ยุคสมัยแห่งธิดาอ๋อง
王女韶华
溪畔茶 ซีพั่นฉา เขียน
ภวิษย์พร แปล
— โปรย —
แม้จะต้องเผชิญอุปสรรปัญหา
ล้วนฝ่าฟัน เอาตัวรอดมาได้ทั้งสิ้น
มู่หยวนอวี๋ประสบเหจุร้ายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
ความลับที่พยายามเก็บรักษามาตลอดชีวิตกลับมีคนล่วงรู้
มู่หยวนอวี๋จะรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ
และรักษาชีวิตอยู่ในเมืองหลวงได้ตลอดไปหรือไม่ …
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
บทที่ 97
กุญแจโซ่เหล็กที่คล้องประตูหลักถูกนำออกไปแล้ว
มู่หยวนอวี๋พุ่งตัวเข้าไปราวกับบิน องครักษ์เสื้อแพรที่ยืนเข้าแถวอยู่สองฝั่งเตรียมจะถอยออก ไม่มีใครรั้งนางอีก องครักษ์บางคนมองแผ่นหลังของมู่หยวนอวี๋ด้วยแววตาเจือความเลื่อมใส…นี่สมกับประโยคที่ว่า เมื่อลมพายุพัดแรงจึงรู้ว่าหญ้าต้นไหนแข็งแกร่ง ในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวาย ถึงได้มองออกว่าใครไม่ใช่ขุนนางผู้ซื่อสัตย์
ช่วงเวลาที่องค์ชายรองถูกขังไม่ใช่เวลาสั้นๆ คนที่ไม่ยอมหลบเลี่ยงการตกเป็นผู้ต้องสงสัย ยอมเสี่ยงอันตรายมาที่นี่ก็มีแต่ท่านผู้นี้ แม้ว่าใบหน้าจะเหมือนผู้หญิงไปสักหน่อย แต่กลับมีนิสัยเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ไม่เสียแรงที่เป็นผู้สืบทอดของอ๋องนักรบสกุลมู่
ในเรือนหลัก จูจิ่นเซินเองก็เพิ่งได้รู้ข่าวนี้
คนข้างนอกถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ ไม่มีใครเข้ามาอ่านพระราชโองการอะไรให้เขาฟัง แต่เพราะคนครัวที่ต้องไปรับวัตถุดิบทำอาหารที่หน้าประตูตามกิจวัตรประจำวันพบเข้า ถึงได้วิ่งตะบึงกลับมารายงานเขาอย่างกระท่อนกระแท่นวกวน
จูจิ่นเซินที่ถือถ้วยยาอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง
ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนว่าไม่เป็นความจริง
หลี่ไป่เฉ่าที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเร่ง “องค์ชาย ทรงเหม่ออะไรอยู่ ยานี้ไม่ว่าจะร้อนหรือเย็นล้วนส่งผลต่อฤทธิ์ของยา”
จูจิ่นเซินรู้สึกอิจฉาหลี่ไป่เฉ่ายิ่งนัก คนผู้นี้เรียกได้ว่าคลั่งวิชาแพทย์โดยแท้จริง ไม่ว่ามรสุมหรือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายนอกก็ไม่อาจส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเขาได้เลย สิ่งที่เขาให้ความสนใจมีเพียงสิ่งที่รัก ซึ่งก็คือการรักษาคนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
คนเรามีชีวิตได้แบบนี้ก็ถือว่าไม่เสียแรงที่เกิดมา
แต่ตัวเขากลับอับจนหนทาง เกิดมาในตำแหน่งนี้ กลับมีเรื่องราวมากมายที่ไม่อาจเป็นไปตามความต้องการ และเมื่อประตูใหญ่บานนี้เปิดออก เรื่องราววุ่นวายเหล่านั้นก็จะเข้ามาพัวพันกวนใจเขาอีกครั้ง
แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกอย่างที่ทำให้เขารำคาญใจ
ตอนที่จูจิ่นเซินวางถ้วยยาลงก็เห็นเรือนกายในชุดสีครามพุ่งเข้ามาเหมือนสายลมพัด
ความรู้สึกในก้นบึ้งของหัวใจเขาส่งผ่านมายังดวงตาซึ่งฉายแววรอยยิ้มจางๆออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ
รอยยิ้มนั้นเหมือนระลอกคลื่นที่กระเพื่อมขยายออกไป พอมู่หยวนอวี๋เข้าประตูมาก็ขยายไปทั่วใบหน้าของเขา ราวกับว่าถูกอะไรบางอย่างจุดประกายให้สว่างไสว
“องค์ชาย!”
ประตูหลักห่างจากเรือนหลักไม่ใกล้เลย อีกทั้งมู่หยวนอวี๋ยังวิ่งอ้อมมาจากทางกำแพงอีกฝั่งหนึ่ง เหงื่อจึงโซมศีรษะ แก้มแดงปลั่ง นางเอามือเท้ากรอบประตู หอบหายใจพลางมองประเมินจูจิ่นเซิน
ความรู้สึกแรกคือความไม่คุ้นเคย
ก็แค่เวลาสองปีกว่าๆ หน้าตาของจูจิ่นเซินไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปมาก สาเหตุที่สำคัญที่สุดก็คือความแตกต่างทางด้านบุคลิกของเขา
คนอื่นยิ่งถูกคุมขังยิ่งหมดคุณค่า แต่เด็กหนุ่มที่เป็นโรค ม.2 กลับแตกต่างจากทุกคน กลายเป็นว่ายิ่งถูกขังก็ยิ่งเปลี่ยนมาเป็นอ่อนโยนและสำรวมมากขึ้น…ไม่ถูกสิ ตอนนี้ไม่ใช่เด็กหนุ่มแล้ว จูจิ่นเซินยืนอยู่กลางห้องโถง ตอนนี้เป็นช่วงหน้าร้อนพอดี เขาสวมเสื้อผ้าตัวบาง แม้ว่าตอนที่ถูกขังจะไม่ได้พบเจอใคร ทว่าเขาก็ยังคงแต่งกายมิดชิดเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนเมื่อก่อน แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่แตกต่างจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง เขาไม่ได้ผอมบางอีกแล้ว
เขาไม่ได้มีหน่วยก้านเฉกเช่นเด็กหนุ่มผอมแห้งอีกแล้ว ระหว่างที่เขาเดินมาหานาง เห็นได้ชัดว่ามีพลังของบุรุษแฝงเร้นอยู่บ้างแล้ว
ส่วนสูงของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก ตอนที่ถูกกักตัวเขาก็อายุสิบแปดปีแล้ว คนที่เปลี่ยนคือมู่หยวนอวี๋ นางเปลี่ยนจากอายุสิบสี่มาเป็นอายุสิบหก เป็นช่วงเวลาที่ส่วนสูงเพิ่มเร็วที่สุด แม้ว่าในตอนนี้ที่นางมองจูจิ่นเซินก็ยังจำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ต้องแหงนหน้าเหมือนเมื่อก่อนอีก
และนี่อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้นางรู้สึกไม่คุ้นเคย
จูจิ่นเซินที่อมยิ้มน้อยๆเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ มู่หยวนอวี๋ยื่นมือออกไปหาเขา เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งมาให้นาง…
ทั้งสองกระชับมือกัน
มู่หยวนอวี๋ออกแรงกระชากเขาเข้าหาตัว
รอยยิ้มในดวงตาของจูจิ่นเซินเปลี่ยนมาเป็นความตะลึง เขาถลาไปด้านหน้า เกือบจะถูกกระชากออกไปนอกประตู โชคดีที่ยื่นมือข้างหนึ่งไปยันกรอบประตูได้ทัน ถึงหยุดร่างตัวเองให้ยืนนิ่งได้
“องค์ชาย ท่านดีขึ้นมากแล้วจริงๆด้วย”
มู่หยวนอวี๋มองไปที่หน้าอกเขาแวบหนึ่งด้วยสีหน้าอารมณ์ดีอย่างมาก “ไม่ถูกข้าดึงล้ม เห็นได้ชัดว่ายาที่กินไปไม่เสียเปล่า กล้ามเนื้อก็เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย”
จูจิ่นเซิน “…”
ท่าทางของเขาในตอนนี้เท่ากับกักตัวมู่หยวนอวี๋ไว้ระหว่างแขนของเขากับกรอบประตู
ดวงตาของมู่หยวนอวี๋ยังคงหยีโค้ง และท่าทางก็เหมือนว่าจะยื่นมือมาสัมผัสหน้าอกของเขาอยู่ทุกเมื่อเพื่อพิสูจน์ว่ากล้ามเนื้อหน้าอกของเขาตึงแน่นแข็งแรงจริงหรือไม่
จูจิ่นเซินรีบหลับตาลง พยายามควบคุมตัวเองให้ดึงมือกลับมา
ขนาดองครักษ์เสื้อแพรที่เฝ้าอยู่หน้าประตูยังรับรู้ถึงน้ำใจของมู่หยวนอวี๋ที่ไม่เคยทอดทิ้งเขา แล้วเขาจะไม่รู้ได้อย่างไร เดิมทีเขายังปล่อยให้ตัวเองคิดเพ้อเจ้อเหลวไหลตามใจตัวเองอยู่บ้าง แต่สองปีมานี้เขาตัดสินใจแล้วว่าจะฝังความคิดนี้ไว้ให้ลึกสุดใจ จะไม่ปล่อยมันออกมาหยามเกียรติมู่หยวนอวี๋อีก
ในชีวิตคนเรากว่าจะได้เจอกับสหายที่จริงใจสักคนหนึ่งช่างเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญ เขาอยากให้ความสัมพันธ์นี้ขยายออกไปนานเท่านานมากกว่าจะถูกทำลายลงด้วยความปรารถนาส่วนตัว
เขาก้าวถอยไปด้านหลัง
มู่หยวนอวี๋ค่อยโล่งอก
อะแฮ่ม ข่าวที่ประตูใหญ่ถูกเปิดมาถึงอย่างกะทันหัน นางดีใจมากถึงได้คิดเล่นอะไรแบบนี้ แต่พอกระชากตัวเขาเข้ามาหาจริงๆ เมื่อเรือนกายที่สูงเพรียวของเขาโอบล้อมเข้ามา นางก็สัมผัสได้ว่านี่คือบุรุษที่โตเต็มวัยแล้ว ความแตกต่างระหว่างชายหญิงชัดเจนมากเป็นพิเศษ
มู่หยวนอวี๋จึงได้แต่ใช้ฝีมือด้านการแสดงแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ได้แค่มองตรงสาบเสื้อของเขาเท่านั้น ไม่กล้าเงยหน้ามองสูงมากกว่านี้
หลี่ไป่เฉ่าเดินมาถลึงตาใส่นางหนึ่งที ทำลายบรรยากาศอันคลุมเครือลง “ซื่อจื่อ ท่านควรจะออมแรงสักหน่อย กว่าที่ข้าจะรักษาองค์ชายมาได้ถึงขั้นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย”
มู่หยวนอวี๋ปรับอารมณ์กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ยิ้มน้อยๆและเอ่ยว่า “ข้ารู้หนักเบา ไม่มีทางทำให้องค์ชายสะดุดล้มหรอก ตอนที่อยู่ข้างนอกข้าถามองค์ชาย องค์ชายมักจะบอกว่าดีทุกอย่าง ข้าไม่มั่นใจก็เลยต้องลองทดสอบดู”
จากนั้นก็ค้อมตัวกุมมือคารวะเขา “สองปีมานี้ลำบากท่านผู้เฒ่าแล้ว ท่านช่างมีฝีมือยอดเยี่ยมจริงๆ”
หลี่ไป่เฉ่าลูบเคราสีขาวโพลนที่เป็นระเบียบของตัวเอง “ก็ไม่ได้ลำบากอะไร ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยมีโอกาสได้รักษาคนที่อ่อนแอตั้งแต่อยู่ในครรภ์มาก่อน ตอนนี้ก็ถือว่าได้ประสบการณ์ใหม่ ไม่ถือว่าเสียเวลาของข้าไปอย่างเปล่าประโยชน์…เจ้ามองอะไร”
มู่หยวนอวี๋จ้องเคราของเขาอย่างสงสัย “ท่านผู้เฒ่า ท่านคงไม่ได้ตัดเคราเองหรอกกระมัง”
ตอนที่นางพาหลี่ไป่เฉ่าเดินทางจากอวิ๋นหนานมาถึงเมืองหลวง เคยใช้ชีวิตร่วมทางกันอยู่พักหนึ่ง แล้วก็ใช่ว่าจะไม่เคยส่งองครักษ์ไปดูแลหลี่ไป่เฉ่า แต่ก็ไม่เคยเห็นเคราของเขาเป็นระเบียบราวกับว่าผ่านการตัดเล็มอย่างประณีตขนาดนี้มาก่อน
นี่ไม่เหมือนตัวตนของหลี่ไป่เฉ่า เป็นเหตุให้นางรู้สึกไม่คุ้นเคยตั้งแต่แรกเห็น
“ผลงานชิ้นเอกขององค์ชายท่านนี้” หลี่ไป่เฉ่าได้ยินคำถามก็ตอบเสียงขุ่น “ไม่เคยเห็นคนป่วยที่ไหนบงการยันหมอที่รักษาตัวเอง ให้ตายเถอะ”
“ฮ่าๆ!”
มู่หยวนอวี๋หัวเราะอย่างอดไม่อยู่ นางหันหน้าไปมองจูจิ่นเซิน โรครักความสะอาดของเขานี้ ขนาดการแต่งกายของหมอก็ยังไม่เว้น!
ความรู้สึกคุ้นเคยกลับมาหานางอีกครั้งในทันที บรรยากาศกระอักกระอ่วนเมื่อครู่นี้หายวับไป นางก้มลงมองตัวเองแล้วยิ้มมองจูจิ่นเซิน “องค์ชาย ข้าคงไม่มีอะไรที่ขัดหูขัดตาท่านกระมัง”
จูจิ่นเซินยิ้ม “ไม่มี”
ทว่าเขากลับลอบถอนหายใจ แล้วคิดถึงถ้อยคำที่มาจากความรู้สึกจริงๆว่า มีสิ ทั้งหมดนั่นแหละ
เวลาสองปี นอกจากจะทำให้มู่หยวนอวี๋สูงขึ้นไม่น้อยแล้ว อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่เพราะว่าตัวสูงขึ้น นางจึงดูผอมลงอีก ความงดงามอ่อนหวานของเครื่องหน้าทั้งห้าก็ยิ่งชัดเจน ดวงตาฉายแววเจิดจรัสมีชีวิตชีวา แทบจะไม่มีอะไรแตกต่างจากที่เขาจินตนาการเอาไว้…เขาหวังว่ามู่หยวนอวี๋จะมีหน้าตาเหมือนผู้ชายมากขึ้นสักหน่อย แต่ทุกครั้งที่พยายามนึกภาพมู่หยวนอวี๋ขณะที่พูดคุยกันผ่านกำแพง ก็มักจะขยายภาพของมู่หยวนอวี๋จากความทรงจำตัวเองเสมอ
เมื่อพบว่าจินตนาการกลายมาเป็นความจริง เห็นมู่หยวนอวี๋พูดคุยแย้มยิ้ม เห็นมู่หยวนอวี๋โค้งตัวคำนับหลี่ไป่เฉ่าด้วยท่าทางสง่างาม รวมไปถึง…เมื่อครู่นี้ตอนที่ดึงเขาเข้าใกล้ จนร่างของเขาแทบจะกดทับมู่หยวนอวี๋
ราวกับว่าเวลาทุกขณะกำลังร่ายคำสาปใส่เขา ร้อยรัดเขาเอาไว้ สลักร่องรอยหวานชื่นเคล้าความขมขื่นไว้ในส่วนลึกของหัวใจเขา
ช่างเถิด ได้แค่นี้ก็ดีมากแล้ว
เขาเลิกดิ้นรน ปล่อยให้ตัวเองอยู่ในหลุมต่อไป ตอนนี้เขาแค่ต้องควบคุมตัวเองไม่ให้ดึงมู่หยวนอวี๋ลงมาก็เท่านั้น
“เข้ามานั่งข้างในเถอะ เหงื่อออกเต็มหน้า ดีแต่ทำตัวเหลวไหล” จูจิ่นเซินหมุนตัวเดินเข้าไปข้างในพลางเอ่ยปากสั่งหลินอัน “ไปบอกให้คนยกน้ำมาหนึ่งอ่าง”
หลินอันรับคำเสียงดังก่อนจะพูดกลั้วหัวเราะ “พอซื่อจื่อมา บรรยากาศก็ครึกครื้นเลย”
หลินอันกำลังจะเดินออกไปข้างนอก แต่มู่หยวนอวี๋นึกขึ้นได้จึงเรียกเขาไว้ “ข้าเอาลิ้นจี่มาให้ อยู่บนรถยังไม่ทันเอาลงมา เจ้าถือโอกาสไปบอกให้องครักษ์ข้าเอาลงมาเลยแล้วกัน”
หลินอันรับคำแล้วเดินออกไป ส่วนมู่หยวนอวี๋เดินตามจูจิ่นเซินเข้าไปในห้อง มองประเมินไปรอบด้าน ข้าวของเครื่องใช้แทบไม่มีอะไรต่างไปจากเมื่อสองปีก่อน นางนั่งลงริมเตียงเตา ลูบคลำเบาะรองนั่ง “สีซีดหมดแล้ว ควรจะเปลี่ยนได้แล้ว”
ฮ่องเต้ก็เหี้ยมพอตัว บอกว่าจะจับคนขังก็ขังจนยุงสักตัวบินเข้ามาไม่ได้ แค่ไม่เข้มงวดเรื่องอาหารและเสื้อผ้า
มู่หยวนอวี๋เงยหน้าถามจูจิ่นเซิน “ใช่แล้ว องค์ชาย ท่านควรเข้าวังสักรอบกระมัง” นางคิดแล้วก็พูดแบบคนที่หน้าบานเป็นกระด้ง “ออกไปคราวนี้คงทำให้คนตกใจกันเป็นแถว”
จูจิ่นเซินกลับไม่แสดงสีหน้าสะใจอะไร เพียงแค่ตอบรับง่ายๆ ว่า “อืม”
มู่หยวนอวี๋มองเขาแวบหนึ่ง รู้สึกว่าเขาเหมือนจะสุขุมและใจเย็นมากขึ้น ข้อนี้ตอนที่คุยกันผ่านกำแพงยังไม่รู้สึกได้อย่างชัดเจนนัก นางแค่รู้สึกว่าเขาอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นยังไม่เคยปริปากบ่นแสดงความไม่พอใจ ก็ถือว่าเรียนรู้ที่จะอดทนข่มกลั้นมากพอแล้ว แต่วันนี้เมื่อได้พบหน้ากันจริงๆ สัมผัสความสงบเยือกเย็นต่อหน้า จึงแน่ใจได้มากขึ้น
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเดิมทีความฉุนเฉียวของจูจิ่นเซินก็มีสาเหตุมาจากอาการป่วยที่รุมเร้า แต่ตอนนี้อาการของเขาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อร่างกายแข็งแรงขึ้น กินอะไรก็อร่อย นอนก็หลับสบาย ไม่ว่ามองอะไรก็สบายหูสบายตามากขึ้น
กลับกลายเป็นนางต่างหากที่ต้องคอยเก็บมือเก็บไม้
เดิมทีเวลาอยู่กับจูจิ่นเซินนางไม่เคยต้องกังวลเรื่องใด อยากจะดึงชายแขนเสื้อของเขาก็ดึง อยากจะกุมมือเขาก็กุม ก็เพราะไม่เคยมองเขาเป็นเด็กหนุ่ม ตอนนี้บุคลิกสูงส่งไร้มลทินของเขายังคงอยู่ แต่กลับมีกลิ่นอายของความเป็นผู้ใหญ่ กลิ่นอายของบุรุษเพิ่มเข้ามา
มู่หยวนอวี๋ไม่รู้ว่าจะวางตัวอย่างไรในบรรยากาศแปลกใหม่เช่นนี้
ยังดีที่รอไม่นาน ขันทีที่ได้รับคำสั่งให้ไปตักน้ำก็เดินเข้ามา มู่หยวนอวี๋จึงวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า รอจนนางเช็ดหน้าเรียบร้อย หลินอันก็กลับมา แถมยังพาแขกมาด้วย
จูจิ่นยวน
เขาเองก็อาศัยอยู่ในจวนสืออ๋องเหมือนกัน อยู่ใกล้กับเรือนขององค์ชายรองมากที่สุด ย่อมรู้ความเคลื่อนไหวของที่นี่ในเวลาไม่นาน วันนี้โรงเรียนหยุดสอน เขาเองก็ไม่ได้ไปเรียน เมื่อรู้ข่าวจึงรีบรุดมาทันที
หลินอันอัดอั้นเหลือทน ระหว่างทางที่เดินมา แม้จะถูกถาม หลินอันก็จงใจไม่พูดถึงสถานการณ์ที่แท้จริงของจูจิ่นเซิน เอาแต่ตีหน้าเศร้า เมื่อจูจิ่นยวนเห็นสีหน้าของหลินอันจึงรู้สึกสงบลงได้ไม่น้อย ทั้งยังเอ่ยปลอบใจหลินอันสองสามคำ ทว่าเมื่อจูจิ่นยวนเลิกผ้าม่านขึ้น มองเห็นพี่ชาย ลูกตาของเขาก็แทบจะถลนออกมาจากเบ้า
แม้ว่ามู่หยวนอวี๋จะไม่ได้เห็นหน้าของจูจิ่นเซิน แต่ก็ได้คุยกันผ่านกำแพงเป็นระยะ จึงพอจะสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจของจูจิ่นเซิน แต่จูจิ่นยวนกลับห่างเหินกับจูจิ่นเซินอย่างแท้จริง เมื่อพบกับความไม่คาดคิดเช่นนี้จึงยืนอึ้งอยู่ตรงหน้าประตู แม้แต่จะพูดทักทายก็ยังพูดไม่ออก
หลินอันกลั้นยิ้มแก้มตุ่ย กอดกล่องอาหารเดินผ่านเขาเข้าไปในห้องเงียบๆ
มู่หยวนอวี๋ลุกขึ้นถวายคำนับ “องค์ชายสาม”
จูจิ่นยวนเหมือนสะดุ้งตื่นจากฝัน จากนั้นก็รู้สึกเหมือนหัวใจถูกราดด้วยน้ำมันร้อนๆ
เผาไหม้จนปวดแสบปวดร้อน
ไม่นึกเลยว่า…เจ้าคนขี้โรคจะมีวันที่อาการดีขึ้นได้จริงๆ!
ใช่ว่าจูจิ่นยวนไม่มั่นใจในตัวเอง หาไม่แล้วในช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมาเขาก็คงไม่อาจหาญแสดงความสามารถของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ ลงทุนลงแรงไปมากขนาดนั้น ในอดีตเขามักจะถูกเสียนเฟยโน้มน้าวให้ใช้พี่ชายมาขับเน้นประกายของตัวเอง ตอนนั้นเขาอายุยังน้อย จิตใจยังไม่แข็งแกร่งมากพอ จึงมักจะถูกจูจิ่นเซินใช้วาจาเราะรายตอกกลับจนอกสั่นขวัญผวาจนเป็นเหมือนเงาดำมืดอยู่ภายในใจ ทำให้ครั้งแรกที่เขาได้เห็นจูจิ่นเซินในรูปลักษณ์ของบุรุษเต็มตัว เงาดำนั้นก็ยิ่งเข้มข้น ยิ่งหนาหนักถาโถมเข้ามากลบทับเขาอีกครั้ง
“น้องสามมาแล้ว” จูจิ่นเซินกวาดตามองจูจิ่นยวนแล้วสั่งให้หลินอันจัดหาที่นั่ง
ท่ามกลางอารมณ์ริษยา มีความหวาดผวาเพิ่มเข้ามาในใจของจูจิ่นยวนอีก…จูจิ่นเซินไม่เคยพูดจาอ่อนโยนกับเขาเช่นนี้มาก่อน เกรงว่าตอนที่เข้ามาเขาคงปกปิดอารมณ์ตัวเองได้ไม่ดีนัก แต่อีกฝ่ายกลับยังพูดแบบนี้ ท่าทางใจกว้างพร้อมให้อภัย ช่างเหมือนพี่ชายคนหนึ่งจริงๆ
แต่ตัวเขาที่เป็นน้องชายกลับไม่ได้รู้สึกปลาบปลื้มที่ได้รับความเมตตาอันไม่คาดฝันนี้เลย