ยุคสมัยแห่งธิดาอ๋อง
王女韶华
溪畔茶 ซีพั่นฉา เขียน
ภวิษย์พร แปล
— โปรย —
มู่หยวนอวี๋ ซื่อจื่อน้อยแห่งนครอวิ๋นหนาน
แม้อายุอย่างน้อย แต่กลับกุมความลับที่ยิ่งใหญ่ของตระกูลเอาไว้
หากความลับที่ว่านี้แพร่งพรายออกไป ไม่เพียงจะนำภัยมาถึงตน
คนรอบกายอย่างบิดาและมารดาย่อมไม่อาจรอดพ้น
เมื่อวันเวลาผันผ่าน บิดาไม่คิดปกป้อง
ซื่อจื่อน้อยย้อมต้องหาวิธีเอาตัวรอด ด้วยการเดินทางไปยังเมืองหลวง
พึ่งใบบุญของโอรสสวรรค์ ดังคำกฃ่าวที่ว่า ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด
การเดินทางไปยังเมืองหลวงของมู่หยวนอวี๋ในครั้งนี้ จะช่วยรักษาความลับ
อีกทั้งชีวิตน้อยๆ ของตนเองและชีวิตของคนในครอบครัวไว้ได้หรือไม่
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
บทที่ 5
นางข้ามมิติมาตอนที่เด็กคนนี้อายุห้าขวบ
ตอนที่นางเพิ่งมาถึง เด็กคนนี้กำลังมีไข้สูง พระชายาเตียนหนิงอ๋องนั่งหลั่งน้ำตาอยู่ข้างเตียง สวี่หมัวหมัวก็ร้องไห้ ปากพร่ำพูดว่า “ซื่อจื่อช่างชะตารันทด”
นางนึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่เข้ามาอยู่ในร่างผู้ชาย
ในฐานะเด็กกำพร้า นางไม่มีคนให้ห่วงพะวง คิดตกได้กับทุกเรื่อง กลัดกลุ้มเป็นกังวลอยู่ได้ไม่นานก็ปลอบใจตัวเองได้ ขนาดโลกยังเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนเพศอีกอย่างจะเป็นไรไป มีโอกาสได้ลิ้มรสความรู้สึกใหม่ของชีวิตก็ไม่มีอะไรที่ไม่ดี
ทว่ากลางดึกของคืนวันนั้น เมื่อไข้สูงลดลง สติกลับคืนมา นางดื่มยามากเกินไปจึงปวดท้องน้อย สาวใช้คนสนิทพาไปปลดทุกข์ พอถอดกางเกงตัวบางลง นางก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
แม้ว่านางจะไม่เคยเป็นผู้ชายมาก่อน ไม่รู้ว่าเมื่อเปลี่ยนชุดที่สวมใส่จะให้ความรู้สึกแบบใด แต่กลับมีประสบการณ์ในการเป็นผู้หญิงดีเยี่ยม
นี่…ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรแตกต่างเลยนะ
นางพยายามก้มหน้าลงมอง ก็ไม่มีอะไรแตกต่างจริงๆ!
…
ปัญหาค่อนข้างซับซ้อน
ที่แท้ก็คือหญิงปลอมเป็นชาย
แบบนี้สู้ข้ามมิติมาเข้าร่างผู้ชายยังจะดีกว่า
นางอายุน้อย ไม่มีใครระแวดระวังนางนัก เมื่อสังเกตการณ์อยู่ระยะเวลาหนึ่ง ในที่สุดก็เข้าใจว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร
นี่ไม่ใช่ความใจกล้าบ้าบิ่นของพระชายาเตียนหนิงอ๋องผู้เป็นมารดาของนางคนเดียว แต่นี่คือความคิดของเจ้านายผู้สูงศักดิ์ที่สุดในจวนแห่งนี้ คือแผนการของเตียนหนิงอ๋อง
เดิมทีสถานการณ์วันที่นางถือกำเนิดค่อนข้างจะพิเศษ เตียนหนิงอ๋องขึ้นเขาไปล่าสัตว์ แต่ถูกลอบสังหาร เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด แม้ว่าจะโชคดีได้หลิ่วฮูหยินบุตรสาวขุนนางที่ทำผิดถูกเนรเทศมาอยู่ชายแดนใต้ผ่านทางมาช่วยชีวิตและนำตัวไปซ่อนไว้ ทว่ารอจนองครักษ์ของจวนเตียนหนิงอ๋องไปพบและคุ้มครองส่งกลับมารักษาที่จวนอ๋อง เนื่องด้วยบาดเจ็บสาหัสเกินไป วนเวียนอยู่บนด่านความเป็นความตายหลายวัน ไม่อาจหลุดพ้นจากอันตรายได้เสียที
และตอนนั้นเตียนหนิงอ๋องก็มีบุตรสาวอยู่เพียงสี่คน ไม่มีบุตรชาย
หากเตียนหนิงอ๋องไม่หายดี ผู้สืบทอดตำแหน่งอ๋องต้องกลับไปเป็นของสายสกุลนายท่านรองมู่เท่านั้น
เตียนหนิงอ๋องทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อช่วงชิงตำแหน่งนี้มา ยอมแต่งสตรีชาวไป่อี๋เป็นภรรยาเอกโดยไม่เสียดาย ซ้ำยังแตกหักกับพี่น้อง ทุ่มเทไปมากขนาดนี้ แต่ทุกสิ่งที่ทำมาอาจเป็นดั่งกระแสน้ำที่ไหลหายไปสิ้น เขาจะยอมได้อย่างไร
หากต้องยกตำแหน่งอ๋องให้นายท่านรองมู่จริงๆ เตียนหนิงอ๋องคงตายตาไม่หลับ
แถบตะวันตกเฉียงใต้อยู่ห่างจากใจกลางมามาก พลานุภาพสวรรค์แผ่ปกคลุมมาอย่างมีขีดจำกัด ดังนั้นคนจึงใจกล้า ขณะเดียวกันกับที่เตียนหนิงอ๋องดิ้นรนอยู่บนเส้นด้ายแห่งความตาย เขาก็ได้ตัดสินใจที่จะเลี้ยงบุตรสาวคนที่เจ็ดให้เป็น “บุตรชายคนแรก”
เพราะต้องปิดปากคน ระหว่างนี้เกิดเหตุการณ์นองเลือดมากเท่าไร ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ สรุปคือเตียนหนิงอ๋องมีอำนาจที่แน่นอนในถิ่นของตัวเอง ต่อให้ใกล้ตายก็ต้องทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ
หลังจากนั้นภายใต้ความร่วมมือของหมอทั่วทั้งแถบตะวันตกเฉียงใต้ เตียนหนิงอ๋องแย่งชีวิตกลับมาจากมือพญายมได้สำเร็จ ทว่าร่างกายเสียหายอย่างใหญ่หลวง โรคเก่าจึงเป็นๆหายๆติดต่อกันอยู่หลายปี แล้วก็เพราะอ่อนแอเกินไป หมอจึงยังกำชับเป็นนัยว่า หากยังไม่หายดี ทางที่ดีที่สุดคือไม่ควรใกล้ชิดกับสตรี
ตอนนั้นเตียนหนิงอ๋องอายุสี่สิบแล้ว คิดว่าขนาดตอนที่ร่างกายตนดีๆก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในการมีบุตรชายสักคน ตอนนี้เข้าใกล้สตรีไม่ได้ก็ยิ่งไม่ต้องคิดเลย อีกทั้งมือสังหารที่ลอบสังหารเขาก็ยังจับตัวไม่ได้ จึงประหนึ่งมีเข็มแทงหลังอยู่ตลอดเวลา และเขาเองก็ไม่อาจเก็บตัวอยู่ในจวนอ๋องไปได้ตลอด สักวันก็ต้องออกไป หากวันใดถูกลอบสังหารอีกครั้ง ต่อให้ไม่ร้ายแรงเกือบตายเหมือนคราวก่อน แต่เบื้องล่างเขาได้รับความเสียหายไปแล้ว ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะโชคดีรอดมาได้อีกครั้ง
สมมุติว่าเขาไม่มี “บุตรชาย” ตัวน้อยที่ยังไม่หย่านม นอกจากนี้ทั้งจวนยังมีแต่สตรีและคนชรา จะเอาอะไรไปงัดข้อกับตระกูลของพี่ชายที่มีคนเต็มบ้าน
คนป่วยฟุ้งซ่านง่าย ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เตียนหนิงอ๋องรู้สึกว่ามี “บุตรชาย” แค่คนเดียวยังไม่อาจรับประกันความปลอดภัยได้ดีพอ ดังนั้นพอมู่หยวนอวี๋อายุครบสี่ขวบ เขาเห็นว่าเด็กตัวน้อยขาวๆอวบๆคล้ายจะเลี้ยงรอดจึงขอให้ทางราชสำนักแต่งตั้งมู่หยวนอวี๋เป็นซื่อจื่อ กำหนดตำแหน่งผู้สืบทอดไว้อย่างเป็นทางการ
…
สำหรับมู่หยวนอวี๋ที่ถูกคนกำหนดเพศให้แล้ว การที่ฐานะ “ซื่อจื่อ” ของนางได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากราชสำนักถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง
หากไม่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นซื่อจื่อ เช่นนั้นแล้วไม่ว่านางจะเป็นชายหรือหญิงล้วนไม่สำคัญ เตียนหนิงอ๋องอยากจะเลี้ยงบุตรสาวให้เป็นบุตรชาย ใครจะห้ามได้ อย่างมากสุดเรื่องการแต่งงานในอนาคตของนางก็คงลำบากหน่อยเท่านั้น การเป็นบุตรสาวของจวิ้นอ๋อง ขอแค่อยากแต่งงาน จะอย่างไรก็ต้องหาคนมาแต่งด้วยได้ ไม่ถือว่าเป็นปัญหาอะไร
ทว่าการได้รับยศกลับต่างออกไป เมื่อเกี่ยวพันกับการหมุนเวียนเปลี่ยนตำแหน่งบรรดาศักดิ์ในราชสำนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนี่ยังเป็นบรรดาศักดิ์ของจวิ้นอ๋องต่างแซ่อันสูงส่งที่หลงเหลืออยู่เพียงตำแหน่งเดียวในราชสำนัก หากเรื่องนี้ถูกเปิดโปง เก้าในสิบส่วนคือนางต้องตายอย่างแน่นอน
มู่หยวนอวี๋คนใหม่เป็นทุกข์กับเรื่องนี้อยู่พักใหญ่
เป็นทุกข์ไปเป็นทุกข์มา นางก็เปลี่ยนมาเป็นไม่ยินดียินร้าย เพราะนี่เป็นเรื่องที่ถูกกำหนดไว้ก่อนที่นางจะข้ามมิติมาถึง เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ กังวลไปก็ไร้ประโยชน์ เอาแต่หวาดผวาอยู่อย่างนี้ทั้งวัน ยังไม่ทันที่ราชสำนักจะค้นพบ นางก็คงทำให้ตัวเองตกใจตายไปเสียก่อน
คำชมยาวเหยียดที่สวี่หมัวหมัวมีให้นางล้วนเป็นเพียงถ้อยคำที่สวยหรูเท่านั้น อันที่จริงนางรู้สึกว่าหากตัวเองจะมีข้อดีอะไรที่ได้เปรียบคนอื่นจริงๆก็คงเป็นความใจกว้าง
วันเวลาที่เหมือนมีมีดแขวนอยู่เหนือศีรษะ นางฝืนใจใช้ชีวิตให้ผ่านไปอย่างมีรสชาติ ภายใต้การปกป้องของพระชายาเตียนหนิงอ๋อง มารดาผู้เมตตาที่ได้มาเปล่าๆ ได้เรียนรู้นี่นั่นก็ถือว่านางนั่งอยู่บนตำแหน่งซื่อจื่อที่อันตรายนี้ได้มั่นคงพอสมควร
พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปแล้วเจ็ดปี นางปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่นี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เนื่องจากตัดสินใจแล้วว่าพรุ่งนี้จะไปเยี่ยมมู่หยวนเม่า หลังรับประทานอาหารเย็นเสร็จ พระชายาเตียนหนิงอ๋องจึงเร่งให้นางกลับไปพักผ่อน
ก่อนจะอายุสิบขวบ มู่หยวนอวี๋อาศัยอยู่ในเรือนเดียวกับพระชายาเตียนหนิงอ๋องมาโดยตลอด เมื่อสองปีก่อนนางโตแล้วจึงถูกแยกให้ไปพักในเรือนหลังเล็กของตัวเอง
แม้จะแยกเรือนออกไป แต่เรือนเล็กของนางก็อยู่ใกล้กับเรือนหรงเจิ้งมาก เดินออกจากสวนดอกไม้เล็กๆที่สร้างเพิ่มขึ้นมาภายหลังสุดของเรือนหรงเจิ้ง แล้วลอดผ่านเส้นทางที่มีต้นไผ่เรียงรายก็มาถึงเรือนเหิงซิงของนางแล้ว
ชื่อนี้มู่หยวนอวี๋เป็นคนตั้งด้วยตัวเอง ความหมายแฝงก็คือไม่ว่ากาลเวลาจะหมุนย้อนกลับอย่างไร ดาราดารดาษบนท้องฟ้าเหนือศีรษะก็ยังคงเปล่งประกายพร่างพราว ไม่แปรเปลี่ยนตลอดกาล
การเคลื่อนที่ของแสงจำเป็นต้องใช้เวลาหลายปี หลายสิบปี หลายร้อยปี หรือพันปีก็ล้วนเป็นไปได้ ไม่แน่ว่าแสงดาวบางดวงที่นางมองเห็นในยุคปัจจุบันนั้นอาจจะเป็นแสงที่ส่องสะท้อนไปจากยุคนี้ก็เป็นได้
พอคิดเช่นนี้ บางครั้งที่ดื่มน้ำมากเกินไปจนสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ความรู้สึกเดียวดายที่ต้องจากบ้านพลัดถิ่นฝังตรึงลึกลงในกระดูกซึ่งถาโถมเข้าใส่ในเสี้ยววินาทีก็คล้ายจะถูกข่มทับลงไปได้
…ต่อให้นางจะใจกว้างแค่ไหน แต่ชีวิตที่ต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็ย่อมต้องมีช่วงเวลาของความผิดหวังและกลัดกลุ้มอย่างเลี่ยงไม่ได้
บ่าวรับใช้ในเรือนเหิงซิงมีอยู่ไม่มาก หากจะดูตามฐานะและตำแหน่งของมู่หยวนอวี๋แล้วก็เรียกได้ว่าน้อยจนผิดปกติ มีจางหมัวหมัวเป็นผู้ควบคุมดูแลงานทั้งหมด ในห้องมีสาวใช้ใหญ่สี่คนคอยรับใช้ใกล้ชิด นอกห้องมีสาวใช้ขั้นสองสี่คนที่ทำงานเล็กๆน้อยๆรอให้เรียกใช้ นอกจากนั้นก็ไม่มีแล้ว
ถามว่าพอใช้หรือไม่ ก็พอใช้ ผู้ใหญ่รวมกันเก้าคนคอยดูแลการกินอยู่ของเด็กคนหนึ่ง จะอย่างไรก็สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง ทว่าตระกูลอันดับหนึ่งอย่างจวนเตียนหนิงอ๋องที่เป็นรองแค่เชื้อพระวงศ์ แน่นอนว่าย่อมไม่อาจใช้คำว่า “พอใช้” มาวัดระดับในเวลาปกติได้ เพราะพวกเขาให้ความสำคัญกับความมีหน้ามีตา
หากพูดถึงเรื่องนี้ มู่หยวนอวี๋ยังเทียบกับพี่สาวทั้งหลายของนางซึ่งเป็นบุตรอนุภรรยาเมื่อครั้งยังอยู่ในจวนไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
นี่ผิดปกติจากหลักทั่วไปอยู่มาก
ทว่าทั้งเตียนหนิงอ๋องและพระชายาเตียนหนิงอ๋องต่างก็ต้องการเช่นนี้ ต่อให้จะผิดหลักมากแค่ไหนก็ไม่สำคัญ เพราะพวกเขาก็คือกฎเกณฑ์ของจวนอ๋องแห่งนี้
ไม่มีใครกล้าขอให้พวกเขาอธิบาย เมิ่งและหลิ่วสองฮูหยินต่างก็พยายามประจบเอาใจ เคยขอร้องต่อหน้าเตียนหนิงอ๋องหนึ่งครั้งก็ล้วนถูกเตียนหนิงอ๋องชักสีหน้าใส่ กล่าวอย่างชัดเจนว่า “ห้ามใครสอดปากเรื่องของเรือนเหิงซิง” นับแต่นั้นเป็นต้นมา ทุกคนก็รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร
บางทีคงกลัวว่ามากคนย่อมมากความ คนนอกอาจสอดมือเข้ามาก้าวก่ายได้ง่ายกระมัง
เหล่าบุรุษผู้แกร่งกร้าวของจวนเฟิ่งกั๋วเจียงจวินต่างก็จับจ้องพร้อมตะครุบอยู่
ตอนที่ยังไม่มีมู่หยวนอวี๋ เวลาอยู่ข้างนอกนายท่านรองมู่คอยเยาะเย้ยที่เตียนหนิงอ๋องไม่มีผู้สืบทอดอยู่หลายครั้ง
คนของเรือนเหิงซิงอาจจะน้อยไปหน่อย แต่ด้วยความสูงศักดิ์ของมู่หยวนอวี๋ เดิมทีก็ไม่จำเป็นต้องแสดงอำนาจต่อหน้าบ่าวรับใช้อยู่แล้ว ข้างกายเขามีคนน้อยแต่ได้คุณภาพกลับถือเป็นเรื่องดี
นี่ก็คือข้อได้เปรียบของผู้สูงศักดิ์ หากเป็นเรื่องที่เขาไม่อยากอธิบายก็ไม่ต้องอธิบาย คนเบื้องล่างต้องพยายามคาดเดาสาเหตุในการกระทำของเขากันเอาเอง แล้วจากนั้นก็ต้องพยายามทำความเข้าใจให้ได้
ด้วยเหตุนี้ความลับเรื่องเพศของมู่หยวนอวี๋จึงถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด คนในจวนที่รู้เพศที่แท้จริงของนาง นอกจากเตียนหนิงอ๋องและพระชายาเตียนหนิงอ๋องแล้วก็มีแค่คนสนิทที่รับใช้ใกล้ชิดอีกแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ชีวิตของคนเหล่านี้ไม่เพียงแต่ขึ้นอยู่กับความคิดของคู่สามีภรรยาเตียนหนิงอ๋อง แม้แต่ชีวิตคนในตระกูลของพวกเขาก็ล้วนอยู่ในกำมือคนทั้งคู่
ยกตัวอย่างเช่นสาวใช้ใหญ่สี่คนที่รับใช้ใกล้ชิดมู่หยวนอวี๋ในเรือนเหิงซิง เดิมทีพวกนางก็เป็นบุตรสาวโทนของครอบครัวเผ่าเหมียวกลางภูเขาลึก แรกเริ่มที่พระชายาเตียนหนิงอ๋องได้ตัวมา พวกนางต่างก็ไม่สามารถพูดภาษาฮั่น ไม่รู้ตัวอักษรฮั่น ไม่เคยมีความสัมพันธ์กับคนที่อยู่ตีนเขาแม้แต่น้อย ประหนึ่งกระดาษเปล่าสี่แผ่นที่ล้วนขึ้นอยู่กับการชี้นำของพระชายาเตียนหนิงอ๋อง ส่วนพ่อแม่และคนในตระกูลของพวกนางก็ยังคงอยู่ในภูเขาลึก รักษากฎเกณฑ์ของตระกูลพวกนางที่ว่า ปิดกั้นจากโลกภายนอกเหมือนดั่งคนในดินแดนธารดอกท้อไม่พบปะชาวประมงจากอู่หลิง[1]อย่างเคร่งครัด พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่แสวงหาโลกภายนอก ทั้งยังต่อต้านอย่างมาก การเปลี่ยนแปลงหนึ่งเดียวของสี่ตระกูลนี้มีแค่ยอมสละบุตรสาวหนึ่งคน ฐานะของตระกูลในเผ่าจึงสูงขึ้นอีกเล็กน้อยเท่านั้น
สาวใช้สี่คนที่เป็นเช่นนี้ย่อมเชื่อถือได้มาก คนนอกคิดจะซื้อตัวพวกนางก็ยากที่จะหาช่องทางลงมือ
ส่วนจางหมัวหมัวนั้นคือคนเก่าแก่ที่อยู่ข้างกายพระชายาเตียนหนิงอ๋องมาหลายสิบปี เป็นคนเผ่าเดียวกับพระชายาเตียนหนิงอ๋อง ภูมิหลังน่าเชื่อถือยิ่งกว่าสาวใช้เหล่านั้น เห็นมู่หยวนอวี๋คลอดมากับตาตัวเอง ตอนที่มู่หยวนอวี๋ยังถูกเลี้ยงอยู่ในเรือนหรงเจิ้งก็ได้นางและสวี่หมัวหมัวสองคนดูแล จนกระทั่งต้องแยกมาอยู่เรือนเล็ก นางจึงได้รับคำไหว้วานจากพระชายาเตียนหนิงอ๋องให้ตามมา
ความลับของมู่หยวนอวี๋ไม่ใช่ความลับของนางคนเดียว เบื้องหลังยังเกี่ยวพันกับความเป็นความตาย เกียรติยศและความอัปยศของทั้งจวน นับตั้งแต่ที่นางถือกำเนิดจนถึงวันนี้ ทุกคนที่รู้เรื่องล้วนพยายามช่วยกันปกป้องอย่างเต็มกำลัง
ไม่เว้นแม้กระทั่งเตียนหนิงอ๋องที่ทุกวันนี้ปฏิบัติต่อนางอย่างเย็นชา
[1] มีที่มาจาก บันทึกธารดอกท้อ ซึ่งเป็นวรรณกรรมที่เขียนโดยกวีนามว่า เถายวนหมิง ในปี ค.ศ. 421 ว่าด้วยเรื่องราวของคนกลุ่มหนึ่งที่หลบหนีจากความวุ่นวายทางสังคมและการเมืองเข้าไปอยู่ในดินแดนธารดอกท้อ อยู่มาวันหนึ่งชาวประมงจากอู่หลิงพายเรือไปเจอป่าดอกท้อ และพบดินแดนธารดอกท้อ อีกทั้งผู้คนและสิ่งมีชีวิตในดินแดนนั้นซึ่งไม่เคยพบปะผู้คนจากภายนอกและใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ผู้คนในดินแดนธารดอกท้อต้อนรับขับสู้ชาวประมงเป็นอย่างดี และเมื่อเขาเดินทางจากมา แม้จะพยายามทำเครื่องหมายบอกทางไว้แล้วก็ตาม เขาก็ไม่สามารถหาดินแดนธารดอกท้อพบอีกเลย