ทิงทิงไม่ใช่คนน่ารักจริงๆ นะ
น่งชิงเฟิง เขียน
นิศารัตน์ แปล
โปรย
เฉินทิง หรือ ทิงทิง หนุ่มมหาวิทยาลัยที่บรรดาสาวๆ ต่างเอ็นดู ชีวิตเขามีแต่คนมองว่าน่ารัก
ใครเลยจะรู้ว่าเขาก็เป็นคนคูลๆ ได้เหมือนกันนะ
แต่ทำไมเปลี่ยนภาพลักษณ์เป็นคนเท่ๆ คูลๆ แล้ว
แทนที่จะต้องตาโดนใจสาวๆ ดาวมหาวิทยาลัย กลับไปถูกใจหนุ่มฮ็อตแทนซะได้
เผยอี่เหยา ทั้งเรียนเก่ง หล่อ ล่ำ สูง รวย เท่และเย็นชา
ครบสูตรหนุ่มที่สาวๆ ทั้งมหาวิทยาลัยใฝ่ฝัน
หนุ่มฮ็อตรุ่นน้องคนนี้จะมาชอบทิงทิงจริงๆ เหรอ!
มาพบกับเรื่องราวความรักระหว่างหนุ่มน้อยน่ารักกับหนุ่มฮ็อต
และตอนพิเศษอีก 3 ตอนกันเลย
นิยายเล่มเดียวจบ
———————————————————–
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายหนังสือได้ที่เพจ Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
4
โจวเฉิงรู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งเจอเรื่องน่าสะพรึงกลัว วินาทีก่อน เฉินทิงคนที่ใครๆ ต่างเห็นว่าน่ารักเหลือเกินเพิ่งจะสบถคำหยาบคายออกมา แต่วินาทีถัดมาเมื่อมีคนเข้ามาใกล้ เขากลับก้มศีรษะลงสูบลมลูกโป่ง ทำตัวเป็นเด็กน่าสงสารที่ถูกรังแกเสียอย่างนั้น
คนที่เดินเข้ามาเป็นกองหนุนจ้องเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร “โจวเฉิง นายมาหาทิงทิงของพวกเรามีเรื่องอะไรรึเปล่า จะพูดอะไรก็พูดให้มันดีๆ หน่อย ที่นี่ไม่ใช่ฝ่ายวิชาการของพวกนายนะ”
โจวเฉิงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คล้ายเป็นโรคคออักเสบแบบเรื้อรัง แค่แป๊บเดียวคนอื่นๆ ในฝ่ายโฆษณาต่างกรูกันเข้ามาล้อมเขาไว้ทั้งสี่ด้านเหมือนล้อมศัตรู
เขาทำอะไรไม่ได้จึงฮึดฮัดแล้วหมุนตัวเดินจากไป
คนตัวสูงในฝ่ายโฆษณาคนหนึ่งชูนิ้วกลางใส่หลังเขาอย่างเกลียดชัง “ไอ้อ่อนเอ๊ย”
ไช่ตั๋วถามเฉินทิงอย่างเป็นห่วง “เขามาว่าอะไรนายรึเปล่า”
เฉินทิงยิ้ม “เปล่าฮะ ขอบคุณนะพี่”
“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว ถ้าครั้งหน้าเขามายุ่งกับนายอีกก็เรียกฉันได้นะ” พอไช่ตั๋วพูดจบ คนอื่นๆ ในฝ่ายที่รู้จักกับเฉินทิงต่างพากันพยักหน้าพร้อมช่วยเหลือ
แต่ไม่วายยังมีคนทนไม่ไหวถามขึ้นมา “เรื่องนั้น…ตกลงมันจริงรึเปล่า”
ครั้งนี้เฉินทิงไม่ทำเป็นเฉยอีกต่อไปแล้ว เขาตอบกลับอย่างมั่นใจ “ไม่จริง แต่เขาเข้าใจว่าผมเป็นคนปล่อยข่าว”
ทุกคนไม่มีใครสงสัยคำตอบของเฉินทิง เพราะเฉินทิงไม่ได้เป็นฝ่ายรุกไปหาเขาก่อน แถมยังเป็นคนรักสันโดษ ขนาดหัวหน้าฝ่ายจะเลื่อนตำแหน่งให้ เขายังปฏิเสธ แล้วจะมาปล่อยข่าวให้ตัวเองเป็นจุดสนใจทำไม
ไอ้โจวเฉิงสมองกลวงเอ๊ย
*******
เมื่อหยางซู่หลินดัดผมเสร็จเรียบร้อยแล้วและได้ยินข่าวเรื่องโจวเฉิงก็โกรธมาก
“พรุ่งนี้ฉันจะเขียนเรื่องนี้ลงหนังสือพิมพ์ของมหาวิทยาลัย เพื่อเปิดโปงธาตุแท้โง่ๆ ของโจวเฉิง จะเขียนทั้งเวอร์ชันภาษาจีนและภาษาอังกฤษ จิกกัดให้ตายไปเลย!”
เฉินทิงไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดี “นายไม่กลัวหัวหน้าฝ่ายระเบิดหัวเอาหรือไง”
หยางซู่หลินสะดุ้ง แต่ยังพูดต่ออย่างดื้อดึง “ไม่หรอกน่า จีนอังกฤษสองภาษา ออกจะอินเตอร์! กล้ามาดูถูกพวกเรา มันน่าหงุดหงิดชะมัด ฉันจะไปขอให้เพื่อนห้องข้างๆ ที่อยู่เอกภาษาญี่ปุ่น ฝรั่งเศส รัสเซียอะไรพวกนี้ช่วยกันเขียนอีกแปดภาษา ด่าให้ตายไปเลย! รับรอง ชื่อเสียงของเขาได้ดับคามหาวิทยาลัย N แน่ๆ!”
แล้วจู่ๆ โจวเฉิงที่กำลังเดินอยู่บนถนนก็หนาวสั่นขึ้นมา
*******
บรรยากาศในสถานที่จัดงานดีขึ้น คำพูดของหยางซู่หลินทำให้ทุกคนหัวเราะมีความสุข เฉินทิงอยู่ช่วยต่อและถือโอกาสกินข้าวกล่องไปด้วย
เมื่อถึงเวลาหนึ่งทุ่ม งานก็เริ่มอย่างเป็นทางการ
หยางซู่หลินไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ฝ่ายข่าว เพื่อเตรียมตัวทำสกู๊ปข่าวพิเศษ
เฉินทิงไม่มีอะไรทำ แต่ก็ยังไม่อยากกลับ เขาจึงขอบัตรพนักงานจากไช่ตั๋ว แล้วยืนถือแก้วน้ำส้มอยู่แถวโต๊ะเครื่องดื่มเพื่อฆ่าเวลา
บนเวทีมีคนกำลังเป่าแซ็กโซโฟน เพลงแจ๊สบรรเลงเบาๆ ท่ามกลางแสงไฟสลัว
เพียงชั่วพริบตา แนวเพลงก็เปลี่ยนเป็นแนวสดใสไพเราะ ทำลายบรรยากาศอันแสนอึมครึม
“ว้าย…” หญิงสาวในชุดกระโปรงยาวเผลอเหยียบเท้าคู่เต้น ใบหน้าเธอแดงก่ำด้วยความขัดเขิน คนเล่นแซ็กโซโฟนขยิบตาหยอกเย้าจนเธอหน้าถอดสี
น้องใหม่ส่วนใหญ่ยังคงประหม่า แต่เมื่อก้าวเข้ามาในสถานที่ครึกครื้นเช่นนี้ แถมโดนเสียงหัวเราะในฮอลล์กระตุ้น ทุกคนจึงเริ่มกล้าสนุกสนานในมหาสมุทรแห่งความรื่นเริงนี้
จริงๆ แล้วเฉินทิงชอบฉากแบบนี้มาก ในใจเงียบสงบ แต่รายล้อมไปด้วยความครื้นเครง โดยเฉพาะความรู้สึกที่เห็นอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าเขาจะอยู่ตรงนั้นหรือไม่ ก็ยังรู้สึกสนุกสนานร่วมไปด้วยได้ ช่างรู้สึกดีเหลือเกิน
“นี่ๆๆ มาดูนี่ บอกแล้วว่ามุมนี้น่ะสุดยอด ทั้งการจัดวางองค์ประกอบ แสงและเงา รางวัลพูลิตเซอร์[1]ปีหน้าต้องเป็นของฉันแน่” หยางซู่หลินคุยโวกับเพื่อนๆ อยู่อีกมุมหนึ่งของห้องอย่างภาคภูมิใจ
“มั่นใจในตัวเองซะเหลือเกินเนอะ แต่ต่อให้นายถ่ายดีกว่านี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร สิ่งที่พวกเราต้องการคือความปัง งานนี้ต้องปัง!”
“เผยอี่เหยามาหรือยัง ทำไมฉันยังไม่เห็นเขาเลย”
“เขาคงไม่ได้จะไม่มาจริงๆ หรอกนะ…”
“ไม่ได้สิ…ไม่ใช่ว่าเราส่งคนไปตามหาเขากันแล้วหรอกเหรอ”
“…”
หยางซู่หลินมีลางสังหรณ์ว่าอย่างไรคืนนี้เผยอี่เหยาก็ต้องมา พอคิดได้อย่างนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเข้าไปในกลุ่มวีแชตที่ใช้ชื่อว่า “กินไก่ทั่วเมือง” แล้วส่งข้อความออกไปอย่างว่องไว
YSL : [เผยอี่เหยาอยู่ไหนแล้ว พวกนายเห็นเขาบ้างไหม]
ตงเป่ยต้าป่าน[2] : [โรงอาหารฝั่งเหนือไม่มี]
คฤหัสถ์ผู้สงบนิ่ง[3] : [ครึ่งชั่วโมงที่แล้วมีคนเห็นเขาอยู่ที่ร้านกาแฟในห้องสมุด! พวกผู้หญิงห้องเราเห็นมากับตาว่ารุ่นน้องคนนี้กำลังซื้อกาแฟอเมริกาโน]
YSL : [พี่หมา[4] พี่หมา เรียกพี่หมา!]
พี่หมา : [ว่า]
YSL : [พี่อยู่ไหน]
พี่หมา : [ข้างหลังนายเนี่ย]
หยางซู่หลินหันกลับไป เขาตกใจจนแทบจะขว้างโทรศัพท์มือถือทิ้งทันที “พี่หมา ทำไมมาไม่ให้สุ้มให้เสียง!”
พี่หมามีชื่อจริงๆ ว่าโก่วอี้ เป็นหัวหน้าฝ่ายข่าวของมหาวิทยาลัย พี่หมาไม่ได้พูดอะไรมาก สายตาเพียงจ้องไปท่ามกลางผู้คน “ซูลั่ว”
“What?” เมื่อหยางซู่หลินหันไปมอง สายตาสะดุดเข้ากับซูลั่วที่สวมกระโปรงยาว ท่ามกลางผู้คนมากมาย เธอดูโดดเด่นที่สุดจริงๆ สีของกระโปรงตัวนี้เหมือนกับท้องฟ้ายามราตรีที่แต่งแต้มไปด้วยดวงดาว มันดูแพรวพราววิบวับเป็นพิเศษเมื่ออยู่ภายใต้แสงไฟในห้องจัดงาน
เมื่อเทียบกับเธอแล้ว พวกรุ่นน้องสาวๆ ก็ดูหมองหมดราศีไปเลย
“เรื่องข่าวลือหามาแล้วนะ ก็หลุดมาจากรูมเมตของซูลั่วนั่นแหละ” พี่หมายืนกอดอก พอเปิดปากพูดทีก็เหมือนปล่อยฟ้าผ่าลงมา
“พี่หมาสุดยอด!” หยางซู่หลินไม่คิดเลยว่าเขาจะหาคนปล่อยข่าวเจอจริงๆ สมแล้วที่เป็นหัวหน้าทีมปาปารัซซี…เอ๊ย ไม่ใช่สิ หัวหน้าฝ่ายข่าว วินาทีต่อมาหยางซู่หลินฉุกคิดขึ้นมาได้ จึงถามขึ้นว่า “เธอตั้งใจปล่อยข่าวหรือแค่หลุดปากบอกคนอื่น”
โก่วอี้ยักไหล่โดยไม่ตอบอะไร
หยางซู่หลินจินตนาการถึงเรื่องราวความรักอันยุ่งเหยิงในทันที ตอนนี้เองที่ซูลั่วเห็นเฉินทิงยืนพิงอยู่ตรงมุมห้อง เธอยิ้มให้เขา แต่ไม่ได้เดินเข้ามาหา
ความวุ่นวายตามหลังเธอมาติดๆ เพราะโจวเฉิงก็มาถึงแล้วเช่นกัน
หยางซู่หลินเบิกตาโพลงมองไปที่คนทั้งคู่ มือเกาะแขนโก่วอี้ไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว “พี่หมาๆ นี่เขาจะทำไรเนี่ย!”
โก่วอี้กลอกตา “แผนกลบข่าวลือน่ะ”
หยางซู่หลินเข้าใจความหมายทันที
ช่วงนี้โจวเฉิงดูน่าเวทนานิดๆ อย่างแรกเลยคือสารภาพรักแต่กลับถูกปฏิเสธ ไหนจะถูกแย่งตำแหน่งหนุ่มหล่อที่สุดของมหาวิทยาลัยหลังจากนั้นไปเพียงสองวัน เสียงล้อเลียนถากถางมีมาอย่างต่อเนื่อง ใครใช้ให้ก่อนหน้านี้เขาไม่หัดถ่อมตัวสักหน่อยล่ะ
ซูลั่วดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ แม้คนที่ทำให้ข่าวลือหลุดออกไปจะเป็นรูมเมตของเธอจริงๆ แต่ภาพลักษณ์ของซูลั่วก็เป็นเทพธิดาผู้สมบูรณ์แบบมาตลอด ใครๆ ก็ชอบเธอ จึงน่ากลัวเหลือเกินว่าเธอจะรับเรื่องนี้ไม่ได้
ถ้าซูลั่วกับโจวเฉิงเข้างานมาด้วยกันอย่างนี้ ข่าวลือก็คงจางหายไปเอง ไม่มีโจวเฉิงที่ถูกปฏิเสธ ไม่มีซูลั่วที่ชอบเฉินทิง มีแค่คนสองคนที่ใจตรงกัน
แล้วคนที่สามของเรื่องนี้ล่ะ เหลือแต่ความขายหน้าน่ะสิ
แน่นอนว่าพอซูลั่วยื่นมือไปคล้องแขนโจวเฉิง หยางซู่หลินก็ขมวดคิ้ว เพราะมีเสียงพึมพำหลั่งไหลมาจากทุกสารทิศ
“ว้าว…ฉันบอกแล้ว ซูลั่วจะไปชอบเฉินทิงนั่นได้ยังไง”
“ผู้ชายหล่อยังไงก็ต้องคู่กับผู้หญิงสวยอยู่แล้ว…”
“เฉินทิงนั่นก็แค่อยากดัง อยู่ในมหาวิทยาลัยยังสร้างเรื่องเยอะขนาดนี้ ทำไมไม่ไปสร้างเรื่องในอินเทอร์เน็ตนะ จะได้กลายเป็นเน็ตไอดอลไปเลย ตอนนี้กำลังฮิตหนุ่มน้อยหน้าใสแบบนี้ไม่ใช่เหรอ ฮ่าๆๆๆ”
“นี่ เบาๆ หน่อย เฉินทิงก็อยู่ที่นี่นะ!”
“อยู่เหรอ ไหน อยู่ไหน”
“…”
หยางซู่หลินทนไม่ไหว จังหวะนั้นเขาคิดอยากจะเถียงพวกนั้นกลับ แต่ทันทีที่ก้าวเท้าออกไปได้แค่สองก้าว ก็สะดุดเข้ากับสายตาของเฉินทิงที่จ้องมองมาจากอีกฟาก
รอยยิ้มที่คุ้นเคยทำให้หยางซู่หลินใจเต้นโครมคราม ‘ตายแน่ ตายแน่ ตายแน่นอน ทิงทิงสายโหดออกโรงแล้ว’
จริงๆ เขารู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก แต่แล้วจู่ๆ ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามา เขาจึงส่งข้อความเรื่องรูมเมตของซูลั่วไปให้เฉินทิง
เฉินทิงพยักหน้าให้เขาจากที่ไกลๆ โก่วอี้มองตามกลับไปกลับมาระหว่างทั้งสองคน สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่เฉินทิง
ทันใดนั้นเองเฉินทิงก็ค่อยๆ เดินออกมาจากมุมมืด เขายืนอย่างสง่าผ่าเผยท่ามกลางสายตาของทุกคน โดยสวมเสื้อแขนยาวสีขาวและกางเกงยีนส์ขาดๆ ซึ่งถ้าเทียบกับคนอื่นที่มาร่วมงานปาร์ตี้ในวันนี้ การแต่งตัวของเฉินทิงก็ดูชิลเกินไปจริงๆ
โก่วอี้ประทับใจใบหน้าที่แสนน่ารักและเต็มไปด้วยความสดใสของเฉินทิง ดูแล้วช่างน่าเอ็นดู แต่บุคลิกท่าทางกลับดูนิ่งเฉยไม่ยินดียินร้าย
‘นี่…เขาจะทำอะไรน่ะ’
โก่วอี้รู้สึกสงสัยมาก เขาจ้องเขม็งไปที่เฉินทิงประหนึ่งเห็นข่าวใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
เฉินทิงเดินตรงไปหาโจวเฉิงและซูลั่วท่ามกลางเสียงครื้นเครงที่ค่อยๆ เงียบลง เขาไม่ได้มองแค่สองคนนั้น แต่กวาดตามองไปรอบๆ แล้วค่อยจับจ้องไปที่พวกเขาทั้งคู่ “ฉันรู้ว่ามีบางคนคิดว่าฉันเป็นคนปล่อยข่าวลือนั่นเพื่อเรียกร้องความสนใจ แล้วยิ่งเธอทั้งคู่มางานด้วยกันแบบนี้ ก็ยิ่งตอกย้ำความคิดนั้นเข้าไปอีก”
ซูลั่วขยับปากเหมือนอยากจะพูดบางอย่าง แต่โดนเฉินทิงขัดเสียก่อน “แต่ขอถามสักคำนะ ไหนๆ พวกเธอก็อยู่ด้วยกันแล้ว ทำไมถึงไม่แก้ข่าวล่ะ”
แววตาจริงใจและชัดเจนเหมือนลูกศรแหลมคมจากเฉินทิงผู้มีหน้าตาน่าเอ็นดู ช่างบาดลึกจนทำให้เจ็บปวดเป็นพิเศษ
โจวเฉิงมีสีหน้าไม่พอใจ แต่เฉินทิงไม่ให้โอกาสเขาตอบกลับและยังคงพูดขัดจังหวะต่อไป “อีกอย่าง เรียกร้องความสนใจ เขาไม่ได้เรียกร้องกันแบบนี้นะ”
พูดจบ เฉินทิงก็หันหลังเดินตรงไปที่เวที
สีหน้าของโจวเฉิงเริ่มเครียดขึ้น เขาจะก้าวไปขวางเฉินทิงแต่กลับโดนโก่วอี้สกัดไว้ เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ เฉินทิงก็เดินไปอยู่หน้าเพื่อนร่วมงานกลุ่มที่อยู่ใกล้เวทีแล้ว ก่อนจะถามอย่างสุภาพ “โทษทีนะ ขอยืมผ้าคาดผมหน่อยได้ไหม”
อีกฝ่ายทำท่างุนงง แต่ก็รีบถอดส่งให้
จากนั้นเฉินทิงยังยืมแหวนเงินลายหมาป่าสไตล์วินเทจและต่างหูแบบหนีบสีดำจากเพื่อนคนอื่นๆ
เขาเดินต่อไปพร้อมกับสวมแหวนและต่างหูไปด้วย จากนั้นจึงนำผ้าคาดผมลายขาวดำขึ้นมาสวม เปิดผมที่ปรกหน้าผากขึ้นเผยให้เห็นใบหู แล้วก้มลงเพื่อฉีกรอยขาดของกางเกงยีนส์ให้กว้างมากขึ้น
ใกล้ถึงเวทีแล้ว
เฉินทิงยันขอบเวทีด้วยมือข้างเดียวแล้วกระโดดขึ้นไปอย่างง่ายดาย วินาทีนี้ทำเอาทุกคนตาค้าง หยางซู่หลินเองก็คาดไม่ถึงว่าเฉินทิงจะทำอย่างนี้
เมื่อเฉิงทิงนั่งอยู่หน้ากลองชุดและหยิบไม้กลองขึ้นมาตีโน้ตตัวแรก ทั้งฮอลล์ก็เงียบกริบ
นี่เขากำลังจะตีกลองเหรอ
โจวเฉิงอดกำหมัดแน่นไม่ได้ เขาเข้าใจสิ่งที่เฉินทิงเพิ่งพูดขึ้นมาทันที ‘เรียกร้องความสนใจไม่ได้เรียกร้องแบบนี้ แล้วมันแบบไหนกันล่ะ’
‘หรือแบบที่กำลังทำอยู่นี่’
“แต๊ก แต๊ก” เฉินทิงจับไม้กลองถนัดมือแล้ว เขาสร้างบรรยากาศด้วยการยกไม้กลองขึ้นมาเคาะเข้าด้วยกัน เพื่อบอกให้รู้ล่วงหน้าว่าลมพายุกำลังจะโหมกระหน่ำ แสงไฟบนเวทีทุกดวงต่างส่องมาที่เขา ภาพชายหนุ่มสวมผ้าคาดผมได้ลบความสดใสน่ารักทิ้งไป กลายเป็นหนุ่มหล่อผู้มุ่งมั่นห้าวหาญเต็มร้อย อย่างกับหลุดออกมาจากการ์ตูน
วินาทีต่อมา เสียงรัวกลองทำให้ผู้คนขนหัวลุก ทุกครั้งที่ไม้กลองโบกสะบัดราวกับพายุฝนที่โหมกระหน่ำอย่างไม่หยุดยั้ง ต่างหูสีดำชิ้นเล็กๆ ที่เล่นแสงวิบวับนั้นกลับสว่างเป็นประกาย แหวนลายหมาป่าบนนิ้วยิ่งทำให้เขาดูดิบเถื่อนมากขึ้น
“ทิงทิง ทิงทิง!” หยางซู่หลินตื่นเต้นสุดๆ
ทุกคนในงานปาร์ตี้ล้วนตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความบ้าคลั่ง โดยเฉพาะเพื่อนผู้หญิงรอบๆ ต่างมองเฉินทิงด้วยแววตาเป็นประกาย สิ่งที่พวกสาวๆ เห็นคืออะไร เขายังเป็นหนุ่มน้อยน่ารักคนนั้นอยู่หรือเปล่า!
นี่มันแฟนหนุ่มชัดๆ!
ซูลั่วก็ซูลั่วเถอะ หนุ่มเท่คนนี้ต้องเป็นของพวกเรา!
ณ ตอนนั้นผู้คนที่กำลังตื่นเต้นก็เบียดเสียดรอบเวทีกันแน่นขนัด โจวเฉิงและซูลั่วถูกดันจนไม่สามารถเบียดตัวออกมาได้ เพราะตำแหน่งที่พวกเขายืนอยู่ไม่ไกลจากเวทีมากนัก
ทั้งคู่ไม่เคยอยากปลีกตัวออกจากสายตาของสาธารณชนขนาดนี้มาก่อนเลย
เรียกร้องความสนใจเหรอ เฉินทิงแสดงให้เห็นแล้วว่าแบบไหนถึงเรียกว่าเรียกร้องความสนใจ แค่ใช้วิธีง่ายๆ แบบนี้ก็ได้ผลแล้ว แล้วเขาจะปล่อยข่าวลือให้มันเป็นเรื่องขึ้นมาทำไม!
ทั้งคู่ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียหน้า อยากไปให้พ้นๆ จากตรงนี้
แต่หยางซู่หลินกับเพื่อนๆ ฝ่ายข่าวยืนบล็อกทางอยู่ข้างหลังจนพวกเขาไม่มีทางออก ทันใดนั้นทิงทิงก็รัวกลองและตีโน้ตตัวสุดท้ายอย่างหนักแน่นเพื่อจบการแสดง
ผู้ชมยังคงเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงกลอง
เฉินทิงลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ขอบเวที ก่อนจะนั่งยองๆ มองโจวเฉิงและซูลั่วที่อยู่ท่ามกลางผู้คน พวกเขาใกล้กันมากจนเห็นเม็ดเหงื่อที่ซึมออกมาจากหน้าผากและได้ยินเสียงหอบหายใจเล็กน้อยของเฉินทิง
เฉินทิงยิ้มมุมปาก “ทั้งสองท่านโปรดอย่าเชื่อข่าวลือ ตั้งใจเล่าเรียนไปเถอะ จะได้มีอนาคตที่สดใส”
[1] Pulitzer Prize คือ รางวัลเกียรติยศของสหรัฐอเมริกาที่มอบให้แก่ผู้ทำงานในวงการสื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งรวมถึงภาพถ่าย วรรณกรรม และบทประพันธ์เพลง
[2] ชื่อผลิตภัณฑ์ไอศกรีมแท่งของมณฑลเฮยหลงเจียง
[3] มาจากคำว่า “ซานอู๋จวีซื่อ” ซึ่ง “ซานอู๋” แปลตรงตัวว่า ไร้สามสิ่ง ได้แก่ ไร้ปาก ไร้ใจ ไร้ทีท่า สื่อถึงความสงบนิ่งไม่แสดงความรู้สึกใดๆ
[4] มาจากคำว่า “โก่วเกอ” ซึ่งคำว่า “โก่ว” (สุนัข) เป็นตัวเดียวกับคำว่า “โก่ว” ใน “โก่วไจ่ตุ้ย” (ทีมลูกสุนัข) ที่แปลว่าปาปารัซซี และ ยังพ้องเสียงกับชื่อของโก่วอี้อีกด้วย