[ทดลองอ่าน] ยุคสมัยแห่งธิดาอ๋อง เล่ม 1 บทที่ 3

ยุคสมัยแห่งธิดาอ๋อง

王女韶华

 

溪畔茶 ซีพั่นฉา เขียน

ภวิษย์พร แปล

 

— โปรย —

มู่หยวนอวี๋ ซื่อจื่อน้อยแห่งนครอวิ๋นหนาน
แม้อายุอย่างน้อย แต่กลับกุมความลับที่ยิ่งใหญ่ของตระกูลเอาไว้
หากความลับที่ว่านี้แพร่งพรายออกไป ไม่เพียงจะนำภัยมาถึงตน
คนรอบกายอย่างบิดาและมารดาย่อมไม่อาจรอดพ้น

เมื่อวันเวลาผันผ่าน บิดาไม่คิดปกป้อง
ซื่อจื่อน้อยย้อมต้องหาวิธีเอาตัวรอด ด้วยการเดินทางไปยังเมืองหลวง
พึ่งใบบุญของโอรสสวรรค์ ดังคำกฃ่าวที่ว่า ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด

การเดินทางไปยังเมืองหลวงของมู่หยวนอวี๋ในครั้งนี้ จะช่วยรักษาความลับ
อีกทั้งชีวิตน้อยๆ ของตนเองและชีวิตของคนในครอบครัวไว้ได้หรือไม่

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

เรือนหรงเจิ้งที่ตั้งอยู่บนเส้นแนวแกนกลางของจวนอ๋องเวลานี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะรื่นเริง แตกต่างไปจากบรรยากาศคลุมเครือในเรือนชิงหว่าน

พระชายาเตียนหนิงอ๋องนั่งอยู่บนตำแหน่งประธาน หลังจากได้รู้ข่าวดีของบุตรสาว ริมฝีปากของนางก็หุบไม่ลงอีกเลย หมัวหมัว[1]ผู้ดูแลงาน สาวใช้ใหญ่ สาวใช้เล็กล้วนพากันดาหน้ามาเอ่ยแสดงความยินดีแถวแล้วแถวเล่า คำพูดมงคลถูกยกมากล่าวไม่หยุดปาก พระชายาเตียนหนิงอ๋องยิ่งฟังสีหน้าก็ยิ่งเปล่งปลั่งสดชื่น นางไม่ใช่ชาวฮั่น แต่เป็นสตรีชาวไป่อี๋ในท้องถิ่นซึ่งเตียนหนิงอ๋องแต่งเป็นภรรยาเอก นิสัยตรงไปตรงมา กล้าได้กล้าเสีย นางเพียงโบกมือและกล่าวว่า “เงินเดือนของคนในจวนเดือนนี้เพิ่มเป็นสองเท่า ในเรือนของพวกเราบวกเพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งเท่า”

นี่ก็สามเท่าแล้ว ทำงานหนึ่งเดือนได้เงินสามเดือน ตอนนี้อย่าว่าแต่พวกสาวใช้รุ่นเล็กเลย แม้แต่พวกหมัวหมัวและสาวใช้รุ่นใหญ่ที่อยู่เหนือพวกนางขึ้นไปซึ่งมักจะได้รางวัลจากเจ้านายเป็นประจำก็ยังเบิกบานกันถ้วนทั่ว ทุกคนล้วนลิงโลดร่าเริง กลับมาเข้าแถวยืนเรียงตามลำดับขั้น ทั้งเอ่ยขอบคุณและเอ่ยแสดงความยินดีซ้ำอีกครั้ง

ท่ามกลางบรรยากาศครึกครื้นรื่นเริงเหมือนวันปีใหม่ ม่านบังตาถูกเลิกขึ้น น้ำเสียงใสกังวานเต็มไปด้วยแววหัวเราะพลันดังขึ้น “ถ้าอย่างนั้นลูกคงต้องขอบคุณท่านแม่แทนเหล่าพี่สาวทั้งหลายแล้ว”

“ซื่อจื่อมาแล้ว!”

พอได้ยินเสียงนี้ สาวใช้รุ่นเล็กกลุ่มสุดท้ายที่ยังยืนเข้าแถวคารวะอยู่ในห้องโถงก็รีบเบี่ยงตัวไปยืนเบียดกันอยู่ข้างๆ เว้นที่ว่างไว้ให้

มู่หยวนอวี๋เดินอ้อมมาจากด้านหลังของฉากบังลมไม้จื่อถานทาขอบหลากสี หลังกลับมาจากเรือนชิงหว่านเขาก็ตรงมาที่เรือนหรงเจิ้งทันที เตียนหนิงอ๋องวางท่าไม่สนใจไยดีบุตรชาย แต่พระชายาเตียนหนิงอ๋องกลับมองเขาประดุจสมบัติล้ำค่า เห็นว่าบนร่างเขามีหิมะติดอยู่จึงถามไถ่สองคำแล้วไล่ให้เขากลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า

ตอนนี้เขาย้อนกลับมาอีกครั้ง สวมชุดคลุมผ้าฝ้ายสีน้ำเงินเข้ม รวบผมเป็นมวยแล้วปักตรึงด้วยปิ่นหยก แก้มที่ค่อนข้างอวบป่องแดงก่ำเล็กน้อยเพราะเพิ่งแช่น้ำร้อนมาใหม่ๆ ในความหมดจดบริสุทธิ์บนเครื่องหน้าทั้งห้าที่แฝงความองอาจขุมหนึ่ง คือใบหน้าของเด็กชายตัวน้อยที่ดึงดูดความโปรดปรานจากผู้ใหญ่ได้เป็นอย่างดี

พอเห็นเขา หัวใจของพระชายาเตียนหนิงอ๋องก็พลันอุ่นวาบ ไม่ต้องรอให้เขาคารวะก็ดึงตัวมาด้านหน้า ลูบมือเขาพลางถาม “อวี๋เอ๋อร์ เมื่อครู่ข้าให้คนเอาน้ำขิงไปส่งให้ เจ้าดื่มหรือยัง”

มู่หยวนอวี๋พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ขอบพระคุณท่านแม่ที่ห่วงใย ดื่มแล้วขอรับ”

“ดีแล้ว” พระชายาเตียนหนิงอ๋องรู้สึกว่ามือของบุตรชายที่ตนลูบอยู่อุ่นร้อน คงเพราะไม่ได้สัมผัสไอหนาวจากหิมะแล้ว นางถึงได้วางใจ ไล่พวกสาวใช้ในห้องออกไปเกินครึ่ง เหลือแค่คนสนิทไม่กี่คนไว้คอยรับใช้ แล้วเริ่มถามถึงสถานการณ์ที่อู่ติ้ง

“…ราบรื่นดีมาก พี่หญิงเตรียมตัวไว้ดีพร้อม ทั้งหมอตำแยและหมอใหญ่ล้วนจัดหาไว้ครบถ้วนตั้งแต่เนิ่นๆ ตอนที่ข้าไปถึงพี่หญิงเริ่มคลอดแล้ว ข้าไม่สะดวกจะเข้าไปเลยได้แต่รออยู่ข้างนอกพร้อมกับพี่เขย…”

พระชายาเตียนหนิงอ๋องรีบกล่าว “ทำไมเหวยต้งก็อยู่ด้วยล่ะ วันนี้เขาไม่ไปเข้าเวรที่หน่วยรักษาการณ์หรือ”

“ทีแรกก็ไป แต่พอรู้ข่าวว่าพี่หญิงคลอดก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง”

พระชายาเตียนหนิงอ๋องอดยิ้มอย่างพึงพอใจไม่ได้ มู่หยวนอวี๋จึงพูดต่อ ทว่าในเมื่อการคลอดเป็นไปอย่างราบรื่น อันที่จริงก็ไม่มีอะไรให้ต้องเล่ามาก ส่วนระหว่างการคลอดมีขั้นตอนเป็นอย่างไร เขาโตจนเกือบจะเป็นหนุ่มแล้ว เรื่องแบบนี้ย่อมไม่อาจเข้าไปมีส่วนร่วมได้ และเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเล่าเรื่องอะไรดี จึงเน้นหนักไปที่เด็กชายเกิดใหม่เสียเป็นส่วนใหญ่

รูปร่างน้ำหนักอย่างไร แข็งแรงแค่ไหน เสียงร้องดังกังวานเพียงใด พระชายาเตียนหนิงอ๋องฟังร้อยรอบก็ไม่เบื่อ ทุกเรื่องล้วนถามย้ำซักละเอียด ปรารถนาอยากจะให้หลานยายมาอยู่ตรงหน้า นางจะได้อุ้มไว้ในอก ได้ลูบสัมผัสกับมือตัวเองจึงจะดี

พูดจบไปรอบหนึ่งก็สงสารบุตรสาวขึ้นมาอีก “เฮ้อ ต่อให้ราบรื่นแค่ไหน ย่วนเหนียงก็ลำบากแล้ว นางคลอดคราวก่อน สภาพร่างกายก็เสียหายไปแล้ว ครั้งนี้ต่อให้จะราบรื่นแค่ไหน ตอนอยู่เดือนก็ต้องบำรุงให้ดีจึงจะเหมาะสม”

สวี่หมัวหมัวที่ยืนอยู่ข้างกายเอ่ยยิ้มๆ “เหนียงเหนียงโปรดวางใจ เกอเอ๋อร์ไปดูด้วยตัวเอง บอกว่าเสี้ยนจู่ปลอดภัยก็ย่อมไม่มีทางผิดเป็นแน่ ร่างกายของเสี้ยนจู่ที่เสียหายไปก่อนหน้านี้ก็น่าจะบำรุงกลับคืนมาแล้ว พอถึงปีหน้า ไม่แน่ว่าอาจจะมีหลานตัวอ้วนๆขาวๆให้เหนียงเหนียงอีกคนหนึ่งก็ได้นะเจ้าคะ!”

อาภรณ์ที่พระชายาเตียนหนิงอ๋องสวมใส่โดยรวมแล้วเป็นลักษณะของชาวฮั่น ทว่าเครื่องประดับเล็กๆน้อยๆบางส่วนกลับยังคงเป็นรูปแบบของสตรีชาวไป่อี๋ กำไลหลายวงบนข้อมือส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง ส่งรัศมีแห่งความร่ำรวย นางชอบฟังประโยคนี้มากที่สุดจึงถอดกำไลออกมาหนึ่งวง ประคองไว้กลางฝ่ามือแล้วค่อยๆยื่นออกไป

ใบหน้าสวี่หมัวหมัวเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ย่อตัวรับกำไล ปากก็ปล่อยคำพูดประจบสรรเสริญออกมาอีกหนึ่งชุด

พระชายาเตียนหนิงอ๋องเป็นคนมือเติบใจกว้าง พวกคนรู้ใจที่ยังอยู่ในห้องล้วนรู้กันดี จึงไม่คิดจะยอมน้อยหน้ากัน อย่างไรก็ต้องช่วงชิงเอาโชคพิเศษนี้มาให้ได้ เพียงแต่ยังไม่ทันคิดคำใหม่ๆออก ด้านนอกฉากบังลมก็มีเสียงของสาวใช้ดังขึ้นมาเสียก่อน

“เรียนเหนียงเหนียง คุณหนูรองกลับมาแล้ว รอพบเหนียงเหนียงอยู่ข้างนอกเจ้าค่ะ”

ทุกคนที่อยู่ในห้องรวมถึงมู่หยวนอวี๋ต่างก็หันไปมองตามเสียงด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

แต่กลับมองไม่เห็นอะไร อากาศของอวิ๋นหนานอบอุ่น น้อยครั้งที่จะหนาวเย็นอย่างในวันนี้ หน้าประตูเพิ่มฉากบังลมอีกอันหนึ่งเข้ามาก็เพื่อป้องกันไม่ให้ลมหนาวพัดเข้ามาในห้องรับรองเล็กที่ผ้าม่านถูกแหวกขึ้น

พระชายาเตียนหนิงอ๋องเก็บความปีติยินดีกลับคืน ในน้ำเสียงที่ราบเรียบแฝงความหงุดหงิดไว้เสี้ยวหนึ่ง “เรียกนางเข้ามา”

สาวใช้รุ่นเล็กรับคำว่าเจ้าค่ะแล้วเดินออกไป

ในห้องไม่มีคนนอก พระชายาเตียนหนิงอ๋องเองก็ไม่มีอะไรให้ต้องปิดบัง จึงพูดตรงๆว่า “คุณหนูรองกลับบ้านมาเวลานี้ไม่ยักเก้อเขิน ไม่รู้ว่าไปก่อเรื่องอะไรไว้อีก”

เมื่อหันมามองมู่หยวนอวี๋ก็ชะลอถ้อยคำให้เนิบช้า “อวี๋เอ๋อร์ เจ้าไปอยู่ข้างหลังก่อน พี่หญิงรองของเจ้าไม่มีเรื่องอะไรที่เป็นสาระ เจ้าก็อย่าฟังคำพูดพวกนั้นของนางเลย”

มู่หยวนอวี๋รู้ชัดอยู่ในใจ พี่หญิงรองผู้นี้มีนามว่าจื่อฟาง ต่างมารดากับเขา นางคือธิดาของเมิ่งฮูหยิน โตกว่าเขาอยู่หลายปี ออกเรือนไปตั้งแต่เมื่อหกเจ็ดปีก่อนแล้ว นางแต่งงานกับหยางเฉิง บุตรชายคนโตของเซวียนฝู่สื่อ[2]แห่งหล่งชวน สามีภรรยาคู่นี้มีวาสนาในการให้กำเนิดบุตรที่ราบรื่นมาก ตอนนี้มีบุตรและธิดาหนึ่งคู่แล้ว ทว่าความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยากลับไม่ค่อยจะราบรื่นนัก ลุ่มๆดอนๆมาโดยตลอด

ตอนนี้ฟ้าด้านนอกมืดแล้ว อีกทั้งยังมีหิมะตก มู่จื่อฟางกลับมาเวลานี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่การกลับบ้านโดยสงบตามปกติ มีความเป็นไปได้ถึงแปดเก้าส่วนว่าจะแง่งอนกับสามีอีกแล้ว และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก

ทว่าทุกครั้งที่มู่จื่อฟางกลับมาจะต้องไปคร่ำครวญร้องทุกข์กับเมิ่งฮูหยิน น้อยครั้งที่จะตรงมาหาพระชายาเตียนหนิงอ๋องอย่างตอนนี้

มู่หยวนอวี๋ใคร่รู้จึงไม่อยากออกไป เลยเอ่ยอ้อน “ข้าโตแล้ว ท่านแม่ให้ข้าอยู่ฟังด้วยเถอะนะ”

พระชายาเตียนหนิงอ๋องมีความรักความเอ็นดูมอบให้แก่บุตรชายอย่างไร้เงื่อนไขจึงคลี่ยิ้ม “ได้ๆ อวี๋เอ๋อร์โตแล้ว ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็อยู่นี่แหละ”

ชั่วเวลาเพียงพูดจบประโยค สตรีสาวสูงศักดิ์สวมเสื้อคลุมขนนกสีแดงเข้มคนหนึ่งก็เดินเข้ามา นางปลดผ้าคลุมศีรษะลง เผยให้เห็นเครื่องประดับไข่มุกและมรกตเต็มศีรษะ

มู่หยวนอวี๋ลุกขึ้นยืน “พี่หญิงรอง”

อันที่จริงเขาไม่สนิทกับมู่จื่อฟางนัก เพราะอายุห่างกันหลายปี ตอนที่เขาเพิ่งเริ่มศึกษาเล่าเรียน มู่จื่อฟางก็ออกเรือนไปแล้ว แต่ก็เพราะอายุที่ห่างกันมาก ระหว่างเขากับมู่จื่อฟางจึงไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งอะไรกัน ปีหนึ่งพบหน้ากันแค่สามสี่ครั้งเท่านั้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็ถือว่าปรองดองกันดี มู่จื่อฟางไม่เคยล่วงเกินเขาที่เป็นดั่งสมบัติล้ำค่าแห่งจวน ส่วนเขาเองก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องขัดแย้งกับพี่สาวต่างมารดาซึ่งออกเรือนไปแล้ว

ทว่าคราวนี้มู่จื่อฟางกลับไม่มีท่าทีเกรงใจเหมือนอย่างในอดีต นางดวงตาแดงก่ำ พูดเสียงสะอื้น “น้องเล็ก พี่รองกลับมาคราวนี้เพราะหวังให้เจ้าทวงความเป็นธรรมให้!”

มู่หยวนอวี๋ “…”

ถูกฝากความหวังไว้ในฉับพลัน เขาจึงอึ้งตะลึงไป กำลังคิดว่าจะพูดอะไรบางอย่าง สีหน้าของพระชายาเตียนหนิงอ๋องกลับเยียบเย็นโดยพลัน “คุณหนูรอง มีอะไรก็พูดกันดีๆ เจ้าเข้ามาถึงก็พูดโพล่งไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่คิดบ้างหรือว่าจะทำให้น้องชายเจ้ากลัว”

ได้เห็นแววตาเย็นชาของพระชายาเตียนหนิงอ๋อง มู่จื่อฟางถึงสำรวมขึ้นมาได้บ้าง นางเช็ดคราบน้ำตา ถอดชุดคลุมด้านนอกออกแล้วเดินหน้าไปคารวะ สาวใช้พานางไปนั่งบนตำแหน่งรองจากประธานแล้วจึงยกน้ำชามาให้

พระชายาเตียนหนิงอ๋องไม่ชอบอ้อมค้อมจึงถามตรงเข้าประเด็น “พูดมาเถอะ มีเรื่องอะไร”

ดวงตาของมู่จื่อฟางแดงก่ำทันตาเห็นอีกครั้ง นางกัดริมฝีปากแล้วพูดว่า “ท่านแม่ ข้ารับไม่ไหวแล้วจริงๆ เขาไปหานังแพศยาหน้าด้านมาอีกคนหนึ่งแล้ว! แถมยังบอกว่าจะพากลับมาเป็นอนุด้วย!”

ประโยคนี้ดังออกมา เหล่าข้ารับใช้อดหันมามองหน้ากันไม่ได้ แม้แต่พระชายาเตียนหนิงอ๋องก็ไม่มีเวลามาสนใจถ้อยคำหยาบคายของนาง จึงขมวดคิ้วแล้วถามว่า “รับอนุ บุตรเขยไม่ได้พูดด้วยความโกรธ แต่คิดจะทำอย่างนั้นจริงๆหรือ”

มู่จื่อฟางเห็นว่าพระชายาเตียนหนิงอ๋องไม่เชื่อน้ำคำของตนก็เหมือนถูกจี้ใจ ถึงกับร้องไห้ “เป็นเรื่องจริง หากพวกเราสองสามีภรรยาแค่ทะเลาะกัน ข้าหรือจะกล้ามารบกวนท่านแม่”

แม้จะเดาได้ว่าสามีภรรยาคู่นี้ไม่ลงรอยกัน แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะบาดหมางกันถึงขั้นนี้ มู่หยวนอวี๋ตกใจจึงกำถ้วยชาซิ่งเหริน[3]ในมือที่ติงเซียงยกมาให้ไว้แน่น

มู่จื่อฟางไม่ใช่สตรีสูงศักดิ์ทั่วไป ในฐานะบุตรีของจวิ้นอ๋อง ในบรรดาคนวัยเดียวกันที่อยู่ในนครอวิ๋นหนาน นอกจากมู่จื่อย่วนที่มีบรรดาศักดิ์เป็นกว่างหนันเสี้ยนจู่ ผู้ “สูงศักดิ์” คนที่สองก็คือนาง หากสามีของนางจะเจ้าชู้เสเพลไปบ้างก็ยังพอทำเนา เพราะต่อให้เป็นองค์หญิงก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะควบคุมราชบุตรเขยให้ครองรักกับนางเพียงคนเดียวไปตลอดได้ แต่หากจะรับอนุเข้ามาในบ้านอย่างจริงจัง นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ตบหน้ากันแรงเกินไป

ไม่แปลกที่มู่จื่อฟางจะร้องไห้กลับมาบ้านเช่นนี้

มู่จื่อฟางพูดสะอึกสะอื้น “ท่านแม่ไม่รู้ว่าพวกเขาหน้าด้านกันแค่ไหน ข้าจับได้คาหนังคาเขาก็ไม่มีความละอายใจแม้แต่นิดเดียว แถมยังบีบให้ข้ายอมรับพวกเขาอย่างเปิดเผย นับตั้งแต่ที่ข้าแต่งเข้าตระกูลหยางก็ให้กำเนิดบุตรชายหญิง ช่วยเหลือสามีอบรมสั่งสอนบุตร มีเรื่องใดบ้างที่ทำได้ไม่ดี ใช่ว่าข้าจะไม่หาคนในจวนให้เขา ทั้งเสวี่ยเอ๋อร์ ถงเอ๋อร์ ใครบ้างที่ไม่ใช่สาวงาม เขายังไม่รู้จักพอ ยังไปพัวพันกับนังแพศยาข้างนอกพวกนั้น ข้าเองก็ไม่ยอมมาตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว เคยทะเลาะกับเขาด้วยเรื่องนี้อยู่หลายครั้ง ทุกวันนี้ข้ารู้ว่าทำอะไรเขาไม่ได้ นิสัยเขาเป็นอย่างนั้น เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว ข้าจึงได้แต่หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง แต่เขากลับกล้านัก ถึงขนาดเหยียบขึ้นมาบนหน้าข้า ยืนกรานจะเอานังแพศยาคนนั้นกลับมาอยู่ด้วย หากปล่อยให้เขาสมใจปรารถนา วันหน้าข้าจะยังมีหน้าออกจากจวนได้อย่างไร หากต้องหย่ากับเขา ข้าคงยอมไม่ได้!”

พระชายาเตียนหนิงอ๋องได้ยินเสียงนางร้องไห้ก็รู้สึกปวดเศียร ไม่สนว่าประโยคหลังนางจะคร่ำครวญยาวเหยียดแค่ไหน สนแค่ประโยคแรกเท่านั้น “เจ้าจับได้คาหนังคาเขา ไปเจอโดยบังเอิญ หรือไปเพราะได้ข่าวมาก่อน”

มู่จื่อฟางร้องไห้จนตัวเองเริ่มเวียนศีรษะขึ้นมาบ้างแล้วหลุดปากตอบว่า “เขาใช้เงินของตัวเองไปสร้างบ้านหลังใหม่”

ถ้าอย่างนั้นก็มีการเตรียมตัวไปก่อน พระชายาเตียนหนิงอ๋องจึงถามอย่างเรียบง่ายแต่ตรงประเด็น “ตอนนี้คนถูกตีจนมีสภาพเป็นแบบไหนแล้ว”

มู่จื่อฟาง “…”

นางที่ตาบวมแดงถึงกับสะอึก

พระชายาเตียนหนิงอ๋องขมวดคิ้ว “ตีตายแล้วหรือ”

นางรู้ดีว่าธิดาของอนุภรรยาผู้นี้ไม่ใช่คนที่ถูกรังแกแล้วจะกลับมาร้องไห้กับครอบครัวเดิม หากไปเจอโดยบังเอิญอาจจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่บ้าง แต่ในเมื่อเตรียมตัวไปเพื่อจับชู้ หากไม่ตีกันจนเละตุ้มเป๊ะนั่นแหละแปลก

มู่จื่อฟางรีบพูด “เปล่า สามีที่นอกลู่นอกทางของข้าผู้นั้นปกป้องเอาไว้ คนของข้าแทบไม่แตะโดนนังแพศยานั่นด้วยซ้ำ…” ทว่าประโยคที่ตามมากลับติดๆขัดๆ “เพียงแต่ เพียงแต่ว่าไม่ทันระวังไปโดนคนอื่นเข้า”

เสียงของนางแผ่วต่ำ สองคำท้ายประโยคว่า “คนอื่น” จึงคลุมเครือเต็มที

หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นของพระชายาเตียนหนิงอ๋องยิ่งแสดงถึงความหงุดหงิด สวี่หมัวหมัวเดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าวแล้วเอ่ยยิ้มๆ “คุณหนูรอง บ่าวเฒ่าขอปากมากสักหน่อย ในเมื่อคุณหนูรองกลับบ้านมาร้องทุกข์กับเหนียงเหนียงก็ควรจะพูดให้ชัดเจนถึงจะดี เหนียงเหนียงจะได้รู้ว่าควรออกหน้าช่วยท่านอย่างไร ถูกไหมเจ้าคะ ตอนนี้ท่านไปทำให้ใครบาดเจ็บ สถานการณ์ทางฝ่ายท่านเขยรองเป็นเช่นไร ร้ายแรงหรือไม่ หากไม่ไล่เลียงให้ชัดเจน คนที่จะเสียเวลาก็คือท่าน”

มู่จื่อฟางฟังแล้วก็ลังเลไปชั่วครู่ ในที่สุดถึงกล่าวว่า “…คนที่บาดเจ็บคือน้องชายสาม”

จบคำของนาง ทั้งห้องก็เงียบสงัด

 

[1] คำเรียกขานข้ารับใช้หญิงที่มีอายุ

[2] ชื่อตำแหน่งขุนนาง ช่วงปลายของยุคราชวงศ์ถัง ตำแหน่งนี้คือขุนนางที่มีหน้าที่ไปตรวจตราพื้นที่ต่างๆหลังสงคราม หรือพื้นที่ที่ประสบปัญหาภัยแล้ง ภัยน้ำท่วม สมัยราชวงศ์ซ่งทำหน้าที่ตรวจตรากองกำลังทหาร ส่วนยุคราชวงศ์ชิงและหมิงคือขุนนางท้องถิ่นฝ่ายบู๊

[3] นมอัลมอนด์

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า