ยุคสมัยแห่งธิดาอ๋อง
王女韶华
溪畔茶 ซีพั่นฉา เขียน
ภวิษย์พร แปล
— โปรย —
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
บทที่ 49
หลังจากที่มู่หยวนอวี๋มาถึงเมืองหลวงก็ไปยังจวนเหวินกั๋วกง หลักๆก็เพื่อจัดการเรื่องที่ตระกูลเหวยมาพักอยู่ร่วมชายคา หากไม่มีเรื่องนี้ สิ่งแรกที่นางต้องทำควรเป็นการไปยื่นเรื่องที่ฝ่ายสารบรรณกลางถึงจะถูก จะอย่างไรที่นางนึกถึงเป็นคนแรกก็ไม่ใช่มู่จื่อเฟย
มู่จื่อจิ้งไม่รู้ความสลับซับซ้อนของเรื่องราวทั้งหมด เมื่อเปรียบเทียบจากมุมมองของตัวเองคนเดียวย่อมรู้สึกว่าตัวเองพ่ายแพ้ เป็นเหตุให้ตอนที่มีคนถามถึงในงานเลี้ยง ไม่อาจข่มกลั้นความริษยาในใจ จึงไม่ได้ช่วยรักษาหน้ามู่หยวนอวี๋ กลับพูดโพล่งออกมา
มู่หยวนอวี๋คิดแล้วก็หันไปสั่งความหมิงฉิน “เอาของที่นำมาฝากพี่หญิงหกออกมา ให้เตาซานไปส่ง บอกกับพี่หญิงหกว่า ข้ามาเมืองหลวงมีธุระมากมายต้องทำ ทีแรกก็ต้องจัดการเรื่องที่ญาติฝั่งแม่สามีของพี่หญิงสามมาอาศัยในจวน ต่อมา ด้วยว่าปรับตัวเข้ากับอากาศของเมืองหลวงไม่ได้จนล้มป่วยเพราะต้องลมหนาว จึงไม่ได้ไปเยี่ยมนางถึงจวน”
หมิงฉินพยักหน้ารับ “เตรียมของไว้นานแล้วเจ้าค่ะ แต่เพราะซื่อจื่อล้มป่วยเสียก่อนก็เลยไม่ทันนึกถึงเรื่องนี้ ข้าจะไปบอกเตาซานเดี๋ยวนี้เลย”
ซินหรูที่ยืนอยู่ทำอะไรไม่ถูก ร้อนใจขึ้นมาครามครัน “ซื่อจื่อ กูไหน่ไนหกไม่รู้…ไม่รู้เรื่องที่ตระกูลเหวยมาอาศัยพักที่บ้านนี้…”
ในยามที่เตียนหนิงอ๋องไม่อยู่เมืองหลวง จวนนี้ย่อมอยู่ในสภาวะปิดตายไม่ต้อนรับแขก มู่จื่อจิ้งไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ ในฐานะลูกสะใภ้ของผู้อื่นด้วยแล้วจะทำอะไรย่อมไม่มีอิสระมากนัก อีกทั้งเหตุผลที่ตระกูลเหวยย้ายออกมาจากจวนเหวินกั๋วกงไม่ได้น่าชื่นชมสักเท่าไหร่ การมาขออาศัยบ้านคนอื่นก็ยิ่งไม่ควรนำมาป่าวประกาศ ด้วยเหตุนี้เรื่องราวจึงถูกจัดการอย่างเงียบๆ
แล้วก็เพราะมู่หยวนอวี๋เดาได้ว่ามู่จื่อจิ้งไม่รู้เรื่อง…หาไม่แล้วหากนางรู้จุดอ่อนที่ใหญ่ขนาดนี้ของมู่จื่อเฟย มีหรือจะไม่เอาออกมาใช้ เหวินกั๋วกงไม่รู้ แต่มู่จื่อจิ้งเป็นอริกับมู่จื่อเฟยมานานหลายปี ทำไมจะมองไม่ออกว่านางไม่มีความกล้าที่จะพูดเรื่องขอให้คนตระกูลเหวยมาอาศัยในจวนต่อหน้าเตียนหนิงอ๋อง ด้วยเหตุนี้ จึงต้องการอธิบายให้นางเข้าใจอย่างชัดเจน
หลังจากนี้สองพี่น้องจะมีปฏิกิริยาต่อกันอย่างไร นางก็ไม่สนใจแล้ว
“เจ้ากลับไปบอกกูไหน่ไนของเจ้าว่า หากนางชอบที่จะฆ่าแกงกันเองระหว่างพี่น้อง ก็ให้ทุกคนออกมาปะทะกันซึ่งหน้าให้สาแก่ใจ…ไปเรียกหมิงฉินกลับมา”
กวานฉีรีบรับคำแล้ววิ่งออกไปเรียกหมิงฉินที่เพิ่งเดินออกไปนอกเรือนให้ย้อนกลับมาอีกครั้ง
มู่หยวนอวี๋ย้ำประโยคนั้นกับหมิงฉินอีกรอบ “บอกให้พี่เตาซานถ่ายทอดประโยคเมื่อครู่นี้อย่าให้มีตกหล่น แล้วก็บอกกับพี่หญิงหกด้วยว่า หากจะทะเลาะกันก็ให้แตกหักกันไปเลย อย่าเอาแต่แทงข้างหลังอยู่แบบนี้ จะสนุกตรงไหน หากยังไม่หายแค้น ถึงเวลานั้นก็รอดูเถอะ ระหว่างพวกนางไม่ว่าใครชนะใครแพ้ คนอื่นก็ล้วนรอหัวเราะเยาะอยู่”
คนในห้องไม่มีใครกล้าส่งเสียง มีเพียงหมิงฉินคนเดียวที่รับคำเบาๆ “เจ้าค่ะ”
มู่หยวนอวี๋หันไปยิ้มมองซินหรู “หากพูดกันแค่ข้อนี้ กูไหน่ไนของพวกเจ้านับว่าได้เปรียบ ถูกคนหัวเราะเยาะมาได้ตั้งสองสามปี คงจะชินแล้วกระมัง พี่หญิงหกไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน น่าจะเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ”
น้ำตาของซินหรูหยดแหมะ นางคิดไม่ถึงเลยว่าวันนั้นมู่หยวนอวี๋ไม่ได้ทำอะไรกับมู่จื่อเฟยที่แอบเอาบ้านตระกูลมู่ให้คนอื่นอยู่อาศัย อีกทั้งยังช่วยนางปกปิดคนในจวนเหวินกั๋วกงด้วย แต่มาวันนี้ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงกลับแสดงชัดว่าโกรธจัด…ไม่สิ อันที่จริงก็ไม่ได้ถึงขั้นนั้น แต่ทุกถ้อยคำทุกประโยคที่เอ่ยออกมากลับเหมือนมีดเล่มหนึ่งที่แทงซ้ำย้ำจุดเดิม ซึ่งซื่อจื่อไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน หากจะทำแบบนี้ก็ไม่สู้ด่านางแรงๆสักทียังจะดีซะกว่า!
กวานฉีเห็นว่ามู่หยวนอวี๋ไม่พูดอะไรอีกก็ลากซินหรูเดินออกไป “พอได้แล้ว ยังจะยืนบื้ออยู่ทำไม กลับไปรายงานกูไหน่ไนของเจ้าซะ แล้วบอกนางด้วยว่าตลอดหลายปีมานี้ซื่อจื่อของพวกเราไม่เคยพูดจารุนแรงกับใคร นางทำให้เขาแหกกฎตัวเองได้ ถือว่ามีความสามารถนัก”
ซินหรูร้องไห้กระซิกๆ รีบจากไป
พอกวานฉีหันกลับมาก็เห็นว่ามู่หยวนอวี๋นั่งเหม่ออยู่เพียงลำพัง สีหน้ากลัดกลุ้มจึงตรงเข้าไปปลอบใจนาง “มีอะไรให้ซื่อจื่อต้องโมโหพวกนางเจ้าคะ ซื่อจื่อดีต่อพวกนางมากแล้ว พวกนางไม่รู้จักความหวังดีของผู้อื่นเอง จะต้องสนใจพวกนางอีกทำไม นับจากนี้ไปไม่ต้องยุ่งกับพวกนางเลยถึงจะสบายใจที่สุด”
มู่หยวนอวี๋ถอนหายใจ “ข้าไม่ได้โกรธ แค่รู้สึกเบื่อ เจ้าว่าท่านพ่อจะหาผู้หญิงมากมายขนาดนั้นมาทำไม ลูกต่างแม่แต่ละคนที่คลอดออกมาก็เอาแต่ทะเลาะชิงดีกันเอง และสุดท้ายแล้วก็ไม่เห็นเขาจะชอบใครจริงๆสักคน”
กวานฉีกล่าว “ทำไมจะไม่มีเจ้าคะ ก็บุตรชายคนใหม่นั่นไงที่ท่านอ๋องชอบนัก ถึงขนาดบีบให้ท่านต้องออกจากบ้าน”
มู่หยวนอวี๋ตะลึง ลองคำนวณเวลาดูแล้วเอ่ยว่า “จริงด้วย เจ้าไม่พูดข้าก็ลืมไปแล้ว หลิ่วฮูหยินมีกำหนดคลอดตอนเดือนเก้า คำนวณเวลาดูจดหมายก็น่าจะมาถึงแล้ว เพียงแต่ยังไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นชายหรือหญิง”
นี่ไม่ใช่หัวข้อพูดคุยที่ดีเลย กวานฉีรู้สึกเสียใจที่ตัวเองปากเปราะจึงรีบชวนมู่หยวนอวี๋เปลี่ยนเรื่อง “จะไปสนทำไม ซื่อจื่ออยู่ไกลถึงเมืองหลวง ต่อให้หลิ่วฮูหยินออกลูกเป็นไข่ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเรา นับตั้งแต่ที่พวกเรามาถึงเมืองหลวงก็ยังไม่เคยได้ไปเดินเล่นกันอย่างจริงจังเลย ไม่สู้เรียกคุณชายสามให้ออกไปเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์ด้วยกันดีไหมเจ้าคะ ข้าได้ยินมาว่าห่างจากที่นี่ไปไม่ไกลมีถนนสายหนึ่งชื่อฉีผานซึ่งครึกครื้นมาก มีของครบจากทั้งเหนือใต้ออกตก ข้าจะไปเตรียมเตาอุ่นมือมาให้ซื่อจื่อเพิ่มอีกสองใบ รับรองว่าไม่หนาวแน่นอน”
มู่หยวนอวี๋ลังเลใจ นางไม่ได้รู้สึกเสียอารมณ์กับเรื่องของพี่สาวต่างมารดาทั้งสองคน ประโยคที่นางกล่าวกับซินหรูไม่ใช่ว่าต้องการเสียดสีเยาะเย้ย แต่นางคิดอย่างนั้นจริงๆ ชอบทะเลาะก็ทะเลาะกันเสียให้พอ ตัวเองขุดหลุมฝังตัวเอง วันเวลาที่จะต้องเสียใจภายหลังย่อมรอพวกนางอยู่
ส่วนเรื่องที่นางถูกทำให้เดือดร้อนเล็กน้อยนั้น นางไม่สนใจสักนิด เพราะเดิมทีนางก็ไม่อยากเป็นบุคคลที่สะอาดเอี่ยมไร้มลทินอยู่แล้ว ซื่อจื่อของอ๋องต่างแซ่ผู้หนึ่งที่สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าใครเห็นก็ต่างชื่นชม จะวางตัวแบบนั้นเพื่อจุดประสงค์อะไรเล่า
มู่หยวนเม่าที่ได้ยินว่าจะออกไปเที่ยวก็เห็นด้วยทันที หลายวันมานี้เขาก็อุดอู้อยู่เหมือนกัน จึงรีบสวมเสื้อผ้าแน่นหนาแล้ววิ่งมาหามู่หยวนอวี๋ ก่อนจะออกไปข้างนอกด้วยกัน
ถนนฉีผานตั้งอยู่นอกประตูต้าหมิง อยู่ใกล้กับวังหลวงมาก แล้วก็สมกับชื่อถนน เพราะถนนสายนี้ลักษณะเหมือนกับกระดานหมากที่มีสิบช่องตัดสลับกัน รอบนอกมีรั้วหินขาวล้อมเป็นวง เนื่องจากด้านในรั้วสามารถตรงเข้าสู่ประตูต้าหมิง จึงไม่อนุญาตให้ขายของ แต่นอกรั้วกลับมีพ่อค้าจากทั่วสารทิศมารวมตัวกัน ไม่ว่าของแปลกหายากอะไรก็ล้วนมี จึงนับเป็นย่านการค้าสำคัญของเมืองหลวง
เรื่องนี้เข้าใจได้ง่ายมาก ด้านในประตูต้าหมิงก็คือหน่วยงานส่วนกลางของราชสำนักอย่างหกกรม พวกขุนนางในที่ว่าการเหล่านี้มีใครบ้างที่ขาดแคนเงินทอง หากถนนฉีผานไม่ครึกครื้นเจริญรุ่งเรืองสิถึงจะแปลก
ชีวิตนี้ของมู่หยวนอวี๋สามารถพูดประโยคหนึ่งที่ตรงกันข้ามกับคนทั่วไปได้อย่างเฉยเมยว่า ไม่ว่านางจะขาดอะไร สิ่งเดียวที่ไม่ขาดก็คือเงินทอง
เตียนหนิงอ๋องคือตระกูลฝ่ายบู๊ คนในแต่ละรุ่นล้วนใช้ชีวิตกันไม่ง่าย แต่ไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหน เงินจากสงครามก็คือเงินที่ได้มาง่ายที่สุด แต่อย่าเข้าใจผิด คนของจวนเตียนหนิงอ๋องไม่ได้ดื่มเลือดทหาร แล้วก็ไม่ได้ยักยอกเสบียงของราชสำนัก เพราะไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น บริเวณโดยรอบชายแดนทางตอนใต้มีแคว้นเล็กๆอยู่หลายแคว้น ชาวบ้านยากจน บ้านเมืองก็ไม่ได้เจริญรุ่งเรืองอะไร แต่ทรัพยากรกลับอุดมสมบูรณ์อย่างมาก ทำสงครามกับคนเหล่านี้รอบหนึ่ง คนของจวนเตียนหนิงอ๋องก็ได้กินอิ่มจนอวบอ้วนขึ้นรอบหนึ่ง ส่วนทางฝ่ายของพระชายาเตียนหนิงอ๋อง หากพูดกันถึงเรื่องนี้ ครอบครัวเดิมของนางคือตระกูลถู่ซือขนาดใหญ่ของท้องถิ่น ดูแลหมู่บ้านที่อยู่ในภูเขาลึกนับไม่ถ้วน รวมไปถึงเหมืองแร่เงินบางแห่งในภูเขาลึกที่แส้ยาวของราชสำนักยืดไปไม่ถึง…และในสินเดิมของพระชายาเตียนหนิงอ๋องก็มีเหมืองที่ว่านี้รวมอยู่ด้วยหนึ่งแห่ง
แม้มีเงินทองมากถึงเพียงนี้ แต่มู่หยวนอวี๋กลับไม่มีความต้องการในการจับจ่ายใช้สอยมากนัก และนางก็ไม่ใช่คนเลือกกินเลือกใช้ มีอะไรให้กินนางก็กินอย่างนั้น มีอะไรให้ใส่นางก็ใส่อย่างนั้น แน่นอนว่าด้วยสถานะของนาง ต่อให้จะไม่ใส่ใจอะไรนัก แต่ของที่กินที่ใช้ก็ล้วนเป็นของชั้นเลิศเสมอ
วันนี้ออกมาเดินเล่นข้างนอก ความสนุกนั้นอยู่ที่คำว่าเดินเล่น
ขณะที่กำลังเดินเตร่อย่างอารมณ์ดีกลับเจอคนคุ้นเคยคนหนึ่ง
กั๋วจิ้วน้อยแห่งตระกูลหลี่
พอเขาเห็นมู่หยวนอวี๋ก็ดวงตาเป็นประกาย ตะโกนเรียกเสียงดังมาแต่ไกล “อ้าว หายป่วยแล้วหรือ!”
มู่หยวนอวี๋ไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่รับของขวัญของคนอื่นมาแล้วก็ย่อมต้องคืนกลับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ท่านกั๋วจิ้วเกรงใจเกินไปแล้ว ข้าก็แค่เป็นหวัดเล็กน้อยเท่านั้น ท่านยังอุตส่าห์ส่งของขวัญชิ้นใหญ่มาให้”
หลี่เฟยจางโบกมืออย่างแรง “แค่โสมสองต้นเท่านั้น ไม่มีค่าอะไร! พวกเจ้าสองพี่น้องมาเดินเล่นกันหรือ พวกเจ้าเพิ่งมาอยู่เมืองหลวงได้ไม่นาน ข้าเองก็ไม่มีอะไรทำพอดี หากไม่รังเกียจ ข้าจะเป็นคนนำเที่ยวให้เอง…จะบอกเจ้าให้นะ ในเมืองหลวงมีสถานที่น่าสนใจเยอะเชียวละ ถนนฉีผานนี้หากคิดจะซื้อของก็ได้อยู่ แต่ถ้าหวังอย่างอื่นกลับไม่มีอะไรน่าสนใจ ไม่ต้องกลัว พวกเจ้าสองพี่น้องหน้าอ่อนขนาดนี้ ข้าไม่พาพวกเจ้าไปสถานที่ที่ไม่ดีหรอก ไปดูชนไก่กันไหม ลองเล่นสักตาสองตา ช่วงฤดูหนาวที่อากาศหนาวเย็นแบบนี้ การละเล่นอย่างอื่นหาทำได้อยาก มีแค่ที่นี่เท่านั้นที่ยังพอจะคึกคักอยู่บ้าง”
มู่หยวนอวี๋รู้ คำว่าชนไก่แท้จริงแล้วก็คือการพนันอย่างหนึ่ง หลี่เฟยจางเป็นคนแบบนี้ เวลาเล่นทีต้องลงเดิมพันไม่ใช่น้อยๆ มาถึงก็เตรียมจะลากพวกเขาไปเล่นการพนัน ยังมีหน้ามาพูดว่าจะไม่พาพวกเขาไปสถานที่ที่ไม่ดี…ถ้าอย่างนั้นหากเป็นสถานที่ที่ไม่ดีจริงๆจะไม่ดีถึงขนาดไหน
นางบังเกิดความระแวงจึงส่ายหน้า “ท่านกั๋วจิ้วไปเองเถิด ข้าไม่ชอบเห็นไก่ที่จิกกันจนเลือดอาบ พวกเราเดินเล่นอยู่ที่นี่ก็ดีมากแล้ว”
“เจ้าเป็นชายชาตรี วันหน้าต้องรับหน้าที่พิทักษ์ชายแดนแทนบิดาของเจ้า จะกลัวเลือดได้อย่างไร” หลี่เฟยจางไม่ยอมแพ้ ยังตอแยไม่เลิกรา พยายามหาเหตุผลบิดเบี้ยวมาพูดชักชวนนาง “แค่ไก่สองตัวเท่านั้น มีอะไรให้ต้องกลัวกัน เจ้าไปดูครั้งเดียวก็จะพบความบันเทิงเอง ใช่แล้ว…เจ้ากลัวว่าข้าจะทำร้ายเจ้าใช่หรือไม่ ไม่มีทางหรอก พวกเราเองก็ถือว่าถ้าไม่ตีกันก็ไม่ได้รู้จักกัน ลูกผู้ชายอกสามศอก ใครจำความแค้นข้ามคืน คนผู้นั้นก็ไม่ใช่คนดี!”
เขาพูดแล้วก็ตบอกตัวเองเสียงดังป้าบๆ
มู่หยวนอวี๋ยังคงส่ายหน้า “ข้าไม่กลัวเลือด แล้วก็ไม่กลัวว่าท่านจะทำร้ายข้า” นางชี้ไปยังเตาซานที่อยู่ห่างไปไม่ไกล “ท่านยังจำเขาได้ไหม พี่เตาซานมีฝีมือขนาดนี้ คิดจะจัดการกับท่านสักแปดคนก็ยังไม่เป็นปัญหา”
“นั่นสิ!” มู่หยวนเม่าที่อยู่ข้างๆช่วยพูด “อย่าคิดจะพาน้องอวี๋ไปทำเรื่องเสื่อมเสีย หากยังมีความคิดชั่วร้ายอีก ท่านโดนอัดน่วมแน่”
“ใครมีความคิดชั่วร้าย ข้าจะพาพวกเจ้าไปเล่นสนุกด้วยความหวังดีแท้ๆ” หลี่เฟยจางทำหน้าน้อยใจ “หากไม่อยากไปจริงๆก็ช่างเถอะ ข้าไม่คิดจะบังคับพวกเจ้าสักหน่อย แล้วพวกเจ้าอยากจะเล่นแบบไหนล่ะ ขอแค่บอกมา ในเมืองหลวงแห่งนี้ไม่มีสถานที่ใดที่ข้าไม่รู้จัก”
มู่หยวนอวี๋กล่าว “ก่อนหน้านี้ข้าก็บอกแล้วว่าอยากเดินเล่นแค่ที่นี่เท่านั้น”
“ที่นี่มีอะไรน่าดู…”
เมื่อบทสนทนาเริ่มวนกลับมาที่เดิม มู่หยวนอวี๋จึงเอ่ยเรียก “พี่เตาซาน”
หลี่เฟยจางเห็นเตาซานขยับไหล่ก้าวอาดๆเข้ามาด้วยท่าทางเกียจคร้านก็รีบยกมือยอมแพ้ทันที “ได้ๆๆ เจ้าอยากจะเดินเล่นก็เดินไป เจ้านี่มันไม่รู้จักความหวังดีของคนอื่นบ้างเลย”
ขณะหมุนตัวเตรียมจะพาข้ารับใช้จากไปอย่างไม่สบอารมณ์กลับชนขุนนางสวมชุดสีเขียวผู้หนึ่งเข้าเต็มเปา
ชุดสีเขียวอย่างมากสุดก็คือขุนนางขั้นห้า หลี่เฟยจางจึงหันไประบายอารมณ์ใส่เขาทันที “เจ้าไม่มีตาหรือไร รู้ไหมว่าชนโดนใครน่ะฮะ!”
หลี่เฟยจางก็เป็นเช่นนี้ วางตัวเผด็จการอยู่ในเมืองหลวงมานาน พวกขุนนางส่วนใหญ่ล้วนรู้จักเขาดี ขุนนางชุดเขียวที่หอบหายใจจึงยกมือขึ้นกุมคำนับ “ท่านกั๋วจิ้วโปรดอภัย ข้าน้อยจะรีบไปแจ้งพระราชโองการแก่มู่ซื่อจื่อ ไม่ทันระวังว่าท่านกั๋วจิ้วจะหมุนตัวกลับมากะทันหันเลยพุ่งมาชนท่าน”
เมื่อได้ยินว่ามาหานาง มู่หยวนอวี๋จึงมองใบหน้าของขุนนางชุดเขียวผู้นั้น บังเอิญยิ่งนัก เขาก็คือขุนนางคนที่รับสมุดคำร้องของนางในวันนั้น นางจึงเดินไปหา พร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฮ่องเต้เรียกข้าเข้าเฝ้าหรือ ข้าไม่รู้เพราะออกมานอกบ้าน ลำบากใต้เท้าต้องวิ่งวุ่นแล้ว”
ขุนนางชุดเขียวปรับลมหายใจให้สงบ ส่ายหน้า “หามิได้ มีขุนนางฝ่ายตรวจการกล่าวโทษซื่อจื่อ ฮ่องเต้ทรงให้คัดลอกหนังสือกล่าวโทษฉบับนั้นมาให้ซื่อจื่ออ่านด้วยตัวเอง เมื่ออ่านจบแล้วก็ให้ท่านเขียนหนังสือโต้แย้งกลับไป”
เขาพูดจบแล้วก็หยิบเอาหนังสือฉบับหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ
นี่ไม่ใช่หนังสือเรียกตัวที่เป็นทางการ ไม่จำเป็นต้องถวายคำนับ มู่หยวนอวี๋เพียงยื่นมือสองข้างออกไปรับด้วยความประหลาดใจ
เมื่อคลี่ออกอ่าน เนื้อความขึ้นต้นระบุว่า “กระหม่อมหวาหมิ่นขอกล่าวโทษมู่หยวนอวี๋ซื่อจื่อเตียนหนิงอ๋องว่าเป็นบุคคลผู้ไร้มารยาทที่ขุนนางพึงมี กำเริบเสิบสานไม่เคารพกฎระเบียบ กระทำตามอำเภอใจไม่สำรวม…”
มู่หยวนอวี๋อ่านถึงแค่ตรงนี้ ลมวูบหนึ่งก็พัดมาทำให้กระดาษสะบัดปลิว นางจึงพับเก็บอย่างระมัดระวัง แล้วเงยหน้าถามหลี่เฟยจาง “ท่านเป็นคนทำ”
หลี่เฟยจางเองก็กำลังเหล่ตาอ่านอยู่เหมือนกัน พอเงยหน้าขึ้นมาสบตามู่หยวนอวี๋ก็ถึงกับสะดุ้งตกใจ “ไม่ใช่สักหน่อย! หากข้าทำจะยังมารออยู่ตรงนี้หรือ”
มู่หยวนเม่าไม่เชื่อ ถลึงตาใส่เขา “ไม่ใช่ท่านทำแล้วยังจะมีใครอีก เมื่อครู่นี้ยังคิดจะลากพวกเราไปดูไก่ชนอะไรนั่นอยู่เลย เป็นเพราะคิดจะเพิ่มโทษอีกข้อหนึ่งให้น้องอวี๋ใช่หรือไม่!”
การเล่นไก่ชนและพนันหมาวิ่งแข่งไม่ถือเป็นความผิด แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ลูกหลานตระกูลดีๆจะเข้าไปข้องเกี่ยวด้วย หลี่เฟยจางหวนนึกถึงการกระทำของตัวเองก่อนหน้านี้แล้วพลันทำสีหน้าเหมือนคนมีร้อยปากก็ยากจะแก้ตัว
แต่ไม่ว่าหลี่เฟยจางจะแก้ตัวอย่างไร มู่หยวนอวี๋ก็ไม่มีเวลามาสนใจเขาแล้ว หลังจากเอ่ยขอบคุณขุนนางชุดเขียวและบอกลาแล้วก็รีบหมุนตัวกลับขึ้นรถม้าไป
ท่ามกลางเสียงล้อรถม้าบดกับถนน มู่หยวนอวี๋หยิบหนังสือที่ถูกคัดลอกออกมาอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นจนจบอีกรอบ
ผู้ตรวจการนาม “หวาหมิ่น” ผู้นี้เขียนบทความได้ดี นางเข้าเมืองหลวงมาได้ไม่ถึงครึ่งเดือน เวลาส่วนใหญ่ยังหมดไปกับการรักษาตัวเพราะไม่สบาย แต่เขากลับกล่าวโทษนางได้ถึงห้าข้อใหญ่
ข้อแรกคือ “ไร้มารยาทที่ขุนนางพึงมี” ซึ่งแค่เห็นข้อกล่าวหาก็ทำให้คนหวาดกลัว โดยเขียนบรรยายไว้อย่างละเอียดว่านางรังแกองค์ชายรองจูจิ่นเซินต่อหน้าผู้คนแบบไหน
ข้อที่สอง “กำเริบเสิบสานไม่เคารพกฎระเบียบ” บอกว่านางทุบตีกั๋วจิ้วกลางถนนอย่างไร
ข้อที่สาม “กระทำตามอำเภอใจไม่สำรวม” ข้อนี้ออกจะคลุมเครือเล็กน้อย ความหมายโดยรวมก็คือนางมาจากชายแดน ไม่รู้จักกฎระเบียบ ไม่เข้าใจมารยาท
ข้อที่สี่ “ฟุ้งเฟ้อเกินขอบเขต” พูดถึงเรื่องที่นางซื้อหนังสัตว์ในร้านขายหนัง บรรยายเสมือนเห็นกับตาตัวเองว่าหลังจากนางจากไปแล้ว ร้านนั้นเหลือเพียงผนังสี่ด้านที่ว่างเปล่าเหมือนถูกปล้นอย่างไรอย่างนั้น
…อย่านึกว่าข้อสุดท้ายที่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยหยุมหยิม ผู้ตรวจการจะร้องเรียนไม่ได้ ชื่อว่าผู้ตรวจการที่คอยให้การทัดทานนี้ไม่ได้แต่งตั้งให้แค่ในนาม ตามระบบของราชสำนัก เดิมทีพวกเขาก็มีหน้าที่ต้องชี้เป้าอยู่แล้ว ปีไหนเดือนไหนต้องกล่าวโทษกี่คนกี่เรื่อง หากถึงระยะเวลาที่กำหนดแล้วยังไม่สามารถทำภารกิจกล่าวโทษได้มากพอ การตรวจสอบนี้ก็จะลามไปถึงตัวพวกเขาเอง ดังนั้นบางครั้งที่เวลาอยู่ในท้องพระโรงแล้วหมวกบนศีรษะของขุนนางใหญ่บางคนเอียงเล็กน้อยก็ยังเป็นเหตุให้ถูกกล่าวโทษได้ และโทษนั้นก็คือ “ไม่เคารพพิธีการ”
มู่หยวนอวี๋ถือหนังสือฉบับนั้นไว้ในมือแล้วครุ่นคิด มู่หยวนเม่าที่นั่งอยู่ด้านข้างเห็นสีหน้าของมู่หยวนอวี๋ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ควรรบกวนจึงนั่งกลัดกลุ้มอยู่กับตัวเองเงียบๆ
ขณะที่รถม้าใกล้จะถึงบ้านตระกูลมู่ มู่หยวนอวี๋ก็คืนสติจากภวังค์ของการครุ่นคิด จึงหันมาพูดกับมู่หยวนเม่า “พี่ชายสาม ท่านกลับบ้านไปพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าต้องออกไปข้างนอกอีกสักรอบ”
มู่หยวนเม่าถามนาง “ไปที่ไหน”
“จวนสืออ๋อง” มู่หยวนอวี๋ตอบ “เรื่องนี้เกี่ยวพันกับองค์ชายรอง ข้าไม่อาจเขียนคำโต้แย้งกลับไปได้ด้วยตัวเอง จำเป็นต้องถามความเห็นขององค์ชายรองก่อน”
มู่หยวนเม่าพยักหน้ารับ “ได้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็รีบกลับมานะ หากมีเรื่องอะไรที่ไม่ดี ห้ามปิดบังข้าเด็ดขาดเลย ข้าเองก็ช่วยออกความเห็นให้เจ้าได้เหมือนกัน”
มู่หยวนอวี๋ยิ้มรับ “ตกลง แต่ไม่มีเรื่องร้ายแรงอะไรหรอก ท่านไม่ต้องเป็นห่วง”
มู่หยวนเม่าลงจากรถไปด้วยความเป็นห่วง รถม้าเคลื่อนออกไปยังทิศทางที่ตั้งของจวนสืออ๋อง