึงว่าจะถูกท่านน้าที่ไม่เอาไหนผู้นี้ชิงตัดหน้าเอ่ยปากไปเสียก่อน

เขาจึงข่มอารมณ์ไม่ไหว กระตุ้นม้าเดินขึ้นหน้า “เสด็จพ่อ รอทอดพระเนตรนะพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้พยักหน้ารับยิ้มๆ “ดีๆ ไปเถอะ”

ทุกคนจึงพากันแยกย้าย หลี่เฟยจางที่ควบม้าตามมาด้านข้างจูจิ่นเซินพึมพำเบาๆ “จะต้องดูเขาไปทำไม นึกหรือว่าตัวเองมีความสามารถ องค์ชายรอง ท่านไม่รู้อะไร เมื่อก่อนนี้ท่านไม่เคยมา ขุนนางคนอื่นย่อมไม่กล้าแข่งขันกับองค์ชายสาม แล้วเขายังพาองครักษ์มามากมายขนาดนั้น ส่วนที่องครักษ์ล่าได้ก็ตกเป็นของเจ้านายตัวเองทั้งหมด นับรวมๆกันแล้วถึงทำให้เขาได้ ‘รางวัลที่หนึ่ง’ ไม่รู้ว่ามีอะไรให้ต้องภาคภูมิใจ…”

“อะแฮ่ม!”

มู่หยวนอวี๋กระแอมแรงๆหนึ่งที

สัญญาณเตือนเล็กๆน้อยๆแบบนี้หลี่เฟยจางพอจะรู้อยู่บ้าง จึงหุบปากทันที และครู่หนึ่งต่อมาเสียงของจูจิ่นยวนก็ดังขึ้นด้านข้างจริงดังคาด “พี่รอง”

จูจิ่นเซินผินหน้าน้อยๆ หันไปมอง “หืม”

จูจิ่นยวนบังคับม้าขยับเข้ามาใกล้ เอ่ยยิ้มๆว่า “พี่รองเพิ่งจะหายดีได้ไม่นาน แพ้ชนะเป็นเรื่องเล็ก อย่าได้เก็บมาใส่ใจจนเกินไปนัก หากกลัวว่าสัตว์ที่ล่ามาจะไม่มากพอ ไม่สมฐานะ ก็ให้คนมาบอกข้าก็ได้ ข้าจะแบ่งให้พี่รองเอง”

จูจิ่นเซินกล่าว “อืม ขอบใจน้องสามมาก แต่ข้าแค่อยากออกมาผ่อนคลายเท่านั้น ไม่ได้คิดจะล่าสัตว์อะไร และเสด็จพ่อเองก็คงไม่เข้มงวดกับข้านัก หากเจ้าต้องการรางวัลที่หนึ่งก็อย่ามัวชักช้าอยู่เลย รีบไปล่าสัตว์เถอะ”

ขุนนางที่เดินผ่านมาหันกลับมามองเงียบๆ ด้วยแววตาประหลาดใจ ที่พูดกันว่าองค์ชายรองสุขภาพดีขึ้น นิสัยก็ดีตามไปด้วย ดูท่าจะเป็นเรื่องจริง กลับเป็นองค์ชายสามเสียอีก แอบพูดจาค่อนแคะพี่ชายแบบนี้ ไม่มีคุณธรรมเอาซะเลย

จูจิ่นยวน “…”

เขาสังเกตเห็นสายตาของขุนนางพวกนั้น ในใจรู้สึกเหมือนได้รับความอยุติธรรม…เมื่อก่อนจูจิ่นเซินค่อนแคะเขาทุกวัน ทุกคนกลับเคยชินเห็นเป็นเรื่องปกติ เขาเพิ่งจะเคยพูดแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว กลับกลายเป็นว่าเขารังแกคนอื่นไปได้อย่างไร!

นี่ทำให้ความรู้สึกเหนือกว่าซึ่งเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อครู่ของเขาหดหายไปทันที อยากจะเค้นรอยยิ้มปิดท้าย แต่กลับยิ้มไม่ออก ได้แต่ข่มอารมณ์ควบม้าออกไป ตัดสินใจว่าต้องเป็นผู้ชนะในงานล่าสัตว์ครั้งนี้ให้ได้

“องค์ชายสามยังคิดจะแบ่งสัตว์ที่ล่ามาได้ด้วยหรือ หึ สัตว์ที่เขาล่ามาได้ก็ต้องเอาของคนโน้นมาผสมกับของคนนี้เหมือนกัน…”

แล้วหลี่เฟยจางก็เริ่มพูดจ้อน้ำไหลไฟดับอีกครั้ง

เขาเองก็รู้สึกเหมือนกันว่านิสัยของจูจิ่นเซินดีขึ้น ความอดทนที่มีต่อเขาก็เพิ่มมากขึ้น นึกว่าในที่สุดการยืนหยัดติดตามเขาอย่างไม่ย่อท้อก็สามารถสั่นคลอนความรู้สึกของจูจิ่นเซินได้ในที่สุด จึงยิ่งพยายามแสดงออกให้มากขึ้น คิดว่าจูจิ่นเซินเพิ่งเคยมาร่วมงานล่าสัตว์เป็นครั้งแรก ไม่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ หลังบ่นเรื่องจูจิ่นยวนเสร็จจึงเริ่มแนะนำสถานที่ให้จูจิ่นเซินฟังอย่างกระตือรือร้น

“องค์ชายโปรดวางพระทัย ที่นี่ปลอดภัยมาก ฮ่องเต้เสด็จมาเยือน พวกสัตว์ป่าที่ดุร้ายถูกองครักษ์เสื้อแพรไล่ไปหมดแล้ว พวกเราก็คงเจอสัตว์ประเภทกระต่าย กระจง ฯลฯ เท่านั้น แถมมีหลายตัวที่ถูกนำมาเลี้ยงไว้ที่นี่ ไม่ใช่สัตว์ป่าแต่กำเนิด ดังนั้นพวกเราจึงเที่ยวเล่นในพื้นที่แถบนี้ได้อย่างสบายใจ ป่าตรงนั้นก็เข้าไปได้เหมือนกัน ไม่มีทางเกิดเรื่องหรอก…”

จูจิ่นเซินทนแล้วก็ทน ข่มใจทนครั้งแล้วครั้งเล่า

เขาใจกว้างมากขึ้นนั้นไม่ผิด แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเต็มใจฟังหลี่เฟยจางพูดจ้ออยู่ข้างหูไม่จบไม่สิ้นแบบนี้ แม้ว่าบางเรื่องที่พูดจะมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่รวมๆแล้วคือพูดเรื่องไร้สาระมากกว่า

อีกอย่าง เมื่อหลี่เฟยจางเหมาหน้าที่พูดไปหมดแล้ว มู่หยวนอวี๋ที่ติดตามมาอีกฝั่งหนึ่งจึงไม่มีโอกาสเปิดปากเลย

ต่อให้ต้องฟังเรื่องเหลวไหล เสียงของเด็กหนุ่มอย่างมู่หยวนอวี๋ก็น่าฟังกว่าเสียงใหญ่ๆของหลี่เฟยจางมากนัก

“ท่านน้า เมื่อครู่ท่านเพิ่งรับปากกับเสด็จพ่อไม่ใช่หรือว่าจะให้เสด็จพ่อได้เห็นฝีมือของท่าน น้องสามเริ่มไปล่าสัตว์แล้ว หากท่านยังไม่ไปย่อมตามเขาไม่ทัน”

หลี่เฟยจางตอบตรงไปตรงมา “ข้าก็แค่ทำให้บรรยากาศสนุกสนานเท่านั้น ต่อให้ไม่นับรวมองค์ชายสาม ทหารฝ่ายบู๊หลายคนก็เก่งกาจกว่าข้ามาก ไปแข่งกับพวกเขาจะไม่เหมือนคนตาบอดจุดเทียนทิ้งให้เสียเปล่าหรอกหรือ ไม่สู้มาอยู่เป็นเพื่อนองค์ชายดีกว่า”

แต่จูจิ่นเซินไม่ต้องการให้เขามาอยู่เป็นเพื่อน จึงเอ่ยว่า “จะอย่างไรก็ควรล่ามาสักสองสามตัว กลับไปมือเปล่าย่อมไม่น่าดู หากท่านน้าไม่อยากล่าให้ตัวเองก็ช่วยล่ามาให้ข้าสักสองตัวเถอะ ข้าจะได้มีคำอธิบายให้เสด็จพ่อ”

เมื่อจูจิ่นเซินพูดเช่นนี้ หลี่เฟยจางก็พลันฮึกเหิม จูจิ่นเซินไม่ยอมขอจากจูจิ่นยวน แต่กลับเป็นฝ่ายขอจากเขาแทน ก็เท่ากับว่ามองเขาเป็นคนกันเอง

หลี่เฟยจางจึงตอบรับทันที “ตกลง องค์ชายรอทอดพระเนตรข้าเถอะ!”

หลี่เฟยจางสะบัดแส้ที่ฝังอัญมณีสีแดงก้อนใหญ่ไว้บนด้ามจับลงบนก้นม้า แล้วแผดเสียงร้อง “ย้าก” ก่อนจะควบม้าตะบึงไป

เสียงที่ดังข้างหูของจูจิ่นเซินพลันเงียบสงบ

มู่หยวนอวี๋หลุดหัวเราะ “ท่านกั๋วจิ้วคนนี้ก็เป็นคนปักใจมากจริงๆ องค์ชายถูกขังสองปี ออกมาแล้วเขาก็ยังติดตามองค์ชาย”

ด้วยนิสัยเสเพลหาความจริงจังไม่ได้ของหลี่เฟยจาง การที่เขายังคงยึดมั่นต่อจูจิ่นเซิน ไม่เปลี่ยนใจหันไปหาคนอื่นนับว่าเป็นไปได้ยากยิ่ง

จูจิ่นเซินเอ่ยเรียบๆ “งั้นหรือ ข้าจำได้ว่าคนที่มาหาข้ามีแค่คนเดียว”

ตัวเขาไม่เคยมีข้อเรียกร้องที่เกินขอบเขตกับใคร แต่ไม่ว่าเรื่องใดก็ตามหากมีการเปรียบเทียบเกิดขึ้น ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการแบ่งระดับสูงต่ำ

มู่หยวนอวี๋ได้ยินก็หันมายิ้มตาหยี “ใครหรือ”

จูจิ่นเซินตวัดมุมปากโค้งขึ้น ไม่เอ่ยโต้ตอบ

องครักษ์หลายนายที่ตามมาด้านหลังอยู่ไม่ใกล้และไม่ไกลเกินไปนัก พวกเขาเดินเตร่ทั่วลานล่าสัตว์รอบตีนเขาที่กว้างขวางอยู่ครู่หนึ่ง บางครั้งก็เจอกับคนที่กำลังล่าสัตว์ สัตว์วิ่งหนีอยู่ข้างหน้า คนล่าไล่ตามมาด้านหลัง ม้าย่ำเท้าจนฝุ่นดินคลุ้งตลบอยู่ในอากาศภายใต้แสงแดดเจิดจ้า

นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ มาล่าสัตว์ก็คงไม่ถึงขั้นต้องสั่งให้คนเอาอิฐมาปูเป็นทางบนลานล่าสัตว์หรอกกระมัง

จูจิ่นเซินเริ่มเปลี่ยนสีหน้าเป็นนิ่งขรึม ด้วยความเคารพที่มีต่อองค์ชาย คนอื่นๆจึงไม่กล้าพุ่งมาชนเขา แต่ก็ไม่ถึงขั้นหลบเลี่ยงไปไกลหรือไม่เดินผ่าน

มู่หยวนอวี๋เห็นว่าจูจิ่นเซินขมวดคิ้วปัดเสื้อผ้าตัวเอง ท่าทางอึดอัดยากจะทนไหว รู้สึกว่าน่าขัน จึงเสนอความเห็นว่า “องค์ชาย พวกเราเข้าไปในป่ากันดีไหม ข้างในมีต้นไม้มีพุ่มหญ้า ถึงอย่างไรก็ดีกว่าข้างนอกนี่”

จูจิ่นเซินพยักหน้าเห็นด้วย “ไป”

เข้ามาในป่าตีนเขาบรรยากาศก็ดีขึ้นจริงดังคาด ล่าสัตว์ในป่าไม่ได้ง่ายเหมือนล่าในลานที่ล้อมไว้ จำเป็นต้องมีทักษะในการขี่ม้าขั้นสูง ด้วยเหตุนี้คนที่เลือกเข้ามาในนี้จึงมีไม่มาก

จูจิ่นเซินมาร่วมงานในครั้งนี้เพราะต้องการผ่อนคลายอารมณ์อย่างแท้จริง วิชาการยิงธนูของเขา แม้แต่กระต่ายสักตัวก็ยิงไม่โดน เว้นเสียแต่ว่าองครักษ์จะจับสัตว์มาวางไว้ตรงหน้า เขาที่เป็นคนเย่อหยิ่งมีหรือจะเต็มใจหลอกตัวเองด้วยวิธีนี้ ดังนั้นจึงไม่คิดจะเปิดกระบอกลูกธนู ปล่อยให้ห้อยไว้ข้างลำตัวม้า ขี่ม้าไม่กุมบังเหียนเดินเตร่ไปเรื่อยเปื่อย

เมื่อเห็นว่ามู่หยวนอวี๋ติดตามมาข้างกายตลอดเวลา แม้ว่าจะไม่อยากอยู่ห่างจากเขา แต่ก็จำต้องพูดว่า “เจ้ายิงธนูเก่งมากไม่ใช่หรือ ไปล่าสัตว์บ้างเถอะ ข้าเที่ยวเล่นคนเดียวได้”

มู่หยวนอวี๋รู้สึกว่าไม่ควรกลับไปมือเปล่าจึงพยักหน้ารับ “ได้ องค์ชายรอข้าสักครู่ ข้าล่ากระต่ายได้สองตัวก็จะกลับมาทันที”

นางกระทุ้งสีข้างม้าให้วิ่งเหยาะๆไปด้านหน้า ครู่เดียวก็ห่างไปไกล

ตอนนี้พวกเขาเข้ามาในป่าที่ค่อนข้างลึกแล้ว คนมีน้อย แต่สัตว์กลับมีมาก มู่หยวนอวี๋จึงเจอกระต่ายตัวอ้วนสีเทาตัวหนึ่งที่นอนหมอบอยู่ในพงหญ้าอย่างง่ายดาย

นางเสียบลูกธนู เหนี่ยวสาย หรี่ตาเล็งแล้วยิง…

เสียงแหวกอากาศดังขึ้น นางจึงพลิกตัวลงจากหลังม้ามาหลบอยู่ข้างลำตัวม้า!

ปั้ก!

เสียงดังก้อง ลูกธนูที่แหลมคมดอกหนึ่งพุ่งไปปักบนลำต้นต้นไม้ที่อยู่เบื้องหน้า ลึกลงไปในเนื้อไม้ถึงสามส่วน ปีกลูกธนูที่เป็นขนนกยั่งคงสั่นไหว

ใครยิงพลาดมาโดยไม่ทันระวัง หรือว่า…มีนักฆ่า!

มู่หยวนอวี๋ปีนกลับขึ้นหลังม้าแล้วนอนคว่ำราบลงไปด้วยความตะลึงระคนสงสัย ก่อนหน้านี้เป็นเพราะนางหลบลูกธนูที่พุ่งมาได้อย่างฉิวเฉียด ลูกธนูของนางที่ก่อนหน้านี้ขึ้นสายเตรียมยิงจึงหล่นร่วงลงพื้น

เพื่อขจัดความเข้าใจผิด อีกทั้งคิดจะเรียกให้กลุ่มคนที่ล่าสัตว์อยู่ในป่ามาช่วยทำให้คนที่อาจจะเป็นนักฆ่าตกใจหนีไป มู่หยวนอวี๋จึงดึงลูกธนูดอกหนึ่งออกมาจากกระบอกพลางมองประเมินไปรอบด้านแล้วตะโกนเสียงดัง “ลูกธนูดอกนี้ใครเป็นคนยิง…”

ไม่มีเสียงตอบรับ มีเพียงเสียงใบไม้ที่ส่ายไหวไปมาตามแรงลมในฤดูใบไม้ร่วง

และเพียงไม่นานเสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

นี่ไม่มีทางเป็นการเข้าใจผิดกันแล้ว มู่หยวนอวี๋ตื่นตัวทันใด นางรีบเบี่ยงตัวหลบ ขณะเดียวกันก็ยิงตอบโต้กลับไปยังทิศทางที่ลูกธนูพุ่งมา

ลูกธนูสองดอกปะทะกันกลางอากาศแล้วร่วงลงพื้น

แต่มู่หยวนอวี๋อยู่ในที่แจ้ง อีกคนอยู่ในที่ลับ สุดท้ายนางย่อมเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เมื่อฝ่ายนั้นยิงธนูออกมาอีกครั้ง ลูกธนูก็ถูกท้องม้าที่นางควบขี่เข้าอย่างจัง

ม้าแผดเสียงร้องดังด้วยความเจ็บปวดแล้ววิ่งเตลิดไม่เลือกทิศทาง

เพื่อสะดวกแก่การล่าสัตว์ ต้นไม้ในป่าล้วนเป็นต้นไม้ที่สูงใหญ่ อีกทั้งพุ่มใบยังถูกตัดแต่ง แต่พอม้าของนางวิ่งเตลิดไปส่งเดชจึงไม่อาจสัมผัสความสะดวกสบายนี้ได้ บางครั้งมู่หยวนอวี๋จึงถูกกิ่งก้านหรือไม่ก็หนามแหลมที่ยื่นออกมากรีดผ่านใบหน้า เมื่ออยู่ในภาวะที่ตึงเครียดอย่างถึงที่สุด ทั้งยังต้องแบ่งสมาธิเสี้ยวหนึ่งไปป้องกันลูกธนูที่ลอบยิงเข้าใส่ นางจึงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องเล็กๆน้อยๆนี้ เพียงไม่นานก็รู้สึกว่าทั่วทั้งใบหน้าแสบร้อน อีกทั้งยังรู้สึกถึงความเปียกชื้นสายหนึ่งไหลลงมาเบื้องหลัง แสดงว่าเลือดต้องไหลแน่

ยังดีที่หลังจากนั้นไม่มีลูกธนูลอบยิงมาอีก อาจเป็นเพราะนักฆ่าคนนั้นก็ไม่อาจจับตำแหน่งที่แน่ชัดของนางได้ ทว่าด้านหลังมีเสียงฝีเท้าม้าดังติดตามมาเป็นระลอก ไม่รู้ว่าเป็นของนักฆ่าหรือขององครักษ์ที่รีบมาช่วยเพราะได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวกันแน่…

เมื่อมู่หยวนอวี๋คิดมาถึงตรงนี้ ม้าที่อยู่ด้านล่างตัวนางก็แบกรับความเจ็บปวดทรมานไม่ได้อีกต่อไป จึงสะบัดนางทิ้ง มู่หยวนอวี๋พยายามจะควบคุมร่างของตัวเองอย่างสุดกำลัง แต่ทิศทางที่ม้าดีดนางออกไปกลับเป็นบริเวณเนินเขาเนินหนึ่ง เพราะว่าที่ตีนภูเขาลูกนี้คือลานล่าสัตว์ของเชื้อพระวงศ์ เพื่อความปลอดภัยจึงไม่อนุญาตให้ชาวบ้านเข้ามาในภูเขาลูกนี้ ด้วยเหตุนี้พื้นที่ด้านล่างจึงมีแต่ใบไม้เปื่อยยุ่ยและดินโคลนอ่อนนุ่มที่สะสมมานานหลายปี ต้นไม้ต้นเล็กที่มีอยู่น้อยนิดหยั่งรากได้ไม่แน่นหนามากพอ นางคว้าเอาไว้ไม่อยู่ จึงกลิ้งตลบไปตลอดทาง เกิดเสียงดังตุบขึ้นหนึ่งครั้ง ศีรษะของนางกระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านล่างเนิน แล้วสติของนางก็ดับวูบลง

 

จูจิ่นเซินเป็นคนแรกที่ตามมาถึง

เดิมทีเขาก็อยู่ใกล้ที่สุดอยู่แล้ว ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวผิดปกติดังมาจากด้านในก็ควบม้าตะบึงตามเสียงมาในทันที พวกองครักษ์จะขัดขวางก็ขวางไม่อยู่ แล้วก็ไม่กล้าดึงรั้งเขา ได้แต่ควบม้าตามมาโดยเร็ว

พวกเขาตามมาเร็ว เส้นทางในภูเขามีคนใช้น้อย ร่องรอยการพุ่งชนสะเปะสะปะที่มีอยู่ตลอดทางยังคงสดใหม่ กิ่งไม้ใบไม้ที่แตกหักก็คือเบาะแส เพียงไม่นานจูจิ่นเซินก็พบว่ามู่หยวนอวี๋นอนอยู่ด้านล่างเนินเขา

หัวใจของเขาบีบรัด ลงจากหลังม้าอย่างทุลักทุเลแล้วก็วิ่งลงไปข้างล่างทันที เขายังมีสติแจ่มชัดจึงตวาดสั่งความ “ไม่ต้องตามลงมาทั้งหมด แบ่งคนให้ไปตามคนข้างนอกมาเพิ่ม อีกครึ่งหนึ่งเฝ้าด้านบนเอาไว้!”

เหล่าองครักษ์รับคำกันอย่างชุลมุน จากนั้นก็แยกย้ายกันไปทำตามทันที เหลือเพียงสองนายที่ตามจูจิ่นเซินลงมา

เนินแห่งนี้มองดูไม่สะดุดตา แต่กลับเดินได้ยากมาก ก่อนหน้านี้มู่หยวนอวี๋กลิ้งลงมาตลอดทาง แต่จูจิ่นเซินต้องเดินอย่างทุลักทุเล เดินไปได้ครึ่งหนึ่งก็สะดุดรากไม้ที่ซ่อนอยู่ใต้กองใบไม้ทับถมจึงกลิ้งหลุนๆลงไปทันที

พวกองครักษ์รีบพุ่งมาเพื่อคว้าตัวเขาเอาไว้ แต่กว่าจะคว้าตัวเขาแล้วดึงขึ้นได้จริงก็มาถึงตรงตีนเนินแล้ว

“องค์ชาย ขาของท่าน…”

เพราะกลิ้งลงมาตลอดทาง ขากางเกงข้างซ้ายของจูจิ่นเซินจึงขาดวิ่นไปถึงหัวเข่า เผยให้เห็นรอยเลือดยาวเส้นหนึ่งที่ไม่รู้ว่าถูกหนามอะไรบาด

จูจิ่นเซินไม่ใส่ใจบาดแผล เมื่อลุกขึ้นยืนได้ก็กระโจนไปที่ใต้ต้นไม้ต้นนั้นทันที

เด็กหนุ่มใต้ต้นไม้นอนเอียงศีรษะไปด้านข้าง จูจิ่นเซินยื่นมืออันสั่นเทาไปพลิกตัวมู่หยวนอวี๋กลับมาเบาๆ ก็เห็นว่าใบหน้าครึ่งหนึ่งของมู่หยวนอวี๋อาบย้อมไปด้วยเลือด

สมองของจูจิ่นเซินพลันว่างเปล่า

หนึ่งเค่อก่อนหน้านี้ยังสบายดีอยู่แท้ๆ ยังแย้มยิ้มพูดคุยหยอกล้ออยู่กับตน…

องครักษ์นายหนึ่งย่อตัวลงนั่ง ยื่นนิ้วไปอังลมหายใจใต้จมูกของมู่หยวนอวี๋ครู่หนึ่งก็ผ่อนลมหายใจโล่งอก “องค์ชาย ท่านไม่ต้องตกพระทัยพ่ะย่ะค่ะ มู่ซื่อจื่อน่าจะหมดสติเพราะศีรษะกระแทกกับต้นไม้ บาดแผลบนศีรษะนี้แม้จะมองดูน่ากลัว แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ท่านโปรดหลบออกมาก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ ให้ข้าดูก่อนว่าบนร่างของเขายังมีบาดแผลที่อื่นอีกหรือไม่”

จูจิ่นเซินพยายามสงบสติ ผลักมือของเขาออก “ข้าทำเอง”

เขามองประเมินไปทั่วร่างกายมู่หยวนอวี๋หนึ่งรอบ เสื้อผ้ายุ่งเหยิงมาก แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีรอยเลือดปรากฏให้เห็น จึงสงบใจลงได้เล็กน้อย แต่ก็ยังหวาดกลัวอยู่ดีว่าจะมีบาดแผลซุกซ่อนอยู่ในจุดที่มองไม่เห็น หากไม่รีบรักษาอย่างทันท่วงทีอาจเป็นอันตราย จึงยื่นมือลูบคลำไปตามแขนขาและจุดสำคัญอย่างหน้าอก

เขาป่วยมานาน อ่านตำราแพทย์มาไม่น้อย แม้ว่าจะยังไม่ถึงขั้น “กลายเป็นหมอ” แต่ก็พอจะรู้วิธีตรวจสอบบาดแผลภายนอกขั้นพื้นฐานอยู่บ้าง…

“องค์ชาย”

องครักษ์เรียกเขาเบาๆ อย่างระมัดระวัง

ทำไมถึงอึ้งไปอีกแล้วล่ะ แถมท่าทางยังดูตกใจยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก ร่างทั้งร่างเหมือนถูกแช่แข็งอย่างไรอย่างนั้น

หรือว่ามู่ซื่อจื่อมีบาดแผลร้ายแรง องครักษ์คาดเดาไปมั่วซั่ว

องครักษ์มองตำแหน่งที่มือของจูจิ่นเซินวางค้างไว้ “องค์ชาย กระดูกซี่โครงของมู่ซื่อจื่อคงไม่ได้หักกระมัง เขาหล่นลงมาแบบนี้ก็อาจเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้…”

“พวก…พวกเจ้า ถอยไป”

จูจิ่นเซินเอ่ยประโยคนี้ออกมาอย่างยากลำบาก เขารู้สึกนับถือตัวเองมากจริงๆ ขนาดเผชิญกับเหตุการณ์เหลวไหลเหมือนกำลังฝันแบบนี้ ก็ยังเฟ้นหาเหตุผลมาไล่องครักษ์ได้ “ดูเหมือนเขาจะเจอนักฆ่า พวกเจ้าไปยืนเฝ้าสองฝั่งให้ดี อย่าปล่อยให้นักฆ่าคนนั้นมีโอกาสลงมือได้อีก”

นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล องครักษ์ทั้งสองจึงรีบรับคำ ลุกขึ้นยืน เดินห่างออกไปเล็กน้อย เฝ้ากันคนละทิศทาง มือวางทาบไว้บนดาบ สอดส่ายสายตาไปรอบนอกอย่างระแวดระวัง

จูจิ่นเซินหันกลับไปมองพวกเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็ขยับร่างตัวเองเล็กน้อย คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น…สกปรกหรือไม่ เขาไม่มีเวลามาสนใจอีกแล้ว เพียงแค่ต้องการแน่ใจว่าจะบดบังไม่ให้คนอื่นเห็นเรื่องที่ตัวเองกำลังจะทำได้

จากนั้นเขาก็คลายสาบเสื้อของเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนพื้นออกเล็กน้อย ยื่นมือสั่นๆเข้าไป…

สอดผ่านผ้าที่พันทบกันชั้นแล้วชั้นเล่า ความอบอุ่นกลางฝ่ามือร้อนระอุจนแทบจะลวกฝ่ามือของเขาให้เกิดบาดแผล

มู่หยวนอวี๋ลืมตาขึ้นมา

นางประสานสายตากับจูจิ่นเซินที่ไม่ทันตั้งตัว ตัวแข็งค้างไปทันที

เหตุการณ์นี้เป็นเหมือนเรื่องโกหกสำหรับจูจิ่นเซิน กับนางเองก็ไม่ต่างกัน

ความหวาดกลัวที่รุนแรงอย่างถึงที่สุดพุ่งเข้าเกาะกุมหัวใจของนางในชั่วพริบตา

และเวลานี้หัวใจของนางก็เต้นอยู่ใต้ฝ่ามือของจูจิ่นเซิน

ชีวิตของนางก็ถูกกุมอยู่ในมือเขาเช่นกัน

รวมถึงชีวิตของมารดานางด้วย…!

นางไม่รู้ว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ หรือบางทีอาจจะไม่ได้คิดอะไรเลย สัญชาตญาณที่มีเพื่อปกป้องความลับซึ่งสำคัญเท่าชีวิตสะบั้นสติทั้งหมดของนางให้ขาดลง นางพลิกฝ่ามือดึงกริชเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ขณะเดียวกันก็ดีดตัวขึ้นกดทับจูจิ่นเซินไว้เบื้องล่าง จี้ปลายมีดที่แหลมคมไปที่ลำคอของเขา

แสงสะท้อนบนใบมีดเจิดจ้าราวประกายหิมะพลิ้วไหวภายใต้แสงแดดฤดูใบไม้ร่วง เกิดเป็นภาพในลูกตาดำของจูจิ่นเซิน

 

โปรดติดตามต่อในเล่ม

 

 

[1] หน่วยวัดอย่างหนึ่งของจีน 1 โต่วเท่ากับน้ำหนักประมาณ 7 กิโลกรัม มักใช้ในการบอกขนาดคันธนูในสมัยโบราณ ซึ่งคันธนูน้ำหนักสองโต่วถือว่าเป็นธนูน้ำหนักเบา จึงใช้แรงในการน้าวสายธนูไม่มาก (ในการยิงธนูต้องใช้แรงกายในการน้าวสายธนู หากน้าวสายไม่ไหวก็จะยิงธนูไม่ได้)

 

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า