ยุคสมัยแห่งธิดาอ๋อง
王女韶华
溪畔茶 ซีพั่นฉา เขียน
ภวิษย์พร แปล
— โปรย —
มาถึงวันที่ต้องเผชิญเหตุอับจนหนทาง
จำต้องลี้ภัยกลับมาสู่มาตุถูมิในดินแดนใต้เพื่อรักษาชีวิต
เขาคือผู้ที่เปิดโอกาสให้มู่หยวนอวี๋หลบหนีออกจากเมืองหลวง
และเขายังเป็นผู้ฝาก “ขวดน้ำมันน้อย” ไว้กับมู่หยวนอวี๋
ค้นหาตัวผู้บงการซึ่งอยู่เบื้องหลังเหตุร้ายทั้งหมด
และยังต้องดูแล “ขวดน้ำมันน้อย” จะเป็นอย่างไร
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
บทที่ 149
มู่หยวนอวี๋ไม่เข้าใจเลยสักนิด
หลังจากผ่านวันปีใหม่ที่เงียบสงบมานางก็ค้นพบว่า โรคเหม่อลอยง่ายของนางไม่เพียงแต่ไม่หายไป กลับยังเพิ่มอาการใหม่เข้ามาเหนื่อยง่ายขึ้น
นี่เป็นเรื่องที่น่าประหลาดยิ่งนัก ตามหลักแล้วนางกลับมาบ้าน ภายใต้การดูแลด้วยความรักและเอาใจใส่อย่างทั่วถึงของมารดาที่รักบุตรอย่างพระชายาเตียนหนิงอ๋อง ต่อให้เดิมทีจะเจ็บไข้ไม่สบายเล็กน้อยก็น่าจะหายดีเพราะได้รับความรักการดูแลแล้วถึงจะถูก แต่นี่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ซ้ำร้ายยังกลายเป็นในทางตรงกันข้าม
หากเป็นช่วงเวลาปกติ การแสดงออกทางร่างกายนี้คงไม่ชัดเจนนัก แต่หลังจากที่นางกลับมาก็ไม่เคยมีวันใดที่ได้หยุดพัก ทุกวันต้องสิ้นเปลืองพลังความคิดมหาศาลในการช่วยเตียนหนิงอ๋องลากดึงฐานที่มั่นที่น่าสงสัยของกากเดนราชวงศ์ก่อนในชายแดนใต้ออกมา พบผู้ใต้บังคับบัญชาของเตียนหนิงอ๋องแทนเขา อีกทั้งยังต้องแบ่งความสนใจส่วนหนึ่งไปไว้ที่หลิ่วฮูหยิน วิเคราะห์เส้นทางที่นางอาจจะหลบหนีจากข้อมูลที่มีอยู่ในตอนนี้แล้วคัดเลือกคน ก่อนจะส่งตัวคนไปตามจับอย่างเป็นความลับ ภายใต้การเผาผลาญพละกำลังกายใจอย่างสูงและถี่กระชั้นนี้ กำลังของนางจึงไหลหายไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงานของนางโดยตรง
เมื่อประสิทธิภาพในการทำงานไม่สูงก็ได้แต่ต้องทุ่มเวลามากขึ้น นางจึงอยู่ในห้องหนังสือที่แบ่งแยกออกมาเป็นการเฉพาะกิจดึกขึ้นทุกที ดึกจนถึงขั้นที่ในที่สุดพระชายาเตียนหนิงอ๋องก็ทนมองต่อไปไม่ไหว
“อวี๋เอ๋อร์ หากเจ้ายังไม่เชื่อฟังอีก แม่จะโกรธแล้วนะ” ยามค่ำคืน เมื่อพระชายาเตียนหนิงอ๋องได้ยินว่าไฟในห้องหนังสือของนางยังสว่างก็เดินหน้าเคร่งมาหานาง
มู่หยวนอวี๋กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะขยี้ตา นางเองก็ง่วงมากแล้ว คำพูดที่เอ่ยตอบโต้จึงเนิบช้า “ดึกขนาดนี้แล้ว ท่านแม่ยังไม่พักผ่อนอีกหรือ? ข้าอ่านฉบับนี้จบก็จะเข้านอนแล้ว”
พระชายาเตียนหนิงอ๋องเห็นว่านางง่วงขนาดนี้แล้วก็ทั้งสงสารทั้งโมโห พูดด้วยสีหน้าเที่ยงธรรมไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งนั้น “ไม่ได้ เจ้าต้องไปนอนตอนนี้เลย ไม่อย่างนั้นข้าจะเอาของพวกนี้โยนกลับไปให้ท่านพ่อเจ้าทั้งหมด”
มู่หยวนอวี๋ยังคงอารมณ์ดีจึงยิ้มประจบ “ก็ได้ ท่านแม่อย่าโกรธเลยเจ้าค่ะ ข้าเชื่อฟังท่านแม่”
นางลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า เก้าอี้ครูดไปบนพื้นดังครืด แล้วจึงเดินออกไปข้างนอก
ออกมาจากห้องหนังสือ จางหมัวมัวถือโคมไฟคอยส่องทางให้อยู่ด้านข้าง พระชายาเตียนหนิงอ๋องยังไม่เลิกบ่นนาง “จะไปสนใจท่านพ่อของเจ้าทำไมนักหนา เขาชอบลูกชายขนาดนั้นก็ให้ลูกชายสุดที่รักของเขามาทำแทนสิ จะต้องเหนื่อยเจ้าทำไม กลับมาเกินครึ่งเดือนแล้วยังไม่มีวันใดได้พัก ขนาดปีใหม่ยังไม่ได้หยุด…ใช่แล้ว”
พระชายาเตียนหนิงอ๋องนึกอะไรขึ้นได้จึงกดเสียงลง “อวี๋เอ๋อร์ ระดูของเจ้าใกล้จะมาแล้วกระมัง? เวลาช่วงนี้ของสตรีจะให้เหนื่อยเกินไปไม่ได้ สองปีมานี้เจ้าอยู่ในเมืองหลวงตลอด ไม่รู้ว่าพวกหมิงฉินปรนนิบัติเจ้าดีหรือไม่ เรื่องนี้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ หากไม่บำรุงให้ดีจะลำบากในวันหน้า”
ดวงจันทร์ครึ่งดวงแขวนอยู่บนขอบฟ้า สาดแสงสีเงินอ่อนจางเยือกเย็นลงมายังทางเดินที่ปูด้วยหินสีเขียว
มู่หยวนอวี๋ยืนตัวแข็งอยู่ที่เดิมเหมือนก้อนหิน
พระชายาเตียนหนิงอ๋องนึกว่านางรำคาญที่ถูกบ่นจึงลูบศีรษะของนาง “ก็ได้ แม่ไม่พูดแล้ว แม่เองก็หวังดีกับเจ้า เฮ้อ ล้วนเป็นความผิดของข้าถึงทำร้ายให้เจ้าต้องกลายมาเป็นแบบนี้”
แล้วกล่าวอีกว่า “ข้าเตรียมเห็ดหูหนูตุ๋นพุทราแดงไว้แล้ว เจ้าไปดื่มสักถ้วยแล้วค่อยกลับไปนอน”
มู่หยวนอวี๋ยังคงไม่ขยับ
พระชายาเตียนหนิงอ๋องตกใจ “งอนข้าจริงๆ หรือนี่?”
จางหมัวมัวที่อยู่ด้านข้างเอ่ยกลั้วหัวเราะช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ “แต่ไหนแต่ไรมาซื่อจื่อเข้าใจคนอื่นได้ดีที่สุด ไหนเลยจะโกรธท่านได้ล่ะเจ้าคะ”
ถึงอย่างไรนางก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดมู่หยวนอวี๋ถึงหยุดยืนนิ่ง จึงชูแขนขึ้นส่องโคมไฟดูสีหน้าของมู่หยวนอวี๋
แสงจากโคมไฟที่ส่องลอดกระดาษสีแดงสะท้อนลงบนใบหน้างดงามเหนื่อยล้าที่แข็งค้างของมู่หยวนอวี๋
……
แม้สีหน้าของมู่หยวนอวี๋จะแข็งทื่อ แต่ในสมองของนางกลับไม่ได้หยุดนิ่ง นางกำลังคิดคำนวณวันเวลาอย่างดุเดือด
แต่ไหนแต่ไรมาระดูของนางมาตรงเวลาตลอด จะมาประมาณวันที่ยี่สิบของทุกเดือน หน้าหลังช้าเร็วไม่เกินหนึ่งวัน วันที่สิบสองเดือนสิบสองนางกำลังเร่งเดือนทาง วันที่ยี่สิบเอ็ดเดือนหนึ่งนางกลับมาถึงจวนอ๋อง ระดูของนางไม่มาสองเดือนเต็มๆ หากแค่เดือนเดียวอาจยังเข้าใจได้ว่าเป็นเพราะความเหน็ดเหนื่อยที่มากเกินไปส่งผลให้มาล่าช้า แต่ถ้าสองเดือน…
นิ้วมือของนางสั่นกระตุก คิดจะยกขึ้นกุมท้อง แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงยกไม่ขึ้น ได้แต่ก้มหน้าลงอย่างทำอะไรไม่ถูก แต่กลับไม่รู้ว่าตัวเองกำลังมองอะไร ทุกอย่างนี้เป็นปฏิกิริยาตอบสนองตามจิตใต้สำนึกทั้งสิ้น
ไม่จริงกระมัง…
ในสมองของนางมีแต่ความมึนงง คำพูดจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งผ่านไปเหมือนซับกระสุน[1] สุดท้ายขมวดรวมกันกลายเป็นตัวอักษรใหญ่สามคำที่วนเวียนซ้ำไปซ้ำมา ไม่จริงกระมัง?!
ตอนนั้นนางคิดจะดื่มยาหลังเกิดเรื่องก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่านางคิดว่าตัวเองจะท้องจริงๆ ก็แค่ป้องกันเผื่อไว้ก่อนเท่านั้น ในเมื่อเป็นแค่การ ‘เผื่อ’ นั่นก็หมายความว่าอัตราที่จะเกิดขึ้นน้อยนิดมาก…แต่มันกลับเกิดขึ้นจริงแล้ว!
“อวี๋เอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป?” พระชายาเตียนหนิงอ๋องตระหนักได้ถึงความผิดปกติ
มู่หยวนอวี๋เผยอปาก “…ท่านแม่ ข้าอาจจะ มีเรื่องบางอย่างที่ต้อง บอกกับท่าน”
พระชายาเตียนหนิงอ๋องเห็นว่านางมีปฏิกิริยาตอบสนองก็โล่งอก เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พูดมาเถอะ อึกๆ อักๆ แบบนี้ กับข้ายังมีอะไรที่เจ้าพูดไม่ได้อีก”
ก็มีจริงๆ นั่นแหละ…
มู่หยวนอวี๋ยกมือขึ้นปิดหน้า “ที่นี่ไม่สะดวกให้พูดคุย ข้าตามท่านแม่ไปที่เรือนหรงเจิ้งแล้วกัน”
“ก็ดีเหมือนกัน”
พระชายาเตียนหนิงอ๋องตอบรับ เดินกลับไปที่เรือนหรงเจิ้งพร้อมกับนาง เดินเคียงไหล่กันไปอย่างนี้ นางสังเกตเห็นว่าส่วนสูงของบุตรสาวใกล้จะตามนางทันแล้ว ในใจก็ให้ปลาบปลื้ม แต่สักพักก็รู้สึกเสียดาย เพราะช่วงเวลาที่เรือนร่างของมู่หยวนอวี๋เติบโตเร็วที่สุดนี้ บุตรสาวไม่ได้อยู่ข้างกายนาง
เข้าไปในห้องที่อบอุ่นและสว่างไสว ภายใต้ข้อเรียกร้องของมู่หยวนอวี๋ พระชายาเตียนหนิงอ๋องจึงไล่ข้ารับใช้ทั้งหมดออกไป เหลือไว้แค่จางหมัวมัวคนเดียว
จางหมัวมัวเป็นคนเก่าคนแก่ที่เฝ้ามองนางเติบโตมาตั้งแต่เด็ก มู่หยวนอวี๋จึงไม่รู้สึกเขินอายนาง ให้นางรู้เรื่องก็ไม่เป็นไร อีกอย่างตัวนางเองก็ยังไม่แน่ใจเท่าใดนัก จำเป็นต้องให้คนที่มีประสบการณ์อย่างจางหมัวมัวช่วยออกความคิดให้นางด้วย
พวกคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปกันหมดแล้ว มู่หยวนอวี๋นั่งห่อตัวอยู่บนเก้าอี้ ปิดหน้าปิดตาพูด “ท่านแม่ …ของข้าผ่านไปแล้ว ไม่มีแล้ว”
พระชายาเตียนหนิงอ๋องอึ้งตะลึง แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นแม่คน ประโยคสำคัญที่มู่หยวนอวี๋ละไปไม่เอ่ยออกมา นางกลับยังคงเข้าใจได้ในเสี้ยววินาที ถลันพรวดลุกขึ้นยืน พูดเสียงหลง “ว่าไงนะ?!”
จางหมัวมัวเองก็หน้าซีดขาว พูดเสียงสั่น “ซื่อจื่อ นี่มันเรื่องอะไรกัน…?”
“ใคร…” เสียงของนางแหลมสูง แต่กลัวว่ามู่หยวนอวี๋จะตกใจจึงพยายามควบคุมตัวเอง พูดเสียงสั่นเครือ “ใครรังแกท่าน?”
สีหน้าของพระชายาเตียนหนิงอ๋องก็ซีดขาวราวกับหิมะ แต่เพียงครู่เดียวก็เปลี่ยนมาเป็นแดงก่ำราวกับจะหลั่งเลือดได้ นางหอบหายใจหนักหน่วง ในลมหายใจเต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่งราวกับอยากกัดกินคน
มู่หยวนอวี๋ได้ยินเสียงผิดปกตินี้ก็รีบเอามือลง เอ่ยว่า “ท่านแม่หมัวมัว อย่าเข้าใจผิด ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกท่านคิด ไม่มีใครรังแกข้า เวลาข้าออกไปข้างนอกล้วนพาคนไปด้วย ใครก็รังแกข้าไม่ได้”
พระชายาเตียนหนิงอ๋องโมโหจัดจนพูดไม่ออก จางหมัวมัวจึงช่วยซักไซ้แทน “แล้วเรื่องเป็นมาอย่างไร? ระดูของซื่อจื่อมีปัญหา ต้องเรียกหมอมาตรวจหรือเจ้าคะ?”
“น่าจะไม่ใช่…” เดิมทีมู่หยวนอวี๋ยังเขินอายอยู่มาก เวลาพูดจึงไม่กล้ามองหน้าใคร หากไม่ปิดหน้าก็ปิดตา แต่พอเห็นว่าพระชายาเตียนหนิงอ๋องเข้าใจผิด โมโหถึงขนาดนั้น นางจึงไม่มัวกระบิดกระบวน รีบเล่าอย่างตรงไปตรงมา “เป็นข้าที่รังแกคนอื่น ก็เลย…เป็นแบบนี้แล้ว แต่ตอนนี้ข้าเองก็ไม่แน่ใจ”
จางหมัวมัวถามอย่างไม่เข้าใจ “ซื่อจื่อรังแกคนอื่นอย่างไร?”
สตรีคนหนึ่งจะยังข่มเหงย่ำยีบุรุษได้หรือ? ต่อให้ซื่อจื่อของพวกนางถูกเลี้ยงดูมาอย่างผู้ชายก็ไม่มีทางป่าเถื่อนถึงขั้นนั้นกระมัง?!
มู่หยวนอวี๋สะอึกอึ้งพูดไม่ออก
จะให้นางเล่ารายละเอียดของคืนนั้นคงไม่ดีกระมัง? ต่อให้นางจะใจกล้าห้าวหาญกว่าสตรีทั่วไปมากแค่ไหนก็ไม่ได้ห้าวถึงขั้นนั้น
ในที่สุดพระชายาเตียนหนิงอ๋องก็คืนสติกลับมาเล็กน้อย นางจ้องมู่หยวนอวี๋ โยนคำถามแสกหน้าว่า “เป็นองค์ชายรอง?”
มู่หยวนอวี๋อึ้งตะลึง ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเลื่อมใส…เดาออกได้อย่างไร? นางยังไม่ทันได้เล่าอะไรเลยนะ
“ท่านแม่ ท่านรู้ได้อย่างไร?” นางถามเสียงเบา
พระชายาเตียนหนิงอ๋องยังไม่หายโมโห พูดหน้าเขียว “ปีนั้นเจ้ากลับมาบ้าน เวลาพูดถึงเขาข้าก็เห็นแล้วว่าผิดปกติ!”
ตอนนั้นนางยังรู้สึกว่าบางทีตัวเองอาจจะคิดมากไป แล้วก็กลัวว่าเดิมทีมู่หยวนอวี๋ไม่ได้คิดอย่างนั้น หากนางพูดชี้โพรงให้จะกลายเป็นว่าไม่ดี ลูกสาวอยู่ข้างนอกตัวคนเดียว ไม่มีผู้ใหญ่คอยดูแล ย่อมง่ายที่จะถูกคนหลอกลวง
ผลกลับ…เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ!
มู่หยวนอวี๋ย้อนนึก นางเคยพูดถึงจูจิ่นเซินกับพระชายาเตียนหนิงอ๋องก็จริง แต่ตอนนั้นจิตใจของนางยังบริสุทธิ์อยู่นะ จึงกล่าวว่า “ตอนนั้นไม่ได้มีอะไรนะ ข้าก็แค่พูดถึงเขาสองสามคำเท่านั้น”
จางหมัวมัวไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดีแล้ว ลึกๆ ในใจของนางยังคงรู้สึกว่าพรหมจรรย์ของสตรีเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก ซื่อจื่อน้อยของนางมอบมันให้คนอื่นอย่างเลอะเลือน นางเสียใจยิ่งนัก แต่หากจะให้นางตำหนิมู่หยวนอวี๋ นางก็ทำไม่ลง
มู่หยวนอวี๋ไม่เหมือนกับเด็กสาวทั่วไปอยู่แล้ว นางถูกเลี้ยงดูให้เติบโตมาแบบนั้นตั้งแต่เล็ก จะเรียกร้องให้นางทำตามมาตรฐานของคุณหนูในห้องหอไปพร้อมกันด้วย เดิมทีก็เป็นเรื่องที่ขัดแย้งกันเองอยู่แล้ว
พระชายาเตียนหนิงอ๋องข่มกลั้นโทสะถามนาง “แล้วเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ก็ โดยไม่ทันรู้ตัวกระมัง” มู่หยวนอวี๋ก้มหน้าก้มตาแคะเล็บ นางเริ่มเขินอายขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าเองก็บอกไม่ถูก รู้แค่ว่าเวลาอยู่กับเขาข้ามีความสุขมาก เขาดีกับข้ามากๆ นานวันเข้าก็เลย…”
“ดีกับเจ้าแล้วจะมีประโยชน์อะไร ปีนั้นท่านพ่อของเจ้าก็ดีกับข้าเหมือนกัน!” พระชายาเตียนหนิงอ๋องพูดเสียงขุ่น “เขาหน้าตาดีมากด้วยใช่ไหม?”
มู่หยวนอวี๋พยักหน้ารับอย่างระมัดระวัง
“ล้วนเป็นความผิดของข้า!” พระชายาเตียนหนิงอ๋องเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมาด้วยความร้าวรานใจสุดขีด
มู่หยวนอวี๋มองนางอย่างสับสนเล็กน้อย พระชายาเตียนหนิงอ๋องจึงเอ่ยต่อว่า “ปีนั้นท่านพ่อของเจ้าก็เป็นแบบนี้ เพราะข้าเห็นว่าเขาหน้าตาดีถึงได้ถูกเขาล่อลวง สุดท้ายก็ต้องเสียเปรียบมาเกินครึ่งชีวิต”
ยังมีอีกประโยคหนึ่งที่นางไม่ได้พูดออกมา แต่มู่หยวนอวี๋มองออก…เหตุใดโรคมองใบหน้าคนผิดนี้ต้องส่งต่อมาถึงนางด้วย
นี่ก็คือตรรกะของพระชายาเตียนหนิงอ๋องผู้รักบุตรสาวยิ่งชีพ มีความผิดอะไรหากไม่ใช่จูจิ่นเซินผิดก็เป็นตัวนางเองที่ผิด ส่วนมู่หยวนอวี๋ ไม่ว่านางทำอะไรก็ล้วนไม่โทษนาง
มู่หยวนอวี๋ทั้งตลกทั้งซาบซึ้งใจ ลุกจากเก้าอี้มานั่งอิงแอบแนบชิดนาง “ท่านแม่ ท่านพูดแบบนี้ไม่ถูก การชอบใครสักคนจะเป็นเรื่องที่ควบคุมได้อย่างไร หน้าตาดีก็ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นคนเลวทุกคนนี่นา หน้าตากับนิสัยไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกัน อีกอย่างจะให้ข้าไปชอบเฉพาะคนขี้เหร่ก็คงไม่ได้กระมัง…แบบนั้นข้าก็อาจจะชอบไม่ลง”
ใช่แล้ว มีอยู่ข้อหนึ่งที่พระชายาเตียนหนิงอ๋องกล่าวได้ถูกต้อง นางชื่นชอบคนที่หน้าตาดีจริงๆ
น้ำเสียงอ่อนโยนนุ่มนวลของนางช่วยปลอบประโลมจิตใจของพระชายาเตียนหนิงอ๋องได้บ้างเล็กน้อย แต่กระนั้นนางก็ยังไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก “เจ้าไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น เป็นเขานั่นแหละที่อาศัยว่าอายุมากกว่าเจ้าหลายปีมาล่อลวงเจ้า”
“ไม่ใช่จริงๆ เขารู้ว่าข้าเป็นผู้หญิง โกหกเขา เขาโกรธมากเลย ถึงขนาดจะไม่สนใจข้าอีก ข้าต้องคอยปะเหลาะเอาใจอยู่ข้างๆ ถึงจะโอ๋เขากลับมาได้…” มู่หยวนอวี๋พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด
“ตอนที่เขาปล่อยข้าออกมา ก็เป็นข้าที่เสนอตัวเอง เขาไม่ต้องการ แต่ห้ามข้าไม่ได้ก็เลยเป็นอย่างนั้น”
เดิมทีมู่หยวนอวี๋ยังลำบากใจ แต่พอเห็นว่าพระชายาเตียนหนิงอ๋องเข้าใจจูจิ่นเซินผิดอย่างหนักก็ได้แต่ยอมรับสารภาพเรื่องบางส่วนที่เป็นประเด็นสำคัญ
พระชายาเตียนหนิงอ๋องที่ได้ฟังก็มีสีหน้าหลากหลายอย่างยิ่ง ฟังจบก็อึ้งงันไปครู่หนึ่ง ถึงกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าร่างกายขององค์ชายรองจะไม่แข็งแรง?”
“นั่นมันเมื่อก่อน ตอนนี้เขาหายดีแล้ว”
พระชายาเตียนหนิงอ๋องไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่ พูดต่อไปว่า “ข้าได้ยินมาว่าชาวจงหยวนอย่างพวกเขามีประเพณีอย่างหนึ่ง หากเด็กทารกสุขภาพไม่ดีจะถูกเลี้ยงให้เป็นผู้หญิงหลอกๆ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ยมบาลมาเอาดวงวิญญาณไป สถานการณ์ของเขาก็เป็นแบบนี้เหมือนกันใช่ไหม?”
จางหมัวมัวที่อยู่ด้านข้างพยักหน้าเห็นด้วย ไม่อย่างนั้นก็ยากจะเข้าใจได้ว่าเหตุใดพวกเขาถึงกลายเป็นแบบนี้ ซื่อจื่อของพวกนางถูกเลี้ยงมาอย่างผิดเพศ หากองค์ชายรองก็ถูกเลี้ยงมาแบบผิดเพศด้วย แบบนี้ถึงจะถูก
มู่หยวนอวี๋ “…”
แย่แล้ว นางพูดให้ตัวเองเป็นฝ่ายกระทำมากเกินไป เป็นเหตุทุกคนเข้าใจตัวตนของจูจิ่นเซินผิด
นางกะพริบตาปริบๆ ในใจครุ่นคิดว่าควรจะชดเชยกลับมาอย่างไรดี ยังไม่ทันคิดออกก็อ้าปากหาวอย่างอดไม่อยู่
พระชายาเตียนหนิงอ๋องเห็นแล้วก็หวนนึกไปถึงสภาพร่างกายของนางในเวลานี้ จึงรู้สึกสงสารขึ้นมาอีกครั้ง “เอาล่ะๆ เจ้าไปนอนก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยคุยกันใหม่”
เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว แค่รู้ว่าบุตรสาวไม่ได้ถูกใครบังคับขืนใจ ไม่มีบาดแผลทิ้งไว้ในใจก็แล้วไปเถิด…ก็แค่ทำตัวเหลวไหลอยู่ข้างนอกจนตั้งท้องเท่านั้น อย่างมากก็แค่แอบคลอดออกมา ใช่ว่าจวนอ๋องจะเลี้ยงไม่ไหวสักหน่อย!
มู่หยวนอวี๋เองก็เหนื่อยมากจริงๆ จึงอ้าปากหาว ปล่อยให้นางจูงไปนอนที่ห้องพักทางฝั่งตะวันตก
[1] ซับกระสุนหรือ 弹幕 คือวลีฮิตในภาษาจีน หมายถึงความคิดเห็นหรือคอมเม้นท์ที่ขึ้นบนหน้าจอวิดีโอที่ดูผ่านอินเตอร์เน็ต