เมื่อผมเป็นเจ้าของสวนสัตว์
我开动物园那些年
ลาเหมียนฮวาถังเตอะทู่จื่อ เขียน
拉棉花糖的兔子
Himazan แปล
ติดตามกำหนดการวางขายหนังสือได้ที่เพจ Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
+++++++++++++++++++
ตอนที่ 43.2
เวลาหลายเดือนล่วงเลยไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งเข้าฤดูใบไม้ผลิ สวนแมลง พื้นที่โซนใหม่ของสวนสัตว์ซาฟารีหลิงโย่วก็เสร็จสมบูรณ์ หลังจากโปรโมทเรียบร้อยก็เปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ
ปีนั้น หวงฉีถูกวิญญาณร้ายเข้ามาพัวพันจนเกือบกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย โชคดีที่เขาเดินเข้าไปในหลิงโย่วเลยรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ได้ หลังจากนั้นเขาก็อยู่ทำงานที่นี่มาตลอด แม้จะเคยลาออกจากงานกลางคัน แต่สุดท้ายก็กลับมาที่หลิงโย่ว
หลายปีมานี้ หวงฉีเป็นหลักศิลากลางน้ำเชี่ยว[1] เมื่อไม่นานนี้เขาเพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นรองผู้อำนวยการสวนสัตว์อย่างเป็นทางการ นับว่าเป็นคนที่น่าเลื่อมใสและไว้วางใจได้ ต้วนเจียเจ๋อกับเขา ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการต่างก็ศึกษาและเพิ่มพูนความรู้ในอาชีพของตนหลังจากที่ได้ทำงานสายนี้
ช่วงเวลาว่างก่อนหน้านี้หวงฉีรับงานเอาท์ซอร์สจากบริษัทเก่ามาโดยตลอด แต่เนื่องจากหลิงโย่วขยายกิจการขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากคิดทบทวนอยู่หลายครั้งเขาจึงเลิกรับงานนั้นไป แล้วมุ่งมั่นอุทิศตนให้กับอุตสาหกรรมนี้ จากมุมมองของหวงฉี ในอนาคตหลิงโย่วมีโอกาสพัฒนาไปไกลและสามารถยิ่งใหญ่ได้มากกว่านี้
เนื่องจากเขาไม่ได้รับงานเอาท์ซอร์สแล้ว ต้วนเจียเจ๋อกับเขาจึงเข้าใจกันโดยที่ไม่ต้องพูดอะไร ที่ผ่านมาต้วนเจียเจ๋อยังสงสัยอยู่ว่าหวงฉีจะเปลี่ยนอาชีพอีกหรือไม่ ดังนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้ต้วนเจียเจ๋อจึงไม่ลังเลที่จะเลื่อนขั้นให้กับหวงฉีที่รับผิดชอบหน้าที่และงานจำนวนมากมาโดยตลอด
ถึงหลิงโย่วจะเป็นสวนสัตว์ แต่ก็เป็นบริษัทที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และจะมีอุตสาหกรรมอื่น ๆ อีกในอนาคต หวงฉีที่เป็น “รองผู้อำนวยการ” ที่จริงแล้วก็คือรองประธานบริษัท เขาเชื่อว่าในอนาคตจะไม่รู้สึกเสียใจภายหลัง อีกอย่าง เพดานการพัฒนาของหลิงโย่วก็ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว
หวงฉียังเป็นตำนานในสายตาของเพื่อนร่วมงาน เพราะหลังจากแฟนสาวของเขาเสียชีวิต เขาก็อยู่ในสวนสัตว์เป็นเวลาหนึ่งปี ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เนื่องจากอยู่ภายใต้ความกดดันสองเท่าทั้งเรื่องงานและชีวิตส่วนตัว เขาจึงควรพักฟื้นฟูร่างกายและจิตใจสักพัก แต่หลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนสายอาชีพ มาทำงานที่สวนสัตว์อย่างจริงจัง ทั้งที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันโดยสิ้นเชิง
แน่นอนว่านี่เป็นเพียง “ส่วนเล็ก ๆ” ของบุคคลที่เป็นตำนาน เพราะในสายอาชีพของพวกเขากระทั่งพระสงฆ์ก็ยังเข้ามาทำงาน แล้วนับประสาอะไรกับการเปลี่ยนอาชีพ อีกอย่างเมื่อเทียบกับตอนที่หวงฉีเพิ่งเข้ามา หลิงโย่วในตอนนี้โด่งดังมีชื่อเสียงขึ้นไม่รู้ตั้งเท่าไร แถมยังเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอีก จึงเข้าใจได้ไม่ยาก
เมื่อไม่นานนี้ อดีตเพื่อนร่วมงานสองคนของหวงฉีอยู่ในช่วงลาพักร้อน ทั้งสองเป็นคู่รักกันและก็ไม่อยากไปพักสถานที่ไกล ๆ อีกอย่างเมืองตงไห่ก็เป็นสถานที่ยอดนิยมของจังหวัด ดังนั้นพวกเขาจึงมาเที่ยวที่ตงไห่ด้วยกัน
อดีตเพื่อนร่วมงานของหวงฉีชื่อโม่จื่อข่ายและฮว่าซือ พวกเขาทั้งสามเคยมีช่วงเวลาที่ดีและสนิทกันมาก สนิทถึงขั้นที่ตอนหวงฉีกลับไปทำงานครั้งนั้นยังยินดีแบ่งหน่อไม้ที่นำไปจากหลิงโย่วให้พวกเขากินด้วย
เมื่อโม่จื่อข่ายและฮว่าซือมาถึงตงไห่ ก็ต้องไปที่หลิงโย่วแน่นอน พวกเขาอยากไปเยี่ยมหวงฉีและดูสถานที่ทำงานของเพื่อน เพราะได้ยินเรื่องเกี่ยวกับที่นี่มานานแล้ว
เนื่องจากหวงฉีอยู่ที่นี่ เมื่อเห็นข่าวเกี่ยวกับหลิงโย่ว พวกเขาจึงให้ความสำคัญมาก สถานที่แห่งนี้มีข่าวความเคลื่อนไหวให้ติดตามอยู่ตลอด ถ้าไม่เป็นข่าวตามสื่อหลักก็ต้องมีกระแสนิยมในเวยป๋ออะไรสักอย่าง
ในเมื่ออดีตเพื่อนร่วมงานอยู่ที่นี่ โม่จื่อข่ายและฮว่าซือก็ไม่จำเป็นต้องซื้อตั๋วเข้าแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่ตั๋วเข้าสำนักหลินสุ่ยก็ไม่ต้องซื้อ!
หวงฉีส่งตั๋วร่วมสองใบให้กับพวกเขา ยุคสมัยนี้ส่งเพียงเลขรหัสอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้แล้ว เนื่องจากหลิงโย่วอยู่นอกเมือง พวกเขาจึงไปที่จุดชมวิวในเมืองก่อนแล้วค่อยไปหลิงโย่วเป็นที่สุดท้าย พวกเขารู้ว่าหลิงโย่วมีโรงแรมเลยเตรียมตัวพักอยู่ที่นี่ในช่วงสองวันสุดท้าย
หวงฉีมักจะโพสต์ภาพตงไห่ โดยเฉพาะบรรยากาศที่ดีมากของภูเขาไหเจี่ยว ซึ่งพวกเขาโหยหาและอยากมานานแล้ว
หลังจากที่มาถึงตงไห่พวกเขาก็ยืนยันได้ว่าสิ่งที่คิดเอาไว้เป็นเรื่องจริง ถึงแม้ชาวตงไห่มักจะพูดเสมอว่าน้ำทะเลมีมลพิษ แต่นั่นเป็นเพราะพวกเขาเปรียบเทียบกับเมื่อก่อน ที่นี่ยังดีกว่ามากเมื่อเทียบกับทะเลที่อื่น เพียงแต่ไม่ได้รับการพัฒนามานานก็เท่านั้น
ทำให้ตอนนี้ทั้งคู่ยิ่งอยากรู้จักภูเขาไหเจี่ยวมากขึ้น
โม่จื่อข่ายและฮว่าซือมาถึงหน้าประตูใหญ่ของสวนสัตว์ซาฟารีหลิงโย่ว ก็เห็นโปสเตอร์ติดอยู่ มันคือแผ่นโฆษณาว่าสวนแมลงเปิดทำการในวันนี้ ทุกท่านสามารถเข้าชมได้ฟรี
เมื่อเห็นภาพในโปสเตอร์ฮว่าซือก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที เธอนึกถึงสะพานนกสี่เชวี่ยมาตลอดและอยากลากโม่จื่อข่ายไปดูตั้งนานแล้ว คู่รักมาเที่ยวหลิงโย่วแล้วจะไม่ไปดูสะพานนกสี่เชวี่ยได้อย่างไร แต่การออกแบบพิเศษของสวนแมลงนั้นดึงดูดความสนใจของฮว่าซือมากกว่า เธอจึงตัดสินใจจะไปที่สวนแมลงก่อน
เนื่องจากหวงฉีเคยเตือนพวกเขาว่าควรมาก่อนช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวหนาแน่น เพราะจะถ่ายภาพได้สวยกว่า ฮว่าซือเคยเห็นภาพของนักท่องเที่ยว ภาพโปรโมทบนอินเทอร์เน็ตมาก่อน เธออยากถ่ายภาพแบบนั้นบ้างก็เลยมาหลิงโย่วแต่เช้า
โชคดีที่พวกเขามาเร็ว เพราะหากมาหลังจากนี้คงจะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว
ทั้งคู่มาพร้อมกระเป๋าเดินทาง แต่ก็ไม่ได้ไปโรงแรมก่อน หวงฉีบอกให้พวกเขาฝากกระเป๋าไว้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว แล้วจะมีคนนำไปไว้ที่แผนกต้อนรับของโรงแรมให้เอง รอพวกเขาเข้าเช็กอินเมื่อไรก็สามารถรับกระเป๋าไปได้เลย
หลังจากเข้ามาในหลิงโย่ว โม่จื่อข่ายก็โทรศัพท์หาหวงฉีทันที พวกเขานัดกันไว้เรียบร้อยแล้ว หากทั้งสองคนมาถึงเมื่อไร เขาจะมาเดินเป็นเพื่อนแถมยังนัดเวลากันเอาไว้ดิบดี แต่ใครจะไปรู้ว่าพอโม่จื่อข่ายโทร.ไป หวงฉีกลับบอกว่าติดเรื่องด่วนแล้วบอกให้พวกเขาไปเดินเล่นกันก่อน ตัวเองจัดการเรื่องทางนั้นเสร็จแล้วจะตามมา
“สมกับที่เป็นเหล่าหวง ขนาดอยู่ที่สวนสัตว์ก็ยังทำงานสำคัญ ยุ่งแต่เช้าเลย” โม่จื่อข่ายไม่ใส่ใจ “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปเดินเล่นกันเองก่อนเถอะ”
ตอนนี้เพิ่งจะแปดโมงกว่า สวนสัตว์เพิ่งเปิดได้ไม่นาน นักท่องเที่ยวก็ยังไม่เยอะ ฮว่าซือจึงเดินนำไปยังสวนแมลงตามแผนที่
พอทั้งสองคนมาถึงด้านหน้าสวนแมลง ถึงแม้โม่จื่อข่ายจะเดินตามมาแบบไม่ได้ใส่ใจอะไร ก็ยังอดอุทานขึ้นมาพร้อมกับแฟนสาวไม่ได้ “สวยมาก!”
บนภาพโฆษณา พวกเขารู้ว่าสวนแมลงมีลักษณะเป็นเรือนกระจกที่หาได้ยาก แต่หลังจากมาเห็นของจริงมันดูมีชีวิตชีวากว่าในภาพมาก
หากไม่รู้รายละเอียด พวกเขาก็เกือบจะนึกว่าที่นี่เป็นห้องดอกไม้ในเรือนกระจกไปแล้ว กำแพงที่ล้อมรอบเป็นกระจกขนาดใหญ่ หลังคาทรงกรวยแหลม ปกคลุมด้วยเถาวัลย์ดอกไม้เพื่อไม่ให้เห็นจุดเชื่อมต่อของกระจกแต่ละแผ่น ทำให้ดูเหมือนเป็น “กระจกไร้รอยต่อ”
เมื่อมองผ่านกระจกใสเข้าไปจะเห็นว่าด้านในเป็นสวนป่า
ด้านในสวนแมลงตกแต่งสไตล์จีน ปลูกพืชหลากหลายชนิด ตรงกลางยังมีสะพานเล็ก ๆ ที่มีน้ำไหลตลอดเวลา ประตูพระจันทร์ที่ทำจากไม้ไผ่ปกคลุมไปด้วยดอกวิสทีเรีย ดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิบานสะพรั่งอยู่ภายในสวน เป็นความซับซ้อนที่ลงตัวและตกแต่งอย่างเหมาะเจาะ
แม้ว่าจะเปิดให้บริการในตอนกลางวัน แต่ตอนกลางคืนก็มีพนักงานทำงานอยู่ ดังนั้นภายในสวนจึงติดตั้งไฟเอาไว้ด้วย โคมไฟระย้าปกคลุมด้วยเถาวัลย์ หากไม่สังเกตก็จะมองไม่เห็น
เมื่อเป็นสวนแมลง สิ่งสำคัญที่สุดก็คือแมลงหลากหลายชนิด ทันทีที่ฮว่าซือเดินเข้าไปเธอก็เห็นว่ามีกรงอยู่ทางด้านซ้ายขวาสองกรงซึ่งถูกไม้ดอกพรางเอาไว้
สองกรงนี้มีขนาดใหญ่มาก ความสูงเท่ากับตัวคน รูปทรงเหมือนกรงนกที่ทำจากไม้อย่างประณีต
ด้านบนกรงมีไฟติดเอาไว้ เพียงแต่ตอนนี้มันปิดอยู่ พวกเขาจะเปิดเฉพาะในวันที่มืดครึ้ม หรือตอนกลางคืนเท่านั้น ไม่เหมือนกับส่วนจัดแสดงที่เปิดไฟตลอดเวลา
ด้านล่างมีดินบุและปลูกดอกไม้ต้นไม้ ทำเป็นชั้นไม้ไผ่ที่มีเถาวัลย์พันรอบ นอกจากนี้ยังตกแต่งด้วยขอนไม้และก้อนหิน มองแวบแรกดูเหมือนสวนป่ามาก
พวกมันสอดคล้องกับการตกแต่งภายนอกและสวนอื่น ๆ ในสวนสัตว์ ด้านในมีภาชนะให้อาหาร ทุกอย่างดูกลมกลืนและสวยงามเป็นที่สุด
อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงทิวทัศน์เท่านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือผีเสื้อหลายตัวที่กำลังบินไปบินมา ร่างกายของพวกมันมีขนาดแตกต่างกันและสามารถจำแนกสายพันธุ์ได้จากป้ายที่อยู่ด้านข้าง เมื่อเทียบกับทิวทัศน์ด้านหลังแล้ว ผีเสื้อพวกนี้ดูงดงามยิ่งกว่า
ฮว่าซือแทบจะพุ่งไปที่กรงอยู่แล้ว เธอรีบบอกโม่จื่อข่าย “รีบถ่ายรูปฉันเร็ว!”
โม่จื่อข่ายยกโทรศัพท์มือถือถ่ายฮว่าซืออยู่สักพักแล้วก็พูดขึ้น “ผมว่าคุณออกมาดีกว่า คุณทำให้ภาพสวย ๆ ตรงหน้าเสียหมด”
“…”
ฉากหลังดูกลมกลืนกันไปหมด แต่ฮว่าซือดันใส่เสื้อยืดกางเกงยีนขายาว ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ไม่เข้ากันเลยสักนิด
“ไปไกล ๆ เลยไป!” ฮว่าซือคว้าโทรศัพท์มือถือกลับมาด้วยความโกรธ “สู้ไม้เซลฟี่ไม่ได้เลยสักนิด ไม่รู้ทำไมถึงตาบอดไปคบกับคนอย่างคุณได้”
โม่จื่อข่ายอายจนไม่กล้าพูดอะไร
เมื่อมองเข้าไป สองข้างทางยังมีกรงอีกมากมาย แต่ใช่ว่าจะมีขนาดใหญ่ทุกกรง และก็ไม่ใช่ทุกกรงจะมีลักษณะเหมือนกรงนก เพราะกรงจะอิงตามขนาดเล็กใหญ่และความต้องการของแมลง นอกจากนี้ยังมีบางจำพวกที่ใช้ตู้ปลาเป็นกรงและมีขนาดแตกต่างกันไป
ด้านในมีแมลงหลากหลาย แต่ละกรงเหมือนสวนป่าขนาดย่อม กรงใหญ่จะใช้ต้นไม้เตี้ย ๆ ตกแต่ง ส่วนกรงเล็กที่เป็นตู้ปลาจะใช้มอสกับพืชแคระสำหรับสัตว์เล็ก ๆ
นี่ทำให้นักท่องเที่ยวที่เข้าชมเคลื่อนที่ไปค่อนข้างช้า พวกเขาไม่ได้ชมเพียงแค่แมลงหายากพวกนี้เท่านั้น แต่ชมสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของพวกมันควบคู่ไปด้วย ทั้งยังชมแม้กระทั่งวิธีการเคลื่อนไหว การปีน การบินของพวกมัน
แม้ว่าแมลงบางชนิดจะรูปร่างลักษณะไม่ชวนมอง แต่เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ก็ไม่ได้ทำให้ฮว่าซือรู้สึกหวาดกลัวอะไรเลย
เธอหยุดถ่ายรูปหลังจากที่เดินไปได้ไม่กี่เมตร เมื่อเวลาผ่านไป นักท่องเที่ยวก็เข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เธอรู้สึกโชคดีที่มาเร็ว
ไม่อย่างนั้นภาพที่เธอกำลังถ่ายอยู่ตรงหน้าคงเต็มไปด้วยผู้คน
เสียงชื่นชมจากนักท่องเที่ยวดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง สวนแมลงที่ออกแบบโดยจูเฟิงทำให้คนประทับใจ สวนแห่งนี้เหมือนกับสวนป่าของประเทศจีน ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยทิวทัศน์สวยงาม พอเปลี่ยนมุมมองก็เห็นทิวทัศน์ที่แตกต่างกัน เป็นความสนุกที่คุ้มค่ามาก
สวนแมลงแห่งนี้แตกต่างจากส่วนจัดแสดงอื่น เพราะที่นี่ทำให้นักท่องเที่ยวหยุดชมอยู่ได้นาน ทั้งสวนสัตว์หลิงโย่ว นอกเหนือจากส่วนจัดแสดงสุนัขจิ้งจอกอาร์กติกแล้ว ที่นี่คงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวมากกว่าส่วนจัดแสดงแพนด้า
นักท่องเที่ยวที่มาใหม่อย่างพวกฮว่าซือโดยเฉพาะบรรดาหญิงสาว ต่างมีความสุขมากที่ได้ถ่ายรูป เพราะที่นี่มีวิวมากมายที่พวกเธอชอบ
นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย และใช้เวลาอยู่ค่อนข้างนาน ทำให้ไม่นานสวนแมลงที่เพิ่งเปิดทำการวันแรกต้องจำกัดจำนวนคนเข้าชมและปิดรับชั่วคราว ก่อนจะทยอยเคลียร์คนด้านในออกมา นักท่องเที่ยวด้านนอกที่มองสภาพแวดล้อมด้านในผ่านกระจก ต่างก็ไม่พอใจและกระวนกระวาย
แม้ทางสวนสัตว์จะส่งพนักงานมาดูแลเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่มีทางเลือก เนื่องจากสวนแมลงมีสภาพแวดล้อมที่ดีขนาดนี้ หากเกิดความเสียหายขึ้นมาจะทำอย่างไร
หากกระจกบานหนึ่งแตก ว่ากันว่าก็จะลามไปทำให้กระจกบานอื่น ๆ แตกและได้รับความเสียหายไปด้วย เช่นเดียวกับถนนใหญ่ที่สะอาดสะอ้าน หากมีกระดาษหล่นอยู่หนึ่งชิ้น ไม่นานบนถนนนั้นก็จะเต็มไปด้วยเศษขยะ
มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ไหลเคลื่อนไปตามคนหมู่มาก ดังนั้นจึงยิ่งต้องกำกับดูแลอย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนเกิดความคิดมักง่าย เห็นคนอื่นไม่ใส่ใจหวงแหน ตัวเองก็เลยทำลายย่อยยับบ้าง
โชคดีที่คุณภาพของประชากรจีนยกระดับสูงขึ้้นเรื่อย ๆ โดยทั่วไปแล้วจึงไม่มีใครเด็ดดอกไม้ ถึงจะมีเด็กซุกซนไปบ้าง แต่ก็จะถูกผู้ปกครองห้ามเอาไว้
สภาพแวดล้อมเช่นนี้ คนปกติไม่มีทางทำลายได้ลงหรอก
ภายในสวนแมลง สัตว์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือผีเสื้อพวกนั้น กรงผีเสื้อวางกระจัดกระจายไปทั่วทั้งสวน
ทิวทัศน์แต่ละที่แตกต่างกันและยังมีจำนวนมาก ส่วนการออกแบบสภาพแวดล้อมด้านในยังสอดคล้องซึ่งกันและกันกับภายนอก แม้แต่ละสถานที่จะไม่ได้ผสมผสานเข้ากันได้ดีนัก แต่ความสวยงามก็ผันแปรไปตามสถานที่นั้น ๆ อีกทั้งการออกแบบยังคำนึงถึงลักษณะที่โดดเด่นของผีเสื้อด้วย
ตัวอย่างเช่นผีเสื้อหางติ่ง และผีเสื้อมอร์โฟที่มีขนาดใหญ่สีสันสดใส พืชทั้งด้านในและด้านนอกกรงของพวกมันจะค่อนข้างสีสดและสูงใหญ่ ส่วนผีเสื้อวงศ์ขาหน้าพู่ และผีเสื้อขาวจะมีความสวยแบบอ่อนโยนละมุนละไมมากกว่า
หญิงสาวชื่นชอบแมลงสวยงามแบบนี้ที่สุด กรงที่มีนักท่องเที่ยวหญิงล้อมรอบเยอะที่สุดคือกรงผีเสื้อ มีตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ อายุไม่ใช่ปัญหาในการชื่นชมผีเสื้อเลยสักนิด
ฮว่าซือดูผีเสื้อทุกกรง เมื่อเธอวางมือไปบนกระจก ผีเสื้อหางติ่งที่กำลังบินขึ้นลงอยู่ก็บินมาเกาะตรงตำแหน่งนิ้วของฮว่าซือ แต่เพราะมีกระจกกั้น มันเลยหยุดอยู่ตรงนั้น ท่าทางราวกับสนใจนิ้วของฮว่าซือมาก
ฮว่าซือดีใจมาก เธอกลั้นหายใจชูโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป จากนั้นก็ดูเหมือนว่าผีเสื้อตัวอื่น ๆ จะมีความคิดเดียวกัน พวกมันรวมตัวกันบินเข้ามา
“ว้าว!” ฮว่าซือได้ยินเสียงนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ พวกเขาต่างก็จ้องไปที่ผีเสื้อพวกนั้น
โม่จื่อข่ายพูดติดตลกอยู่ข้าง ๆ “คุณเป็นพระชายาเซียงเฟย[2]กลับชาติมาเกิดหรือเปล่าเนี่ย”
ฮว่าซือมองบน ค่อย ๆ ถอนนิ้วกลับมา
เมื่อฮว่าซือถอนนิ้วออก ผีเสื้อหางติ่งตัวนั้นก็บินออกไป ทันทีที่มันเคลื่อนไหว ผีเสื้อตัวอื่นก็กระพือปีกแล้วบินกระจัดกระจายออกไป เรียกเสียงฮือฮาจากนักท่องเที่ยวได้ดีทีเดียว
สายตาอิจฉาของนักท่องเที่ยวคนอื่นทำให้ฮว่าซือไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก เธอแสร้งเดินจากไปอย่างไม่สนใจ
“พวกเราควรออกไปได้แล้วคุณ เราอยู่ที่นี่กันมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว” โม่จื่อข่ายดูเวลา
“ก็ได้” ฮว่าซือมอง “เรือนกระจก” หลังใหญ่นี้อีกครั้ง “จริงสิ ทำไมเหล่าหวงถึงยังไม่มาอีก คุณลองถามเขาซิ”
ก่อนหน้านี้หวงฉีบอกว่ามีธุระ หลังจากจัดการเสร็จแล้วจะรีบมาทันที ตอนนี้ผ่านไปสองชั่วโมงเขาก็ยังไม่ติดต่อมา หรือว่าจะยุ่งมาก ทั้งคู่เลยสงสัยว่าตัวเองถูกลืมไปแล้วหรือเปล่า
ด้านในสวนแมลงตอนนี้เป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวเยอะที่สุด ทั้งสองคนเดินเบียดออกมาด้วยความยากลำบาก
เมื่อมองผ่านๆ ด้านนอกยังมีนักท่องเที่ยวอีกมากมายกำลังรอจะเข้าไปด้านใน สวนแมลงมีพื้นที่ไม่มาก ต้นไม้และกรงแมลงก็กินพื้นที่เยอะพอสมควร
นักท่องเที่ยวหญิงสาวที่กำลังต่อแถวยืนรอพลางถ่ายรูปด้านนอกไปด้วย เพราะด้านนอกปลูกต้นไม้เอาไว้จำนวนมาก สภาพแวดล้อมก็เลยดีมากเช่นกัน
โม่จื่อข่ายยังกลัวไม่หาย นักท่องเที่ยวพวกนี้ไม่กลัวเบียดกันเลยจริง ๆ หากก่อนหน้าที่มามีคนเยอะขนาดนี้ ต่อให้สวยแค่ไหนเขาก็ไม่กล้าเข้าไปหรอก แต่ถ้าเป็นฮว่าซือนั้นไม่แน่
หลังจากที่ออกมาได้ โม่จื่อข่ายก็ล้วงโทรศัพท์มือถือโทร.หาหวงฉี “ฮัลโหล เหล่าหวง นายเสร็จธุระหรือยัง พวกเราเพิ่งออกมาจากสวนแมลง”
หวงฉี “ฮะ? ได้ เดี๋ยวฉันไปหาพวกนายตอนนี้แหละ ขอโทษที…”
เวลาผ่านไปประมาณห้านาที หวงฉีถึงขับรถกอล์ฟของพนักงานมา เนื่องจากบนเส้นทางตอนนี้มีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก เขาจึงขับมาช้า ๆ
ฮว่าซือมองเห็นหวงฉีอยู่ไกล ๆ เธอผลักโม่จื่อข่าย “เอ๊ะ! คุณดูสิ นั่นมีเด็กมาด้วยใช่ไหม”
โม่จื่อข่ายหรี่ตามอง “ดูเหมือนจะมีเด็กนั่งอยู่ข้าง ๆ เขานะ”
พอรถของหวงฉีขับเข้ามาใกล้ใบหน้าของเด็กผู้หญิงก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เด็กโลลิคนนั้นสวยมาก เธอสวมกระโปรงสีขาวราวกับนางฟ้า ผิวขาวนวลผ่อง แต่สิ่งที่ขัดกันก็คือ ใบหน้างดงามของเธอมีรอยเขียวฟกช้ำที่ทายาเอาไว้บางส่วน
หวงฉีขับรถเข้ามาจอดด้านหน้า ฮว่าซือและโม่จื่อข่ายกระโดดขึ้นไปทันที ทั้งสามคนกล่าวทักทายกัน เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นที่ได้กลับมารวมตัวกันหลังจากห่างหายไปนาน
“นึกว่านายลืมพวกเราไปแล้วเสียอีก!” โม่จื่อข่ายหัวเราะ “อธิบายมาเดี๋ยวนี้ หรือว่านี่เป็นลูกสาวนอกสมรสของนาย?”
หวงฉีตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “นายคิดว่าฉันจะมีลูกสาวที่หน้าตาสวยขนาดนี้ได้เหรอ”
เด็กสาวหน้าตาสวยคนนี้คือโหย่วซู หวงฉีลูบศีรษะของเธอ “ขอแนะนำให้รู้จัก โหย่วซู นี่คือพี่โม่จื่อข่ายและพี่ฮว่าซือ เพื่อนของพี่เอง ส่วนนี่คือน้องสาวเพื่อนร่วมงานฉัน ลู่โหย่วซู”
เมื่อได้ยินคำว่า “ลู่” หน้าโหย่วซูก็เขียวคล้ำขึ้นมาทันที แต่เธอก็ยังฝืนยิ้มออกมา
โม่จื่อข่ายและฮว่าซือเอ่ยชม “น่ารักจังเลย หน้าตาสวยมาก…แต่ทำไมหน้าถึงเป็นแผลแบบนั้นล่ะ ไม่เป็นไรใช่ไหม”
โหย่วซูยังคงเงียบ
หวงฉีอึดอัดเล็กน้อย “อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ เมื่อกี้ฉันเพิ่งทายาให้เธอไป”
พูดถึงเรื่องนี้หวงฉีก็โมโหขึ้นมา เขารู้สึกว่าพี่ลู่ปฏิบัติกับน้องสาวของตัวเองเกินไปมาก เขาที่เป็นคนนอกทนดูไม่ได้และก็พูดกับผู้อำนวยการอยู่หลายครั้ง ผู้อำนวยการกับพี่ลู่เป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าโหย่วซูคือน้องสาวของผู้อำนวยการด้วย ยิ่งไปกว่านั้น โหย่วซูก็เชื่อใจผู้อำนวยการมาโดยตลอด
แต่ไม่นานมานี้ผู้อำนวยการกลับไม่สนใจ มีครั้งหนึ่งเขาถึงขนาดเห็นผู้อำนวยการลงไม้ลงมือกับโหย่วซูด้วย!
ทำแบบนั้นได้อย่างไร ผู้อำนวยการไม่ปกป้องโหย่วซู แถมยังทำตัวเหมือนลู่ยาอีก
นอกจากนี้พวกเขายังไม่สนใจโหย่วซูถึงขนาดที่ไม่สนใจการศึกษาของเธอเลยสักนิด มีครั้งหนึ่งที่หวงฉีถามคำถามโหย่วซู เขาถึงได้พบว่าเด็กอายุขนาดนี้ π เท่ากับเท่าไรก็ยังไม่รู้! ช่างน่าสะเทือนใจมากจริง ๆ!
หวงฉีขอให้ผู้อำนวยการช่วยเขามาโดยตลอด ลู่ยาแข็งแกร่ง ในสวนสัตว์ไม่มีใครกล้ายั่วยุ แต่เขาทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว วันนี้ระหว่างที่กินมื้อเช้า เขาเห็นลู่ยารังแกโหย่วซูอีกครั้ง ด้วยความโกรธเขาเลยทะเลาะกับลู่ยา
ในตอนนั้นหน้าตาของลู่ยาดูไม่ได้เลย ผู้อำนวยการเองก็อายมาก แต่ก็ยังพยายามเกลี้ยกล่อมอยู่ตลอดเวลา หวงฉีไม่สนใจ เขาพาโหย่วซูไปทายาและบอกว่าวันนี้ไม่ต้องไปเรียน
เจ็บตัวขนาดนี้ยังจะไปเรียนอะไรอีก!
แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องในครอบครัว หวงฉียื่นมือเข้าไปแทรกแซงก็พอว่า แต่ไม่จำเป็นต้องบอกให้พวกโม่จื่อข่ายรู้
หลังจากที่หวงฉีตอบไปอย่างคลุมเครือ โม่จื่อข่ายกับฮว่าซือก็ไม่ได้ถามอะไรมาก พวกเขาไม่ใช่คนไม่เข้าใจโลก ฟังความหมายที่แฝงเอาไว้ในคำตอบของหวงฉีออก ดังนั้นฮว่าซือจึงหยอกล้อเล่นกับเด็กน้อย ส่วนโม่จื่อข่ายก็ถามถึงเรื่องงานของหวงฉี
หวงฉีตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขา โดยการบอกรายละเอียดการทำงานในสวนสัตว์และเรื่องสนุก ๆ ที่พบเจอระหว่างการทำงาน
สวนสัตว์ในความคิดของหลาย ๆ คนต่างก็เต็มไปด้วยกลิ่นมูลสัตว์ แต่ความประทับใจที่หลิงโย่วให้กับทุกคนนั้นยอดเยี่ยม เพราะที่นี่มีสภาพแวดล้อมที่ดีและโอกาสในการพัฒนาก็เยอะมาก พวกเขาเลยไม่กังวลกับอนาคตของหวงฉี
เงินเก็บของหวงฉีมีมากพอ บางทีตอนนี้อาจจะหาเงินได้ไม่เท่าเมื่อก่อน แต่หลังจากนี้ก็คงไม่เป็นแบบนั้นแน่นอน
หวงฉีขับรถพาพวกเขาไปที่ร้านอาหาร ตอนนี้เป็นเวลาสิบเอ็ดโมงและมีลูกค้ากำลังรับประทานอาหารอยู่หลายคน หากไปช้าอาหารดี ๆ จะขายหมด
บนโต๊ะอาหาร ในที่สุดฮว่าซือและโม่จื่อข่ายก็ได้กินอาหารเลิศรสที่หวงฉียกย่องชื่นชมมากที่สุด
“มา โหย่วซู กินเยอะ ๆ หน่อยนะ” ฮว่าซือชื่นชอบโหย่วซูมาก หลัก ๆ คือเด็กคนนี้หน้าตาสวย ฮว่าซืออยากมีลูกสาวที่หน้าตาสวยแบบนี้บ้าง เพราะเธอกับโม่จื่อข่ายจะแต่งงานกันเร็ว ๆ นี้แล้ว อาหารรสชาติอร่อยขนาดนี้ แต่เธอก็ยังคิดถึงโหย่วซูอยู่ตลอดเวลา
ปกติแล้วพนักงานของสวนสัตว์จะเรียกโหย่วซูว่าเสี่ยวซูน้อย เพราะพวกเขามีคนชื่อ “เสี่ยวซู” อยู่แล้ว ฮว่าซือกับโม่จื่อข่ายไม่รู้จักเสี่ยวซู และก็ไม่ได้สนิทกับโหย่วซูมากขนาดนั้น พวกเขาเลยเรียกเธอว่าโหย่วซู
โม่จื่อข่ายพูดกับหวงฉี “ถึงตอนนั้นนายมาร่วมงานแต่งพวกฉันด้วยนะ นายก็เหมือนกัน อายุสามสิบแล้ว ตอนนี้ยังไม่คิดเรื่องพวกนี้อีกเหรอ”
ทันทีที่พูดถึงเรื่องนี้ รอยยิ้มของหวงฉีก็จางลงทันที “ยังไม่ได้คิดหรอก ฉันกำลังยุ่ง”
หวงฉีมีแผลฝังใจ พอคิดถึงอดีตแฟนสาวคนล่าสุดของเขา ทันทีที่เลิกกันก็ฆ่าตัวตาย แถมยังเป็นวิญญาณร้ายมาคอยเล่นงานเขาแบบนั้นแล้วเขาก็ยังรู้สึกกลัวไม่หาย
โชคดีที่หลิงโย่วมีผู้อำนวยการและมนักพรตมากมายที่คอยไปมาหาสู่ ดังนั้นที่นี่จึงไม่มีภูตผีวิญญาณอะไร ไม่อย่างนั้นเขาคงนอนไม่หลับตั้งแต่คืนแรกที่เข้ามา ส่วนวิญญาณอดีตแฟนสาวนั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง
“รีบแต่งงานสักทีสิ ที่นี่มีผู้คนไป ๆ มา ๆ เพื่อนร่วมงานก็เยอะแยะ หากเจอคนดี ๆ ก็พัฒนาความสัมพันธ์ แต่งงาน มีลูกสาวหน้าตาน่ารักเหมือนโหย่วซูสักคน” โม่จื่อข่ายมองโหย่วซู เขาชอบเธอมาก “ดูเด็กคนนี้สิ น่ารักน่าเอ็นดูมาก ดูก็รู้แล้วว่าเป็นเด็กฉลาด”
โหย่วซูยิ้มไม่พูดอะไร
เมื่อพูดถึงโหย่วซู หวงฉีก็พูดด้วยความกลุ้มใจ “ถ้าไม่แต่งงานแต่มีลูกสาวหน้าตาน่ารักขนาดนี้ได้ก็พอแล้ว”
โหย่วซูยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น
หวงฉีคิดในใจ แต่เจ้าลู่ยาน่าชังนั่น มีน้องสาวน่ารักขนาดนี้กลับไม่เห็นค่า แถมยังรังแกเด็กอยู่ตลอดเวลา
เวลานี้เองมีนักท่องเที่ยวสามสี่คนมานั่งโต๊ะอาหารข้าง ๆ พวกเขา
“เฮ้อ! วันนี้ตั้งใจมาไหว้จิ้งจอกอาร์กติก ทำไมถึงไม่อยู่กันนะ”
“นั่นสิ พวกเราลำบากนั่งรถมาตั้งหนึ่งชั่วโมง ใครจะไปรู้ว่าวันนี้ท่านเทพเซียนจิ้งจอกดันไปตรวจร่างกายเฉยเลย โชคร้ายจริง ๆ”
“ครั้งที่แล้วฉันควรอธิษฐานกับท่านเทพเซียนว่าไม่ให้ไปตรวจร่างกายตอนที่พวกเรามา…”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ!”
โม่จื่อข่ายได้ยินจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “สุนัขจิ้งจอกอาร์กติกที่ร่ำลือกันนั่นเหรอ ฉันเคยเห็นในเวยป๋อ ยังอยากไปดูเลย”
หวงฉีคือรองผู้อำนวยการ แต่เขาก็ไม่รู้เรื่องจุกจิกอย่างสัตว์ตัวไหนไม่อยู่วันไหนบ้าง “อืม…แต่พวกนายก็ยังอยู่อีกหนึ่งคืน พรุ่งนี้ค่อยไปแล้วกัน”
พวกเขากินอาหารไปพูดคุยกันไปอย่างมีความสุข
ในระหว่างนั้น โหย่วซูบอกว่าจะไปหาน้ำผลไม้ดื่ม หวงฉีเองก็ไม่ทันได้สนใจ อยู่ที่หลิงโย่วจะเกิดอะไรกับโหย่วซูได้
เขาดื่มกับโม่จื่อข่ายไปหลายแก้วจนอยากเข้าห้องน้ำเลยลุกไป แต่เนื่องจากมีลูกค้าค่อนข้างเยอะ ทำให้คนที่เข้าห้องน้ำมีจำนวนมาก ห้องน้ำชายยังพอไหว แต่แถวของห้องน้ำหญิงยาวไปจนเกือบถึงประตู
เมื่อเป็นเช่นนั้น หวงฉีเลยทนไม่ไหว โชคดีที่เขาเป็นพนักงานจึงไปเข้าห้องน้ำภายในแทน
หวงฉีล้างหน้าให้สร่างเมาอยู่ในห้องน้ำ ขณะที่กำลังเช็ดหน้า จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงคุ้นเคย มันเป็นเสียงของต้วนเจียเจ๋อ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะอยู่ด้านนอก
“…พวกคุณล้อเล่นอะไรกันครับ ผมยังพูดไม่ทันจบ พวกคุณก็ไปคุยกันเองเฉยเลย” ต้วนเจียเจ๋อจนปัญญามาก “ผมวางแผนจะบอกกับเพื่อนผมว่าพวกเราเลิกกันแล้ว คุณก็ไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำ พวกคุณใจร้อนเกินไปนะครับ”
หวงฉีดื่มไปหลายแก้ว ตอนนี้ไม่มีสติเท่าไรเลยไม่เข้าใจความหมายที่ผู้อำนวยการพูด อีกฝ่ายกำลังคุยอยู่กับใครกัน
หลังจากนั้นเสียงของโหย่วซูก็ดังขึ้น เธอพูดอย่างน้อยใจ “ฉันก็แค่ถามด้วยความหวังดี หากเต้าจวินอยากร่วมมือกับคุณ ก็ไม่เห็นต้องถึงขั้นลงไม้ลงมือเลยนี่…”
ต้วนเจียเจ๋อกระวนกระวาย “นี่ คุณทำอะไรครับ ถ้าโดนเห็นเข้าเดี๋ยวเขาก็ทำร้ายคุณอีกหรอก แถมไม่แน่ว่าอาจจะมีคนอื่นมาเห็นด้วย”
หวงฉีรู้ทันทีว่าอีกคนที่พวกเขากำลังพูดถึงคือลู่ยา ถึงรายละเอียดจะแปลก ๆ แต่เพราะสมองมึนงงด้วยฤทธิ์สุราทำให้จับประเด็นได้ไม่มาก
เมื่อเช้าตอนที่หวงฉีพาโหย่วซูหนีออกไป พูดได้เลยว่าเขาสะบัดชายแขนเสื้อออกไปอย่างไม่ไยดี ที่ทำแบบนั้นก็เพราะสิ่งที่อัดแน่นสะสมมานานระเบิดออกมา แต่ต่อมาเขาก็รู้สึกว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องคุยกับผู้อำนวยการ ดังนั้นเมื่อได้ยินเสียงของอีกฝ่าย หวงฉีจึงเดินโซซัดโซเซออกไป
สถานการณ์ประจวบเหมาะแบบนี้ ในเมื่อตัดสินใจแล้วก็ต้องตอนนี้แหละ
…
เมื่อหวงฉีเดินออกมา เขาก็เห็นชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่ตรงสุดปลายทางเดินที่ทอดยาวและว่างเปล่า ชายคนนั้นคือต้วนเจียเจ๋อเจ้านายของเขา ส่วนผู้หญิงคนนั้นคือหญิงสาวที่งามที่สุดในแผ่นดิน ความงามของเธอยากที่จะบรรยายออกมาได้ ดวงตาที่มองมานั้นงดงามหยาดเยิ้มหาใดเปรียบ
แม้หวงฉีจะมีอาการเมาอยู่ แต่ก็รู้สึกราวกับโดนความงดงามนั้นสะกดเอาไว้
สมองที่เชื่องช้าของเขาค่อย ๆ คิดขึ้นได้ เขาหันไปทางทั้งสองคนพลางถามด้วยความสับสน “…โหย่วซูล่ะครับ”
“…” ต้วนเจียเจ๋อหดหู่มาก เขาเพิ่งพูดไปเองว่าตรงนี้คนผ่านไปมาเดี๋ยวก็โดนเห็นเข้า หากไม่ได้ยินที่พวกเขาพูดก็ยังโอเค แต่หวงฉีดันอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้
โหย่วซูเพิ่งอยู่ในร่างนี้ หากเป็นคนอื่น ไม่มีทางคิดว่าเธอคือเด็กผู้หญิงคนเดียวกันแน่นอน ส่วนใหญ่ก็คงจะคิดว่าโหย่วซูที่กำลังพูดคุยอยู่เมื่อครู่ไปไหนแล้วไม่รู้
แต่หวงฉีไม่ใช่ เขามาอยู่ที่หลิงโย่วก็เพราะพบเจอกับวิญญาณร้าย เขาคิดมาโดยตลอดว่าต้วนเจียเจ๋อคือยอดฝีมือ ดังนั้นจากมุมมองโลกทัศน์แบบนี้ เขาจึงรู้ตัวได้ง่ายกว่าคนอื่น
แล้วก็เป็นอย่างที่คิด หวงฉีลังเลอยู่นาน ก่อนที่ดวงตาของเขาจะค่อย ๆ เปลี่ยนไป สติเริ่มกลับมาเล็กน้อย ในคำพูดของโหย่วซูเมื่อครู่มีบางอย่างผิดปกติ แต่ตอนนั้นเขาอยู่ในอาการช็อก เขาไม่ได้เห็นโหย่วซูเป็นผู้หญิงคนนี้ แต่เป็นน้องสาวตัวน้อยที่เขาคอยให้อมยิ้มคนนั้นต่างหาก
โหย่วซูที่ยืนอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ บางทีอาจจะมีอายุมากกว่าบรรพบุรุษของเขาสิบแปดรุ่นเลยด้วยซ้ำ หวงฉีลำบากใจเล็กน้อย เขามองต้วนเจียเจ๋อกับโหย่วซูด้วยความมึนงง
ต้วนเจียเจ๋อมองโหย่วซู “ทำอย่างไรดีครับ”
โหย่วซูพูดอย่างไม่ยี่หระ “ง่ายนิดเดียว ก่อนหน้าก็เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน…”
ต้วนเจียเจ๋อดีใจขึ้นมาทันที เขาหวังว่าโหย่วซูจะสามารถปรุงยาลบความทรงจำออกมาได้
โหย่วซูเงยหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ผู้อำนวยการ พวกเราควักหัวใจของเขาออกมาเถอะ”
ต้วนเจียเจ๋อ “…”
…พระเจ้า เป็นปี่กาน[3]เรอะ
ในตอนนั้นต๋าจี่และเหล่าพี่น้องปีศาจจิ้งจอกกำลังดื่มสุราด้วยกัน ทว่าหางของปีศาจสุนัขจิ้งจอกกลับเผยออกมาและถูกปี่กานจับได้ เขาเผารังของเธอเพื่อเป็นการแก้แค้น ต๋าจี่จึงหาเรื่องควักหัวใจของปี่กานออกมา
ยิ่งคิดต้วนเจียเจ๋อยิ่งเหงื่อท่วม “หวงฉีทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย และเป็นคนบริสุทธิ์นะครับ…”
โหย่วซูยิ้ม “ฉันล้อเล่นค่ะ แต่ว่าผู้อำนวยการ ในเมื่อหวงฉีเป็นรองผู้อำนวยการแล้ว เรื่องบางเรื่องบอกเขาไปก็ไม่เห็นเป็นไรนี่”
ต้วนเจียเจ๋อเพิ่งรู้ว่าโหย่วซูพูดเล่น เพราะเมื่อครู่นี้รอยยิ้มของเธอทำให้รู้สึกขนลุกขนพองจริง ๆ ทั้งสองสบตา ก่อนที่ต้วนเจียเจ๋อจะปาดเหงื่อ “ครับ”
เขามองไปทางหวงฉีอีกครั้ง อีกฝ่ายยืนพิงกำแพง ขาทั้งสองข้างอ่อนระทวยไปหมด
…
ต้วนเจียเจ๋อพยุงหวงฉีเดินเข้าไปในห้องข้าง ๆ
หวงฉีโดนดันตัวนั่งลงไปบนเก้าอี้ โหย่วซูเดินตามเข้ามาช้า ๆ ทว่าเธอในตอนนี้ไม่ใช่หญิงสาวที่งามที่สุดในแผ่นดินคนนั้น แต่เป็นสาวน้อยโลลิพร้อมกับรอยช้ำบนใบหน้าที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี
หากเป็นสถานการณ์ปกติ คนทั่วไปเมื่อเห็นหญิงงามเช่นนี้คงต้องสติหลุดแน่ ๆ แต่หวงฉีนั้นไม่ใช่ เขาได้สติและรู้ตัวแล้วว่านี่คือโหย่วซู แถมเมื่อครู่ยังพึมพำอีกว่าจะควักหัวใจเขาออกมาด้วย…
หวงฉีสั่นสะท้าน แน่นอนว่าเขารู้ว่านี่เป็นแค่เรื่องล้อเล่น ผู้อำนวยการไม่มีทางเห็นด้วยแน่นอน แต่เอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นมันปกติหรือไง! นี่ไม่ใช่โหย่วซูเด็กผู้หญิงน่ารักที่เขารู้จัก!
หวงฉีทุบหัวตัวเองจนสร่างเมาขึ้นแล้วพูดกับโหย่วซู “เธอมันไม่ใช่มนุษย์! พี่ชายเธอ พี่สาวเธอก็ไม่ใช่มนุษย์!”
ต้วนเจียเจ๋อ “…”
เฮ้อ! ฟังแล้วเหมือนกับกำลังด่าคนอยู่เลยแฮะ
โหย่วซูมุมปากกระตุก “นั่นไม่ใช่พี่ชายฉัน!”
หวงฉีไม่ฟัง “ผู้อำนวยการ คุณ คุณคงเป็นมนุษย์ใช่ไหมครับ”
เขายังสงสัยอยู่ แต่โดยภาพรวมแล้ว เขาก็รู้สึกว่าต้วนเจียเจ๋อที่คอยไปมาหาสู่กับเหล่านักพรตพวกนั้นเป็นมนุษย์
ต้วนเจียเจ๋อพยักหน้า “…ผมเป็นมนุษย์แน่นอนครับ”
การที่โหย่วซูบอกว่าเรื่องบางเรื่องสามารถบอกหวงฉีได้ นับว่าเธอมีไหวพริบมาก ในอนาคตนับจากนี้หลิงโย่วจะใหญ่โตมากขึ้นเรื่อย ๆ หวงฉีเป็นผู้ช่วยของเขาและเป็นคนที่พึ่งพาได้ หากอีกฝ่ายรู้ บางสิ่งบางอย่างก็คงสะดวกขึ้นมาก
ต้วนเจียเจ๋อรินน้ำให้หวงฉีหนึ่งแก้ว เมื่อเห็นว่าดูเหมือนหวงฉีจะไม่ได้เป็นอะไรมากนัก ถึงอย่างไรก็เคยผ่านบททดสอบอันยิ่งใหญ่จากอดีตแฟนสาวมาแล้ว ต้วนเจียเจ๋อจึงถามว่า “ผมขอถามก่อน คุณอยากลาออกไหมครับ” หากหวงฉีต้องการไป ต้วนเจียเจ๋อก็ยังคงเคารพการตัดสินใจของเขา
หวงฉีตกตะลึง เขาเพิ่งแก้แผนชีวิตอีกสิบปีข้างหน้าของตัวเอง แถมยังบอกกับทุกคนไปแล้วว่าตนจะทำงานในสวนสัตว์อย่างจริงจัง หวงฉียิ้มขมขื่นจากนั้นส่ายหัวช้า ๆ
เขาผู้ซึ่งเป็นมนุษย์หัวกะทิ และยังเคยเกือบไปถึงหน้าประตูนรกเพราะวิญญาณของอดีตแฟนสาว หวงฉีในตอนนี้ใจกว้างกว่าคนทั่วไปมาก หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ผมไม่ออกครับ!”
เขาทำงานอยู่ที่หลิงโย่วมาหลายปี ต่อให้แท้จริงแล้วคนพวกนี้จะเป็นปีศาจ แต่ผู้อำนวยการก็เคยช่วยชีวิตเขาไว้ ภาพลักษณ์ของผู้อำนวยการที่อยู่ในใจหวงฉีตอนนี้สูงส่งและยิ่งใหญ่มากขึ้นไปอีก ไม่น่าเชื่อว่าสามารถควบคุมได้กระทั่งปีศาจ
อีกอย่าง หลายปีมานี้ก็ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเขา และก็ไม่มีใครได้รับอันตรายตอนที่อยู่สวนสัตว์ของพวกเขาเลยสักนิด เขาอยู่กับคนพวกนี้ทุกวัน…ควรพูดว่าอยู่กับปีศาจพวกนี้ทุกวันมากกว่า
ต้วนเจียเจ๋อได้ยินแล้วดีใจไม่น้อย
หวงฉีดื่มน้ำ หลังจากสงบสติอารมณ์ได้ เขาก็พูดขึ้น “ผู้อำนวยการครับ พวกเขาเป็นเพื่อนคุณแล้วมาเที่ยวที่นี่เหรอครับ คนของสำนักหลินสุ่ยก็รู้เรื่องนี้ด้วย?”
ถ้ามาเที่ยวเล่น ลู่ยาไม่ต้องพูดถึง คนอื่น ๆ นั้นยังมีความเป็นไปได้
ต้วนเจียเจ๋อยิ้มแห้ง “สำนักหลินสุ่ยรู้ครับ พวกเขาไม่ได้มาเที่ยว แต่มาทำงานอยู่ที่นี่”
หวงฉีสงสัย “ทำงาน? ไม่เคยเห็นมาก่อน งานอะไรเหรอครับ”
“ก็…เป็นสัตว์ครับ”
“…”
“โหย่วซูคือสุนัขจิ้งจอก แล้วก็ยังมีไป๋ไห่โปที่มาที่นี่บ่อย ๆ เขาเป็นโลมาครับ”
“…”
มิน่าวันนี้สุนัขจิ้งจอกอาร์กติกถึงไม่อยู่ที่ส่วนจัดแสดง และโลมาตัวนั้นพอไปถึงศูนย์วิจัยก็เสียชีวิตทันที
ปีศาจมาทำงานเป็นสัตว์อยู่ที่สวนสัตว์ นี่เป็นเรื่องที่แปลกใหม่จริง ๆ คิดไม่ถึงว่ายุคสมัยที่พัฒนามาขนาดนี้ แม้แต่ปีศาจก็ยังต้องทำงาน แถมยังตั้งหน่วยงานที่เป็นมิตรที่ดีต่อกันกับสำนักหลินสุ่ยอีก หรือที่จริงแล้วสำนักหลินสุ่ยจะเป็นหน่วยควบคุมดูแลปีศาจพวกนี้
หวงฉีมองโหย่วซูสาวน้อยโลลิน่ารัก แล้วถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตกตะลึง “ถ้าอย่างนั้นโหย่วซู เกรงว่าคุณคงมีอายุหลายร้อยปีใช่ไหม”
เอ่อ…เก็บเป็นความลับสักหน่อยดีกว่ามั้ง แต่ต้วนเจียเจ๋อก็ไม่กล้าพูดแทรกว่าเดาให้สูงกว่านั้นอีกเถอะ
โหย่วซูยิ้มพูดอย่างถ่อมตัว “ใกล้เคียง”
“ถ้าอย่างนั้น ก่อนหน้านี้ที่ผู้อำนวยการเล่นกับมด แสดงว่าที่จริงแล้วไม่ใช่?”
ต้วนเจียเจ๋อตอบ “…ครับ”
หวงฉีถอนหายใจโล่งอก เขายังไม่รู้ตัวตนของเหล่าสัตว์เทพคนอื่นที่เหลือ แต่ตอนนี้สติกลับมาแจ่มชัดแล้ว หวงฉีลังเลก่อนจะพูดออกมา “ถ้าอย่างนั้นนกลู่ยาก็คือลู่ยา แบบนี้ก็แสดงว่าเขามีชื่อเดียวกันกับนักพรตลู่ยาในตำนานคนนั้นสิครับ! ฮ่า ๆ ๆ ๆ!”
ต้วนเจียเจ๋อ “…”
หวงฉีเห็นสีหน้าของผู้อำนวยการแล้วจู่ ๆ ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ต้วนเจียเจ๋อยิ้มอึดอัด “คุณรู้ไหมว่าชื่อแซ่ตระกูลของต๋าจี่คือโหย่วซู อันที่จริงก่อนหน้านี้ที่พี่ไป๋ไปฝึกวิชาการแพทย์ก็คือที่หางโจว เสี่ยวเว่ยที่มักจะชอบไปโยนก้อนหินลงน้ำก็เพราะ…”
“…”
ไม่รอให้ต้วนเจียเจ๋อพูดจบ หวงฉีก็เป็นลมล้มพับไปทันที
ความสามารถในการยอมรับของเขาดีขึ้นมาก และเขาก็ใจกว้างมากพอที่จะยอมรับเรื่องพวกนี้ แต่ปีศาจธรรมดากับปีศาจในตำนานนั้นไม่เหมือนกัน ก็เหมือนกับที่อาจารย์ทั่วไปแตกต่างกับหวังโฮ่วสง[4]นั่นแหละ
[1] อุปมาถึง บุคคลหรือกลุ่มที่เป็นเสาหลักรับผิดชอบหน้าที่สำคัญ ยืนหยัดมั่นคงในภารกิจ
[2] เซียงเฟย เป็นพระชายาที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดองค์หนึ่งของจักรพรรดิเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิง เล่าลือกันว่านางเป็นสตรีผู้มีกลิ่นกายหอมราวปุบผา จึงได้ราชทินนามว่า เซียง ซึ่งแปลว่า หอม
[3] ขุนนางสมัยราชวงศ์ซางและเป็นพระปิตุลาของพระเจ้าโจ้วหวัง ในตอนนั้นพระเจ้าโจ้วหวังปกครองแผ่นดินด้วยความโหดร้าย ไร้คุณธรรม ไม่คำนึงถึงประโยชน์สุขของราษฎร ปี่กานจึงตักเตือนหลายครั้ง จนถูกต๋าจี่ยุยงให้พระเจ้าโจ้วหวังสั่งทหารกรีดอกควักหัวใจเขาออกมา ปี่กานจึงถึงแก่ความตายในที่สุด
[4] อาจารย์ระดับพิเศษในมณฑลหูเป่ย เป็นบุคคลที่ได้รับการยกย่องในแวดวงการศึกษา เขียนตำราและคู่มือการสอบออกมาหลายเล่ม เป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ