ทิงทิงไม่ใช่คนน่ารักจริงๆ นะ
น่งชิงเฟิง เขียน
นิศารัตน์ แปล
โปรย
เฉินทิง หรือ ทิงทิง หนุ่มมหาวิทยาลัยที่บรรดาสาวๆ ต่างเอ็นดู ชีวิตเขามีแต่คนมองว่าน่ารัก
ใครเลยจะรู้ว่าเขาก็เป็นคนคูลๆ ได้เหมือนกันนะ
แต่ทำไมเปลี่ยนภาพลักษณ์เป็นคนเท่ๆ คูลๆ แล้ว
แทนที่จะต้องตาโดนใจสาวๆ ดาวมหาวิทยาลัย กลับไปถูกใจหนุ่มฮ็อตแทนซะได้
เผยอี่เหยา ทั้งเรียนเก่ง หล่อ ล่ำ สูง รวย เท่และเย็นชา
ครบสูตรหนุ่มที่สาวๆ ทั้งมหาวิทยาลัยใฝ่ฝัน
หนุ่มฮ็อตรุ่นน้องคนนี้จะมาชอบทิงทิงจริงๆ เหรอ!
มาพบกับเรื่องราวความรักระหว่างหนุ่มน้อยน่ารักกับหนุ่มฮ็อต
และตอนพิเศษอีก 3 ตอนกันเลย
นิยายเล่มเดียวจบ
———————————————————–
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายหนังสือได้ที่เพจ Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
3
ในชั้นเรียนวันจันทร์ทุกคนมุ่งความสนใจไปที่โจวเฉิงและเผยอี่เหยาตามคาด
แต่แน่นอนว่าเพื่อนร่วมชั้นของเฉินทิงยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องของเขามากกว่า ทุกคนคอยเดินวนเวียนเข้ามาคุยทันทีที่มีเวลาว่าง
“อย่าไปสนใจเรื่องที่พูดกันในอินเทอร์เน็ตพวกนั้นเลยนะทิงทิง”
“ใช่ ทิงทิง ใครจะไปรู้ว่าพวกนั้นมีเจตนาอะไร แค่พวกเรารู้ว่านายเป็นยังไงก็พอแล้ว”
“แต่เรื่องของซูลั่วกับโจวเฉิงมาเกี่ยวกับนายได้ยังไงอะ นายรู้จักพวกเขาเหรอ”
เฉินทิงฟังแต่ละคนพูดจนจบอย่างอดทน แล้วยิ้มเจื่อนๆ “ที่จริงตอนนี้ฉันก็ยังงงๆ อยู่เลย”
ทุกคนรู้สึกสงสารและรีบปลอบเขาอีกหลายคำ
ห้องเรียนนี้เป็นคลาสใหญ่พอดี จึงมีนักศึกษาจากหลายสาขามาเรียนรวมกัน แน่นอนว่าเฉินทิงไม่สามารถซ่อนตัวไม่ให้ใครเห็นได้ ยิ่งเขาเป็นหนึ่งในตัวเอกของข่าวลือนี้ด้วยแล้ว ถึงเผยอี่เหยาจะฮ็อตจนกลบข่าวแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อเฉินทิงเดินเข้ามาในห้อง ทุกสายตาจึงยังจับจ้องมาที่เขาจากทุกทิศทาง
เฉินทิงยังคงภาพลักษณ์กระต่ายขาวไร้เดียงสาไว้ได้อย่างไม่สั่นคลอน มีเพียงหยางซู่หลินเท่านั้นที่รู้ว่า เมื่อผ่าดูด้านในกระต่ายขาวตัวนี้มันอาจจะเป็นสีดำ
เพราะอย่างนี้เฉินทิงจึงใช้เวลาตลอดช่วงเช้าอย่างสบายใจ ไม่ว่าใครจะพูดยังไงก็ทำเป็นเฉยๆ
*******
ช่วงบ่ายเป็นคลาสเรียนวิชาเอกทั้งหมด หยางซู่หลินและเพื่อนผู้หญิงในห้องกำลังคุยกันเรื่องงานปาร์ตี้สุดสัปดาห์นี้ จึงถามเฉินทิงว่า “ครั้งนี้มีนักเรียนใหม่มาพอดี มันเป็นงานปาร์ตี้ครั้งแรกหลังจากฝึกทหารจบเลยนะ ต้องคึกคักมากแน่ๆ นายจะไปไหม”
งานนี้ถือเป็นไฮไลต์ของมหาวิทยาลัย N ไม่ว่าจะเรียนอยู่ปีไหนสาขาอะไรก็เข้าร่วมได้ ซึ่งงานปาร์ตี้ที่จัดในเดือนแรกหลังจากฝึกทหารเสร็จในแต่ละปีจะยิ่งใหญ่อลังการที่สุด
ปีที่แล้วเฉินทิงเคยไปงานนี้ แต่แค่ครั้งนั้นครั้งเดียว หลังจากนั้นก็ไม่เคยไปอีกเลย เขารู้สึกลึกๆ ว่างานปาร์ตี้ไม่เหมาะกับขาสั้นๆ ของเขา
“ฉันคงไม่ไป” เฉินทิงปฏิเสธเหมือนเคย
“ครั้งนี้เผยอี่เหยาต้องไปด้วยแน่ๆ เพราะเป็นธรรมเนียม พวกเราไปดูกันเถอะ ยังไงซะคนเยอะขนาดนั้น นายก็ไม่จำเป็นต้องเต้นหรอก” หยางซู่หลินอยากให้เฉินทิงไปด้วยจริงๆ เท่าที่เขาเห็น ชีวิตของเฉินทิงช่างจืดชืด ยังไม่แก่ก็ดื่มชาสมุนไพรเก๋ากี้ซะแล้ว แถมถ้าไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับเรื่องเรียน ก็จะไปฆ่าตัวตายในเกมอีกด้วย
และนี่มันศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดแล้วนะ ไม่นึกเลยว่ายังมีคนที่ไม่แอบเล่นโทรศัพท์มือถือในวิชาปรัชญาลัทธิมากซ์อยู่อีก
“เรามาคิดว่าจะแสดงอะไรในวิชาการสนทนาในสื่อภาพยนตร์และโทรทัศน์วันพุธหน้ากันดีกว่าไหม” เฉินทิงรีบเปลี่ยนเรื่อง ถ้าเทียบกับกิจกรรมทางสังคมอย่างงานปาร์ตี้ เขารู้สึกว่าการแสดงในชั้นเรียนน่ากังวลมากกว่า
อาจารย์ภาควิชาภาษาอังกฤษมักจะให้นักศึกษาในชั้นแสดงบทบาทสมมติ บางทีก็ให้จับกลุ่มกันเอง บางทีก็จับสลาก แต่ส่วนใหญ่จะแบ่งกลุ่มตามหอพัก
ซึ่งห้องเรียน 423 ของพวกเขามีผู้ชายที่มาจากหอพักเดียวกันทั้งหมดสามคน จับกลุ่มชายโสดสนิทได้พอดี บางครั้งจึงต้องมีคนรับบทเป็นผู้หญิงหนึ่งคนโดยไม่มีทางเลือก
พวกผู้หญิงในชั้นก็ชอบวิธีแบ่งกลุ่มแบบนี้เอามากๆ และยังเรียกกลุ่มนี้ว่า “สามหนุ่มนักแสดง”
เฉินทิงเคยแสดงละครทั้งเรื่องแฮมเล็ต[1] และอลิซ[2] และยังเคยอ่านซอนเน็ต[3]ให้เพื่อนนักศึกษาห้องอื่นฟังด้วย
หากให้โอกาสเฉินทิงอีกครั้ง เขาจะเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยเกษตรเพื่อสืบทอดกิจการต่อจากพ่อ แทนที่จะเรียนภาคภาษาอังกฤษที่แสนจะกวนใจนี้
แต่หยางซู่หลินตรงกันข้ามกับเฉินทิง เขามีทักษะการแสดงเป็นเลิศ การบ้านแค่นี้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก เขากระแอมในคอทันที แล้วแอ็กติ้งประหนึ่งว่าตัวเองเป็นขุนนางผู้สูงศักดิ์ “ฉันจะเล่นเป็นมิสเตอร์ดาร์ซี่ จากเรื่องสาวทรงเสน่ห์[4]”
อู๋อิ้งเหวิน ชายคนสุดท้ายของห้องได้ที รีบบอก “ฉันจะเล่นเป็นมิสเตอร์บิงลีย์[5]”
เฉินทิง “งั้นฉันเล่นเป็นพ่อนางเอก”
“ไม่ได้จ้ะที่รัก ตัวละครสามตัวนี้ไม่ค่อยมีบทโต้ตอบกัน นายเล่นเป็นเอลิซาเบธหรือเล่นเป็นลูกสาวคนใดคนหนึ่งของบ้านเบนเน็ตก็ได้ ไปเลือกเอา” หัวหน้าห้องหลินเฉวี่ยนหรือที่รู้จักกันในนามพี่เจวี่ยนกล่าว
เฉินทิงไม่ยอม หลังจากถกเถียงกันอย่างดุเดือด ทั้งสามคนจึงตัดสินใจเล่นเป็น…ลูกสาวคนที่หนึ่ง ลูกสาวคนที่สองและลูกสาวคนที่สาม
นี่คือจิตวิญญาณอันล้ำค่าที่ไหลเวียนอยู่ท่ามกลางเหล่าชายร่วมชาติ “ถ้าจะตายก็ต้องตายด้วยกัน”
เมื่อสรุปเนื้อหาของการแสดงได้แล้ว แน่นอนว่าทั้งสามคนต้องหาเวลาฝึกซ้อม และเพราะเฉินทิงมัวแต่ยุ่งเรื่องการบ้าน จึงลืมเรื่องข่าวลือไปโดยปริยาย แล้วชื่อเสียงอันโด่งดังของเผยอี่เหยาและโจวเฉิงก็ทำให้ข่าวลือจางหายไปอย่างรวดเร็ว
*******
เฉินทิงชอบความรู้สึกเงียบสงบนี้เหลือเกิน แต่เมื่อมองไปที่ชุดกีฬาสีน้ำเงินตัวนั้นแล้วเขากลับอึดอัดใจเล็กน้อย
วันนั้นหลังกลับจากบ้านตระกูลเผย น้าหร่วนได้ให้เบอร์โทรศัพท์มือถือของเผยอี่เหยาเอาไว้ เพื่อที่เฉินทิงจะได้คืนเสื้อผ้าให้เขาโดยตรง แต่ถ้าเฉินทิงไปหาอีกฝ่ายตอนนี้ก็ต้องโดนนินทาอีกแน่
หรือว่าจะแอบไป
แต่จะทำลับๆ ล่อๆ เหมือนคนแอบชอบกันอย่างนั้นได้ยังไง
*******
ตกเย็นเฉินทิงเอนกายอยู่บนเตียง กำลังคิดว่าจะส่งข้อความไปหาเผยอี่เหยา เขาพิมพ์แล้วก็ลบ ลบเสร็จแล้วก็พิมพ์ใหม่อย่างลังเล
พอสี่ทุ่มกว่า รูมเมตหัวกะทิทั้งสองคนก็เดินตามกันกลับมายังหอพัก แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ “คลื่นลูกใหม่ฆ่าคนเก่าๆ ตายเรียบเลย…”
เฉินทิงและหยางซู่หลินโผล่ศีรษะออกมาจากเตียงทั้งสองฝั่ง แล้วพิงราวกั้นขอบเตียง ถามพร้อมเพรียงกันว่า “มีอะไรอีก”
เด็กหัวกะทิก็มีปัญหาของเขาเหมือนกัน เพราะคนเก่งๆ ของภาควิชาฟิสิกส์แทบจะไม่มีใครมาโค่นตำแหน่งได้เลย ซึ่งไม่เหมือนกับภาษาอังกฤษที่เฉินทิงสามารถขยับขึ้นมาเป็น “คนที่ใช้ภาษาเก่งที่สุด” ได้เสมอ
“จะมีอะไรได้ล่ะ ในเส้นทางแห่งวิทยาศาสตร์เนี่ย สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ความลึกลับของจักรวาลและไม่ใช่ช่วงชีวิตอันแสนสั้นหรอก แต่เป็นแสงเรืองรองของอัจฉริยะต่างหาก!”
ชายที่สวมแว่นตากลมหนามีชื่อว่าไป่อวี้ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวหรือคำพูดติดปาก ก็คือคนบ้าวิทยาศาสตร์ดีๆ นี่เอง
ส่วนอีกคนชื่อว่าเจียงไห่ เขาเหมาะกับเชกสเปียร์มากกว่าเฉินทิงซะอีก เขาขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ด้วยขาข้างเดียว แล้วทำท่าตื่นเต้น “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โปรดจำชื่อชายคนนี้เอาไว้ เขามีนามว่า เผยอี่เหยา!”
เฉินทิงกับหยางซู่หลินมองหน้ากัน ไม่คิดเลยว่าจะได้ยินชื่อของเผยอี่เหยาจากรูมเมตหัวกะทิที่ไม่ค่อยสนใจโลกภายนอกสองคนนี้
หยางซู่หลินอดถามต่อไม่ได้ “พวกนายรู้จักเด็กปีหนึ่งด้วยเหรอ”
“เจอเขาที่ห้องอาจารย์น่ะ” ไป่อวี้ดันแว่นตาขึ้น แล้วถามอย่างสงสัย “เผยอี่เหยานี่ดังมากเลยเหรอ”
“พวกนายยังไม่ได้เห็นหน้าเขาหรือไง”
“ยัง ตาของพวกเรามีไว้เพื่อค้นหาสัจธรรมเท่านั้น!”
เจียงไห่พูดด้วยน้ำเสียงทรงพลัง ดวงตาของเขาเรียบเฉยจนหยางซู่หลินรู้สึกเกรงใจ ไม่กล้าบอกว่า ทฤษฎี “ความงามคือความยุติธรรม คนหน้าตาดีไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไรก็ถูกไปหมด” ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางนั้น ใช้กับรูมเมตหัวกะทิคนนี้ไม่ได้เลย
หลังจากนั้นสักพัก ไป่อวี้และเจียงไห่ก็หยุดพูดเรื่องเผยอี่เหยาแล้วเข้านอน พวกเขาไม่เสียเวลากับเรื่องนี้อีก เฉินทิงมองข้อความที่ยังไม่ทันได้ส่ง ก่อนจะตัดสินใจลบทิ้งในที่สุด
รอสัปดาห์หน้าแล้วกัน
*******
วันรุ่งขึ้นทั้งสามคนร่วมมือกันจนการแสดงผ่านไปอย่างราบรื่น เรียนมาได้ปีกว่า เฉินทิงเริ่มคุ้นชินกับการพูดด้วยสำเนียงแบบผู้หญิงฝรั่งเศสและอังกฤษทุกรูปแบบแล้ว เขาจึงแสดงต่อหน้าผู้ชมที่หัวเราะเกรียวกราวได้อย่างไม่เคอะเขิน
สำหรับงานปาร์ตี้สุดสัปดาห์ เฉินทิงไม่ได้วางแผนว่าจะไป แต่สโมสรนักศึกษาที่รับผิดชอบการจัดสถานที่ขาดคนพอดีจึงเรียกให้เฉินทิงไปช่วย
ตอนเฉินทิงอยู่ปีหนึ่ง เขาอยู่ฝ่ายโฆษณาของสโมสรนักศึกษา ซึ่งมีข้อกำหนดในที่ประชุมว่า เมื่อขึ้นปีสองแล้วสามารถเลือกได้ว่าจะอยู่ทำงานฝ่ายนี้ต่อหรือไม่ ถ้าอยากเลื่อนขั้นก็แค่อยู่ต่อ แต่ถ้าไม่อยากทำแล้ว ก็สามารถถอนตัวและส่งต่อตำแหน่งให้กับรุ่นน้องปีหนึ่งได้
แน่นอนว่าคนขี้เกียจอย่างเฉินทิงเลือกไม่ทำต่อ จริงๆ แล้วตอนสมัครเข้าไปก็ตั้งใจจะลองสมัครสนุกๆ ผลคือหลายคนที่ไปด้วยกันไม่ได้รับเลือก แต่เขากลับได้
หัวหน้าฝ่ายโฆษณาปีนี้เป็นรุ่นพี่ปีสามที่เคยดูแลเขาเป็นอย่างดี ดังนั้นเฉินทิงจึงต้องไปช่วยอย่างเลี่ยงไม่ได้
*******
ในวันงาน เฉินทิงมารายงานตัว ณ สถานที่จัดงานแต่เช้าตรู่ ไช่ตั๋วผู้เป็นหัวหน้าฝ่ายอยู่ข้างในแล้ว เมื่อเขาเห็นเฉินทิงจึงทักทายด้วยความดีใจ “มาแล้วเหรอ เจอนายตอนเปิดเทอมครั้งเดียว แล้วก็ไม่เห็นหน้าอีกเลยนะ”
เฉินทิงหัวเราะอย่างเขินๆ เขากวาดตามองสนามกีฬาที่ว่างเปล่า แล้วถามว่า “ทำไมพี่ถึงอยู่คนเดียวฮะ”
ไช่ตั๋วยักไหล่ “ฉันมาไว คนอื่นยังมาไม่ถึงน่ะ”
เฉินทิงไม่ได้ถือสาอะไร เพียงรีบเตรียมงานกับไช่ตั๋วไปก่อน ไช่ตั๋วยังดูแลเขาดีเหมือนเคย และคงเพราะเห็นว่าเขาตัวเล็ก จึงไม่ได้ให้ทำอะไรมากนอกจากสูบลมลูกโป่ง
ผ่านไปครึ่งวันเฉินทิงสูบลมลูกโป่งจนหมดแรง จึงนั่งพักสไลด์ดูโมเมนต์จนเห็นหยางซู่หลินที่ออกไปดัดผมอย่างสบายใจ
YSL : [วันนี้ลุคนี้นะ] *รูปภาพ*
เฉินทิงกดไลก์รูปของเขา จากนั้นก็หันมาสูบลมลูกโป่งต่อ พลางมองดูผู้คนรอบตัวที่กำลังเดินกันขวักไขว่ คนอื่นๆ ก็มองเขาเช่นกัน เพราะคนที่สามารถนั่งสูบลมลูกโป่งได้ทั้งวันโดยไม่เคลื่อนตัวไปไหนเลยถือเป็นคนแปลกคนหนึ่ง
“นั่นเฉินทิงใช่ไหม”
“ใช่ เป็นไงล่ะ ไม่ผิดจากที่ฉันพูดใช่ไหม น่ารักเป็นบ้าเลย!”
“ฮืออออ ดูผมหยิกๆ กับแก้มป่องๆ นั่นสิ”
“ถ่ายรูป ถ่ายรูป รีบถ่ายรูปเร็ว…”
เฉินทิงไม่สนใจเสียงกระซิบกระซาบของผู้คนรอบข้างเลยสักนิด แต่ไม่อาจเพิกเฉยคนคนหนึ่งที่กำลังเดินตรงดิ่งเข้ามาได้ เพราะเห็นๆ อยู่ว่าอีกฝ่ายตั้งใจเดินมาหาเขา
“ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย” คนที่เดินเข้ามาเปิดประเด็นทันที
เสียงกระซิบกระซาบเริ่มขึ้นอีกครั้ง
“ทำไมโจวเฉิงถึงมาที่นี่ล่ะ เขาไม่ได้อยู่ฝ่ายวิชาการเหรอ”
“พูดเหลวไหล ก็มาหาเฉินทิงน่ะสิ! เดินมาหาศัตรูหัวใจถึงที่ กำลังอารมณ์บ่จอยเห็นๆ!”
“ตายละ แล้วจะไม่เป็นเรื่องใหญ่เหรอ!”
“ตอนแรกฉันคิดว่าเป็นแค่ข่าวลือ ตกลงซูลั่วสารภาพรักกับเฉินทิงจริงเหรอ!”
“…”
“รุ่นพี่มีอะไรรึเปล่าฮะ” ดูเหมือนเฉินทิงจะไม่รู้เจตนาของโจวเฉิง เขาเงยหน้าขึ้นมองอย่างงุนงง มือก็ยังสูบลมลูกโป่งไม่หยุด
โจวเฉิงขมวดคิ้ว “คุยที่นี่ไม่สะดวก”
เฉินทิงมองซ้ายขวา “ผมว่าก็ไม่มีอะไรไม่สะดวกนะ”
โจวเฉิงไม่แน่ใจว่าเฉินทิงแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องหรือเปล่า และอาจเป็นเพราะแววตาใสซื่อไร้เดียงสาของอีกฝ่ายน่ารักเกินไป เมื่อแรกเริ่มโจวเฉิงจึงไม่คิดว่าข่าวลือจะหลุดมาจากเขาได้
แต่ซูลั่วปฏิเสธอย่างหนักแน่นมาก่อนแล้ว เธอก็ไม่น่าจะโกหก
เมื่อคิดได้อย่างนั้น เขาจึงลดเสียงลงแล้วถามต่อ “ตกลงนายได้เอาเรื่องวันนั้นไปบอกใครรึเปล่า ทำอย่างนั้นทำไม”
“ปัง!” ทันทีที่สิ้นเสียง ลูกโป่งที่เฉินทิงกำลังสูบก็ระเบิด โจวเฉิงตกใจสะดุ้งโหยงแล้วมองไปที่เฉินทิงทันทีด้วยความสงสัยว่าเขาตั้งใจหรือเปล่า แต่รอยยิ้มขอโทษของเฉินทิงทำให้เขาลังเลอีกครั้ง
“โทษทีฮะรุ่นพี่ เมื่อกี้เหม่อไปหน่อย”
“ช่วยตอบคำถามด้วย”
“ไม่ใช่ผม”
เฉินทิงหยิบลูกโป่งใบใหม่มาสูบลมต่อ
“ไม่ใช่นายจริงเหรอ” โจวเฉิงถามย้ำ
“ทำอย่างนั้นแล้วผมจะได้อะไร” เฉินทิงแทบจะหยุดอารมณ์คุกรุ่นในใจของตัวเองไม่ไหวแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมองโจวเฉิงอย่างจริงจัง ข่าวลือมันเงียบไปแล้ว และคนส่วนใหญ่ก็มีแนวโน้มจะเข้าใจว่าเรื่องระหว่างเขากับซูลั่วเป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่พอโจวเฉิงมาทำอย่างนี้อีก กลับเป็นการตอกย้ำข่าวลือนั้นแทน
โจวเฉิงนิ่งไป ดูเหมือนในใจจะได้คำตอบแล้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา จากนั้นจึงพูดเตือนด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก “ขอให้เรื่องนี้มันจบที่ตรงนี้ ฉันไม่อยากมาซักไซ้ไล่เลียงอะไรอีก หวังว่าจะคุยกับนายรู้เรื่องแล้วนะ หลังจากนี้อย่าพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกล่ะ”
เฉินทิง “Pardon?”
โจวเฉิงสูดหายใจลึก “ฉันบอกว่า…”
เฉินทิง “บอกแม่มึงสิ”
[1] Hamlet ประพันธ์โดย วิลเลียม เชกสเปียร์ เป็นบทละครแนวโศกนาฏกรรม เกี่ยวกับการล้างแค้นของเจ้าชายในเดนมาร์ก
[2] มีชื่อเต็มว่า อลิซในดินแดนมหัศจรรย์ (Alice in Wonderland) ประพันธ์โดย ลูอิส แครอล เป็นนวนิยายแฟนตาซีที่เด็กสาวนามว่า อลิซ หลุดเข้าไปในดินแดนมหัศจรรย์
[3] Sonnet คือ โคลงสิบสี่บรรทัด กวีนิพนธ์แบบบังคับฉันทลักษณ์รูปแบบหนึ่งของชาวยุโรป โดยเริ่มแพร่หลายมาจากอิตาลี
[4] Pride and Prejudice ประพันธ์โดย เจน ออสติน เป็นนวนิยายพาฝัน ฉากอยู่ในประเทศอังกฤษยุครีเจนซี (ช่วงปี ค.ศ.1811-1820) พระเอกของเรื่องคือมิสเตอร์ดาร์ซี่ คุณชายหนุ่มหล่อ ชาติตระกูลดี เนื้อเรื่องเกี่ยวกับพ่อแม่ครอบครัวเบนเน็ต ที่พยายามวางแผนให้ลูกสาว (หนึ่งในนั้นคือเอลิซาเบธ) ได้แต่งงานกับชายหนุ่มที่มีชาติตระกูลดี
[5] ตัวละครรองจากเรื่อง Pride and Prejudice หนุ่มโสดผู้ร่ำรวยที่ไปตกหลุมรักพี่สาวของนางเอก และเป็นเพื่อนของมิสเตอร์ดาร์ซี่