เมื่อผมเป็นเจ้าของสวนสัตว์
我开动物园那些年
ลาเหมียนฮวาถังเตอะทู่จื่อ เขียน
拉棉花糖的兔子
Himazan แปล
ติดตามกำหนดการวางขายหนังสือได้ที่เพจ Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
+++++++++++++++++++
บทที่ 52.1
หลังฮวนฮวนจากไประยะหนึ่ง ทุกคนก็เริ่มหายเศร้าเนื่องจากเพนกวินอาเดลีออกไข่แล้ว และกำลังจะมีชีวิตใหม่ถือกำเนิด ผ่านไปอีกสักพัก ต้วนเจียเจ๋อก็ได้ยินข่าวดีอีกหนึ่งข่าว
การบำเพ็ญเพียรของฉีจี้คืบหน้าอย่างมาก “คุณครู” ไป๋ซู่เจินบอกว่าฉีจี้มีพรสวรรค์ แน่นอนว่าเรื่องพรสวรรค์นี้คงไม่พ้นช่วงที่อยู่ในไข่ ตอนนั้นมันได้รับการอบรมสั่งสอนจากอีกาทองสามขาเป็นเวลานาน
ต้วนเจียเจ๋อฟังจบก็ไปรับฉีจี้มาที่ห้องของตัวเอง “ไหนดูซิ ว่าแกมีพัฒนาการยังไงบ้าง”
พอฉีจี้หย่อนก้นนั่งลงกับพื้น ตัวหนา ๆ ล่ำ ๆ ของมันก็ดูเหมือนภูเขาลูกเล็ก ๆ อย่างไรอย่างนั้น มันคุยโอ่เรื่องผลงานการบำเพ็ญเพียรของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก
ลู่ยาเอามือไพล่หลัง ยืนอยู่ด้านข้าง ไม่รู้ทำไมทุกเส้นขนถึงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ อาจเพราะคิดถึงผู้สืบทอดความโดดเด่นของตัวเอง
ต้วนเจียเจ๋อโบกมือ “พูดจาให้มันรู้เรื่องหน่อยสิ!”
ฉีจี้ “…”
ลู่ยา “ที่ลูกชายนายพูดเมื่อกี้มันเทียบเท่าระดับประถมแล้วนะ!”
เขาบอกเป็นเชิงปรามต้วนเจียเจ๋อว่าอย่าหาว่าฉีจี้พูดจาไม่รู้เรื่อง ต้วนเจียเจ๋อปรายตามองอีกฝ่าย พูดด้วยน้ำเสียงดูแคลนเล็กน้อย “เทียบเท่า? งั้นคุณคำนวณจำนวนไก่กับกระต่ายในกรงเดียวกัน[1]ได้หรือเปล่า”
“…”
จะมาเทียบอะไร ฉีจี้กับเด็กประถมเอามาเทียบกันไม่ได้หรอก ไม่ใช่สปีชีส์เดียวกันเสียหน่อย
ฉีจี้มองต้วนเจียเจ๋อด้วยสายตาของผู้บริสุทธิ์ มันไม่ได้พูดอะไรเลยนะ ลู่ยาต่างหากที่ใช้มันเป็นปืน[2]
ต้วนเจียเจ๋อ “มา ลองโชว์ความสามารถให้ดูหน่อย”
ฉีจี้ผงกศีรษะเล็ก ๆ รีบรวบรวมกำลังจนดูออกว่าตัวอ้วน ๆ เกร็งขึ้นสุดขีด พุงใหญ่แล้วใหญ่อีก เหมือนสูดลมหายใจเข้าไปเต็มที่
ถึงความสามารถตามธรรมชาติจะยังน้อยอยู่ แต่สำหรับ “เด็กประถม” อย่างฉีจี้ทำได้แค่นี้ก็ไม่เลวแล้ว ลู่ยาปลอบใจฉีจี้อยู่ข้าง ๆ “ไม่ต้องรีบ ช้า ๆ ไฟอยู่ในตัวเรา แค่ปล่อยมันออกมาตามธรรมชาติ…”
“เดี๋ยวนะ นี่พวกคุณสอนพ่นไฟกันเลยเหรอ” ต้วนเจียเจ๋อเข้าใจว่าเป็นเรื่องการเหาะเหินเดินอากาศเลยเตรียมพร้อมรับตัวฉีจี้ตอนหล่นลงมา โดยลืมคิดไปว่าการรับตัวฉีจี้จะทำให้เขาถูกทับแบน ตายแหงแก๋
ต้วนเจียเจ๋อรีบรื้อเอาผ้าห่มกันไฟออกมา เผื่อฉีจี้พ่นไฟ เขาจะได้ใช้ผ้าห่มผืนนี้ดับได้ทัน
หลังเตรียมตัวเรียบร้อย ต้วนเจียเจ๋อเห็นว่าฉีจี้อยู่ในระหว่างรวบรวมพลัง และดูท่าว่าจะยังพ่นไฟออกมาไม่ได้ เขาจึงบอกลู่ยาที่คอยเชียร์อยู่ข้าง ๆ ว่า “เลิกเถอะ”
ลู่ยาหันมามอง “?”
ต้วนเจียเจ๋อพูดเสียงเบา “ในตัวคุณต่างหากที่มีไฟ! คุณลืมไปหรือไงว่ามันเป็นเพนกวินจักรพรรดิ ในตัวมันมีแต่ปลากับกุ้ง”
“…”
การพ่นไฟเป็นทักษะของลู่ยา แถมยังเป็นไฟชั้นสูงด้วย แตกต่างจากซ่านไฉ รายนั้นมีร่างอัคคีมาตั้งแต่เกิด ทว่า เพลิงสมาธิจำเป็นต้องบำเพ็ญตบะจึงจะเกิดได้ แม้ในสายตาเขานี่จะเป็นเรื่องธรรมชาติเหมือนการหายใจเข้าออก แต่ในความคิดของต้วนเจียเจ๋อ ระดับขั้นของฉีจี้ตอนนี้ไม่น่าจะทำสำเร็จ
ฉีจี้เป็นเพนกวินจักรพรรดิ เป็นนักว่ายน้ำ ต่อให้ได้พลังวิญญาณจากอีกาทองสามขาไปจนสภาพร่างกายใกล้เคียงกับธาตุไฟ ในตัวมันก็ยังไม่มีไฟอยู่ดี
ทั้งสองรอฉีจี้ต่อไป ฉีจี้รวบรวมสรรพกำลังอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง ตอนที่เห็นลูกกระเดือกขยับ ลู่ยาก็พูดขึ้นเสียงเบา “มาแล้ว”
ฉีจี้อ้าปาก ปล่อยควันสีดำออกมาหนึ่งสาย
ต้วนเจียเจ๋อ “???”
…นี่มัน ไม่น่าจะนับว่าเป็นไฟละมั้ง
ต้วนเจียเจ๋อยังไม่กล้าพูดอะไรออกมา รออีกสิบวินาที ฉีจี้ก็ไอค็อกแค็กก่อนพ่นไฟลูกเล็ก ๆ ออกมาได้หนึ่งลูก บางเบาเหมือนกลุ่มควันลอยออกมาแวบหนึ่งแล้วหายวับไปในอากาศ
ต้วนเจียเจ๋อจ้องมองฉีจี้อยู่อีกครึ่งนาทีจนแน่ใจว่าไม่มีภาคต่อแล้วถึงค่อยปรบมือเสียงดัง “เยี่ยม!”
ฉีจี้ก้มหน้าลงอย่างขวยเขิน มันพยายามอยู่นานกว่าจะพ่นไฟเหมือนพ่อบุญธรรมได้
แม้จะเป็นแค่ไฟธรรมดาอย่างที่สุดและมีปริมาณแค่นิดเดียว แต่ก็สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปมหาศาล เนื่องจากการบำเพ็ญเพียรของมันเพิ่งจะแค่เริ่มต้น นี่จึงเป็นการรวบรวมจิตวิญญาณธาตุไฟทั้งหมดมาไว้ที่ตำแหน่งหนึ่งเพื่อจุดระเบิด…
สำหรับเพนกวินที่เพิ่งเข้าสำนัก นี่เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก!
ฉีจี้เชื่อว่าต้องมีสักวันที่มันสามารถควบคุมอำนาจไฟได้อย่างดีเยี่ยม เปลวเพลิงแห่งดวงอาทิตย์อาจเป็นไปไม่ได้ แต่เพลิงสมาธิยังพอมีหวัง ถึงตอนนั้น มันจะเป็นดวงตะวันน้อย ๆ หนึ่งดวง
ต้วนเจียเจ๋อรับรู้สิ่งนี้ได้จากการอ่านใจของฉีจี้ เขาพูดไม่ออก ลำคอตีบตัน ชายหนุ่มลูบศีรษะฉีจี้ “เด็กดี รู้จักคิดดีมาก ไว้โตแล้ว แกต้องเป็นพระอาทิตย์ได้แน่นอน”
ลู่ยาเองก็ให้กำลังใจฉีจี้ด้วย แต่คำพูดส่วนใหญ่เป็นการยืนยันว่าฉีจี้เป็นลูกชายของเขา จะต้องประสบความสำเร็จอย่างสูงแน่ ต้วนเจียเจ๋อจะขวางก็ขวางไม่อยู่แล้ว
“ฉันจำได้ว่ามีไม้ฝูซางเหลืออยู่ ฉีจี้พ่นไฟได้แล้ว ฉันจะเอาไม้ฝูซางมาทำของเล่นให้ ไม่งั้นเกิดของในถ้ำถูกเผาวอดจะทำยังไง” ลู่ยาเป็นกังวล
ถ้าฉีจี้เป็นมนุษย์ คาดว่าตอนนี้คงใจเต้นจนหน้าแดง เท้าใหญ่ ๆ ฟาดพื้นดังป้าบ ๆ ไปแล้ว
ต้วนเจียเจ๋ออยากพูดแต่พูดไม่ออกว่าต่อให้เป็นการให้กำลังใจเด็ก แต่การใช้ไม้ฝูซางมากันไฟมันเว่อร์เกินไปหน่อยไหม ถ้ำของฉีจี้อยู่ในส่วนจัดแสดงสัตว์ขั้วโลก ด้วยอุณหภูมิของที่นั่น ต่อให้ฉีจี้รวบรวมไฟออกมาได้ก็ไม่แน่ว่าจะเผาอะไรสำเร็จ…
ช่างเถอะ ปล่อยให้พวกเขาอารมณ์ดีกันหน่อยแล้วกัน
ลู่ยารีบออกไปเอาไม้ฝูซางหลังจากไม่เห็นว่ามีใครแย้งอะไร
ส่วนต้วนเจียเจ๋อหันมากำชับฉีจี้ “ตอนนี้พ่นไฟได้แล้ว แต่เวลามีเรื่องกับใคร ห้ามใช้วิธีนี้นะ”
แม้ด้วยศักยภาพในการเรียนรู้ของฉีจี้ แทนที่จะใช้เวลาครึ่งชั่วโมงรวบรวมพลังพ่นไฟ สู้นั่งทับอีกฝ่ายให้ตายไปเลยดีกว่า แต่เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน จึงต้องอบรมสั่งสอนมันไว้ตั้งแต่เล็ก ๆ จะได้ไม่เหมือนลู่ยา เอะอะก็เผาคน แบบนั้นมันใช้ได้ที่ไหน
ฉีจี้ผงกศีรษะอย่างว่าง่าย “แกว๊ก”
ตอนนี้เอง มีคนเคาะประตูอยู่ด้านนอก เสียงของหลิวปินดังเข้ามา “ผู้อำนวยการอยู่ไหมครับ”
ฉีจี้กลอกตา วิ่งไปที่ข้างหน้าต่างเพื่อดูว่าใช่พ่อของมันกลับมาหรือเปล่า
ต้วนเจียเจ๋อรีบกดตัวฉีจี้ไว้แล้วถามออกไป “มีธุระอะไรครับ”
หลิวปินตอบ “ผมมีธุระด่วนต้องกลับบ้านครับ เลยมาขอให้ผู้อำนวยการช่วยเซ็นอนุมัติหน่อยครับ”
ด้วยระดับตำแหน่งของหลิวปินตอนนี้ การลาไปไหนหลาย ๆ วันจำเป็นต้องมีเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษรจากต้วนเจียเจ๋อ พอต้วนเจียเจ๋อได้ยินว่าเขามีธุระด่วนก็บอก “จะให้เซ็นตอนนี้เลยใช่ไหม รอสักครู่นะครับ”
ฉีจี้มองต้วนเจียเจ๋อ ใช้ปีกชี้ไปที่หน้าต่างก่อนจะวาดเป็นเส้นโค้ง ความหมายของมันคือ มันจะกระโดดลงไปจากตรงนี้เพื่อให้นกสี่เชวี่ยมารับมันกลางอากาศ
“แกแค่เดินไปดี ๆ ก็พอแล้ว ปล่อยพวกนกสี่เชวี่ยไปเถอะ” ต้วนเจียเจ๋อเปิดตู้เย็น พยักเพยิดให้เจ้าหนูอวบอ้วน
“…”
ต้วนเจียเจ๋อบังคับเพนกวินตัวอ้วนเข้าไปในตู้เย็น ฉีจี้เลยพยายามขดตัวเข้าไปนั่งอยู่ในนั้น
ตู้เย็นของเขาเป็นแบบสองประตู ช่องฟรีซด้านบนมีอาหารอยู่ และยังแบ่งเป็นช่องย่อย ๆ เห็นได้ชัดว่าใส่เพนกวินไม่ได้แน่ แต่ช่องแช่เย็นด้านล่างไม่มีอะไรเลย แค่ดึงลิ้นชักและชั้นวางออกมาก็ใช้ได้แล้ว
ต้วนเจียเจ๋อปิดประตูตู้เย็นเสร็จก็เดินไปเปิดประตูห้อง หลิวปินถือใบลาอยู่หน้าประตูด้วยท่าทางกระวนกระวาย ก่อนจะรีบยื่นส่งให้
ต้วนเจียเจ๋ออ่านเหตุผลของการลา เนื่องจากญาติผู้ใหญ่ของหลิวปินป่วยหนัก มิน่าเขาถึงรีบร้อนขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงเซ็นอนุมัติให้ทันที
ทว่าสายตาของหลิวปินกลับกวาดมองไปรอบห้อง เพราะเมื่อกี้ตอนอยู่ด้านนอก เขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง แถมต้องรออยู่พักหนึ่งกว่าผู้อำนวยการจะเปิดประตู ตอนแรกหลิวปินคิดจริง ๆ ว่าพี่ลู่กับผู้อำนวยการทำอะไร ๆ กันอยู่ข้างในหรือเปล่า ถึงได้…
แต่เท่าที่เห็นชัด ๆ ตอนนี้คือลู่ยาไม่อยู่
หืม ลิ้นชักตู้เย็นพวกนั้นกองอยู่ข้างนอก?
ต้วนเจียเจ๋อเซ็นชื่อเรียบร้อยก็เห็นหลิวปินกำลังมองกองลิ้นชักตู้เย็นและชั้นวางอยู่จึงพูดขึ้นว่า “เอาออกมาเตรียมล้างตู้เย็นน่ะ”
หลิวปินหยอก “ฮ่า ๆ ผมนึกว่าซ่อนคนไว้ในตู้เย็นเสียอีก”
ต้วนเจียเจ๋อยิ้มนิด ๆ “เหลวไหล หรือคุณจะลองเข้าไปดูก็ได้ ไม่น่าจะแข็งตายหรอก”
หลิวปินหัวเราะหึ ๆ “คงยัดพี่ลู่เข้าไปไม่พอหรอกนะครับ”
“ไปให้พ้นเลย” ต้วนเจียเจ๋อไล่หลิวปิน “อย่าลืมว่าต้องส่งต่องานให้เรียบร้อยด้วยนะ”
ขณะที่หลิวปินออกไปก็เห็นพี่ลู่ถือของที่ห่อด้วยผ้ามาพอดี เป็นข้อยืนยันว่าการคาดเดาอุตริของเขานั่นไม่มีทางเป็นไปได้ จึงคิดว่าเมื่อกี้ผู้อำนวยการอาจจะกำลังยุ่งอยู่จริง ๆ ว่าแล้วชายหนุ่มก็ผงกศีรษะทักทายลู่ยาก่อนวิ่งจากไป
ต้วนเจียเจ๋อเบี่ยงหลบให้ลู่ยาเข้ามาในห้องก่อนจะปิดประตู จากนั้นก็เปิดตู้เย็น
ลู่ยา “…”
ฉีจี้โผล่ออกมาจากด้านใน ตัวมันแน่นเต็มตู้เย็นจนเกือบจะทำให้ตู้เย็นโยกไปมา มันยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย เนื้อตัวไม่ได้มีปัญหาอะไร
ลู่ยาถาม “นายรอฉันกลับมาก่อนไม่ได้เหรอ เอาเพนกวินยัดใส่ตู้เย็นได้ไง ตู้เย็นมีไว้เก็บอาหารนะ!”
“ทำไมคุณคิดมากกับอะไรแบบนี้” ต้วนเจียเจ๋อมองลู่ยาด้วยสายตาประหลาดใจเล็กน้อย “เมื่อก่อนคุณยังเคยขู่ว่าจะกินผมอยู่เลย”
ลู่ยาแค่นเสียงฮึ เขาเปิดห่อผ้าออก ข้างในคือไม้ฝูซาง เขาตั้งใจว่าจะทำของเล่นดี ๆ ให้ฉีจี้
ฉีจี้หมอบดูอยู่ด้านข้างอย่างคาดหวัง เนื่องจากนี่คือไม้ฝูซาง สถานที่พักผ่อนของอีกาทองสามขา เป้าหมายในความเพียรพยายามของมัน คือตะวันดวงน้อย
ต้วนเจียเจ๋อคิดถึงความปรารถนาของฉีจี้แล้วหัวใจกระตุก เขาบอก “เจ้าลูกชาย ฉันจะบอกให้นะว่าอย่าตั้งเป้าหมายใหญ่เอาไว้ตั้งแต่ต้น”
ถ้าทำแบบนี้ นานวันเข้าฉีจี้ย่อมต้องผิดหวังมาก เนื่องจากระยะเวลาในการบำเพ็ญเพียรจริง ๆ นั้นแสนยาวไกล และย่อมมีข้อผิดพลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ ความห่างไกลนั้นมากกว่าการที่เด็กประถมตั้งเป้าอยากเป็นศาสตราจารย์เสียอีก
ลู่ยามีความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยม ในขณะที่ต้วนเจียเจ๋อคิดว่าระยะเวลาในช่วงการบำเพ็ญเพียรมันนานแสนนาน เพนกวินจักรพรรดิตัวหนึ่งมีอายุขัยแค่เท่าไหร่เอง เขาจึงรู้สึกว่าควรชี้นำฉีจี้ให้เหมาะสม
ฉีจี้เงยหน้า “งั้นควรทำยังไงดี”
“แกตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ มาสักอันก่อนแล้วค่อยว่ากัน ลองคิดดูสิว่าถ้าสามารถทำเป้าหมายเล็ก ๆ ให้สำเร็จได้ในทุก ๆ วัน พ่อบุญธรรมของแกก็จะให้รางวัลแกด้วย มันดีกว่าเยอะเลยนะ”
ฉีจี้พยักหน้าแรง ๆ แบบเห็นด้วย “อื้อ ตั้งเป้าหมายเล็กสักอัน!”
ต้วนเจียเจ๋อมองอย่างเอ็นดู “นึกเป้าหมายเล็กได้แล้วหรือยัง”
ฉีจี้ลังเลเล็กน้อย มันเงยหน้าร้องหนึ่งครั้ง “ดรายผมให้พ่อ!”
“…”
หลายปีต่อจากนั้น เมื่อฉีจี้ไปปรากฏตัวนอกดินแดนของมนุษย์ ผู้คนต่างไร้ข้อกังขาเรื่องที่มันเป็นลูกชายของอีกาทองสามขา
แค่ดูก็รู้แล้วว่ามันเป็นลูกชายของลู่ยา ทั้งวิชาในการบำเพ็ญที่เหมือนกัน อุปนิสัยก็ได้รับสืบทอดมาส่วนหนึ่ง…ส่วนเรื่องหน้าตา? นั่นต้องเป็นเพราะว่าฉีจี้เป็นลูกผสมแน่ ๆ เลย!
เฟิ่งหวงใช้พลังธาตุทั้งห้าให้กำเนิดนกยูง มังกรสมสู่กับสัตว์ต่างเผ่ากำเนิดเป็นบุตรทั้งเก้า[3] แต่ละตัวล้วนเป็นสัตว์ชนิดใหม่ นี่คือความมหัศจรรย์ของการผสมต่างชนิดข้ามเผ่าพันธุ์
คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าเพนกวินจักรพรรดิคืออะไร แต่ถึงตอนนั้น ฉีจี้ควบคุมทักษะการพ่นไฟได้ชำนาญแล้ว และคนที่รู้เรื่องต่างไม่มีแก่ใจจะอธิบาย ส่งผลให้ความเข้าใจผิดขยายวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ
จนอีกหลายปีผ่านไป พอมีคนลงมาบนโลก เห็นเทปบันทึกภาพเพนกวินจักรพรรดิในทีวีซึ่งมี ‘บุตรของลู่ยาเต้าจวิน’ เป็นพันเป็นหมื่นตัว ถึงกับช็อกจนเรียกสติกลับมาไม่ได้
สิ่งแรกที่คิดคือเหตุใดเต้าจวินถึงทิ้งบุตรไว้บนโลกมากมายเพียงนี้…
ต่อมาคือ ไม่สิ เทปบันทึกภาพบอกว่าพวกมันอาศัยอยู่ในที่อากาศเย็นจัดที่สุดเป็นพันเป็นหมื่นปี ธารน้ำแข็งที่ค่อย ๆ ละลายทำให้พื้นที่อยู่อาศัยน้อยลง และอุณหภูมิที่มนุษย์ใช้ชีวิตก็ร้อนเกินไปสำหรับพวกมัน
บุตรของอีกาทองสามขาจะกลัวความร้อนได้ยังไง
จนถึงตอนนี้ คนผู้นี้ถึงเพิ่งรู้ความจริงว่าที่แท้เจ้านกอ้วนชนิดนี้มีชื่อว่าเพนกวินจักรพรรดิ ฉีจี้ที่พ่นไฟได้ไม่ใช่เพนกวินจักรพรรดิตัวแรกในโลก แค่เป็นเพนกวินจักรพรรดิตัวเดียวที่ไม่กลัวความร้อน
ทว่าความเคลือบแคลงในสายพันธุ์ของฉีจี้นั้น เป็นประเด็นในภายหลัง
เวลานี้ ฉีจี้ยังคงเป็นเพนกวินน้อยที่พ่นลูกไฟเล็ก ๆ ได้ ขยันบำเพ็ญเพียรทุกวันและร่าเริง เดี๋ยวนี้แค่มองมันปราดเดียวก็รู้แล้วว่ามันคือทายาทของอีกาทองสามขา
หากเป้าหมายเล็กในการบำเพ็ญที่มันเพิ่งตั้งกลับถูกพ่อบุญธรรมกลบฝังอย่างไม่ปรานี
ฉีจี้แทบอยากลงไปกลิ้งบนพื้น แต่ก็แค่เกือบ เนื่องจากคำเตือนของต้วนเจียเจ๋อ ทำให้มันไม่กล้าโหวกเหวกโวยวาย ทำได้แค่นั่งอยู่บนพื้น ใช้เท้าใหญ่ ๆ ตีพื้นหรือไม่ก็ตู้เสื้อผ้าเป็นการแสดงความขุ่นเคืองใจ
เพราะอะไร ทำไมมันถึงดรายผมให้พ่อไม่ได้
“เอาน่า ๆ เลิกตีได้แล้ว” ต้วนเจียเจ๋อหันไปมองตรง ๆ อย่างทนไม่ไหว เขาเท้าแขนกับตัวฉีจี้ แล้วหันไปพูดกับลู่ยา “คุณอย่าพูดตรงแบบนี้ได้ไหม”
ต้วนเจียเจ๋อรู้สึกว่าลู่ยาน่าจะอ้อมค้อมกว่านี้หน่อย ไม่ใช่ทำเหมือนเมื่อกี้ เขาบ่นอุบ “ห้ามดรายผม!” เหมือนเขาเป็นเด็กพอ ๆ กับฉีจี้เลย
ลู่ยาพูดกับฉีจี้เสียงอ้อมแอ้ม “ลูกชาย แกเป็นเด็กกตัญญูดีมาก…แต่มันไม่ได้”
หลังพูดอ้อมหนึ่งรอบ เขาก็ยังคงปฏิเสธเป้าหมายของฉีจี้
ฉีจี้อึ้ง เอาปากตัวเองจิ้มกำแพงแบบไม่ยอมแพ้ เจ้าเพนกวินฉลาดมาก เนื่องจากเฟอร์นิเจอร์ของต้วนเจียเจ๋อทุกชิ้นทำจากไม้ฝูซาง จิกไม่เข้า กำแพงเลยเป็นรอย
เจ้าเพนกวินตัวนี้จะคลั่งแล้ว ต้วนเจียเจ๋อรีบเอ่ยปากห้าม “คืองี้ ความหมายของพ่อบุญธรรมคือการดรายผมไม่ใช่เป้าหมายเล็ก แต่ต้องคุมอุณหภูมิให้แม่นยำ ฉันว่าแกเปลี่ยนเป้าหมายให้เล็กลงดีกว่า”
ฉีจี้ถึงยอมหยุด ทำท่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “เป็นแบบนี้จริงเหรอ”
“จริงสิ ไม่เชื่อลองออกไปถามพวกซ่านไฉดูว่ามีคนไหนทำได้บ้าง แกดูผมฉันสิ!” ต้วนเจียเจ๋อปลอบ ฉีจี้เลยเปลี่ยนเป้าหมายด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ภายใต้การแนะนำของต้วนเจียเจ๋อ ฉีจี้ยืนกรานว่าจะใช้ไฟเผามันเทศให้สุกแทน
ต้วนเจียเจ๋อส่งฉีจี้ออกไปก่อนคุยกับลู่ยา “คุณใจร้อนกับฉีจี้มากเกินไป ค่อย ๆ อธิบายให้ฟังก็ได้”
“อธิบายอะไร” ลู่ยามีท่าทางแปลก ๆ น้ำเสียงกระวนกระวายเล็กน้อย “ให้มันไปหาแฟน ดรายผมให้แฟนสิ!”
“…” ต้วนเจียเจ๋ออึ้งไปก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอดกลั้น “คุณลืมไปหรือเปล่าว่าที่คุณดรายผมให้ผมครั้งแรกเพราะโมโห”
ลู่ยา “…”
หลังอุ้มท้องมาหลายเดือน ฉีฉีแฟนสาวของจ้งเป่า ก็คลอดลูกแฝดตัวผู้หนึ่งคู่ที่ศูนย์อนุรักษ์แพนด้า พอพวกต้วนเจียเจ๋อเห็นข่าวในอินเทอร์เน็ตก็เข้าไปแสดงความยินดีในเวยป๋อทางการของสวนสัตว์ซาฟารีหลิงโย่ว และอวยพรให้ลูกของจ้งเป่าแข็งแรงโตไว
พวกเขารู้ว่าสุขภาพร่างกายของท้องแฝดนี้แข็งแรงดีมาก ฉีฉีเป็นแม่ครั้งแรก แต่ไม่ได้ทิ้งลูกตัวไหน กลับเอาไปเลี้ยงด้วยกันทั้งสองตัว
โดยทั่วไป มีความเป็นไปได้ว่าแพนด้ายักษ์จะเลี้ยงลูกตัวที่แข็งแรงกว่า เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก เพื่อรักษาอัตราการรอดชีวิต ถ้าเลี้ยงทั้งสองตัว มีแนวโน้มมากว่าจะเลี้ยงไม่ไหว ทว่าภายใต้การเลี้ยงดูของมนุษย์ในปัจจุบัน ทำให้ท้องแฝดไม่ใช่ปัญหา
โดยทั่วไป แพนด้ายักษ์จะรู้จักแต่แม่ พวกมันใช้ชีวิตอยู่กับแม่ แม้แต่พ่อของตัวเองเป็นใครก็ยังไม่รู้
แต่กับพวกปีศาจไม่ได้เป็นแบบนั้น ด้วยเหตุนี้ พานเหล่าซือจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ตอนดูถ่ายทอดสด เขาชมเปาะว่า “ฉีฉีเยี่ยมยอด! คลอดทีเดียวสองตัวเลย!”
จ้งเป่ากอดเท้าและแทะเล่น ไม่ได้มีสัญชาตญาณของความเป็นพ่อเลยสักนิด แพนด้าอย่างพวกมัน แค่ไม่เห็นกันช่วงหนึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นพ่อเป็นลูกกันแล้ว
พานเหล่าซือบอกต้วนเจียเจ๋อว่า “อีกหน่อย ทำเรื่องขอเจ้าสองตัวมาไว้ที่สวนสัตว์เราดีกว่า ผมรู้สึกว่าพวกมันสองตัวหน่วยก้านดี”
หน่วยก้านดีเรื่องอะไร หน่วยก้านดีเรื่องขายความน่ารัก หรือหน่วยก้านดีเรื่องการบำเพ็ญ ต้วนเจียเจ๋อไม่เข้าใจ แต่เห็นด้วยเรื่องเอาแพนด้ายักษ์สองตัวมา ส่วนจัดแสดงแพนด้าของพวกเขาจำเป็นต้องมีแพนด้ายักษ์มากขึ้นเพื่อเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน
ในอินเทอร์เน็ต มีกิจกรรมร่วมลุ้นสิทธิ์ตั้งชื่อให้ลูกของฉีฉี ชาวเน็ตต่างเข้ามาร่วมชิงชัยเพราะอยากได้สิทธิ์ในการตั้งชื่อ
พานเสวี้ยนเฟิงเล่นตุกติกได้อันดับหนึ่ง ชื่อในเน็ตที่เขาตั้งให้ตัวเองคือ “หลิงโย่ว-เสี่ยวพาน” ตอนประกาศชื่อของชาวเน็ตผู้มีสิทธิ์ตั้งชื่อออกมาอย่างเป็นทางการว่าคือ “หลิงโย่ว-เสี่ยวพาน” เหล่าชาวเน็ตจึงพากันสงสัย
‘แฟนคลับหลิงโย่วเหรอ’
‘ทำไมฉันรู้สึกว่าชื่อนี้เหมือนพนักงานหลิงโย่วเลย…’
‘คงไม่ได้มีเบื้องหลังใช่ไหม’
‘อยากรู้จังว่าเขาจะตั้งชื่อให้เด็กแฝดว่าอะไร’
ต้วนเจียเจ๋อไม่รู้เรื่องนี้ ตอนเห็นผลในอินเทอร์เน็ต เขาถึงกับสำลักพรวด ถ้านี่ไม่ใช่พานเสวี้ยนเฟิง เขาจะกินคอมพิวเตอร์ลงไปเลย คิดไม่ถึงว่าพานเหล่าซือจะห่วงมาก… ยังไงจ้งเป่าก็ติดตามเขามานานหลายปีนี่นา
สุดท้าย “หลิงโย่ว-เสี่ยวพาน” ใช้สิทธิ์ในการตั้งชื่อของตัวเอง ตั้งชื่อให้ลูกแฝดของฉีฉีว่า “นั่วนั่ว” กับ “เหวยเหว่ย”
ข้าวเหนียวกับใบอ้อ ไม่ใช่บ๊ะจ่าง[4]หรอกหรือ
ทุกคนต่างแสดงความเห็นตรงกันว่า ‘ชื่อนี้ไม่เลว ดูท่าแฟนคลับของหลิงโย่วคนนี้จะชอบจ้งเป่ามาก! มันได้ แค่เห็นชื่อก็รู้แล้วว่าเป็นลูกของจ้งเป่า!’
ไม่เพียงแค่นี้ พานเหล่าซือยังตั้งใจขอลาหนึ่งวัน บอกว่าจะไปดูนั่วนั่วกับเหวยเหว่ยที่ศูนย์อนุรักษ์แพนด้า
ต้วนเจียเจ๋อไม่เข้าใจ “มันจะผิดกฎหรือเปล่า เจ้าหน้าที่ทางนั้นเขามืออาชีพกันมาก คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ”
พานเสวี้ยนเฟิงบ่นอุบ เขาติดสินบนไว้เรียบร้อยแล้ว ต้องรีบไปหน่อย จะได้ให้พวกมันออกมาอวดโฉมพร้อมแพนด้าตัวอื่น…
“งั้นคุณไปเถอะครับ อย่าให้ถูกจับได้ล่ะ” ต้วนเจียเจ๋อโบกมือให้พานเสวี้ยนเฟิง แต่เขาคิดไม่ถึงหรอกว่าพานเสวี้ยนเฟิงใช้วิธีไหนในการเข้าเยี่ยม
[1] ไก่กระต่ายในกรงเดียวกัน คือโจทย์คณิตศาสตร์ของจีนโบราณ มีบันทึกใน คัมภีร์คำนวณของซุนจื่อ สมัยราชวงศ์เหนือใต้ ความว่า มีไก่กับกระต่ายอยู่รวมกัน มีหัวรวม 35 หัว มีเท้า 94 ข้าง คำถามคือมีไก่กี่ตัว และมีกี่กระต่ายกี่ตัว
[2] ใช้เป็นปืน เป็นสำนวนหมายถึง ใช้เป็นเครื่องมือเล่นงานคนอื่น
[3] บุตรมังกรทั้งเก้า ได้แก่ 1) ฉิวหนิว เชื่อกันว่าเป็นลูกผสมกระบือ นิสัยอ่อนโยน ชื่นชอบดนตรี 2) หยาจื้อ เป็นลูกผสมสุนัขจิ้งจอก นิยมการต่อสู้ฆ่าฟัน 3) เฉาเฟิง บางตำราอ้างว่าเป็นลูกผสมปักษา ชอบเก็บตัวและคอยเฝ้ามอง 4) ผูเหลา เป็นลูกผสมอึ่งอ่าง มีเสียงก้องดังกังวาน 5) ซวนหนีหรือจินหนี ลูกผสมสิงห์ รักความสงบ 6) ปี้ซี่หรือป้าเซี่ย ลูกผสมเต่า ชอบแบกของหนัก 7) ปี้อั้นหรือเซี่ยนจาง ลูกผสมเสือ ชอบพิพาทหาข้อถูกผิด 8) ฟู่ซี่ เชื่อกันว่าเป็นลูกผสมของมังกรทองห้าเล็บกับมังกรคราม สง่างามและทรงภูมิ 9) ชือเหวิ่น ลูกผสมปลา ชอบฮุบกลืน
[4] ชื่อ นั่วนั่ว มาจากคำว่านั่วหมี่ แปลว่าข้าวเหนียว ส่วนเหวยเหว่ย มาจากคำว่าเหว่ยเย่ แปลว่าใบอ้อ ชาวจีนทางเหนือนิยมนำมาห่อขนมบ๊ะจ่างที่ทำจากข้าวเหนียว โดยคำว่าบ๊ะจ่างตามสำเนียงจีนกลางออกเสียงว่าจ้ง ซึ่งเป็นชื่อของจ้งเป่า