ยุคสมัยแห่งธิดาอ๋อง
王女韶华
溪畔茶 ซีพั่นฉา เขียน
ภวิษย์พร แปล
— โปรย —
มาถึงวันที่ต้องเผชิญเหตุอับจนหนทาง
จำต้องลี้ภัยกลับมาสู่มาตุถูมิในดินแดนใต้เพื่อรักษาชีวิต
เขาคือผู้ที่เปิดโอกาสให้มู่หยวนอวี๋หลบหนีออกจากเมืองหลวง
และเขายังเป็นผู้ฝาก “ขวดน้ำมันน้อย” ไว้กับมู่หยวนอวี๋
ค้นหาตัวผู้บงการซึ่งอยู่เบื้องหลังเหตุร้ายทั้งหมด
และยังต้องดูแล “ขวดน้ำมันน้อย” จะเป็นอย่างไร
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
ตอนที่ 148
มู่หยวนอวี๋ไม่ได้พักผ่อน เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นก็เริ่ม หอบเอาเอกสารข้อมูลจากเตียนหนิงอ๋องมาอ่าน
เตียนหนิงอ๋องล้มป่วย สตรีในเรือนหลังถูกกำจัดออกไปจนสิ้น ชีวิต ของพระชายาเตียนหนิงอ๋องจึงสุขสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อเห็น ว่ามู่ หยวนอวี๋ไม่ได้พักแม้สักชั่วขณะเดียวนางก็กล่าวอย่างสงสารว่า “อวี๋เอ๋อร์เหตุใดต้องรีบร้อนขนาดนี้ด้วย ข้าว่าโจรพวกนี้สร้างเรื่องใหญ่โตอะไรไม่ได้ หรอก เจ้าหยุดพักสักวันสองวันจะเป็นไรไป นี่ล้วนเป็นเรื่องวุ่นวายที่บิดาเจ้า ก่อขึ้นมา รอให้ผ่านไปอีกสักพัก เมื่ออาการป่วยของเขาหายดีแล้วก็ปล่อย ให้เขาเก็บกวาดเอาเองเถอะ”
มู่หยวนอวี๋กล่าวยิ้ม ๆ “หากยังปล่อยให้เรื่องล่าช้าออกไปจะยิ่งเป็น ปัญหา ข้าเห็นว่าอีกฝ่ายวางแผนการไว้ลึกล้ำขนาดนี้ เกรงว่าสิ่งที่พวกเขา ปรารถนาคงไม่ใช่เล็ก ๆ”
พระชายาเตียนหนิงอ๋องไม่ค่อยเข้าใจเรื่องภายนอกเท่าไหร่นัก นาง แค่มีอำนาจควบคุมสถานการณ์ในจวนเตียนหนิงอ๋องเท่านั้น เห็นว่าเป็น เช่นนี้ก็ได้แต่กล่าวว่า “ก็ได้ เจ้าระวังสุขภาพตัวเองด้วย อย่าหักโหมจนเกินไป”
แล้วก็หมุนตัวจากไปด้วยความเสียดาย ล้มเลิกความคิดที่จะเรียก ช่างตัดเสื้อมาตัดเสื้อผ้างดงามหรูหราจำนวนนับไม่ถ้วน เพียงแค่บอกให้ ทางห้องครัวเปลี่ยนมาทำอาหารดี ๆ หลากหลายชนิดให้มู่หยวนอวี๋บำรุง ร่างกาย มู่หยวนอวี๋มีคางที่เรียวแหลมขึ้นเพราะการเจริญเติบโตตาม ธรรมชาติ แต่ในสายตาของนางที่เป็นมารดา นั่นต้องเป็นเพราะบุตรสาว อยู่ข้างนอกมีชีวิตยากลำบากจึงไม่ได้กินอะไรดี ๆ
ห้าวันผ่านไป มู่หยวนอวี๋ที่ได้รับการบำรุงจนเปล่งปลั่งสดใสก็ออกไป ดูสภาพภายนอกมารอบหนึ่ง ก่อนจะกลับมาแต่งกายเป็นชาย
ในจวนเพิ่งจะคัดกรองคนครั้งใหญ่ไปรอบหนึ่ง แม้แต่เมิ่งฮูหยินที่ให้กำเนิดบุตรสาวซึ่งได้รับตำแหน่งดี ๆ ก็ยังถูกย้ายไปคุมตัวไว้ในหมู่บ้านที่ชนบท คนอื่น ๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่ละคนที่ได้อยู่ต่อล้วนเงียบกริบ ราวกับจักจั่นในหน้าหนาว เรื่องที่ไม่ควรถามก็ไม่มีทางปากมาก พระชายาเตียนหนิงอ๋องหาข้ออ้างง่าย ๆ ข้อหนึ่ง บอกว่าบุตรสาวพลัดพรากอยู่ข้างนอก พบเจอความยากลำบากมามาก ร่างกายอ่อนแอจึงส่งตัวไปอยู่วัดขอพรให้ พระโพธิสัตว์คุ้มครองและเพื่อดูแลร่างกายก่อนสักระยะหนึ่ง ย่อมไม่มีใคร กล้าถามมากความ มู่หยวนอวี๋จึงกลับคืนสู่สภาพซื่อจื่ออย่างราบรื่น
วันนี้เป็นวันที่ยี่สิบแปดเดือนสิบสอง เดิมทีบรรยากาศในจวนที่คนหายไป ครึ่งหนึ่งนั้นเงียบสงบ เตียนหนิงอ๋องล้มป่วย มู่หยวนอวี๋ก็อาศัยอยู่ภายนอก พระชายาเตียนหนิงอ๋องจึงคร้านจะจัดเตรียมงานปีใหม่ แต่เมื่อมู่หยวนอวี๋ กลับมาแล้ว บรรยากาศจึงต่างออกไป พระชายาเตียนหนิงอ๋องรีบสั่งให้ คนเร่งมือทำงานกันอย่างคึกคัก แขวนโคม ติดกระดาษ ตัดภาพมงคล ผูกผ้าต่วนสีแดง แปะกลอนคู่ตามจุดต่าง ๆ ในจวน งานแต่ละอย่างถูกจัดการ อย่างเป็นระบบระเบียบและกระตือรือร้น
มีเพียงอย่างเดียวที่ยกเลิกไป นั่นคือการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ
ศาลบรรพชนของตระกูลมู่ตั้งอยู่ในจวนอ๋อง ทุกปีคนในตระกูลมู่ จะต้องพาครอบครัวมาเซ่นไหว้บรรพบุรุษและถือโอกาสมาเยี่ยมเยียนเตียนหนิงอ๋องในวันปีใหม่ แต่ปีนี้เรือนหลังของเตียนหนิงอ๋องเกิดไฟไหม้ ครั้งใหญ่ เผาไหม้จนเขาล้มป่วยลุกไม่ขึ้น ไม่มีอารมณ์จะรับรองคนใน ตระกูลอีก จึงป่าวประกาศไปว่าให้แต่ละครอบครัวเซ่นไหว้บรรพบุรุษอยู่ไกล ๆ ก็พอ
คนอื่นล้วนเชื่อฟัง มีเพียงคนเดียวที่เป็นข้อยกเว้น มู่หยวนเต๋อ
คนของเตียนหนิงอ๋องและองครักษ์เสื้อแพรที่สืบเรื่องของเขาล้วน ทำการสืบอย่างลับ ๆ เขาจึงยังไม่รู้ว่าตัวเองถูกจับตามอง ได้ยินว่าเตียน- หนิงอ๋องป่วยจนแม้แต่งานเซ่นไหว้บรรพบุรุษก็ยังจัดไม่ไหว จึงเดินทาง มาเพื่อเยี่ยมเยียน
เหตุการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้ จุดที่น่าสงสัยในตัวมู่หยวนเต๋อมีความ เป็นไปได้อยู่สามอย่าง อย่างแรกคือเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ไม่รู้อะไรเลย นักฆ่า สารภาพชื่อของเขาออกมาก็แค่อยากกวนน้ำให้ขุ่น พยายามจะเพิ่มความ แตกแยกของตระกูลมู่ให้มากขึ้นไปอีก อย่างที่สองคือเขาก็คือผู้บงการ ที่อยู่เบื้องหลัง นักฆ่าไม่ได้โกหก และข้อที่สามคือความเป็นไปได้ที่เลวร้าย ที่สุด นั่นก็คือเขาสมคบคิดกับพวกคนของราชวงศ์ก่อน ร่วมกันวางแผน ลอบฆ่ามู่หยวนอวี๋
เตียนหนิงอ๋องไม่ยินดีพบผู้ใด มู่หยวนอวี๋จึงต้องออกมาพบญาติ ผู้พี่คนนี้ นางรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย แล้วก็คิดถึงจูจิ่นเซินเหลือเกิน
เมื่อก่อนไม่เคยรู้สึกว่าต้องพึ่งพาใคร เวลาที่นางจัดการกับเรื่องต่าง ๆ ก็ไม่เคยรู้สึกว่ามีอุปสรรคใด ๆ แต่สมองของจูจิ่นเซินดียิ่งนัก นางอยู่ กับเขาจนเคยชินเสียแล้ว เวลาเจอปัญหา นางกำลังครุ่นคิด แต่เขา กลับพูดออกมาได้เป็นข้อ ๆ นางจึงเริ่มเคยชินกับการอยู่ร่วมกันเช่นนี้ ตอนนี้เมื่อต้องกลับมาพึ่งพาตัวเองทั้งหมด นางจึงอดรู้สึกห่อเหี่ยวไม่ได้
คำโบราณว่าไว้ไม่ผิด เปลี่ยนจากประหยัดมาเป็นฟุ่มเฟือยนั้นง่าย แต่เปลี่ยนจากฟุ่มเฟือยไปเป็นประหยัดนั้นยาก
ไม่รู้ว่าเขาที่อยู่ในเมืองหลวงเป็นอย่างไร ฮ่องเต้จะลงโทษเขารุนแรง หรือไม่ นางรับงานนี้มาทำต่อจากเตียนหนิงอ๋อง ในมือจึงมีคนมากมายที่ ใช้งานได้ สิ่งแรกที่นางทำก็คือส่งคนไปสืบข่าวที่เมืองหลวง เพียงแต่ว่ายัง ไม่ได้รับจดหมายตอบกลับมา ไม่รู้ว่าหลังปีใหม่จะได้ข่าวหรือยัง หวังว่า ฮ่องเต้จะเมตตา ลงโทษเขาแค่สถานเบา…
“น้องหยวนอวี๋”
มู่หยวนอวี๋พลันคืนสติ แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า นางพูดด้วยรอยยิ้ม สงบนิ่ง “พี่ชายใหญ่โปรดอภัย ท่านพ่อล้มป่วยยังไม่หายดี พอพี่ชายใหญ่ พูดขึ้นมา ข้าก็รู้สึกกระวนกระวาย เลยใจลอยไปเล็กน้อย”
มู่หยวนเต๋อพยักหน้าแสดงให้รู้ว่าเข้าใจดี ปีนี้เขาอายุสามสิบสองแล้ว แม้จะเรียกพี่เรียกน้องกับมู่หยวนอวี๋ แต่พอนั่งอยู่ด้วยกันกลับเหมือนคน สองวัย
จะให้พูดคุยก็ไม่มีเรื่องอะไรที่คุยได้ เมื่อก่อนความสัมพันธ์ของ ทั้งสองบ้านย่ำแย่สุดขีด มู่หยวนเต๋อเองก็นิสัยเหมือนนายท่านรองมู่ นอกจากจะติดตามบิดามาร่วมงานเซ่นไหว้บรรพบุรุษแล้วก็ไม่เคยไปมาหาสู่ กับคนฝั่งนี้มาก่อน กับมู่หยวนอวี๋ก็ไม่สนิทสนมเลยแม้แต่น้อย หลังจาก พูดคุยกันสองสามคำ บรรยากาศจึงเริ่มชะงักงัน
มู่หยวนอวี๋พยายามทำตัวให้กระปรี้กระเปร่า…ใช่ว่านางตั้งใจจะ เหม่อลอย แต่ไม่รู้ว่าทำไม หลังจากกลับมาถึงบ้าน อาจเป็นเพราะผ่อนคลาย มากขึ้นจึงรวบรวมสมาธิไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่
“ขอบคุณพี่ชายใหญ่ที่ตั้งใจมาเยี่ยม ท่านลุงรองกับท่านป้ารองสบายดี ไหม ข้าต้องคอยปรนนิบัติท่านพ่อกับท่านแม่ ช่วยเหลืองานในบ้าน จึง ไม่สะดวกไปเยี่ยม คงต้องรบกวนให้พี่ชายใหญ่ช่วยอธิบายแทนข้าด้วย”
มู่หยวนเต๋อกล่าว “ไม่เป็นไร น้องชายคนเล็กจากไปแล้ว ท่านอาสาม ย่อมต้องเศร้าเสียใจ ท่านพ่อท่านแม่ข้าล้วนเข้าใจดี”
“พี่ชายสามอยู่ในเมืองหลวงสบายดีทุกอย่าง ขอท่านลุงรองและ ท่านป้ารองโปรดวางใจ”
มู่หยวนอวี๋ลังเลว่าควรจะพามู่หยวนเม่ากลับมาพร้อมกันดีหรือไม่ แต่สุดท้ายนางก็ล้มเลิกความคิดนี้ เขาไม่กลับมาพร้อมกับนางก็ยัง สามารถวางตัวอยู่เหนือเรื่องราวได้ แต่หากกลับมากับนาง เรื่องที่เดิมที ไม่เกี่ยวข้องนั้น เขาจะติดร่างแหไปด้วย ซึ่งนี่จะไม่เป็นผลดีต่ออนาคต ของเขา มู่หยวนเม่าอยู่ในเมืองหลวง ตัวเขาเองก็เป็นลูกหลานของขุนนาง ผู้มีคุณูปการ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีหลักฐานชี้ชัด ฮ่องเต้คงยังไม่ถึงขั้น จับตัวเขาไปทำอะไรอย่างไร้เหตุผล
มู่หยวนเต๋อตอบรับ “แบบนั้นก็ดี ไท่ไท่เป็นห่วงเขามากจริง ๆ”
มู่หยวนอวี๋รู้สึกว่าไม่มีเรื่องอะไรให้คุยกันอีกแล้ว แต่มู่หยวนเต๋อ ยังไม่บอกลาจากไป นางเองก็อยากรู้ว่าเขาต้องการอะไรจึงสงบจิตสงบใจอยู่คุยเป็นเพื่อนเขาต่อ
พูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระอีกสองสามประโยค มู่หยวนเต๋อก็วก กลับมาพูดหัวข้อสนทนาแรกเริ่มสุด “ท่านอาสามป่วยหนักถึงขนาดนี้ ทำให้คนเป็นกังวลจริง ๆ พื้นที่อวิ๋นหนานของเราจะขาดท่านอาสามคอยเฝ้า บัญชาการไม่ได้เด็ดขาด ช่วงหยุดพักผ่อนก่อนปีใหม่ พวกผู้บัญชาการ หน่วยรักษาการณ์ต่าง ๆ ที่มารวมตัวกัน ก็ยังเคยพูดถึงเรื่องนี้ ทุกคนต่าง ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หากได้พบหน้าท่านอาสามสักครั้งก็สบายใจแล้ว”
มู่หยวนอวี๋ฉุกคิดขึ้นมา…เตียนหนิงอ๋องบอกแต่แรกแล้วว่าไม่พร้อม พบใคร แต่เขากลับยังพูดถึงเรื่องนี้ อีกทั้งยังลากผู้บัญชาการหน่วย รักษาการณ์ต่าง ๆ มาอ้างด้วย นี่คือคิดจะพบบิดาของนางให้จงได้
หากทั้งสองครอบครัวมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เขาที่เป็นหลานแสดง ความห่วงใยอาของตัวเองจากใจจริงก็ยังพอจะเข้าใจได้ แต่ความเป็นจริงแล้ว ความสัมพันธ์ของพวกเขาย่ำแย่ แล้วเขายังยืนกรานเช่นนี้จึงดูไร้เหตุผล อย่างยิ่ง
นางลุ กขึ้ นยื นกล่าวว่า“เอาอย่างนี้ แล้ วกั นในเมื่ อพี่ ชายใหญ่ กล่าวเช่ นนี้ ข้าก็จะลองไปถามท่านพ่อแทนท่าน ดูว่าท่านพ่อจะพอฝืนประคับประคอง ตัวเองลุกขึ้นมาพบพี่ชายใหญ่ ให้พวกญาติ ๆ วางใจได้หรือไม่”
มู่หยวนเต๋อรีบกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนน้องชายแล้ว”
มู่หยวนอวี๋พยักหน้ารับ แล้วจึงเดินออกจากห้องไปยังเรือนที่เตียน- หนิงอ๋องพักรักษาตัว
เตียนหนิงอ๋องพอได้ยินก็หงุดหงิดขึ้นมาทันใด “ไม่ได้มีเรื่องสำคัญ สักหน่อย จะยืนกรานอยากพบข้าไปทำไม เจ้าไปบอกกับเขาว่า ข้าป่วยหนัก ยากจะลุกขึ้นมาได้ ไม่พบใครทั้งนั้น”
มู่หยวนอวี๋ตอบรับฉับไว “ได้”
ทว่ากลับเป็นเตียนหนิงอ๋องที่ลังเลเล็กน้อย เรียกตัวนางไว้ ถามว่า “เจ้าเห็นว่าสีหน้าเขาเป็นเช่นไร”
“มองอะไรไม่ออก และเขาก็ไม่ได้พูดเรื่องอะไรที่จริงจังนัก แค่ถามถึง อาการป่วยของท่านพ่อเท่านั้น”
เตียนหนิงอ๋องแค่นเสียงเย็น “ช่วงเวลาเช่นนี้ ไม่มีธุระสำคัญแต่กลับกระตือรือร้นอยากมาเยี่ยม ข้าอยากพบเขานักหรือไง ในใจเขาคงอยากให้ ข้าตายจะแย่อยู่แล้ว!”
มู่หยวนอวี๋กล่าวอย่างระอาใจเล็กน้อย “ท่านพ่อกำลังพักรักษาตัว อีกอย่างตอนนี้ก็เป็นช่วงปีใหม่ เหตุใดต้องพูดแต่เรื่องเป็นเรื่องตายจนติดปาก ไม่เป็นมงคลเลย”
บิดาของนาง หลังจากไม่มีลูกชายแล้วก็ไม่เหลือความหวัง ขณะ เดียวกันก็ไม่เหลือความคิดและจิตใจจะวางแผนกลอุบายลึกล้ำเช่นในอดีตอีก หลังจากที่โยนงานทั้งหมดมาให้นาง เขาก็เริ่มปล่อยปละละเลยตัวเอง คิดอยากจะพูดอะไรก็พูด นางยังไม่ค่อยชินกับเตียนหนิงอ๋องในรูปแบบนี้ สักเท่าไหร่
เตียนหนิงอ๋องกล่าว “จะยังมงคลไม่มงคลอะไรอีก สภาพข้าเป็นแบบนี้แล้ว ไม่รู้ว่าถูกใจคนมากน้อยเท่าไหร่ พูดหรือไม่พูดจะยังสำคัญตรงไหน”
“คนที่รู้สึกถูกใจล้วนเป็นศัตรูของท่านพ่อทั้งสิ้น หรือท่านพ่ออยากให้ศัตรูมีความสุข แต่ญาติมิตรตัวเองต้องเป็นทุกข์”
เตียนหนิงอ๋องได้ยินประโยคนี้ก็พูดไม่ออก เงียบงันไปครู่หนึ่งถึงพูด ด้วยสีหน้าที่อ่อนลง “สรุปว่าข้ายังไม่พบเขา เขาดึงดันอยากจะพบข้าให้ได้ แบบนี้ ไม่รู้ว่าวางแผนอะไรอยู่ เช่นนั้นก็อย่าเพิ่งให้เขาสมหวังเลย รอ อีกเดี๋ยว รอดูก่อนว่าหางของเขาจะโผล่หรือไม่”
มู่หยวนอวี๋ก็คิดแบบนี้เหมือนกัน แต่นางเพิ่งจะกลับมายังไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์ในตอนนี้ ดังนั้นจึงต้องถามเตียนหนิงอ๋องเพื่อความมั่นใจเสียก่อน “ได้ ข้าจะออกไปปฏิเสธเขา บอกว่าท่านพ่ออารมณ์ไม่ดี ไม่อยาก พบใคร”
นางพูดจบแล้วก็เดินออกไป เตียนหนิงอ๋องมองแผ่นหลังของนาง บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงถอนหายใจอย่างหดหู่
เมื่อก่อนเขาเสียดายที่นางไม่ใช่ผู้ชาย ทว่าตอนนี้กลับอดคิดไม่ได้ว่า โชคดีแล้วที่นางไม่ใช่ลูกชาย
ลูกสาวมักจะใจอ่อนกว่า นางทะเลาะกับเขารุนแรงถึงขั้นนั้น แต่ พอถึงคราวที่เขาต้องกล้ำกลืนความยากลำบาก นางกลับยังยอมโอนอ่อนผ่อนตามอย่างว่าง่าย ต่อให้มีท่าทีเย็นชาอยู่บ้างแต่ก็ยังรู้จักเอ่ยปลอบใจเขา คำสองคำทำให้เขาสบายใจขึ้น หากนางเป็นผู้ชายเวลานี้เกรงว่าคงยั่วโมโห ให้เขาป่วยตายเพื่อจะได้ยกตำแหน่งให้ไปแล้ว…
เมืองหลวงที่อยู่ห่างไปไกลนับพันนับหมื่นหลี่
บรรยากาศปีใหม่ในเมืองหลวงปีนี้ครึกครื้นอย่างมาก
ไม่ใช่เรื่องอื่นใด แต่เป็นเพราะตรวจพบชีพจรมงคลในกายพระชายา ขององค์ชายใหญ่ ลองคำนวณดูจูจิ่นจื้อก็แต่งงานมาได้สองปีกว่าแล้ว ในที่สุดก็มีข่าวดี ผู้คนต่างดีใจกันอย่างยิ่ง
แน่นอนว่าคนที่ดีใจที่สุดย่อมต้องเป็นฮ่องเต้ เดิมทีเขายังกลัวว่า สติปัญญาที่อ่อนด้อยของจูจิ่นจื้อจะถ่ายทอดไปยังลูกหลาน จึงเป็นกังวลใจ กับเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่จูจิ่นจื้อแต่งงานมานานขนาดนี้ก็ยังไม่มีข่าวดี สักที เขาจึงเริ่มหันมากังวลกับเรื่องอื่น ต่อให้หลานที่คลอดออกมาจะมี บางอย่างไม่สมประกอบจริง ๆ ก็คงดีกว่าไม่มีหลานเลย จะยอมให้บุตรชาย ของตนไร้ผู้สืบทอดเพียงแค่เพราะกังวลในความเป็นไปได้ที่เล็กน้อยนี้ก็คง ไม่สมควรกระมัง
เมื่อได้ยินข่าวดี นอกเหนือจากความดีใจแล้ว เขาก็ยังมอบรางวัล ที่จับต้องได้ให้ด้วย โดยป่าวประกาศว่าจะแต่งตั้งจูจิ่นจื้อเป็นอ๋อง แต่งตั้ง ชื่อบรรดาศักดิ์ว่าอวี้
ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋องพร้อมกับจูจิ่นจื้อยังมีองค์ชายสามจูจิ่นยวน เสียนเฟยแค่ลองไปหยั่งเชิงดู คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะยอมรับปาก แต่งตั้งชื่อ บรรดาศักดิ์ว่าจิ่ง
เดิมทีเสิ่นฮองเฮาเห็นแล้วก็อดรนทนไม่ไหว คิดจะไปขอตำแหน่ง เช่นกัน แต่อยากจะรอดูก่อนว่าชื่อบรรดาศักดิ์ของจูจิ่นเซินคืออะไร จึงอดทนรอไปสองวัน ใครจะไปรู้ว่ารอแล้วรอเล่ากลับไม่มีข่าวคราวอันใด ในวังหลังต้องเตรียมงานเฉลิมฉลองแล้ว แต่ฮ่องเต้กลับสั่งให้นางจัด เตรียมงานของอวี้อ๋องและจิ่งอ๋องเท่านั้น ไม่ได้พูดถึงจูจิ่นเซินสักคำ
เรื่องการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้คนบ้านเดิมของเสิ่นฮองเฮาถูกจูจิ่นเซิน ก่อกวน ความเคียดแค้นในใจนางจึงเพิ่มขึ้นอีกระดับ เพียงแต่นางไม่กล้าไปหาเรื่องเขาอีก ตอนนี้เห็นว่าเขาเป็นเช่นนี้ก็ถูกอกถูกใจยิ่งนัก ไม่คิด จะร้องขอตำแหน่งอ๋องให้จูจิ่นสวินอีก เพราะกลัวว่าหากไปกระตุ้นให้ฮ่องเต้ นึกได้ขึ้นมา ฮ่องเต้จะถือโอกาสแต่งตั้งจูจิ่นเซินไปพร้อมกันด้วย แบบนั้น เขาจะได้ดีไปเปล่า ๆ
นางพูดกลั้วหัวเราะกับซุนกูกูว่า “ถึงอย่างไรสวินเอ๋อร์ก็ยังเล็ก รอ อีกสองสามปีก็ยังได้ แต่เอ้อร์หลางกลับไม่เหมือนกัน พี่ชายน้องชาย ของเขาต่างก็ได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋องหมดแล้ว เหลือเขาเป็นองค์ชายอยู่ คนเดียว เรื่องแบบนี้น่าอายจะตายไป เกรงว่าเขาคงไม่มีหน้าจะออกจาก จวนเลยด้วยซ้ำ!”
ซุนกูกูหัวเราะตามไปด้วย “เมื่อปีก่อนทั้งองค์ชายรองและองค์ชายสาม ต่างก็ทำงานผิดพลาด องค์ชายรองกลับมีสภาพอเนจอนาถยิ่งกว่า ไม่รู้ว่า เหตุใดถึงถูกฝ่าบาทตีจนศีรษะแตก ฮ่องเต้มีพระทัยกว้างขวางเปี่ยมเมตตา บ่าวอยู่ในวังมานานหลายปีขนาดนี้ยังไม่เคยเห็นฝ่าบาทกริ้วเหล่าองค์ชาย มากเท่านี้มาก่อน ตอนนี้แม้แต่ตำแหน่งอ๋องก็ไม่ทรงแต่งตั้งให้องค์ชายรอง เห็นได้ชัดว่าโมโหเขามาก การตัดสินพระทัยของเหนียงเหนียงในตอนนั้น ชาญฉลาดจริง ๆ เพคะ นิ่งเฉยรอดูสถานการณ์ ตอนนี้จึงกลายเป็นฝ่าย ได้เปรียบ”
เสิ่นฮองเฮาก็รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองมากเหมือนกัน จึงคลี่ยิ้ม แล้วกล่าวว่า “รอดูไปอีกหน่อย หากไม่ถึงวันพิธีแต่งตั้งจริง ๆ จะประมาท ไม่ได้เด็ดขาด”
ฮ่องเต้ประกาศข่าวเรื่องการแต่งตั้งอ๋องให้เหล่าขุนนางทราบแล้ว เพียงแต่ว่าในงานพิธีแต่งตั้งต้องเตรียมการหลายอย่างซับซ้อน ไม่สามารถ จัดงานได้เร็วขนาดนั้น จึงกำหนดให้เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิหลังปีใหม่
วันพิธีแต่งตั้งนี้จะบอกว่าเร็วก็เร็ว เพราะไม่ทันรู้ตัวก็มาถึงแล้ว
หนังสือแต่งตั้งอย่างเป็นทางการออกมาแล้ว แล้วก็ไม่มีชื่อจูจิ่นเซิน อยู่จริง ๆ
ในฤดูใบไม้ผลิที่บุปผาบานสะพรั่ง เสียงดนตรีแว่วดังมาจากใน วังหลวง อวี้อ๋องและจิ่งอ๋องเปลี่ยนมาสวมชุดพิธีการ กราบไหว้ศาลบรรพชนตามหลักพิธีการ
องค์ชายรองยังคงโดดเดี่ยวอยู่เพียงผู้เดียวไม่ออกจากจวนเลยทั้งวัน
หลินอันที่ขดตัวอยู่นอกหน้าต่างแอบเช็ดน้ำตาเงียบ ๆ
องค์ชายของเขาน่าสงสารยิ่งนัก เป็นลูกชายเหมือนกัน เหตุใด ฮ่องเต้ถึงได้ลำเอียงขนาดนี้ ต่อให้องค์ชายของเขาทำอะไรผิดไปบ้าง แต่ กับเรื่องใหญ่ที่สำคัญขนาดนี้ก็ไม่ควรถ่วงรั้งองค์ชายของเขาเอาไว้ วันหน้า องค์ชายของเขาจะออกจากจวนไปพบผู้คนอย่างไร…
ฮือ ๆ
เขาร้องไห้อย่างไม่ยินยอมอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะแอบยืดตัวขึ้นมองเข้าไป ทางหน้าต่างสองที
จูจิ่นเซินนั่งอยู่ข้างกระถางไฟ หลังตรง ก้มหน้าลงอ่านกระดาษ แผ่นหนึ่งที่ถืออยู่ในมือ
หลินอันยกมืออุดปากสะอึกสะอื้นอย่างรุนแรงอีกสองครั้ง…ตั้งแต่ เช้ามาองค์ชายก็นั่งอยู่ท่านี้ ตอนนี้ก็ยังอยู่ท่านี้!
อาหารที่ยกเข้าไปให้ตอนกลางวันก็ไม่กิน บอกแค่ว่าไม่ว่าง!
กินไม่ลงก็กินไม่ลงสิ ยังจะปากแข็งบอกว่าตัวเองไม่ว่าง ฮือ ๆ แค่กระดาษเปื่อย ๆ แผ่นเดียวที่ไม่รู้ว่าส่งมาจากไหน ต้องอ่านนานขนาดนี้ เชียวหรือ
องค์ชายต้องเสียใจและอัดอั้นอย่างมากแน่ ๆ แต่ก็ต้องรักษาหน้า ตัวเองเอาไว้ พูดไม่ออก เลยได้แต่นั่งเหม่อมองกระดาษแผ่นนั้น
เฮ้อ หากซื่อจื่ออยู่ด้วยก็ดีน่ะสิ จะได้ช่วยคลายความทุกข์ให้องค์ชาย ได้บ้าง แต่นี่บิดาของซื่อจื่อป่วยหนัก เลยต้องเดินทางจากไป
เขาเห็นว่าจูจิ่นเซินเริ่มขยับตัว จึงรีบเช็ดน้ำตา เมื่อเพ่งมองดูอีกครั้ง ก็พบว่าจูจิ่นเซินขยับตัวลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกมาด้านนอก
หลินอันรีบลุกขึ้นเช่นกัน ลากขาที่เป็นเหน็บชาวิ่งเข้าไปถาม “องค์ชาย… เอ่อ องค์ชายจะทรงทำอะไร แค่สั่งบ่าวมาก็พอ”
“ไม่มีอะไร ข้าไม่ได้จะออกไปไหน แค่จะไปห้องหนังสือ” จูจิ่นเซิน กล่าวแล้วมองเขาอย่างแปลกใจ “เจ้าเป็นอะไรถึงได้ร้องไห้ขนาดนี้”
หลินอันฝืนกลั้นเสียงสะอื้นกล่าวว่า “ไม่ บ่าวไม่เป็นไร!”
เขาจะเพิ่มปัญหาให้องค์ชายอีกไม่ได้ ตอนนี้อารมณ์ขององค์ชายย่ำแย่มากพอแล้ว
จูจิ่นเซินกล่าว “อ้อ ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเจ้า เจ้าถูกคนรังแก แต่ไม่ยอมพูด ก็อย่ามาหาว่าข้าไม่ช่วยออกหน้าให้ล่ะ”
หลินอัน “…”
ไม่ถูกสิ! น้ำเสียงนี้ผ่อนคลายเกินไปหน่อยไหม
เขารีบเดินตามจูจิ่นเซินไปแต่กลับเห็นว่าองค์ชายเข้าไปในห้องหนังสืออีกห้องหนึ่ง พอไปหยุดอยู่ตรงชั้นหนังสือก็เดินวนหนึ่งรอบหยิบเอาตำรา เอ๋อร์หย่า และตำรา ‘ซัวเหวิน’[1] ออกมา เอามากางไว้บนโต๊ะแล้วตั้งใจ อ่านอย่างมีสมาธิ
หลินอันยืนอึ้งอยู่ตรงหน้าประตู
เขาไม่อาจพูดให้ตัวเองเชื่อได้ว่าจูจิ่นเซินเสียใจมาก เพราะไม่เพียง แต่ไม่เสียใจ สีหน้าขององค์ชายยังคล้ายจะเปล่งประกายสดใสอีกด้วย! ราวกับว่ามองเห็นสมบัติล้ำค่าที่ซุกซ่อนอยู่ในตำราสองเล่มนั้น ทุกครั้งที่ พลิกเปิดไปหน้าหนึ่งจะกระทำอย่างระมัดระวังยิ่ง
“องค์…องค์ชาย ท่านหิวหรือไม่ บ่าวจะไปบอกให้ห้องครัวเตรียม อาหารมาให้ท่าน” เขาลองถามหยั่งเชิง
คราวนี้จูจิ่นเซินตอบรับอย่างรวดเร็ว “ได้ เอาแค่ของว่างมานิดหน่อย ก็พอ ข้ากำลังยุ่ง อย่าเอาอะไรที่กินยากมา”
ยุ่งอะไรกัน…ตำราสองเล่มนี้เป็นแค่ตำราที่อธิบายตัวอักษรเท่านั้น เป็นตำราระดับชั้นประถม ตัวอักษรตรงหน้าปก ขนาดเขายังอ่านออกเลย
หลินอันมึนงง แต่ในเมื่อจูจิ่นเซินยอมกินแล้ว เขาจึงรีบพูดว่า “ได้ ๆ บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้”
[1] ตำรา ‘เอ๋อร์หย่า’ คือบันทึกและอธิบายถึงคำเรียกขานในภาษาจีนเป็นเล่มแรก หรืออักขรานุกรมเล่มแรกของจีน ส่วนตำรา ‘ซัวเหวิน’ เป็นชื่อของของตำรา ‘ซัวเหวินเจี่ยจื่อ’ คือพจนานุกรมเล่มแรกของจีนที่วิเคราะห์รูปแบบตัวอักษรและที่มาของตัวอักษรอย่างเป็นระบบ