ยุคสมัยแห่งธิดาอ๋อง
王女韶华
溪畔茶 ซีพั่นฉา เขียน
ภวิษย์พร แปล
— โปรย —
มาถึงวันที่ต้องเผชิญเหตุอับจนหนทาง
จำต้องลี้ภัยกลับมาสู่มาตุถูมิในดินแดนใต้เพื่อรักษาชีวิต
เขาคือผู้ที่เปิดโอกาสให้มู่หยวนอวี๋หลบหนีออกจากเมืองหลวง
และเขายังเป็นผู้ฝาก “ขวดน้ำมันน้อย” ไว้กับมู่หยวนอวี๋
ค้นหาตัวผู้บงการซึ่งอยู่เบื้องหลังเหตุร้ายทั้งหมด
และยังต้องดูแล “ขวดน้ำมันน้อย” จะเป็นอย่างไร
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
ตอนที่ 147
จากคำอธิบาย อย่างมีอารมณ์แต่ไร้กำลังของเตียนหนิงอ๋อง มู่หยวนอวี๋จึงได้รู้รายละเอียดตอนที่หลิ่วฮูหยินหนีไป
อันที่จริงก็ไม่ต่างจากที่นางคิดไว้สักเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าแตกต่างกัน ตรงจุดเชื่อมโยงเรื่องราว หลิ่วฮูหยินไม่ได้ถูกเตียนหนิงอ๋องตรวจสอบ เจอว่ามีความเกี่ยวข้องกับคนของราชวงศ์ก่อน แต่เป็นตัวหลิ่วฮูหยินเอง ที่สัมผัสได้ล่วงหน้าว่าอีกไม่นานเบาะแสจะถูกสาวมาถึงตัว จึงใช้กลยุทธ์ จักจั่นลอกคราบ ชิงหลบหนีไปก่อน
จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นเพราะความประมาทของเตียนหนิงอ๋องเอง เดิมที หลิ่วฮูหยินก็เหมือนนกน้อยที่ถูกกักขังอยู่ในกรงทองขนาดใหญ่อย่าง จวนเตียนหนิงอ๋องแห่งนี้ ทว่านับตั้งแต่ที่นางให้กำเนิดมู่หยวนเจิ้น แม้ มู่หยวนเจิ้นจะได้รับการเลี้ยงดูอยู่ในเรือนของพระชายาเตียนหนิงอ๋อง แต่ด้วยฐานะมารดาแท้ ๆ ของบุตรชายจึงทำให้สถานะของหลิ่วฮูหยินแตกต่าง ไปจากเดิม เมื่อได้มีบุตรชายสมใจอยาก เตียนหนิงอ๋องก็ไม่ต้องการอะไรอีก จึงไม่ได้ควบคุมหลิ่วฮูหยินเหมือนก่อน เพราะเตียนหนิงอ๋องปล่อยปละละเลย นางจึงมีอิสระมากขึ้น เริ่มมีอำนาจขึ้นมาไม่มากก็น้อย
และปัญหาก็อยู่ตรงนี้ เพราะในขณะเดียวกันนี่ก็หมายความว่า หลิ่วฮูหยินมีโอกาสที่จะติดต่อกับคนของราชวงศ์ก่อนที่อยู่ข้างนอก
การตรวจสอบสืบหาคนของราชวงศ์ก่อนของเตียนหนิงอ๋องดำเนินไป อย่างเป็นระบบระเบียบ ขอบเขตเริ่มตีวงแคบลงมาเรื่อย ๆ อีกทั้งยังสามารถ ถอนรากถอนโคนฐานที่มั่นของคนของราชวงศ์ก่อนสองแห่งได้สำเร็จ สำหรับ คนของราชวงศ์ก่อนนี่เป็นความเสียหายที่ยังพอรับได้ แต่ที่ไม่ดีก็คือ หาก อิงตามความคืบหน้านี้ต่อไป เนื่องจากคนจากหนึ่งในฐานที่มั่นนั้นเคยไปมา หาสู่กับหลิ่วจ่างฮุยบิดาของหลิ่วฮูหยิน จึงมีความเป็นไปได้มากว่าจะสืบมา จนถึงตัวหลิ่วจ่างฮุย
หากหลิ่วจ่างฮุยถูกสืบจนพบตัวก็ไม่มีทางที่หลิ่วฮูหยินจะไม่ติดร่างแห ไปด้วย หมากตัวสำคัญที่สุดของคนของราชวงศ์ก่อนที่ถูกวางไว้ในชายแดนใต้ มาตลอดหลายสิบปีย่อมต้องเสียหาย
หลิ่วฮูหยินได้ข่าวนี้ก็ใช้ข้ออ้างว่าบิดาป่วยหนักพามู่หยวนเจิ้นออกไป จากจวน จากนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
เพราะหลิ่วจ่างฮุยป่วยหนักจริง ๆ ตอนแรกที่เตียนหนิงอ๋องได้ข่าวว่า แม่ลูกหลิ่วฮูหยินหายตัวไปนั้น เขาจึงยังคิดไม่ถึงว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่อง คนของราชวงศ์ก่อน เพียงแค่คิดว่านางและลูกถูกคนจับตัวไป จึงรีบสั่งให้ คนออกตามหา ผลกลับกลายเป็นว่ายังไม่ทันเจอตัว คนที่สั่งให้ไปสืบเรื่อง คนของราชวงศ์ก่อนก็ส่งข่าวกลับมาเปิดโปงหลิ่วจ่างฮุยเสียก่อน
สำหรับเตียนหนิงอ๋องแล้ว นี่เหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ
ต่อให้เขาต้องการลูกชายมากแค่ไหน แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วเขาก็ ไม่อาจโกหกตัวเองได้อีกต่อไป
หลิ่วฮูหยินที่เขาเคยตรวจสอบประวัติความเป็นมาอย่างละเอียดจน แน่ใจว่าไม่มีปัญหากลับมีปัญหา
เขามีลูกกับโจร เกือบจะใช้สองมือประคองมอบตำแหน่งของตระกูลมู่ ที่สืบทอดกันมาหลายรุ่นส่งไปให้ถึงมือของอีกฝ่าย
การโจมตีนี้มาเยือนอย่างกะทันหันและรุนแรงเกินไป เตียนหนิงอ๋อง จึงล้มป่วยนับแต่นั้นมา
มู่หยวนอวี๋รับฟังเงียบ ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ นางไม่รู้ว่ายังจะพูดอะไรได้อีก ตั้งแต่เริ่มต้นเล่าเรื่อง เตียนหนิงอ๋องก็พูดไม่หยุด ความเคียดแค้นและ ความกลัดกลุ้มล้วนถูกระบายออกมาจนหมดสิ้น
เขาไม่ได้อยากทำแบบนี้ แต่เอาเรื่องนี้ไปบ่นให้พระชายาเตียนหนิงอ๋อง ฟังมีแต่จะได้รับเสียงหัวเราะเยาะเย้ยอย่างสาแก่ใจจากนาง และหากเอาไป เล่าให้คนอื่นฟังว่าถูกหลิ่วฮูหยินแทงข้างหลังเต็มแรงเช่นนี้ เขาจะยังกล้า เชื่อใจอนุภรรยาพวกนั้นอีกได้อย่างไร
ความเจ็บแค้นอัดอั้นถูกเก็บกลั้นมาถึงตอนนี้ ในที่สุดก็เจอทางระบาย ออก ดังนั้นพอเล่าเรื่องทั้งหมดรวดเดียวจบ สีหน้าของเตียนหนิงอ๋องจึงดีขึ้น กว่าตอนที่นางเห็นเขาครั้งแรกเล็กน้อย ทั้งยังยื่นมือมาขอชาดื่มด้วย “อวี๋เอ๋อร์ รินน้ำชาให้ข้าหน่อย”
มู่หยวนอวี๋เดินไปรินชาตรงโต๊ะยื่นให้เขา แล้วเอ่ยถามว่า “ท่านพ่อ แล้วหลิ่วจ่างฮุยล่ะ เขาป่วยหนัก คงไม่สะดวกหลบหนีไปหรอกกระมัง”
เตียนหนิงอ๋องดื่มน้ำชารวดเดียวหมด แล้วแค่นเสียงเย็นกล่าวว่า “ตายไปแล้ว! ถือว่าเขาได้กำไรไป ยังไม่ทันได้สอบถาม เขาก็หมดลมหายใจ ตายไปซะก่อน”
“เจ้าอยู่ในเมืองหลวงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” เขานึกขึ้นได้จึงเอ่ยถาม อีกครั้ง
มู่หยวนอวี๋กล่าว “เรื่องของข้าเกิดจากเรื่องทางฝั่งท่านพ่อนี่แหละ ดังนั้นเมื่อครู่ข้าถึงได้ถามท่านพ่อ…”
นางเล่าเรื่องที่ถูกเปิดโปงและตนเองหนีออกมาจากเมืองหลวง ตลอดทางที่เดินทางมานางเครียดและกระวนกระวายมาก ตอนนี้กลับมา ถึงอวิ๋นหนาน กลับมาอยู่ในถิ่นของครอบครัวจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่อง ความปลอดภัยอีก จึงรู้สึกผ่อนคลาย เรื่องสองเรื่องที่ระดับความร้ายแรง ไม่ต่างกัน เมื่อเทียบกับอารมณ์ของเตียนหนิงอ๋องแล้ว เรื่องที่ออกมาจาก ปากของนางจึงฟังดูเบาสบายกว่ามาก
เพียงแต่เตียนหนิงอ๋องที่ได้ฟังเกือบจะหมดสติไป “…ทางเมืองหลวง ก็ตรวจสอบเจอแล้ว ประวัติความเป็นมาของนางแพศยาหลิ่วซื่อนั่นก็ถูก เปิดโปงด้วยงั้นหรือ!”
มู่หยวนอวี๋พยักหน้ารับ “ใช่”
หากไม่เป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนางเลย นางไม่จำเป็น ต้องกลับมาก็ได้ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกับหลี่ไป่เฉ่าจนเป็นเหตุให้ ฐานะสตรีของนางถูกเปิดโปงต่อหน้าฮ่องเต้
ปฏิกิริยาลูกโซ่ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากเรื่องนี้คงเรียกได้แค่ว่าเป็น ชะตากรรมเท่านั้น
“เจ้าคนขี้โรคตระกูลจูผู้นั้น เหตุใดถึงยุ่งไม่เข้าเรื่อง คดีเก่าตั้งกี่ปีแล้ว ก็ยังอุตส่าห์ค้นจนเจอ!” เตียนหนิงอ๋องตบเตียงอย่างเดือดดาล
มู่หยวนอวี๋กลับไม่พอใจ “ท่านพ่อ ตอนนี้เขาหายดีแล้ว ไม่ใช่คน ขี้โรคแล้ว หากไม่ใช่เพราะเขาช่วยข้า ข้าก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองจะมีจุดจบ เป็นเช่นไร ท่านพ่อด่าคนอื่นเถอะ จะด่าเขาทำไม”
แล้วนางก็อดถอนหายใจไม่ได้ “ตอนนี้ข้าหนีมาได้สำเร็จ แต่ไม่รู้ว่า เขาอยู่ที่นั่นจะถูกฮ่องเต้ลงโทษอย่างไร”
เตียนหนิงอ๋องได้ยินนางพูดอย่างนี้ก็ให้คลางแคลงใจ “ทำไมเขาต้อง ช่วยเจ้า”
“พวกเราสนิทกันนี่นา ก่อนหน้านี้ท่านพ่อก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
“เจ้าไม่ต้องบ่ายเบี่ยง ข้ายังไม่ได้แก่จนเลอะเลือนถึงขนาดนั้น” เตียนหนิงอ๋องหรี่ตาลง “เจ้าสัญญาว่าจะให้ผลประโยชน์อะไรแก่เขา…เจ้า พูดมาเถอะ ไม่เป็นไร ข้าไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักตอบแทนผู้อื่น เขาปล่อยให้ เจ้าหนีมา ไม่ว่าจะทำไปเพื่ออะไรก็ถือว่าตระกูลมู่รับน้ำใจจากเขาแล้ว”
“ไม่มี ท่านพ่อคิดว่าซื่อจื่อตัวปลอมอย่างข้าจะให้คำสัญญาอะไร ที่ทำให้องค์ชายหวั่นไหวจนหักลบข้อเสียที่จะทำให้ฮ่องเต้พิโรธได้”
มู่หยวนอวี๋ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบัง แต่นางคิดว่าการ “มอบเรือนกาย ตอบแทน” นั้นจะนับรวมไม่ได้ ความตั้งใจเดิมของนาง แทนที่จะพูดว่า ตอบแทนบุญคุณ ไม่สู้บอกว่าเป็นการฝากความทรงจำยามที่ต้องจากลา จะเหมาะสมมากกว่า หากมองจากในมุมนี้ คืนนั้นใครที่ได้เปรียบใคร อันที่จริงก็บอกได้ไม่ชัดเจน
คำถามนี้ทำให้เตียนหนิงอ๋องเงียบงันไป ก็จริง…ต่อให้จูจิ่นเซินคิด จะผูกมัดใจกองกำลังของฝ่ายเขา แต่ขณะเดียวกันก็ถือเป็นการล่วงเกิน ฮ่องเต้อย่างรุนแรง สิ่งที่ต้องเสียไปกับสิ่งที่ได้ตอบแทนนั้นเทียบกันไม่ได้เลย จูจิ่นเซินไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้
“เลิกพูดเรื่องพวกนั้นเถอะ สรุปคือข้ากลับมาแล้ว ท่านพ่อมีเรื่องอะไรก็มอบหมายให้ข้าทำได้เลย รีบถอนรากถอนโคนพวกคนของราชวงศ์ก่อนในเร็ววัน มีคำอธิบายที่ฟังเข้าทีให้แก่ฮ่องเต้ วิกฤตครั้งนี้ถึงจะมีโอกาส ขจัดไปได้”
คำพูดประโยคนี้ของมู่หยวนอวี๋ตรงเข้าประเด็นสำคัญ แม้ว่าภายนอก นางจะไม่ได้พูดถึง แต่อันที่จริงในใจกลับเป็นกังวลต่อผลลัพธ์ที่จูจิ่นเซิน ต้องเผชิญอยู่ในเมืองหลวงตลอดเวลา
หากมองในแง่ดี สุดท้ายแล้วนางหนีไม่พ้นที่จะต้องถูกเปิดเผยตัวตน ถ้าเช่นนั้นถูกเปิดโปงตอนนี้ย่อมดีกว่าถูกเปิดโปงในอนาคต ไม่เพียงแต่ อยู่ในช่วงที่คนของราชวงศ์ก่อนปรากฏตัวในชายแดนใต้ซึ่งเป็นหน้าด่านที่ ตระกูลมู่เฝ้าพิทักษ์ ขณะเดียวกันสำหรับฮ่องเต้แล้ว การที่เขาถูกบุตรชาย ปิดบังสองสามเดือนกับถูกปิดบังสองสามปีหรือนานกว่านั้น ความรู้สึก ย่อมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หากเป็นอย่างแรกเขาย่อมพิโรธโกรธา แต่ เมื่อความเดือดดาลผ่านพ้นไปแล้ว บางทีอาจจะยังพอสงบสติอารมณ์ได้ แต่หากเป็นอย่างหลัง ขนาดพ่อแม่คนปกติทั่วไปยังไม่อาจยอมรับการถูก หลอกลวงที่ยาวนานขนาดนี้ได้ แล้วนับประสาอะไรกับฮ่องเต้
ถ้าเช่นนั้นฮ่องเต้ย่อมจะสูญเสียความเชื่อใจทั้งหมดที่มีต่อจูจิ่นเซิน ไปอย่างสิ้นเชิง
นี่เป็นสิ่งที่สติปัญญาอันเลิศล้ำของจูจิ่นเซินไม่มีทางชดเชยได้
แต่ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่เลวร้ายอย่างถึงที่สุด นางเร่งสร้างผลงาน เข้าหน่อย เอาความชอบไปหักล้างกับโทษทัณฑ์ กำจัดคนของราชวงศ์ก่อน ในชายแดนใต้ให้สิ้นซาก เพื่อจวนเตียนหนิงอ๋องเอง แล้วก็เพื่อช่วยจูจิ่นเซิน อีกแรงหนึ่ง
พิสูจน์ให้เห็นว่าการที่เขาเสี่ยงปล่อยตัวนางกลับมา อย่างน้อยก็ไม่ใช่ การค้าที่ขาดทุน
เตียนหนิงอ๋องเงียบงันไปครู่หนึ่ง เขาไม่มีความเห็นต่างใด ๆ เรื่อง ที่เร่งด่วนในเวลานี้ก็คือควรจับตัวพวกคนของราชวงศ์ก่อนมาให้ได้
เขาจึงกล่าวว่า “กลุ่มคนที่ส่งให้ไปตามจับคนของราชวงศ์ก่อนยังไม่เคย ได้หยุดมือ ยังคงตามหานางแพศยาหลิ่วซื่อผู้นั้น รวมไปถึงฉู่โหย่วเซิง…”
“เดี๋ยวก่อน” มู่หยวนอวี๋ตกตะลึงอย่างหนัก ถึงกับตัดบทคำพูดของเตียนหนิงอ๋องอย่างไร้มารยาท “ท่านพ่อ เรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับอาจารย์ฉู่ด้วย?”
ฉู่โหย่วเซิงก็คืออาจารย์ที่สอนหนังสือให้แก่นาง เขาสั่งสอนคนเก่ง อย่างมาก ปีนั้นที่นางเดินทางไปยังเมืองหลวงยังคิดอยู่ว่าจะพาตัวเขาไปให้ มู่หยวนเม่า
เตียนหนิงอ๋องเงียบไปครู่หนึ่ง…เขารู้สึกขายหน้าจริง ๆ เมื่อต้องพูด ต่อหน้าบุตรสาวจึงรู้สึกพูดไม่ออก ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงกล่าวว่า “เขาเองก็ หายตัวไปเหมือนกัน คล้อยหลังจากหลิ่วซื่อไปเพียงไม่นาน ข้าว่าสองคนนี้ ไม่แคล้วต้องมีความสัมพันธ์กันแน่!”
พูดไปแล้วใบหน้าที่แก่ชราของเขาก็บิดเบี้ยวด้วยความเดือดดาล
ก็ไม่แปลกที่เขาคิดไม่ตก หากจะพูดถึงประวัติความเป็นมา หลิ่วฮูหยิน และอาจารย์ฉู่ต่างก็เป็นคนที่เขาตรวจสอบประวัติความเป็นมาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ควรจะเป็นคนที่น่าเชื่อถือที่สุด ผลกลับกลายเป็นว่าหลิ่วฮูหยินที่อยู่ข้างกายเขาเชื่อถือไม่ได้ อาจารย์ที่ปล่อยให้อยู่ข้างกายบุตรสาวก็ไม่ใช่ คนดี เขานึกว่าจวนเตียนหนิงอ๋องแน่นหนาจนน้ำสักหยดก็เล็ดลอดออกไป ไม่ได้ แต่กลับถูกคนสองคนเจาะเป็นรูสองรู จะไม่โมโหได้อย่างไร
มู่หยวนอวี๋ “…”
นางคิดแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก หรือว่าอาจารย์ฉู่ก็เป็นคนของพวกคน ราชวงศ์ก่อนด้วย
นางไม่ค่อยสนิทสนมกับหลิ่วฮูหยินนัก นอกจากตอนที่ต้องไปคารวะเตียนหนิงอ๋องที่เรือนชิงหว่านตามเวลาที่กำหนดช่วงเช้าและเย็นแล้ว ก็มีโอกาสเจอกันบ้างเป็นบางครั้ง แต่กับอาจารย์ฉู่นั้น เมื่อก่อนนางต้องอยู่ร่วมกับเขาทุกวัน ความรู้ของอาจารย์ฉู่เปี่ยมล้น เมื่อเทียบกับอาจารย์ผู้สอนของเหล่าองค์ชายแล้วก็ไม่ด้อยกว่าแม้แต่น้อย คนแบบนี้ก็เป็นหอกข้างแคร่ที่คนของราชวงศ์ก่อนอบรมบ่มเพาะมาด้วยหรือ
“ท่านพ่อ ท่านพูดแบบนี้มีหลักฐานหรือไม่”
“ยังต้องมีหลักฐานอะไรอีก” เวลานี้เป็นช่วงเวลาที่โรคขี้ระแวงของเตียนหนิงอ๋องพุ่งสูงถึงขีดสุด คนที่เขามองว่าดีกลับกลายเป็นจุดดำสองจุดแล้วนับประสาอะไรกับที่อาจารย์ฉู่ยังหายตัวไปอย่างไร้สาเหตุ “เขาหายตัวไป ในเวลานี้ก็คือหลักฐานที่ดีที่สุด!
“อวี๋เอ๋อร์ เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ ข้ามีข้อมูลที่แต่ละฝ่ายตรวจสอบ มาได้อยู่บางส่วน เจ้ามาเอาไปดูได้ อีกสองสามวันหากดูเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เปลี่ยนตัวตนกลับคืนมาด้วย คงต้องบอกไปว่าตัวเจ้าเองก็กลับมาแล้ว อย่าไปฟังที่แม่เจ้าพูดจาเหลวไหล ในเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะกลับมาเป็น ผู้หญิง”
ในเรื่องที่เป็นการเป็นงาน ความคิดเห็นของมู่หยวนอวี๋ตรงกับ เตียนหนิงอ๋อง จึงพยักหน้ารับ “ได้ แต่ข่าวที่ ‘น้องสาว’ ถูกพบแล้วพา กลับมาคงปิดคนในจวนไม่ได้ หากข้าเพิ่งกลับมาแล้วนางก็หายตัวไป พวกเมิ่งฮูหยินอาจมีคำถาม ท่านพ่อคิดว่าข้าควรจะพูดอย่างไรดี”
เตียนหนิงอ๋องแค่นเสียงเย็น “ไม่มีเมิ่งฮูหยินอะไรอีกแล้ว ถูกส่งไป ที่หมู่บ้านในชนบทหมดแล้ว ตอนนี้ข้าไม่มีเรี่ยวแรงไปไล่ตรวจสอบพวกนาง จนครบทุกคน รอให้เรื่องของคนของราชวงศ์ก่อนสิ้นสุดลง หากพวกนาง ไม่น่าสงสัยค่อยรับตัวกลับมา หมู่บ้านในชนบทแห่งนั้นมีทุกอย่างครบถ้วน พวกนางคงไม่ลำบากกันสักเท่าไหร่”
หลังจากอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง มู่หยวนอวี๋ก็เข้าใจได้ทันที เพราะ หลิ่วฮูหยินทำให้เตียนหนิงอ๋องสงสัยสตรีทุกคนที่อยู่ข้างกาย แม้แต่ พวกเมิ่งฮูหยินที่เคยให้กำเนิดบุตรสาวก็ยังไม่ใช่ข้อยกเว้น หากพูดกัน จากจุดยืนของเขา ทำแบบนี้ไม่ถือว่าผิด แล้วก็สอดคล้องกับนิสัยของเขา พอดี
และสำหรับนางแล้วถือว่าช่วยลดเรื่องวุ่นวายไปได้ไม่น้อย นางไม่จำเป็น ต้องอธิบายให้ใครฟังอีกจึงพยักหน้ารับอย่างคล้อยตาม “เจ้าค่ะ”
นางกำลังจะออกไป เตียนหนิงอ๋องกลับเรียกนางไว้ พูดเสริมมา หนึ่งประโยคว่า “สภาพพ่อทุกวันนี้ เจ้าเองก็เห็นแล้ว เรื่องราวมากมาย คงต้องพึ่งพาเจ้า หลังจากที่เจ้ารับช่วงจัดการคนเหล่านั้นต่อ เรื่องอื่น ๆ ล้วนเป็นเรื่องรองลงมา เรื่องที่สำคัญที่สุดคือต้องตามหาตัวนางแพศยา หลิ่วซื่อกับ…เด็กที่นางพาไปให้เจอก่อน หาเจอแล้วก็…”
เขานั่งพิงหัวเตียง พยายามหลับตาลง ทว่ากลับไม่ยอมพูดประโยคหลัง ออกมาเสียที
มู่หยวนอวี๋รอคอยอย่างอดทน
หิมะบางเบานอกหน้าต่างโปรยปรายลงมาโดยไร้สุ้มเสียง ในห้อง อากาศอบอุ่นเหมือนอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ ใบหน้าของเตียนหนิงอ๋องค่อย ๆ แดงขึ้นจากการต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเอง ในที่สุดก็กล่าวขึ้นว่า “ฆ่า ให้หมดโดยไม่ต้องละเว้น”
มู่หยวนอวี๋เลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ
เตียนหนิงอ๋องลืมตาขึ้น แต่กลับไม่ได้มองนาง เพียงแค่มองไป เบื้องหน้า แต่แท้จริงแล้วเขากลับไม่ได้เพ่งมองจุดใดเป็นพิเศษ เหมือน พูดพึมพำกับตัวเอง “หากมิอาจรักษาตำแหน่งของตระกูลมู่ไว้ได้จริง ๆ ข้า ก็ยอมยกทุกอย่างกลับคืนให้ราชสำนัก แต่จะไม่ยอมส่งมอบให้คนของ ราชวงศ์ก่อน ข้าทำแบบนี้ก็ไม่ถือว่าผิดต่อบรรพบุรุษที่อยู่ในปรโลกไปเสีย ทั้งหมด…”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอยคล้ายพูดให้มู่หยวนอวี๋ฟัง แต่ก็คล้าย พูดให้ตัวเองคล้อยตาม
มู่หยวนอวี๋มีสีหน้าเคร่งขรึม ค้อมตัวแล้วกล่าวว่า “เจ้าค่ะ ลูกเข้าใจแล้ว”