[ทดลองอ่าน] ยุคสมัยแห่งธิดาอ๋อง เล่ม 1 บทที่ 4

ยุคสมัยแห่งธิดาอ๋อง

王女韶华

 

溪畔茶 ซีพั่นฉา เขียน

ภวิษย์พร แปล

 

— โปรย —

มู่หยวนอวี๋ ซื่อจื่อน้อยแห่งนครอวิ๋นหนาน
แม้อายุอย่างน้อย แต่กลับกุมความลับที่ยิ่งใหญ่ของตระกูลเอาไว้
หากความลับที่ว่านี้แพร่งพรายออกไป ไม่เพียงจะนำภัยมาถึงตน
คนรอบกายอย่างบิดาและมารดาย่อมไม่อาจรอดพ้น

เมื่อวันเวลาผันผ่าน บิดาไม่คิดปกป้อง
ซื่อจื่อน้อยย้อมต้องหาวิธีเอาตัวรอด ด้วยการเดินทางไปยังเมืองหลวง
พึ่งใบบุญของโอรสสวรรค์ ดังคำกฃ่าวที่ว่า ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด

การเดินทางไปยังเมืองหลวงของมู่หยวนอวี๋ในครั้งนี้ จะช่วยรักษาความลับ
อีกทั้งชีวิตน้อยๆ ของตนเองและชีวิตของคนในครอบครัวไว้ได้หรือไม่

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

 

มู่หยวนอวี๋ได้สติเป็นคนแรก โน้มตัวออกมาจากเก้าอี้เล็กน้อย “ใช่พี่ชายสามของบ้านท่านลุงรองหรือไม่”

เตียนหนิงอ๋องมีพี่น้องทั้งหมดสามคน พี่ชายคนโตเสียชีวิตนานแล้ว คนที่เหลือก็คือคนรอง นายท่านรองมู่ เฟิ่งกั๋วเจียงจวิน[1] และคนที่สามก็คือเตียนหนิงอ๋อง พี่น้องสองคนต่างก็มีจวนเป็นของตัวเอง เนื่องจากในอดีตเคยมีความแค้นบางอย่าง เวลาปกติจึงไปมาหาสู่กันน้อยมาก ส่วนความแค้นนั้นคืออะไร ดูจากลำดับของเตียนหนิงอ๋องที่เป็นลูกคนสุดท้าย แต่กลับได้สืบทอดตำแหน่งอ๋องนี้ก็สามารถอธิบายเรื่องราวได้อย่างชัดเจนแล้ว

มู่จื่อฟางก้มหน้าก้มตาผงกศีรษะรับ

มู่หยวนอวี๋แปลกใจอย่างมาก “พี่หญิงรอง ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่เข้าใจแล้ว เรื่องของบ้านพี่หญิงรองไปเกี่ยวข้องกับพี่ชายสามได้อย่างไร” แล้วก็ถามต่อด้วยความห่วงใย “พี่ชายสามเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บมากหรือไม่”

หากนับด้านจำนวนรวมของบุตรชายหญิง จวนเตียนหนิงอ๋องจะมีมากกว่าหน่อย เหนือมู่หยวนอวี๋ขึ้นไปยังมีพี่สาวอีกหกคน นอกจากสองคนที่ยังไม่ทันโตก็ตายไปก่อนแล้ว ก็ยังเหลืออีกสี่คน แต่หากนับกันด้วยจำนวนของบุตรชาย นายท่านรองมู่กลับรุ่งเรืองมากกว่า มีบุตรชายทั้งหมดสามคน บุตรคนโตและบุตรคนรองต่างก็เติบใหญ่จนแต่งงานสร้างครอบครัวเป็นของตัวเองกันหมดแล้ว ทว่ามู่หยวนเม่าบุตรชายคนเล็กสุดกลับเกิดปีเดียวกับมู่หยวนอวี๋พอดี ปีนี้เขาเองก็อายุสิบสอง เพียงแต่ว่ามู่หยวนเม่าแก่กว่าสองเดือน

ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องระหว่างนายท่านรองมู่และเตียนหนิงอ๋องย่ำแย่จนถึงขั้นที่แทบจะมองหน้ากันไม่ติด ทว่าศาลบรรพชนของตระกูลมู่อยู่ในจวนเตียนหนิงอ๋อง นายท่านรองมู่จึงจำต้องพาคนในครอบครัวมาเข้าร่วมพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษทุกสิ้นปี ความกังวลระหว่างเด็กๆมักจะน้อยกว่าผู้ใหญ่ การพบปะในช่วงระยะเวลาสั้นๆของทุกปี มู่หยวนอวี๋จึงมักไปอยู่กับมู่หยวนเม่า แม้ว่านายท่านรองมู่จะเกลียดชังน้องชายที่แย่งตำแหน่งอ๋องไปครองอย่างถึงที่สุด ทว่าเขาคือคนที่มีอายุเกินครึ่งร้อยแล้ว จะอย่างไรก็ไม่สมควรเดือดดาลใส่หลานชายคนเล็ก จึงได้แต่ทำหน้าตึงปล่อยให้เด็กๆเล่นด้วยกัน

เล่นด้วยกันมาหลายปี ความสัมพันธ์ระหว่างลูกพี่ลูกน้องอย่างมู่หยวนอวี๋และมู่หยวนเม่าจึงนับว่าดีพอสมควร

มู่จื่อฟางบิดผ้าเช็ดหน้า กล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาเหมือนกระซิบ “ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก ตอนนั้นวุ่นวายโกลาหลกันไปหมด เหมือนว่าจะมีบ่าวไม่รู้ความคนหนึ่งตีพลาดไปโดนน้องชายสามหนึ่งที ได้ยินเขาร้องว่าเจ็บขา แล้วก็เหมือนว่าหัวจะแตกด้วย ภายหลังคนของเขามาช่วยคุ้มกันแล้วพาตัวไป ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ได้แต่รีบกลับมาถามความเห็นจากท่านแม่”

มู่หยวนอวี๋อับจนคำพูด อนุภรรยาที่สามีเลี้ยงไว้ข้างนอกไม่เป็นอะไร แต่ลูกพี่ลูกน้องของตัวเองกลับถูกตีหัวแตกก่อน ต่อให้สองบ้านจะบาดหมางกันแค่ไหนก็ยังใช้แซ่ “มู่” ร่วมกัน แต่คราวนี้ล่ะจะทำอย่างไร

มิน่าเล่าตอนที่พี่หญิงรองของเขาเข้ามาถึงได้ปล่อยโฮต่อหน้าคนมากมายขนาดนั้น เกรงว่าครึ่งหนึ่งคงโกรธ ส่วนอีกครึ่งก็คงกลัว หยางเฉิงปลูกบ้านเลี้ยงภรรยาน้อยไว้ข้างนอก หากคนที่เลี้ยงไว้เป็นบุตรสาวตระกูลใหญ่ ลูกอนุภรรยาตระกูลเล็กหรือพวกหญิงคณิกา มู่จื่อฟางบุกไปตีถึงบ้านก็ยังเป็นฝ่ายถูก ตีเกือบตายก็ยังพูดได้แค่ว่าสมควรแล้ว หรือต่อให้ตีจนตาย ด้วยฐานะของมู่จื่อฟางก็ไม่มีทางที่จะทำให้เรื่องสงบไม่ได้ ทว่าทำร้ายมู่หยวนเม่าจนบาดเจ็บ ปัญหาย่อมไม่เล็กน้อยอีกต่อไป

นายท่านรองมู่กลุ้มใจมาโดยตลอดว่าไม่มีข้ออ้างมาหาเรื่องสร้างความยุ่งยากใจให้แก่เตียนหนิงอ๋อง ตอนนี้บุตรชายบาดเจ็บด้วยน้ำมือของบุตรสาวอนุภรรยาของน้องชายตัวเอง ปัญหาคราวนี้จะวุ่นวายแค่ไหน แค่มู่หยวนอวี๋คิดดูก็ยังรู้สึกปวดเศียร ถ้าอย่างนั้นก็อย่าว่าแต่มู่จื่อฟางเลย

นางเป็นเพียงลูกอนุภรรยาคนหนึ่ง เดิมทีก็ไม่มีหน้ามีตาอะไรสำหรับเตียนหนิงอ๋องอยู่แล้ว อีกทั้งตอนนี้เหลืออีกแค่เดือนกว่าก็จะปีใหม่แล้ว ก่อนหน้าเทศกาลใหญ่ยังหาเรื่องอัปมงคลมาให้เตียนหนิงอ๋อง หากเตียนหนิงอ๋องรู้เข้า อย่าว่าแต่ให้ออกหน้าแทนนางเลย ละเว้นนางได้ก็ถือว่าเห็นแก่หน้านางที่เป็นสตรีออกเรือนมากแล้ว

ทว่าพระชายาเตียนหนิงอ๋องกลับโกรธมาก ไม่ได้โกรธที่มู่หยวนเม่าได้รับบาดเจ็บ แต่พอนึกว่าเมื่อเข้าห้องมามู่จื่อฟางก็ขอร้องให้มู่หยวนอวี๋ช่วย เรื่องราวในครั้งนี้ แน่นอนว่าเรื่องที่มู่หยวนเม่าเป็นผู้รับเคราะห์ย่อมมีน้ำหนักอย่างมาก และทุกคนไม่ว่าจะในหรือนอกจวนเตียนหนิงอ๋องก็มีแค่มู่หยวนอวี๋เท่านั้นที่ใจกว้าง ไม่เลือกปฏิบัติต่อผู้คน ยอมเล่นกับคนของจวนนายท่านรองมู่ แล้วก็สามารถพูดกับมู่หยวนเม่าได้

นังเด็กโง่เง่า!

เรื่องเล็กๆแค่จับชู้กลับยังทำให้พลาดได้ แถมยังคิดจะลากอวี๋เอ๋อร์ของนางลงน้ำไปด้วย!

พระชายาเตียนหนิงอ๋องตบโต๊ะ ตวาดกร้าว “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เจ้าจงเล่ามาให้ชัดเจน หากเจ้ายังพูดจาคลุมเครืออีก ก็ควรต้องเก็บกวาดด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องมาร้องทุกข์อยู่ที่นี่ให้รำคาญใจ!”

แม่ใหญ่เดือดดาล มู่จื่อฟางตัวสั่น กลัวจะถูกลากตัวออกไปจริงๆจึงไม่พูดจากำกวมอะไรอีก ยอมเล่าเรื่องทั้งหมดตามความจริงรวดเดียวราวกับเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่[2]

ที่แท้บ้านเล็กที่หยางเฉิงไปพัวพันด้วยก็ไม่ถือว่าเป็นคนนอก นางคือหลานสาวคนหนึ่งของฮูหยินรองของนายท่านรองมู่ แซ่ซือ หากนับตามความสัมพันธ์ที่วกไปวนมาแล้ว มู่จื่อฟางก็สามารถเรียกนางว่าญาติผู้น้องได้

ญาติผู้น้องคนนี้โชคไม่ดีนัก แต่งงานได้ไม่นานสามีก็ป่วยตาย ญาติฝ่ายสามีนับว่าพูดง่าย เห็นญาติแซ่ซืออายุยังน้อย ไม่อยากให้นางต้องอยู่เป็นหม้ายคาบ้าน จึงยอมปล่อยให้นางกลับครอบครัวเดิม

ฮูหยินรองมู่คืออนุภรรยา เดิมทีฐานะทางบ้านก็ค่อนข้างธรรมดา บิดาคืออาจารย์ขั้นแปดตำแหน่งเล็กๆคนหนึ่งในสำนักหนังสือประจำอำเภอ ญาติแซ่ซือเป็นหม้ายกลับมาบ้าน คนที่บ้านช่วยหาคู่ให้รอบหนึ่ง แต่ด้วยเส้นสายที่มีจำกัด ไม่อาจหาคนที่เหมาะสมเจอ จึงได้แต่มาขอร้องฮูหยินรองมู่

ฮูหยินรองมู่ไม่อาจปฏิเสธคำขอร้องได้ จึงรับญาติแซ่ซือมาพักอยู่ในจวนตัวเองชั่วคราว ประเพณีพื้นบ้านของอวิ๋นหนานเปิดกว้างกว่าจงหยวนมากนัก การที่ญาติแซ่ซือจะหาสามีใหม่สักคน เดิมทีก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพียงแต่ว่าในเมื่อนางมาอยู่ในจวนมู่แล้วก็เห็นได้ชัดว่าอยากปีนป่ายสู่เบื้องบน เป็นหม้ายก็ยังต้องแต่งให้คนตระกูลสูงศักดิ์ แต่นี่กลับไม่ได้ง่ายนัก ญาติแซ่ซืออยู่ในจวนมู่มาสองปีก็ยังไม่สมปรารถนา หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ถือว่าสมใจนางแล้วครึ่งหนึ่ง เพราะมาเกี่ยวพันกับสามีของมู่จื่อฟาง

หยางเฉิงก่อคดีเรื่องผู้หญิงมาหลายครั้งหลายครา เพียงไม่นานมู่จื่อฟางจึงสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ มีสามีแบบนี้ มู่จื่อฟางจึงถือว่ามีประสบการณ์ด้านการจับชู้พอสมควร นางไม่ได้ออกฤทธิ์ออกเดชในทันที แต่แอบตรวจสอบดูก่อน โดยหาช่องโหว่จากทิศทางการไหลหายไปของทรัพย์สินสามี เมื่อเจอปัญหาก็หาตัว “นังแพศยา” ผู้นั้นเจอ จากนั้นเตรียมคนจนพร้อมถึงได้บุกไปเอาเรื่อง

ตามคำบอกเล่า จะพูดว่าการเตรียมตัวของมู่จื่อฟางครั้งนี้ไม่ดีพอก็ไม่ได้ แต่นางยังพลาดปัญหาเล็กๆไปข้อหนึ่ง จนกระทั่งนาทีที่นางพาคนบุกไปตีถึงหน้าประตูบ้านก็ยังไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของ “นังแพศยา” ผู้นั้น

เดิมทีมู่จื่อฟางไม่คิดว่าจะเกิดข้อผิดพลาดอะไร เวลาปกตินังแพศยาผู้นั้นไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้น แต่จะมาก็ต่อเมื่อคนทั้งสองลักลอบพบกัน นี่ทำให้การสืบข่าวเกิดความยุ่งยากในระดับหนึ่ง มู่จื่อฟางไม่มีความอดทนมากพอที่จะรอต่อไป จึงตัดสินใจไปตีนังแพศยานั่นก่อนแล้วค่อยถามไถ่

บนแผ่นดินอวิ๋นหนานนี้ นอกจากพี่สาวคนโตของนางแล้ว นางยังต้องกลัวใครอีก

ตี! ระบายความแค้นออกไปก่อนค่อยว่ากัน

ตียังไม่ถึงสองทีก็มีเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่งวิ่งมาจากนอกประตู

นี่ก็คือช่องโหว่ที่ร้ายแรงถึงชีวิตข้อที่สองของมู่จื่อฟาง นางจำมู่หยวนเม่าไม่ได้

พวกผู้ใหญ่บาดหมางกันร้าวลึกเกินไป น้อยครั้งที่จะไปมาหาสู่กัน นับรวมๆแล้วมู่จื่อฟางเคยได้เจอมู่หยวนเม่าแค่สองครั้ง และยังเป็นตอนที่มู่หยวนเม่ายังเด็กด้วย ภายหลังมู่จื่อฟางออกเรือนไป พิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษของครอบครัวเดิมไม่เกี่ยวข้องกับนาง นางไม่อาจเข้าร่วม จึงไม่เจอมู่หยวนเม่าอีก

ส่วนเรื่องการไปมาหาสู่กันเป็นการส่วนตัวนั้น หลังจากที่นายท่านรองมู่สูญเสียสิทธิ์ในการสืบทอดตำแหน่งจวิ้นอ๋อง และกลับมาด้วยตำแหน่งเฟิ่งกั๋วเจียงจวินซึ่งเป็นตำแหน่งที่อยู่ว่างเสียเป็นส่วนใหญ่ ฟังดูเหมือนมากบารมี แต่แท้จริงแล้วกลับไม่มีอำนาจในมือแม้แต่น้อย มู่จื่อฟางคิดว่าไม่มีความจำเป็นที่ต้องสิ้นเปลืองแรงใจไปแยแส จึงมองท่านลุงผู้นี้เป็นดั่งคนแปลกหน้า

ตอนที่มู่หยวนเม่าเผยกาย เขาสวมชุดธรรมดาทั่วไป ส่วนหยางเฉิงก็เอาแต่ปกป้องญาติแซ่ซือไม่ให้โดนตี คนที่มู่จื่อฟางพาไปไม่กล้าแตะต้องนายผู้ชาย เห็นว่ามู่หยวนเม่าโผล่มาเลยคิดว่าเขาเป็นบ่าวรับใช้ของเรือนนอก จึงย้ายเป้าหมายไประบายแค้นใส่เขาชั่วคราว ล้อมตัวคนได้ก็ซัดเต็มที่

เหตุการณ์จับชู้ย่อมสับสนอลหม่าน รอจนคนของมู่หยวนเม่าเบียดกลุ่มคนที่มุงอยู่นอกประตูเข้าไปได้ มู่หยวนเม่าก็โดนฟาดไปแล้วหลายที

บาดแผลสองแห่งที่มู่จื่อฟางพูดถึงคือส่วนที่นางเห็น ส่วนที่ไม่เห็นก็ไม่รู้ว่ายังมีอีกหรือไม่ ตอนออกจากบ้านคุณชายน้อยยังดีๆอยู่ แต่ถูกคนซ้อมหัวแตกจนต้องหามกลับบ้าน ไม่ต้องสนว่าสาเหตุคืออะไร ยังไงผู้ติดตามก็หนีไม่พ้นโทษโบย คนเหล่านั้นไหนเลยจะกล้าชักช้า พอแย่งตัวมู่หยวนเม่ามาได้ก็วิ่งตะบึงจากไปทันที

มู่จื่อฟางมารู้ว่าตัวเองตีใครก็เพราะถามเอาจากปากของญาติแซ่ซือในภายหลัง

การถามครั้งนี้ ทำให้นางรู้ทันทีว่าแย่แน่แล้ว จึงไม่กล้าถ่วงเวลา รีบเผ่นกลับครอบครัวเดิมเพื่อร้องทุกข์พร้อมกับขอความช่วยเหลือไปพร้อมๆกัน

ไปหาเมิ่งฮูหยินมารดาแท้ๆคงไม่มีประโยชน์ ทำร้ายลูกชายบ้านอื่น ผลักอนุภรรยาให้ออกหน้าไปตัดสิน แค้นนี้มีแต่จะยิ่งลึกล้ำ

“…ฮือๆ ท่านแม่ ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ใครจะรู้ว่าน้องชายสามจะไปโผล่ที่นั่น”

“เอาเถอะ หยุดร้องได้แล้ว เจ้าไม่เหนื่อย ข้าที่ฟังเจ้าร้องไห้กลับเหนื่อยแล้ว”

เมื่อรู้ต้นสายปลายเหตุอย่างชัดเจน พระชายาเตียนหนิงอ๋องกลับสงบอารมณ์ลงได้ ญาติฝ่ายครอบครัวเดิมของฮูหยินรองมู่ทำตัวเป็นมือที่สาม ลักลอบมีความสัมพันธ์กับสามีของผู้อื่น จะผิดก็ไม่ได้ผิดที่ฝ่ายเดียว หากนายท่านรองมู่จะเอาเรื่อง จวนเตียนหนิงอ๋องก็มีข้อแก้ตัว แค่ต้องถกเถียงกันเท่านั้น ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไรให้ต้องกังวล

“เขยรองรู้เรื่องแล้วพูดว่าอย่างไรบ้าง”

“เจ้าคนใจดำผู้นั้น!” พอถูกถามเรื่องนี้ ความขลาดกลัวของมู่จื่อฟางก็หายไปสิ้น ใบหน้าพลันแดงก่ำด้วยความโกรธเคือง “เขาไม่สนความลำบากใจของข้า กลับยังยืนกรานว่าจะพานังแพศยานั่นกลับไปบ้าน บอกว่าจะใช้สิ่งนี้ชดเชยให้ทางบ้านของท่านลุงรอง ถุย! บาดแผลของน้องชายสาม ข้าเป็นคนทำคนเดียวหรือไง หากไม่เป็นเพราะนังแพศยาผู้นี้ไร้ยางอาย เรื่องครั้งนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร!”

ด่าสามีเสร็จแล้วก็หันมาหามู่หยวนอวี๋ “น้องเล็ก พี่รองไม่เคยขอร้องอะไรเจ้า แต่ครั้งนี้อับจนหนทางจริงๆ พี่เขยรองของเจ้าเหลวไหลเกินไป เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วยังเอาแต่เป็นห่วงนังแพศยานั่น…”

สีหน้าของพระชายาเตียนหนิงอ๋องเย็นชาในฉับพลัน สวี่หมัวหมัวจึงรีบเปิดปากตัดบทนาง “คุณหนูรอง ฟ้ามืดแล้ว เมิ่งฮูหยินรู้ว่าท่านกลับมาต้องเป็นห่วงท่านแน่ ท่านเองควรจะไปพบนางได้แล้ว”

เห็นว่าริมฝีปากของมู่จื่อฟางขยับคล้ายไม่ยินยอม สวี่หมัวหมัวจึงเพิ่มระดับน้ำเสียงพูดอีกหนึ่งประโยค “อีกอย่าง เพื่อฟังเรื่องของท่าน มื้อเย็นของเหนียงเหนียงก็ต้องล่าช้าออกไป ตอนนี้ยังไม่ได้กินอะไรเลย”

“…ก็ได้”

ในที่สุดมู่จื่อฟางก็ลุกขึ้นยืนอย่างไม่ใคร่จะเต็มใจนัก นางเป็นบุตรสาวของอนุภรรยาจึงรู้จักสังเกตสีหน้าผู้คน รู้ว่าไม่ว่าอย่างไรคืนนี้คงไม่ได้ข้อสรุป จึงยอบตัวคารวะอย่างเชื่องช้า “ทำให้ท่านแม่กินอาหารเย็นล่าช้าเป็นเพราะลูกอกตัญญู พรุ่งนี้เช้าข้าค่อยมาคารวะทักทายท่านแม่ใหม่อีกครั้ง”

พระชายาเตียนหนิงอ๋องส่ายหน้า “พรุ่งนี้ยังไม่ต้องมาพบข้า ไปคารวะท่านพ่อของเจ้าก่อน บอกเล่าความผิดครั้งนี้ให้เขาทราบอย่างชัดเจน ถามท่านอ๋องก่อนว่ามีความเห็นอย่างไร เรื่องอื่นไว้ค่อยพูดกัน”

มู่จื่อฟางหรือจะกล้าไป พอได้ยินประโยคนี้ก็ถึงกับหน้าถอดสี “ท่านแม่…!”

พระชายาเตียนหนิงอ๋องไม่สะทกสะท้าน “เจ้าล่วงเกินคนบ้านญาติ ไม่ควรไปยอมรับผิดต่อท่านอ๋องด้วยตัวเองหรอกหรือ จะว่าไปแล้วสาเหตุล้วนเป็นเพราะเจ้าบุ่มบ่ามไม่รอบคอบ หากเวลาปกติหัดช่างสังเกตเสียบ้างก็คงไม่ถึงขั้นตีเม่าเกอเอ๋อร์ไปด้วย เอาเถอะ เจ้าไปซะ!”

มู่จื่อฟางถูกตำหนิก็ได้แต่นิ่งเงียบ

ประเด็นของเรื่องนี้อยู่ที่นางจำมู่หยวนเม่าไม่ได้ หาไม่แล้วนางจะยอมปล่อยให้พวกบ่าวตีเขาคาตาตัวเองจนเป็นเหตุให้เรื่องซึ่งเดิมทีนางเป็นฝ่ายถูกสิบส่วน ถูกลดทอนจนเหลือแค่ห้าส่วนอย่างนั้นหรือ

ไม่อาจพูดอะไรได้อีก ได้แต่รับคำตำหนิแล้วบอกลาจากไป

พระชายาเตียนหนิงอ๋องหันไปสั่งความให้คนจัดเตรียมอาหาร เหล่าสาวใช้จึงลงมือทันที ส่วนมู่หยวนอวี๋นั้นขยับมาใกล้พระชายาเตียนหนิงอ๋อง “ท่านแม่ พรุ่งนี้ข้าอยากจะไปเยี่ยมพี่ชายสามสักหน่อย”

พระชายาเตียนหนิงอ๋องไม่เห็นด้วย เอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อวี๋เอ๋อร์ ข้อแรก เจ้ายังเด็ก เรื่องนี้ไม่สะดวกให้ยื่นมือเข้าแทรก ข้อสองเจ้าไปเยี่ยมเม่าเกอเอ๋อร์ตอนนี้ เกรงว่าคนของจวนนั้นคงพาลโกรธเจ้าไปด้วย เจ้าคิดจะไกล่เกลี่ยให้ เป็นเรื่องยากเกิน จะไปเสียเที่ยวซะเปล่าๆ ข้อสาม พี่หญิงรองของเจ้าผู้นั้นความคิดตื้นเขิน นางไม่ไปมาหาสู่กับจวนนั้นยังพอทำเนา แต่เรื่องที่ควรรู้กลับไม่ใส่ใจ เป็นเหตุให้ทำเรื่องน่าหัวเราะเยาะอย่างการเห็นญาติผู้น้องเป็นบ่าวรับใช้ ตามความเห็นข้า ปัญหาของนางในครั้งนี้ล้วนเป็นเพราะนางหาเรื่องใส่ตัว เจ้าไม่จำเป็นต้องลำบากเพื่อช่วยเหลือนาง”

แม้นางจะพูดว่าลูกชายยังเล็ก แต่กลับไม่ปิดบังเพราะเห็นว่าเขาเป็นเด็ก อธิบายให้เขาฟังเป็นข้อๆด้วยความอดทน

มู่หยวนอวี๋ตั้งใจฟังจนจบแล้วจึงคลี่ยิ้ม “ท่านแม่ ข้าทราบ ข้าไปเยี่ยมไม่เกี่ยวอะไรกับพี่หญิงรอง แค่เป็นห่วงพี่ชายสาม เวลาปกติข้ากับพี่สามเล่นด้วยกันอย่างสนิทสนม ตอนนี้รู้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บ ข้ากลับไม่ไปดูดำดูดีเขาเพียงเพราะกลัวสีหน้าของท่านลุงรอง เท่ากับว่าการที่พวกเราดีต่อกันมานั้นเสียเปล่า ในใจพี่ชายสามจะไม่ตำหนิข้าแย่หรือ ต่อให้เขาไม่ตำหนิข้า วันหน้าข้าเองก็คงไม่มีหน้าไปพบเขาอีกแล้ว”

แล้วจึงกล่าวอีกว่า “ท่านแม่วางใจเถอะ ข้าจะไม่ไปขอร้องแทนพี่หญิงรอง เพียงแค่เอาของขวัญบางส่วนไปเยี่ยมพี่ชายสามเท่านั้น อย่างมากสุดก็แค่ช่วยสืบข่าวให้ท่านแม่ ดูว่าท่านลุงรองกับท่านป้ารองโกรธถึงขั้นไหน พอท่านแม่ทราบแล้วจะได้รับมือถูก”

สวี่หมัวหมัวคือผู้เฒ่าที่ติดตามอยู่ข้างกายพระชายาเตียนหนิงอ๋อง เรื่องเล็กๆอย่างการจัดสำรับอาหารนี้ นางไม่ต้องลงมือเอง จึงยืนอยู่ข้างกายพระชายาเตียนหนิงอ๋อง เวลานี้เลยเอ่ยกลั้วยิ้ม “ดูเกอเอ๋อร์ของพวกเราสิเจ้าคะ ทั้งรู้หนักเบา ทั้งมีน้ำใจ แถมยังกตัญญูต่อเหนียงเหนียง เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปดคนอื่นก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะคิดได้อย่างรอบคอบเช่นนี้ เหนียงเหนียงยังมีอะไรให้ไม่วางใจอีกล่ะเจ้าคะ”

มู่หยวนอวี๋ยิ้มจนดวงตาโค้งลง “หมัวหมัวชมคนเก่งเกินไปแล้ว ข้าร้ายกาจขนาดนั้นเสียที่ไหน”

สวี่หมัวหมัวจุปากพูด “ยังจะถ่อมตัวอีก เกอเอ๋อร์ร้ายกาจจริงๆนะเจ้าคะ”

มู่หยวนอวี๋รับไม่ไหว ใบหน้าร้อนฉ่าเล็กน้อย ได้แต่ลอบถอนใจ เฮ้อ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้น่าแปลกใจตรงไหนกัน เดิมที “เขา” ก็เป็นผู้ใหญ่อยู่แล้วนี่นา

จวงโจวฝันว่ากลายเป็นผีเสื้อ[3] ฝันตื่นหนึ่งนับร้อยนับพันปี ไม่รู้ว่าสิ่งใดจริง สิ่งใดเท็จ โลกพลิกคว่ำคะมำหงาย นางเคยเป็นเด็กแล้วเติบโตมาหนึ่งรอบ เมื่อผ่านความมึนงงและหวาดกลัวในตอนแรกมาได้แล้ว นางกลับไม่รังเกียจ ไหนๆก็มาแล้ว แค่อยู่อย่างสงบก็พอ

มีชีวิตอยู่ที่ไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ

อยู่ในตระกูลเศรษฐีชั้นสูง เปี่ยมเกียรติศักดิ์มากบารมี บุตรชายโทนผู้ถูกห้อมล้อมดูแลเสมือนไข่มุกล้ำค่า ความรุ่งเรืองและร่ำรวยชั่วชีวิตถูกกำหนดไว้เรียบร้อยตั้งแต่นาทีที่ลืมตามาดูโลก เทคโนโลยีการข้ามมิตินี้จึงไม่อาจพูดได้ว่าแย่

ความเสียดายเล็กๆเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางความสมบูรณ์แบบก็คือ บุตรชายโทนอย่างนางขาดชิ้นส่วนอย่างหนึ่งไป

คิดแล้วมู่หยวนอวี๋ก็อดถอนหายใจในใจอีกไม่ได้ เฮ้อ ต่างก็บอกกันว่าตระกูลเศรษฐีนั้นวุ่นวาย ก็…วุ่นวายจริงๆนั่นแหละ

พระชายาเตียนหนิงอ๋องกลับชอบใจในคำยกยอนี้อย่างมาก มองบุตรชายอย่างเอ็นดูและภาคภูมิใจ ปัญหาเล็กน้อยที่บุตรสาวอนุภรรยานำมาให้ถูกปัดกวาดทิ้งไม่มีเหลือ ไม่เก็บเอามาใส่ใจอีกต่อไป นางเอ่ยยิ้มๆว่า “ก็ได้ๆ ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเจ้า เพียงแต่วันนี้เจ้าเพิ่งไปอู่ติ้งมา พรุ่งนี้อย่าขี่ม้าอีกเลย นั่งรถไปช้าๆดีกว่า ยาและของบำรุงที่จะเอาไปเยี่ยม ข้าจะช่วยเตรียมให้เจ้าเอง เจ้าไม่ต้องกังวลกับเรื่องพวกนี้ แค่พักผ่อนให้ดี นอนหลับให้มาก”

มู่หยวนอวี๋ได้สติก็รีบกล่าวว่า “ขอรับ ขอบคุณท่านแม่”

 

[1] 奉国将军เฟิ่งกั๋วเจียงจวินหรือแปลตรงตัวว่าแม่ทัพผู้อุทิศตนให้แก่แว่นแคว้น สามารถแบ่งได้เป็น 1. ลำดับศักดิ์ ในยุคราชวงศ์ชิงและหมิง เป็นชื่อตำแหน่งบรรดาศักดิ์ เชื้อพระวงศ์ที่ได้รับบรรดาศักดิ์นี้จะมีทั้งหมดสิบเอ็ดคน แบ่งออกเป็นลำดับหนึ่ง สองและสาม 2. เป็นชื่อตำแหน่งขุนนาง ในยุคราชวงศ์หมิงคือตำแหน่งขุนนางฝ่ายบู๊ที่มีชื่อตำแหน่ง ทว่าไม่มีภาระงานที่แน่นอน อยู่ในลำดับขั้นที่แปดของสามสิบขั้น

[2] เป็นอุปมา หมายถึงตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อมหรือเก็บงำอำพรางใดๆ

[3] เป็นสำนวนซึ่งสะท้อนแนวคิดทางปรัชญา มีที่มาจากการที่จวงโจว (จวงจื่อ) นอนหลับฝันว่าตนกลายร่างเป็นผีเสื้อ เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนยังอยู่ในร่างมนุษย์ จึงเกิดความสงสัยว่า แท้ที่จริงแล้วตัวตนในตอนนี้คือจวงโจวคนที่หลับฝันว่ากลายร่างเป็นผีเสื้อ หรือว่าเป็นผีเสื้อที่หลับฝันแล้วกลายร่างเป็นจวงโจว มักใช้กล่าวถึงความไม่แน่นอนในชีวิตมนุษย์

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า