[ทดลองอ่าน] ยุคสมัยแห่งธิดาอ๋อง เล่ม 4 บทที่ 145

ยุคสมัยแห่งธิดาอ๋อง

王女韶华

 

溪畔茶 ซีพั่นฉา เขียน

ภวิษย์พร แปล

 

— โปรย —

มู่หยวนอวี๋ที่เติบใหญ่อยู่ในเมืองหลวง
มาถึงวันที่ต้องเผชิญเหตุอับจนหนทาง
จำต้องลี้ภัยกลับมาสู่มาตุถูมิในดินแดนใต้เพื่อรักษาชีวิต
ผู้ที่ล่วงรู้ความลับสำคัญคือผู้ช่วยที่สำคัญ
เขาคือผู้ที่เปิดโอกาสให้มู่หยวนอวี๋หลบหนีออกจากเมืองหลวง
และเขายังเป็นผู้ฝาก “ขวดน้ำมันน้อย” ไว้กับมู่หยวนอวี๋
ชะตาชีวิตของมู่หยวนอวี๋ที่ต้องคิดหาวิธีล้างมลทิน รักษาชีวิตตัวเอง
ค้นหาตัวผู้บงการซึ่งอยู่เบื้องหลังเหตุร้ายทั้งหมด
และยังต้องดูแล “ขวดน้ำมันน้อย” จะเป็นอย่างไร

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

ตอนที่ 145

 

มู่หยวนอวี๋จากมาเร็วมากพอ

แต่ยังเทียบกับกลุ่มคนที่ตามมาด้านหลังซึ่งมีหน้าที่ตามหาตัวคน ไม่ได้ ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้พวกเขาวิ่งรอกอยู่ด้านนอก แม้ว่าจะเป็น การตามหาอย่างไร้จุดหมาย แต่ก็สั่งสมประสบการณ์มาได้ไม่น้อย ตอนนี้ เมื่อแน่ใจว่าเจอ “เป้าหมาย” แล้ว ก็ยิ่งสำแดงศักยภาพออกมาจนถึงขีดสุด ไล่ตามมาทันชนิดกัดไม่ปล่อย

พวกเขามีคนมากและเป้าหมายก็ไม่ใช่เล็ก ๆ ไม่นานนักมู่หยวนอวี๋ ก็สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายพุ่งมาหาอย่างดุดัน ชัดเจนว่าไม่ใช่แค่ผ่านทางมา เท่านั้น ทว่าตอนนี้ข้างกายนางมีคนอยู่แค่สองคน หากต้องต่อสู้กันขึ้นมา ย่อมเป็นฝ่ายเสียเปรียบ จึงได้แต่หนีเท่านั้น

“แม่นาง พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้าย…”

เสียงตะโกนดังแว่วมาจากด้านหลัง

คนโง่เท่านั้นถึงจะเชื่อ

เตาซานรั้งบังเหียนม้าแล้วกล่าวว่า “ซื่อจื่อ ท่านหนีไปก่อน ข้าจะ ขวางพวกเขาไว้ให้เอง!”

เขาชักดาบออกมา หันหัวม้าควบกลับไปทิศทางเดิม

ม้าร้องเสียงแหลม และเพียงไม่นานก็มีเสียงอาวุธกระทบกันดังเคร้งคร้างมาจากเบื้องหลัง

มู่หยวนอวี๋กัดฟัน ห้อม้าหนีเอาชีวิตรอดด้วยดวงตาแดงก่ำ

เตาซานคนเดียวต้องรับมือกับคนหมู่มากย่อมยากจะประคองตัว ช่วงเวลาที่เขาดิ้นรนต่อสู้อยู่ได้คงไม่นานนัก เพียงไม่นานด้านหลังก็มีเสียง ฝีเท้าม้าที่ก้าวย่างอย่างมั่นคงดังขึ้นอีกครั้ง

หมิงฉินหยุดม้า “ซื่อจื่อ…”

ทางเล็กยากสัญจร หมวกคลุมหน้าของมู่หยวนอวี๋ถูกกิ่งไม้ข้างทาง ที่ยื่นออกมาเกี่ยวร่วงไปแล้ว ลมแรงจากความเร็วที่ม้าวิ่งพัดมาปะทะใบหน้า ของนางโดยไร้สิ่งกำบัง ทำให้รู้สึกเจ็บแสบราวกับถูกใบมีดกรีดหน้า

แรงลมที่พัดมาทำให้สมองของนางมึนชา ทว่าขณะเดียวกันนิสัย แกร่งกร้าวของนางก็ถูกกระตุ้น จึงดึงบังเหียนหยุดม้า ตวาดกร้าว “สู้ตาย กับพวกเขาไปเลย!”

เหลือนางคนเดียวจะหนีไปได้ไกลสักเท่าไหร่ อย่างมากก็แค่ถูกจับ กลับไป ฮ่องเต้ไม่มีทางเอาชีวิตนางทั้งที่ไม่มีการสืบสวนให้กระจ่างก่อน!

ด้านข้างลำตัวของม้าที่มู่หยวนอวี๋ขี่ซ่อนคันธนูเอาไว้ ซึ่งถูกห่อให้ เหมือนสัมภาระทั่วไป ตอนที่นางเอี้ยวตัวม้ากลับมาก็ถือธนูเหล็กไว้ในมือ เรียบร้อยแล้ว สองขาหนีบท้องม้าไว้แน่น มือทั้งสองข้างปล่อยเชือกคุม บังเหียน เสียบลูกธนูและน้าวสาย เล็งไปยังกลุ่มคนที่ห้อม้าเต็มเหยียด ไล่ตามมา

ลูกธนูพุ่งออกจากคันธนู แหวกอากาศออกไปจนเกิดเป็นเสียงลม หวีดแหลมบาดหู

ชายฉกรรจ์ที่ควบม้ามาด้านหน้าสุดเป็นผู้นำของคนกลุ่มนี้ แน่นอนว่า ฝีมือการต่อสู้ย่อมโดดเด่นเหนือกว่าทุกคน แต่เขากลับนึกไม่ถึงว่า “ไข่มุก ที่หายไป” ซึ่งควรจะเป็นคุณหนูนุ่มนิ่มกลับมีฝีมือยิงธนูบนหลังม้าที่เลิศล้ำ เช่นนี้ หลังจากชะงักไปครู่ถึงนึกออกว่าควรจะหลบเลี่ยงและเพียงเสี้ยววินาทีที่เขาหยุดชะงักนี้เอง ทำให้เขาหลบลูกธนูไม่พ้น หัวลูกศรแหลมคมปักเข้าที่ แขนซ้าย เลือดสาดกระจายในทันที

มู่หยวนอวี๋ไม่คิดจะหยุดแม้แต่น้อย นางฉวยโอกาสตอนที่อีกฝ่าย ยังไม่บุกเข้ามา เสียบลูกธนูดอกที่สองรอไว้ทันที

“เดี๋ยว ๆ อย่าเพิ่งยิง คนกันเอง คนกันเอง!”

ชายฉกรรจ์ที่เป็นผู้นำไม่มีทีท่าว่าจะตอบโต้เอาคืน กลับตะโกน ประโยคแปลกประหลาดนี้ใส่นาง

มู่หยวนอวี๋ไม่ทันยั้งมือ ลูกธนูดอกที่สองก็พุ่งออกไปแล้ว แต่นาง ฟังออกว่าน้ำเสียงของอีกฝ่ายผิดปกติ ภายใต้สถานการณ์ที่ได้เปรียบ ทหาร ที่ฮ่องเต้ส่งมาแค่ปรี่ขึ้นมาล้อมนางไว้ก็พอ ไม่จำเป็นต้องตะโกนประโยค ส่งเดชเกินความจำเป็นนี้

วินาทีที่นางยกมือขึ้น จึงกดคันธนูเหล็กลงต่ำ ลูกธนูดอกที่สองจึง ปักลงบนพื้นดินตรงหน้ากีบเท้าม้าของชายฉกรรจ์ ทำให้ม้าตัวนั้นตื่นตกใจ ยกขาหน้าขึ้นตะกุยตะกาย ร้องเสียงแหลมยาว

เดิมทีชายฉกรรจ์ผู้นี้ก็ได้รับบาดเจ็บอยู่แล้วจึงแทบบังคับม้าไว้ ไม่อยู่ เกือบจะพลัดตกลงจากหลังม้า ยังดีที่ชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งที่อยู่ ด้านข้างรีบเอี้ยวตัวมาช่วยดึงบังเหียนไว้ให้อย่างลนลานถึงหยุดม้าไม่ให้ เตลิดไปได้

“ไม่เสียแรงที่เป็นบุตรีของท่านอ๋อง ซัดเซพเนจรอยู่ข้างนอก แต่ ก็ยังแสบสันได้ขนาดนี้” ชายฉกรรจ์เดาะลิ้นแล้วขยับกลับไปยังม้าของ ตัวเอง

เวลานี้ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันแค่ร้อยกว่าก้าว มู่หยวนอวี๋จึงได้ยิน ประโยคนี้อย่างชัดเจน นางจึง “…”

ชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้าปิดแผลบนแขน ขมวดคิ้วเพราะรู้สึกเจ็บนิด ๆ “แม่นาง นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน พวกข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายเลยสักนิด ที่ตาม แม่นางมาก็เพราะมีเรื่องใหญ่เทียมฟ้าเรื่องหนึ่ง ไม่สะดวกพูดคุยกันบนทาง สายนี้ หาสถานที่เหมาะ ๆ สักแห่ง แล้วข้าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่นางฟัง แล้วแม่นางก็จะเข้าใจเอง”

คนที่อยู่ด้านข้างรีบช่วยพูด “แม่นางวางใจเถอะ รับรองว่าเป็นเรื่องดี! สหายของแม่นางพวกเราแค่ตีให้สลบไปเท่านั้น เขายังนอนอยู่บนพื้น ไม่ได้ บาดเจ็บสาหัส นี่พอจะพิสูจน์ได้ว่าพวกเราไม่ใช่คนชั่วแล้วกระมัง”

มู่หยวนอวี๋ไม่ได้ปล่อยมือจากคันธนู แต่ถามว่า “พวกเจ้าพูดถึง ท่านอ๋องอะไร”

แถมยังพูดว่าซัดเซพเนจร…

เหตุใดถึงฟังแล้วน่าเหลือเชื่อนัก ทว่าในประโยคนี้กลับมีความนัย ซ่อนอยู่มากมาย คล้ายว่าจะนำมาขยายเป็นบทละครเรื่องหนึ่งได้

บทละครประเภทที่ว่าหากนำมาทำเป็นละครแล้วจะทำให้โรงละคร ได้รับความนิยมเป็นพลุแตก

นอกจากนี้ยังให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดใจ…

ชายฉกรรจ์ขยับปาก น่าจะกำลังเรียบเรียงคำพูด แต่เพราะรู้สึกว่า เรื่องแบบนี้ยากจะอธิบายให้ชัดเจนด้วยการพูดแค่ไม่กี่คำ อยู่ดี ๆ หาบิดา มาให้คนอื่น แถมบิดาผู้นั้นยังเป็นถึงท่านอ๋อง…ฟังดูแล้วยังไงก็เหมือน นักต้มตุ๋น!

เขาจึงยืนกรานว่า “หาสถานที่เหมาะ ๆ ก่อนเถอะ แล้วค่อยนั่งลง พูดกันอย่างละเอียดจึงจะดี แม่นางเลือกสถานที่มาได้เลย ท่านไปที่ไหน พวกเราก็ไปที่นั่น ไม่คิดขัดขวาง”

มือที่เย็นเฉียบของมู่หยวนอวี๋กำคันธนูที่เย็นเฉียบไม่ต่างกัน นางเริ่ม มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาบ้างแล้ว บุตรีของท่านอ๋องที่แท้จริงล้วนได้รับ การเลี้ยงดูอยู่ภายในจวนอย่างเหมาะสม บางครั้งที่ออกมานอกจวนก็ต้อง มีข้ารับใช้จำนวนนับไม่ถ้วนล้อมหน้าล้อมหลัง คิดจะหายตัวไปนับว่าเป็น เรื่องที่ยากมาก แต่นี่ยัง “ซัดเซพเนจร” อยู่ข้างนอกด้วย การที่อยู่ดี ๆ คนเหล่านี้จะตามนางมา และยังบอกกับนางว่าเป็น “คนกันเอง” หากพูดกัน ตามหลักทั่วไปแล้วย่อมเป็นไปไม่ได้

แต่หากพูดตามหลักการที่ไม่ปกติกลับมีความเป็นไปได้สองอย่าง

ข้อหนึ่งคือ พวกเขาโกหก อีกข้อหนึ่งคือน้ำเชี่ยวชนปะทะวังพญามังกร[1]

บทละครที่ทั้งพิสดารและเหลือเชื่อนี้กลับบังเอิญตรงกับบทละครที่ บิดาของนางเคยเขียนไว้

นางเอกก็คือนางที่ตั้งใจนำแสดงอย่างสุดฝีมือ

มู่หยวนอวี๋ถึงกับใบหน้ากระตุก อะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้ ผ่านไป สิบกว่าปีแล้ว คนกลุ่มนี้ถูกส่งตัวมาข้างนอกเพื่อใช้เป็นข้ออ้างบังตาผู้คน หาไปหามาดันหานาง “เจอ” เข้าจริง ๆ!

แถมยังเป็นตอนที่นางกลับมาแต่งกายเป็นสตรีพอดี

ช่างสมกับที่พูดว่าชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร

แบบนี้สู้ให้อีกฝ่ายเป็นนักต้มตุ๋นที่มาหลอกลวงเสียยังดีกว่า

 

คนทั้งกลุ่มกลับไปในป่าอีกครั้ง

หนึ่งเพื่อกลับไปช่วยเตาซาน สองก็เพราะข้างหน้าไม่มีหมู่บ้าน ข้างหลัง ไม่มีร้านค้า คิดจะหาสถานที่ที่เหมาะให้พูดคุยกันก็มีแต่ที่นี่เท่านั้น

ชายฉกรรจ์ไม่ได้ลงมือกับเตาซานรุนแรงนัก แต่เขาตกลงมาจาก หลังม้า บนร่างย่อมมีบาดแผลอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาถูกสับต้นคอหนึ่งที ตอนนี้ยังหมดสติอยู่ เหล่าชายฉกรรจ์ช่วยลากเขากลับไปในป่า หมิงฉิน เอายาสำหรับรักษาบาดแผลรอยฟกช้ำที่พกติดตัวมาไปทาให้เขา

ส่วนมู่หยวนอวี๋พูดคุยกับชายฉกรรจ์อยู่อีกฝั่งหนึ่ง

ชายอ้วนเป็นคนควักม้วนภาพวาดออกมาให้นางดู มู่หยวนอวี๋มอง ปราดเดียวก็เข้าใจทันที นางคิดถูกแล้ว มันบังเอิญได้ขนาดนี้

ภาพนี้เป็นฝีมือของเตียนหนิงอ๋อง มู่หยวนอวี๋ที่เลียนแบบลายมือ ของเตียนหนิงอ๋องได้ย่อมจำภาพวาดฝีมือเขาได้ คนในภาพวาดอ้างอิงจาก ตัวนางเอง ทางหนีทีไล่ที่เตียนหนิงอ๋องเตรียมไว้ให้นางนั้น นางกับ “น้องสาว” ในภาพวาดนี้คือฝาแฝด หน้าตาเหมือนกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

ชายอ้วนกล่าวอย่างกระตือรือร้น “ท่านลองดูคนในภาพนี้ รู้สึก คุ้นตาบ้างหรือไม่”

มู่หยวนอวี๋แสร้งพยักหน้ารับอย่างงุนงง

“เรื่องนี้พูดแล้วก็ยาว…”

แม้ว่าชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้าจะตื่นเต้น แต่กลับระมัดระวังรอบคอบ เขาบอกให้ลูกน้องช่วยดึงลูกธนูออกแล้วทำแผลง่าย ๆ พลางถามประวัติ ความเป็นมาของมู่หยวนอวี๋อย่างเกรงใจ

สิ่งของเหมือนกันได้ คนก็ย่อมคล้ายกันได้ หากคนผู้นี้มีบิดามารดา ที่ยังมีชีวิตและแข็งแรงดี ไม่มีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับชาติกำเนิดของตัวเอง แล้วละก็ การที่พวกเขาวุ่นวายกันครั้งนี้ย่อมเสียเที่ยวเปล่า

มู่หยวนอวี๋ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็แต่งเรื่องว่าตัวเองเป็นเด็กกำพร้าที่ออกมาขายฝีมืออยู่ในยุทธภพ

นางตัดสินใจว่าจะไม่เปิดเผยตัวตนกับคนกลุ่มนี้ ต่อให้นางคิด จะเป็นซื่อจื่อต่อไป ไม่จำเป็นต้องใช้ทางหนีทีไล่นี้แล้ว แต่เก็บเอาไว้ก็ไม่ เสียหาย ไม่แน่ว่าวันใดอาจนำมาใช้ได้

เมื่อได้ยินว่านางมีที่มาไม่แน่ชัด เหล่าชายฉกรรจ์ก็ยิ่งฮึกเหิม

ที่มาไม่แน่ชัดก็ดีน่ะสิ ที่มาไม่แน่ชัดถึงจะทำให้พวกเขามีความหวัง ว่าจะทำภารกิจสำเร็จ จะไม่ดีใจได้หรือ

“ท่านเคยไปอวิ๋นหนานมาก่อนไหม…”

การอธิบายของชายฉกรรจ์ที่เป็นผู้นำเริ่มเข้าสู่ประเด็นสำคัญ ส่วน มู่หยวนอวี๋ก็เริ่มเผยทักษะด้านการแสดง ยังดีที่คนเหล่านี้อยู่ข้างนอก มานาน ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนางเลย นางจึงแสร้งทำสีหน้าตื่นตกใจไปตาม คำบรรยายของพวกเขา พวกเขาเองก็มองไม่ออกว่ามีอะไรผิดปกติ

ส่วนเรื่องราวที่เขาเล่าให้ฟังนี้ มู่หยวนอวี๋ฟังพระชายาเตียนหนิงอ๋อง พร่ำบ่นออกมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว พระชายาเตียนหนิงอ๋องหวังว่าจะ สามารถเลี้ยงดูนางในรูปลักษณ์สตรีได้อย่างเปิดเผย พอนางโตจนรู้ความ จึงเล่าเรื่องให้นางฟัง

นางแสร้งทำท่าไม่เชื่อพอเป็นพิธี “พวกเจ้าพูดอะไรน่ะ เป็นไปไม่ได้ กระมัง ข้าเป็นกำพร้ามาตั้งแต่เด็กแล้ว”

ชายฉกรรจ์กล่าวอย่างจริงจัง “นี่เป็นเรื่องจริง พวกเราตามหาท่าน มานานถึงสิบหกปีเต็ม นับตั้งแต่ปีที่เกิดเรื่องแล้วท่านหายตัวไป พวกเรา ก็ถูกส่งตัวออกมา ปีนั้นข้าเพิ่งจะอายุยี่สิบห้า…”

เสียงทอดถอนใจของเจ้าอ้วนแทรกขึ้นมา “ปีนั้นข้ายังไม่ได้อ้วน ขนาดนี้ ยิ่งแก่ตัวก็ยิ่งกลับไปผอมเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว”

ชายฉกรรจ์ที่อยู่ข้างกายเขาค้อนกระลับกระเลือก “ขึ้นเหนือล่องใต้ เจ้าไปถึงที่ไหนก็กินถึงที่นั่น แถมยังเลือกกินเฉพาะอาหารที่ขึ้นชื่อที่สุดของ แต่ละที่ด้วย ถ้ายังผอมได้ก็ผีหลอกแล้ว”

ชายอ้วนสะอึกอึ้งไปครู่ “…ก็แค่ถือโอกาสไปตามสถานการณ์ ตาม สถานการณ์น่ะ ข้าไม่ได้ทำให้งานใหญ่ล่าช้าสักหน่อย!”

มู่หยวนอวี๋ฟังแล้วก็เล่นละครให้เหล่าชายฉกรรจ์ดูต่อ หลักๆ คือพูดประมาณว่า “ข้าไม่เชื่อ ๆ แต่มีขนมเปี๊ยะหล่นลงมาจากฟ้าก็ดูเหมือนว่า ควรจะลองเชื่อดูสักครั้ง”

เตาซานที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งเริ่มได้สติ ทั้งที่ยังงงงวยแต่พอได้ยินถ้อยคำ สองสามประโยคก็พลันเบิกตากว้าง จะเปล่งเสียงพูด…

“อื้อ ๆ”

หมิงฉินตาไวรีบยกมือมาอุดปากเขา ปรามเสียงเบาว่า “ห้ามพูด คุณหนูของพวกเราพูดอะไรก็คืออย่างนั้น”

แม้แต่คำเรียกขานนางก็เปลี่ยนใหม่ด้วย

วรยุทธ์ของเตาซานนั้นดีเยี่ยม…ก่อนหน้านี้เขาคนเดียวรับมือกับศัตรู ที่มีจำนวนมากกว่าแล้วพ่ายแพ้ย่อมเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ มีน้อยครั้งนัก ที่เขาจะใช้สมอง และโดยทั่วไปแล้วเขาก็ไม่ค่อยคิดอะไรมากนัก แค่ดูแล ความปลอดภัยให้ซื่อจื่อก็พอแล้ว ใครรังแกซื่อจื่อก็ซ้อมคนนั้น ซื่อจื่อ เรียกให้ไปซ้อมใครเขาก็ลงมือ เขารู้สึกว่าตัวเองทำงานนี้ได้ดีมาโดยตลอด

แต่ว่าตอนนี้…

เตาซานถูกปิดปาก แต่ตาของเขาเบิกค้าง

เขาไม่ค่อยใช้สมอง แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีสมอง หาไม่แล้วเขา ก็ไม่มีทางได้เป็นผู้นำของกลุ่มองครักษ์ส่วนตัว

เขารู้สึกว่าตนเองอาจจะพลาดเรื่องอะไรไปมากมาย

ชายฉกรรจ์พยายามโน้มน้าวอย่างสุดความสามารถ “ท่านคิดว่า พวกเราโกหกเรื่องแบบนี้จะมีความหมายอะไร นี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ท่าน แค่ตามพวกเราไปที่จวนอ๋องก็จะรู้แล้ว…พวกเราพูดผิดไป ท่านหน้าตา เหมือนคุณหนูของพวกเรามากขนาดนี้ เมื่อท่านอ๋องกับพระชายาเห็นท่าน แล้วย่อมรู้สึกหวั่นไหว ไม่มีทางปฏิบัติต่อท่านไม่ดีแน่ สิ่งของที่ลอดง่ามนิ้ว ของพวกเขาย่อมมากพอให้ท่านใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ได้อย่างสุขสบาย ไหนเลย จะต้องหาเลี้ยงชีพอยู่ในยุทธภพอย่างยากลำบากอีก”

พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว ในฐานะเด็กสาวขายฝีมือผู้ไร้ที่พึ่งพา ได้แต่ รอนแรมไปในยุทธภพอย่างเดียวดาย ดูเหมือนว่าจะไม่มีเหตุผลให้มู่หยวนอวี๋ ไม่ตอบตกลง

นางคิดอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “พวกเจ้าถอยไปหน่อยข้าต้องการปรึกษากับสหายก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ”

นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เหล่าชายฉกรรจ์ต่างก็พากันถอยห่าง แต่ถอยไปทางม้าที่ผูกไว้ด้วยความชาญฉลาด…คอยเฝ้าม้าหรือไม่ก็กลัวว่า คนจะหนีไปได้

มู่หยวนอวี๋เดินไปยังต้นไม้ที่เตาซานอยู่

เตาซานมองนางอย่างเต็มไปด้วยความคาดหวัง รอให้นางเอ่ยปากพูด

เขารู้สึกว่าตัวเองอาจจะคิดผิดไป

ใช่ว่ามู่หยวนอวี๋จะไม่สามารถหลอกเตาซานต่อไปได้ แต่หากจะให้ นางอธิบายว่าเหตุใดเมื่อเจอกับคนกันเองที่มาจากจวนเตียนหนิงอ๋องแล้ว นางถึงยังไม่เปิดเผยตัวตน อีกทั้งยังสวมรอยเป็น “น้องสาว” ของตัวเอง กลับเป็นเรื่องที่ยากมาก อีกอย่าง ความลับของนางก็เปิดเผยต่อหน้าคน ที่ไม่สมควรเปิดเผยมากที่สุดไปแล้ว การบอกความจริงกับเตาซานจึงไม่ใช่ เรื่องที่สำคัญอีกต่อไป

ดังนั้นนางจึงบอกเป็นนัยแก่หมิงฉินว่า “รอให้พี่เตาซานดีขึ้นอีกนิด เจ้าก็หาเวลาอธิบายให้เขาฟังอย่างชัดเจน”

เหล่าชายฉกรรจ์รออยู่อีกฝั่งหนึ่ง ตอนนี้ย่อมไม่ใช่เวลาที่ดีในการ พูดคุย นางไม่รู้จักพวกเขาอย่างลึกซึ้งเหมือนเตาซาน

หมิงฉินพยักหน้ารับ

มู่หยวนอวี๋จึงกล่าวอีกว่า “ที่ข้าคิดไว้ก็คือจะเดินทางไปพร้อมกับ พวกเขา จะได้มีเครื่องกำบัง พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร”

นางจำเป็นต้องแยกจากเหล่าองครักษ์ของตัวเองก็เพราะพวกองครักษ์ ล้วนเป็นคนเผ่าไป่อี๋ รูปร่างหน้าตาแตกต่างจากคนจงหยวน คนสองคน ไม่สะดุดตานัก แต่หากคนเป็นร้อยมารวมอยู่ด้วยกันย่อมตกเป็นเป้า สายตา ง่ายที่คนจะจับพิรุธได้

แต่กับคนเหล่านี้กลับไม่มีปัญหา ชายฉกรรจ์ที่เตียนหนิงอ๋อง เลือกมานั้นวิ่งวุ่นอยู่ข้างนอกมานานหลายปีขนาดนี้ แม้ว่าคำพูดและ ท่าทางจะยังมีลักษณะของทหารอยู่บ้าง แต่คนที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงทหาร ย่อมมองไม่ออก พวกเขาจึงแทบไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไป อยู่กับพวกเขา มีทั้งคนปกป้อง ทั้งยังเป็นการพรางตัวอย่างหนึ่ง

นอกจากนี้คนเหล่านี้อยู่ข้างนอกคอยตามหานางไม่จบไม่สิ้นก็ลำบาก กันไม่น้อย มีโอกาสจบเรื่องนี้ ให้ทุกคนได้กลับบ้านไปอยู่กับครอบครัว ก็เป็นเรื่องที่ไม่เลว

เตาซานฟังความนัยบางอย่างออก เขาเบิกตากว้างอีกครั้ง ส่วนหมิงฉิน นั้นแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยเห็นต่างกับการตัดสินใจของมู่หยวนอวี๋อยู่แล้ว สถานการณ์ในตอนนี้คือทำตามที่นางบอก

ได้ยินว่ามู่หยวนอวี๋ยอมกลับไปอวิ๋นหนานด้วยกัน เหล่าชายฉกรรจ์ ก็ห้อมล้อมนางไว้ตรงกลางด้วยความปีติยินดี แล้วจูงม้าเชิญให้นางขึ้นไป

มู่หยวนอวี๋ต้องรีบหนีเอาชีวิตรอด เหล่าชายฉกรรจ์ก็รีบร้อนอยาก พานางไปส่งที่อวิ๋นหนาน คนสองกลุ่มรวมตัวกันโดยง่าย ห้อม้าลงใต้ ตลอดช่วงปลายปี

วันที่ยี่สิบสามเดือนสิบสอง ท่ามกลางหิมะแรกที่มาเยือนช้ากว่าปกติ ของมณฑลอวิ๋นหนาน พวกเขาก็ควบม้าเข้าเมืองไปได้อย่างราบรื่น

 

[1]เปรียบเปรยว่าคนกันเอง ไม่ยอมรอมชอม จนต้องมาปะทะกันให้เกิดความเสียหาย

 

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า