เมื่อผมเป็นเจ้าของสวนสัตว์
我开动物园那些年
ลาเหมียนฮวาถังเตอะทู่จื่อ เขียน
拉棉花糖的兔子
Himazan แปล
ติดตามกำหนดการวางขายหนังสือได้ที่เพจ Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
+++++++++++++++++++
บทที่ 53.3
วันต่อมา ทีมงานของรายการทั้งทีมต่างรู้เรื่องนี้
เจ้าหน้าที่ของสวนสัตว์หลิงโย่วไม่รู้ว่าใครที่ทำตัวเจ้าเล่ห์ ใส่ชุดมาสคอตออกมากอดราชินีจอเงินอย่างสนิทสนมร่วมสิบนาที ราชินีจอเงินเข้าใจว่าเป็นแผนของทีมงานเลยเล่นด้วย
สุดท้ายพอทีมงานเฉลย เจ้าเพนกวินตัวนี้ก็หนีหายไปแบบใส ๆ ปล่อยให้ราชินีจอเงินเหวออยู่นาน
เรื่องนี้ถูกแจ้งให้คนภายในสวนสัตว์ทราบ เวลามีดารามาเยอะ ๆ สวนสัตว์หลิงโย่วจะมีกฎว่าไม่ให้ไปรบกวนการทำงานของทีมงาน และต้องช่วยเคลียร์นักท่องเที่ยวที่มามุงด้วย
ช่วงที่ดารากลุ่มนี้ถ่ายทำกันตอนกลางคืน อย่างมากคนส่วนใหญ่ก็แค่คอยดูอยู่ข้างนอก หรือถ้ามีโอกาสถ่ายรูปคู่ ก็ห้ามไปอยู่ด้วยเป็นสิบนาทีเหมือนมาสคอตตัวนั้น ถึงขั้นมีการกอดรัดฟัดเหวี่ยงอีกต่างหาก
ด้วยเหตุนี้ มาสคอตตอนนั้นเป็นใคร ไอเดียสุดยอดมาก!
เพราะพอแต่งชุดมาสคอตก็เข้าไปหาราชินีจอเงินได้เลย ทำเอาทุกคนอิจฉาริษยากันสุด ๆ ทั้งที่ชุดมาสคอตก็มีเยอะ แต่ทำไมพวกเขาถึงคิดวิธีนี้กันไม่ได้นะ…!
ตอนต้วนเจียเจ๋อกินข้าว เขาได้ยินเสี่ยวซูเล่า “ผู้อำนวยการคะ คุณว่าถ้าฉันใส่ชุดมาสคอตฉีจี้ไปกอด จะมีโอกาสสำเร็จเยอะไหม ตอนนี้พวกเขาจะมีการเฝ้าระวังกันแล้วหรือเปล่า”
“พอเลย พวกคุณ เดี๋ยวเขาจะเรียกตำรวจมาจับ” ต้วนเจียเจ๋อขำ “ถ่ายรูปคู่ธรรมดาไม่ได้เหรอครับ”
“อยากใกล้ชิด อยากกอดอะ” เสี่ยวซูโอด
พอเสี่ยวซูเดินไป ต้วนเจียเจ๋อก็โอบไหล่ลู่ยาพลางถอนหายใจ “ชอบดาราสาว? เล่นกับพี่สาว? นี่มันเหมือนใครนะ เราสองคนไม่ได้ชอบผู้หญิงสักหน่อย”
ลู่ยา “…” เขาไม่คิดว่านี่เป็นความชอบ ขบคิดอยู่พักหนึ่งแล้วนึกถึงเรื่องที่เรียนรู้ในโลกมนุษย์ขึ้นมาได้ “น่าจะเป็นแค่การตามดารามากกว่า”
ต้วนเจียเจ๋อหัวเราะฮ่า ๆ “ผมยังตามพระอาทิตย์เลยนี่เนอะ”
“…”
การถ่ายทำ Big Superstars… ไม่ใช่สิ Big Animals ส่วนใหญ่จะเป็นเช้าตรู่หรือตอนเย็น แต่บางครั้งก็หลบเลี่ยงช่วงกลางวันไปไม่ได้ คนที่มาดูดาราเลยเยอะกว่าคนที่มาดูสัตว์
ภาพระหว่างการถ่ายทำของพวกเขาเลยหลุดไปในอินเทอร์เน็ต
มีข่าวกอสซิปออกไปในเวลาเดียวกันว่า ไม่รู้ทำไมผู้อำนวยการเมิ่งถึงใช้เวลานานมากกว่าจะกล่อมให้ทางสวนสัตว์ร่วมงานสำเร็จ และทางสวนสัตว์จะบริจาครายได้ทั้งหมดเพื่อสิ่งแวดล้อม นี่เป็นเงื่อนไขหลักที่ตกลงกันเงียบ ๆ
เรื่องนี้ไม่ได้จุดกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ใหญ่โต เนื่องจากชาวเมืองตงไห่หรือแฟนคลับที่ติดตามสวนสัตว์ซาฟารีหลิงโย่วเดาว่าทางรายการอาจจะทำเรื่องผิดกฎระเบียบของสวนสัตว์หรือเปล่า ถึงต้องมีการไตร่ตรองกันนานขนาดนี้ ส่วนเรื่องการบริจาคย่อมเป็นเรื่องที่ดี
ส่วนภาพดาราที่หลุดออกไปเมื่อตอนก่อนหน้า มีภาพที่ดาราคนหนึ่งนั่งยอง ๆ อยู่ข้างสิงโต สองมือชูสองนิ้วสู้ตายทั้งที่สีหน้าท่าทางดูหวาด ๆ หวั่น ๆ ผิดจากภาพความเป็นชายชาตรี กลายเป็นความน่ารันทดแทน และยังมีภาพของราชินีจอเงินถ่ายรูปคู่กับเพนกวินจักรพรรดิ ซึ่งความสูงพอ ๆ กัน เนื่องจากสวนสัตว์คอยอัปเดตส่วนสูงของเพนกวินจักรพรรดิให้แฟน ๆ ได้รับรู้อย่างสม่ำเสมออยู่แล้ว จึงทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความสูงของดาราในวงการบันเทิงขึ้นมา นอกจากนี้ก็มีรูปคู่ของไป๋ซื่อเฉียวกับงูหลาม ชาวเน็ตสังเกตเห็นชุดของคนคนหนึ่งที่โผล่อยู่ตรงมุมภาพและสงสัยกันว่าใช่เซียวหรงหรือเปล่า…
รายการยังไม่ทันออกฉายก็ดังนำไปก่อนแล้ว พ่อของผู้อำนวยการเมิ่งชมเขายกใหญ่ ตอนแรกเขารู้สึกว่าผู้อำนวยการเมิ่งวิ่งไปถึงตงไห่ ไม่ยอมกลับบ้านตั้งนาน ไม่รู้ว่าไปมัวทำอะไร แต่ตอนนี้เห็นแล้วว่ากำลังทำงาน
ตอนได้รับสายจากพ่อ ผู้อำนวยการเมิ่งถึงกับสมองขาวโพลนว่าเขาทำอะไร
ผู้อำนวยการเมิ่งเป็นคนเสนอไอเดียตอนแรกสุด แต่ไม่มีอะไรสร้างสรรค์มากพอที่เอาไปต่อยอดได้ ตอนหลังเขาเลยส่งต่อให้คนอื่นไปทำทั้งหมด งานทุกอย่างจึงเป็นฝีมือของลูกน้อง แต่ละวันตัวผู้อำนวยการเมิ่งเอาแต่กินของอร่อยกับเดินเตร่ในสวนสัตว์เผื่อจะดึงตัวใครไปได้สักคน
แต่สิ่งที่ทำให้ผู้อำนวยการเมิ่งเจ็บปวดคือ จนถึงวันนี้เขาอ้วนขึ้นหกกิโลครึ่งแล้ว ขนาดเสี่ยวจิ่วเห็นเขายังพูดกับเขาแค่คำเดียวเลยว่า “กลิ้ง[1]!”
ทำไมกัน เขาเคยแสดงท่าทีคุกคามหรือไปล่วงเกินอะไรเสี่ยวจิ่วเหรอ
หลังจากผู้อำนวยการเมิ่งคิดทบทวนอยู่นานก็รู้สึกว่าคนกลุ่มนี้น่าจะไม่เข้าใจวงการบันเทิง ไม่รู้จักครอบครัวเขา รวมไปถึงอิทธิพลของเขาเองด้วย ถึงได้เอาแต่ทำเมิน ทำให้เขาปวดหัวกลุ้มใจแบบนี้
ไม่สิ…พวกนายส่วนใหญ่ไม่มีงานทำ ต้องเกาะต้วนเจียเจ๋อ หรือไม่ก็ได้เงินเดือนแค่สามสี่พัน มีสิทธิ์อะไรมาเมินฉันกันฮะ?
Big Animals ดังตั้งแต่ยังไม่ทันออกฉาย ส่งผลให้ผู้อำนวยการเมิ่งมีความมั่นใจมากขึ้น เขารู้สึกว่าคนกลุ่มนี้คงได้เห็นตัวอย่างชัด ๆ อยู่ข้างตัวแล้วว่าเขาดันคนให้ดังได้ยังไง
หลัง Big Animals ถ่ายทำไปได้สี่เทปก็เริ่มการตัดต่อ พวกเขาต้องถ่ายไปฉายไป ตัวรายการดังมาก ทีมงานกับแขกรับเชิญทุกคนกลายเป็น “ซูเปอร์สตาร์” ที่ทุกคนกล่าวขาน ในอินเทอร์เน็ตมีข่าวมากมาย ส่งผลให้ยอดวิวของอีพีแรกสูงมาก
ในฐานะนายทุน ทีมงานที่ผู้อำนวยการเมิ่งเลือกให้ตัวเองย่อมดีที่สุด คุณภาพของรายการที่ออกมาจึงค่อนข้างดี พอจบอีพีแรกก็มีคำวิจารณ์เชิงบวกเข้ามามากมาย
โดยเฉพาะเด็กใหม่ของบริษัทที่พวกเขายัดเข้าไป เขาเคยเล่นโฆษณาสองสามตัว และเล่นบทพระรองในซีรีส์สองเรื่อง
ครั้งนี้สัตว์ที่เขารับผิดชอบในรายการ Big Animals คือเต่าทะเล ซีนของเต่าทะเลมีเยอะ เนื่องจากเด็กใหม่เป็นคนช่างจ้อ เวลาไม่มีอะไรทำก็จะคุยกับเต่าทะเลแล้วเต่าทะเลก็ตอบ ทั้งคู่จึงสร้างเรื่องขำขันไว้ไม่น้อย
ตัวอย่างเช่น เต่าทะเลต้องเข้ากะไปทำงานว่ายแตะพื้นสระไปรอบ ๆ หลัง “เลิกงาน” เต่าทะเลจะขึ้นมานอนพังพาบอยู่กับที่ท่าทางเหมือนมนุษย์ เด็กใหม่จะเดินเข้าไปบอก “ฉันนวดให้นะ” พอนวดเสร็จ เต่าทะเลยื่นหัวออกมา เขาก็จะรีบเสริมว่า “เสร็จแล้ว จะเพิ่มชั่วโมงไหมครับ”
หลายคนชอบนิสัยชงเองตบเอง หน้าไม่อายแบบนี้ เพียงชั่วข้ามคืน เวยป๋อของเด็กใหม่ก็มีแฟนคลับเพิ่มขึ้นหลายแสน
ไม่ต้องพูดถึงแขกรับเชิญคนอื่น พวกเขาต่างเป็นคนดังที่ได้รับความนิยมเยอะอยู่แล้ว มีเพียงเด็กใหม่ที่ดังในชั่วข้ามคืนเลยดูปุบปับ แต่ความจริงคือแขกรับเชิญคนอื่นล้วนได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมาก
ทั้งการปฏิสัมพันธ์ระหว่างไป๋ซื่อเฉียวกับไป๋ซู่เจิน เห็นได้ชัดว่าเขาระแวงอยู่นิดหน่อย แต่แฟนคลับของเขามองว่ามันน่ารักมาก แบ๊วมาก ส่วนคนที่เกลียดเขารู้สึกว่าไป๋ซื่อเฉียวไม่แมน ตามปกติก็เจ้าสำอางอยู่แล้ว พอตอนนี้เลยยิ่งโป๊ะ
เฟ่ยเหยียนเป็นคนที่ได้รับคำวิจารณ์ในด้านบวกมากที่สุดเลยถูกตัดภาพเอาไปแพร่ต่อในอินเทอร์เน็ต
สัตว์ที่เฟ่ยเหยียนดูแลคือเพนกวิน เทียบกับสัตว์ของแขกรับเชิญคนอื่น มันน่ารักมากจนชวนให้คนสงสัยว่ามีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรหรือเปล่า แต่เฟ่ยเหยียนก็ไม่เคยได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ
เธอเริ่มต้นจากเข้าใจผิด นึกว่าเพนกวินจักรพรรดิคายปลาให้ตัวเอง กลายเป็นเรื่องขำขัน จากนั้นก็เรียกเสียงฮาขึ้นไปอีก เมื่อถูกให้ไปกำจัดสิ่งปฏิกูล
ในจอ เฟ่ยเหยียนแบกเครื่องมือ บอกกับตัวเองว่า “ทุกคนคือเจ้าหน้าที่กำจัดสิ่งปฏิกูล คุณเห็นขี้แมว ขี้หมาที่คนอื่นกำจัดเป็นก้อน ๆ แต่ของฉันเป็นแผ่น ๆ”
หลังกำจัดสิ่งปฏิกูล มีมาสคอตเพนกวินออกมาโบกมือให้เฟ่ยเหยียนหนึ่งตัว เฟ่ยเหยียนกอดมันอย่างสนิทสนมก่อนรอยยิ้มของเฟ่ยเหยียนจะค่อย ๆ แห้งลง มีตัวหนังสือบอกว่าผ่านไปสิบนาทีแล้วนะ เสียงของโปรดิวเซอร์ดังมาจากนอกจอ ทำให้คนดูเพิ่งรู้ว่านี่ไม่ใช่เพนกวินที่พวกเขาเตรียมไว้
พอเพนกวินจักรพรรดิรู้ว่าความแตกก็เผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เฟ่ยเหยียนยืนเอ๋ออยู่ที่เดิม
เจ้าคนตีเนียนกับสีหน้าของเฟ่ยเหยียนฮามาก หลังรายการดัง มีทีมงานออกมาเม้าท์กับคนของสวนสัตว์ถึงรายละเอียดเรื่องนี้ แสดงให้เห็นว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าเพนกวินจักรพรรดิตัวนั้นเป็นใคร มีคนอยากเลียนแบบบ้าง แต่ผลคือถูกห้าม
‘แม่เจ้า ขำจัง ฮ่า ๆ ๆ ๆ เฟ่ยเหยียนยิ้มเอ๋อไปตั้งสิบนาที!’
‘ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยชอบเฟ่ยเหยียนเลย รู้สึกว่าเธอแอ๊บ แต่วันนี้ฉันว่าจะเปลี่ยนไปเป็นแฟนคลับของเธอ…’
‘เฟ่ยเหยียน ตลกมาก แถมยังจงใจแซะไป๋ซื่อเฉียวอีก เจ้าบทบาทจริง ๆ’
‘Big Superstars สนุกมาก! ฉันว่าต้องดูต่อแล้ว พวกสัตว์น่ารัก ข้อมูลไม่น่ารำคาญ แม้แต่ภาพของแขกรับเชิญที่ไม่ชอบหน้ายังเปลี่ยนเป็นขำได้ เด็กใหม่นั่นก็ไม่เลว หน้าไม่อายเลย ฉันจะเป็นแฟนคลับเขา!’
‘เพนกวินจักรพรรดิขำที่สุดว่าไหม พอโปรดิวเซอร์บอกว่าเราไม่ได้ทำ มันก็วิ่งหนีไปแบบสวย ๆ ฉันขำจนปวดท้อง’
ผู้อำนวยการเมิ่งกินรากบัวยัดไส้พลางใช้แท็บเล็ตเปิดคลิปรายการให้เสี่ยวจิ่วดู เขาเปิดคอมเม้นท์กระสุน ความคิดเห็นมากมายวิ่งแทบจะเต็มจอ
ผู้อำนวยการเมิ่งรู้สึกภูมิใจมาก แค่อีพีแรก Big Animals ยังดังเปรี้ยงปร้าง แม้แต่พวกเพื่อนพ่อเขายังโทร.มาชม ทำให้พ่อยิ่งดีใจ ตอนนี้ในวงการมีหลายคนบอกว่าต้องมองผู้อำนวยการเมิ่งใหม่แล้ว
อันที่จริง นี่เท่ากับบรรลุเป้าหมายแรกสุดของผู้อำนวยการเมิ่ง ตอนแรกเขาแค่อยากทำให้พ่อตกใจ และตอนนี้มันกลับประสบผลสำเร็จดีมาก ทว่าผู้อำนวยการเมิ่งกลับยิ่งแค้นใจในแผนดึงตัวคนของตัวเองมากกว่าเดิม
ทั้งที่เขาทำรายการดังได้ แต่คนกลุ่มนี้กลับไม่หวั่นไหวไปกับเขาเลยสักนิด!
พอคิดแบบนี้ ผู้อำนวยการเมิ่งเลยกินหนักกว่าเดิม เขาพูดเสียงอู้อี้ “เด็กใหม่แซ่หลิวคนนี้ แฟนคลับในเวยป๋อเพิ่มขึ้นอีกหลายแสน ยังติดเทรนด์อยู่ อ้วนแล้วไง”
เวลานี้บนจอเป็นภาพมาสคอตเพนกวินจักรพรรดิที่มากอดกับเฟ่ยเหยียนก่อนเผ่นหนีไป
เสี่ยวจิ่วพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ไสหัวไป”
ผู้อำนวยการเมิ่งกลืนรากบัวยัดไส้คำสุดท้าย เลียริมฝีปาก พูดเสียงไม่พอใจ “ตกลงนายหมายความว่ายังไง เหล่าจือยังแสดงความจริงใจไม่พออีกเหรอ? นี่ไม่ได้มาหาเรื่องนะ ไว้หน้ากันบ้างสิ นึกว่าเหล่าจือโมโหไม่เป็นเหรอ?!”
ไม่ว่ายังไง ผู้อำนวยการเมิ่งก็เป็นลูกเศรษฐีเสเพล ก่อนหน้านี้ เขาเคยฝืนทำเท่มาได้ตั้งนาน ทว่าเวลานี้กลับหน้าดำอย่างอดรนทนไม่ไหว
สีหน้าของเสี่ยวจิ่วเปลี่ยนไป ผู้อำนวยการเมิ่งโกรธเป็น เขายิ่งเดือดเป็น ชายหนุ่มตบโต๊ะพูดเสียงดัง “นายเป็นเหล่าจือใครไม่ทราบ สมองกลวงละมากกว่า อย่านึกว่าไม่มีใครฟังที่นายพูดออก ฉันจะบอกนายให้นะว่าฉันไม่มีวันเป็นคนของนาย!”
เสี่ยวจิ่วสะบัดหน้าเดินจากไป
ผู้อำนวยการเมิ่งอึ้งอยู่ที่เดิม คำพูดของเสี่ยวจิ่วเมื่อครู่ ทำให้ทุกคนหันมามองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ “…ปัดโธ่เอ๊ย!”
การถ่ายทำรายการภายในสวนสัตว์ไม่ได้ส่งผลกระทบต่องานประจำวันของต้วนเจียเจ๋อ ระยะนี้เขากำลังทำวิจัยโปรเจ็กต์หนึ่งอยู่ สวนสัตว์ซาฟารีหลิงโย่วยังไม่มีความจำเป็นต้องขยายพื้นที่ออกไปในตอนนี้ ความต้องการของพวกเขาอยู่ที่การปูพื้นฐานที่มีอยู่ให้เสร็จสิ้น และเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเอง
จะสร้างความหลากหลายในพื้นที่ที่จำกัดอย่างไร
ข้อเสนอแนะของเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ทำให้ต้วนเจียเจ๋อนึกอยากลองเลี้ยงสัตว์แบบผสมผสาน
สวนสัตว์ทั่วไปจะเอาสัตว์แต่ละประเภทไปแยกเลี้ยงไว้ในส่วนจัดแสดงของแต่ละชนิด แต่ในสวนสัตว์ขนาดใหญ่ที่มีปัจจัยพร้อม มีพื้นที่มากพอ จะทำการทดลองเลี้ยงสัตว์แบบผสมผสาน
ถ้าสวนสัตว์ที่มีพื้นที่ไม่ใหญ่มากเลี้ยงแบบผสมผสาน อาจสร้างความกดดันให้แก่สัตว์จนเกิดเรื่องเลือดตกยางออก
แต่หลิงโย่วไม่กังวลเรื่องนี้ การเลี้ยงสัตว์แบบผสมผสานจะช่วยเพิ่มความสนุกในการเยี่ยมชมของนักท่องเที่ยว และเป็นประโยชน์ต่อสัตว์ในอีกรูปแบบหนึ่ง
แต่เรื่องการเลือกสัตว์มาเลี้ยงรวมกันต้องมีการศึกษาอย่างดี ไม่งั้นมันจะไม่ใช่การเลี้ยงสัตว์แบบผสมผสาน แต่จะกลายเป็นการเลี้ยงกู่[2]ไป เรื่องนี้จำเป็นต้องได้รับคำชี้แนะจากผู้เชี่ยวชาญ ต้วนเจียเจ๋ออยากเอาส่วนจัดแสดงสักหนึ่งหรือสองแห่งมาลองก่อน เนื่องจากการจัดแสดงแบบนี้จะเหมาะกับ “สัตว์ป่า” ใน “ซาฟารี” มากกว่า
ก่อนหน้านี้ พวกเขาเลี้ยงรวมแบบง่าย ๆ โดยโซนสัตว์กินพืชที่เลี้ยงแบบปล่อยจะมีสัตว์กินพืชนิสัยอ่อนโยนหลายชนิดใช้พื้นที่ร่วมกัน
ในประเทศ สวนสัตว์ทางเหนือมีการเลี้ยงรวมมากมาย แต่มณฑลตงโจวไม่มีสวนสัตว์ที่เลี้ยงแบบผสมผสาน ต้วนเจียเจ๋อจึงอยากลองจับคู่แบบไม่เหมือนใครและน่าสนใจ ชายหนุ่มจึงขอความช่วยเหลือจากสมาคมและนำเอกสารมาศึกษา
นอกจากนี้ ยังมีการทำอุโมงค์ในโซนเลี้ยงในกรง ในงานประชุมประจำปีครั้งก่อน ตอนต้วนเจียเจ๋อได้ฟังรายงานของคนอื่นว่ามีการทำอุโมงค์แบบนี้ในสวนสัตว์หลายแห่งในต่างประเทศ เพื่อให้สัตว์ได้ทำกิจกรรมในอุโมงค์โปร่งแสงบนเส้นทาง แค่คนเงยหน้าก็จะเห็นสัตว์อยู่กลางอากาศ น่าตื่นตาตื่นใจมาก
อุโมงค์ลักษณะนี้จะปรับเปลี่ยนรูปแบบหลากหลาย ตัวอย่างเช่นอุโมงค์ของพวกลิงจะมีเชือก เนื่องจากพวกมันชอบห้อยโหน
ขณะที่อุโมงค์ใต้ทะเลในอควาเรียม จะทำให้มองเห็นสัตว์น้ำได้แบบสามร้อยหกสิบองศา
รูปแบบนี้จะช่วยให้มีการใช้งานพื้นที่ของสวนสัตว์ได้มากขึ้น และเพิ่มอรรถรสในการชม ไม่ใช่การก่อสร้างใหญ่โตอะไร ต้วนเจียเจ๋อสนใจเรื่องนี้มาก พอกลับมาเขาก็เที่ยวไปหาข้อมูลจากบริษัทก่อสร้างที่มีประสบการณ์ในด้านนี้
ถึงพวกเขาจะมีเทพนักษัตรซื่อหั่ว จูเฟิง แต่ต้วนเจียเจ๋อกลัวว่าจูเฟิงจะไม่รู้จักวัสดุสมัยใหม่ และอุโมงค์นี้ต้องมีความปลอดภัยเป็นพิเศษ
แรกเริ่มเป็นการทดลองเพื่อดูปฏิกิริยาของนักท่องเที่ยว ต้วนเจียเจ๋อให้คนทำอุโมงค์ลอยฟ้านอกส่วนจัดแสดงสัตว์ป่าดุร้าย เป็นโครงจากวัสดุประเภทกระจก เชื่อมต่อไปกลางกรง
การทำอุโมงค์ใช้เวลาไม่นานมาก แรก ๆ คนยังไม่รู้ว่ามันมีไว้ใช้ทำอะไร เข้าใจว่าให้นักท่องเที่ยวไปยืนดูอยู่ข้างใน จนเวลาผ่านไปสักพัก ถึงมีคนเดาได้ว่าอุโมงค์นี้มีไว้สำหรับสัตว์
อุโมงค์ลอยฟ้านี้ต่อออกมาด้านใน ข้ามถนน วนรอบป่าฝั่งตรงกันข้ามหนึ่งรอบ สูงจากพื้นประมาณสองช่วงตัว
หลังติดตั้งอุโมงค์ ผู้ปกครองในเมืองตงไห่หลายคนถูกเด็กรบเร้าจะไปเที่ยวสวนสัตว์ซาฟารีหลิงโย่ว
สำหรับชาวเมืองตงไห่ในปัจจุบัน การไปเที่ยวหลิงโย่วในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นเรื่องปกติธรรมดา การปีนภูเขาไหเจี่ยว เดินเล่นในสวนสัตว์ ทัวร์หมู่บ้านถงซิน…ทำให้พวกผู้ปกครองเข้าใจไปว่าเด็ก ๆ มีการบ้าน
ในกลุ่มเด็ก ๆ สวนสัตว์ค่อนข้างเป็นประเด็นให้คุยกันได้ ตอนเด็กหลายคนไปสวนสัตว์แล้วกลับมาเล่าว่าพวกเขาเห็นสวนสัตว์หลิงโย่วทำอุโมงค์ลอยฟ้า เพื่อน ๆ ก็สนใจ จากสิบเล่าต่อกันไปเป็นร้อย แต่ละคนจึงกลับไปรบเร้าผู้ปกครอง
สุดสัปดาห์แรกหลังการทำอุโมงค์ จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย พวกเขาต่างมาชมอุโมงค์ลอยฟ้า
เวลานี้อุโมงค์นี่มีไว้สำหรับเล่อเล่อ
เล่อเล่อเป็นรุ่นบุกเบิกของสวนสัตว์หลิงโย่ว มันอยู่แต่ในกรงของตัวเองมาตลอด ไม่เคยได้ไปโซนเลี้ยงแบบปล่อย หลังป้าฮวนฮวนจากไป มันก็อยู่ตัวเดียว
พออุโมงค์สร้างเสร็จ มันเข้าไปหยั่งเชิงดูหนึ่งครั้ง เจ้าหน้าที่เปิดประตูตรงปลายอุโมงค์จากด้านนอก
เล่อเล่อมองช่องสี่เหลี่ยม ยื่นหน้าเข้าไปอย่างอยากรู้อยากเห็น ต่อมามันมุดเข้าไปด้านใน ผ่านเนินหนึ่งแห่ง เดินจากด้านบนออกไปจากพื้นที่ พอยืดคอก็เห็นโลกภายนอก
สัตว์ในสวนสัตว์รู้ว่า “กระจก” คืออะไร แต่เล่อเล่อยังลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนก้าวเท้า มันเห็นว่าด้านล่างมีพวกมนุษย์ยืนอยู่ และซ้ายขวาของกระจกคือยอดไม้!
วันแรกเล่อเล่อไม่ได้ใช้เวลาอยู่ข้างนอกนาน แค่มอง ๆ โลกใหม่นิดหน่อยแล้วก็ถอยกลับทางเดิม เป็นการพิสูจน์ได้ว่ามันโอเคกับอุโมงค์นี้ และท่าทีหลังจากนั้น ฟ้องว่ามันชอบที่นี่!
อุโมงค์ลอยฟ้าไม่ได้เปิดตลอด ตามปกติเจ้าหน้าที่จะดูสภาพอากาศ เนื่องจากนี่มีค่าเท่ากับการแสดงนอกพื้นที่
ทุกครั้งที่อุโมงค์เปิด สิงโตตัวผู้จอมขี้เกียจจะเปลี่ยนที่ ลุกจากที่นอน มุดเข้าไปในอุโมงค์เพื่อออกไปเล่นข้างนอก
นักท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์มีจำนวนมากเป็นพิเศษ ยิ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวที่รู้เรื่องอุโมงค์นี้จากช่องทางต่าง ๆ จะมารออยู่ข้างนอกตั้งแต่เช้า…หลิงโย่วไม่ได้ประชาสัมพันธ์เรื่องอุโมงค์นี้ เนื่องจากยังอยู่ในช่วงทดลอง แต่เห็นได้ชัดว่าพวกนักท่องเที่ยวให้ความสนใจกันมาก
ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้อง เล่อเล่อเยื้องย่างออกมา แหงนหน้าคำราม
นักท่องเที่ยวที่ยืนอยู่ใต้อุโมงค์สูดลมหายใจ ระยะใกล้มาก แค่เงยหน้าก็เห็นสิงโตตัวผู้คำราม แถมยังเป็นมุมแปลกใหม่เป็นพิเศษ มองเห็นท้องที่ขยับขึ้นลงของเล่อเล่อด้วย
เล่อเล่อไม่ตื่นกับพวกนักท่องเที่ยว มันเดินไปกลางทางท่ามกลางสายตาของผู้คนแล้วลงนอน อาบแดด งีบหลับ
ตัวมันแนบติดกระจก เต็มแน่นเป็นแผง หางสะบัดเป็นระยะ
เล่อเล่อพลิกตัวนอนตะแคง หน้าแนบติดกระจก ทำให้คนข้างล่างเห็นชัด
“โธ่ ทำไมเปลี่ยนท่าล่ะ ท่าเมื่อกี้ดีอยู่แล้ว มองเห็นอุ้งเท้าด้วย!” นักท่องเที่ยวบ่น เมื่อกี้เล่อเล่อนอนหมอบเลยเห็นอุ้งเท้าอิ่มเนื้อของมันอยู่บนกระจก
“ตอนนี้ แบบนี้ก็ตลกดีไม่ใช่เหรอ หน้าบู้บี้เลย…”
พวกคนที่อยู่ใต้อุโมงค์เงยหน้าทั้งที่มีเด็กนั่งอยู่บนไหล่ตัวเองเพื่อมองดู
โดยไม่รู้ตัว เด็กสาวคนหนึ่งมองเพลิน แหงนหน้ามากเกินจึงเสียการทรงตัวหงายไปด้านหลัง
โชคดีที่ตอนนี้คนเยอะ ผู้ชายที่อยู่ด้านหลังเลยยื่นมือมารับตัวเอาไว้ได้ทัน ทั้งคู่ตกใจจนหน้าแดง พวกนักท่องเที่ยวที่อยู่ข้าง ๆ หัวเราะอารมณ์ดี และมีคนแนะให้พวกเขาทำความรู้จักกัน
ทั้งสองคนมองตากันแวบหนึ่งแล้วแลกวีแชตกันจริง ๆ เรื่องนี้นับได้ว่าเป็นวาสนา เนื่องจากการที่ต่างฝ่ายต่างมาที่นี่ แสดงว่าต้องชอบสัตว์เหมือนกัน เท่ากับมีงานอดิเรกแรกให้แชร์กันได้แล้ว
เล่อเล่อครอบครอง “อุโมงค์แมวยักษ์” นี้อยู่ตัวเดียว มันชอบทัศนียภาพอันกว้างขวางของที่นี่ ชอบนอนและอาบแดดตรงตำแหน่งที่ลอยเหนือถนน ชอบเดินไปฝั่งตรงข้ามเพื่อซึมซับความรู้สึกที่แตกต่างจากใต้ร่มไม้ ให้ลมพัดกลิ่นหญ้าหอม ๆ มา
วิธีรับชมแบบนี้ได้รับคำวิจารณ์ดี ๆ จากนักท่องเที่ยวจำนวนมาก นักท่องเที่ยวบางส่วนบังเอิญเดินมาใต้อุโมงค์แล้วต้องตกใจที่มีสิงโตคำรามอยู่เหนือศีรษะ เพราะยังไม่รู้เลยว่าที่นี่มีอุโมงค์อยู่!
คาดว่าเล่อเล่อเองก็ไม่รู้ว่าพวกมนุษย์ที่อยู่ด้านล่างถ่ายรูปแปลก ๆ ของมันไว้มากมาย ถ้าบอกว่าอุ้งเท้าเรียกว่าน่ารัก งั้นตอนที่มันเผลอแลบลิ้นเลียกระจกก็เป็นภาพพิสดารอย่างยิ่ง
พวกนักท่องเที่ยวส่งเสียงดังกันเซ็งแซ่
“ฉันมองมุมนี้ได้ทั้งวันเลย ขอเวลาเปิดอุโมงค์เยอะ ๆ หน่อยได้ไหม…”
“ทำอุโมงค์ให้สัตว์อื่นด้วยได้หรือเปล่า เล่อเล่อขี้เกียจมาก อยากเห็นสัตว์ดีด ๆ”
“ลองนึกภาพดูนะว่าถ้ามีอุโมงค์ลอยฟ้าพาดกันไปมา ข้างในมีสัตว์สารพัดชนิดแล้วแต่งด้วยต้นไม้ใบหญ้า ฉันว่าต้องสวยมากแน่นอน!”
“แม่เจ้า ฉันว่าถ้าทำแบบนี้ให้จ้งเป่าสักอัน ฉันต้องเป็นลมแหง”
“ไม่ต้องเดินไปไหนแล้ว! อยากเห็นจ้งเป่ากับพายุทมิฬกลิ้งไปตามอุโมงค์!”
“แค่คิดก็หายใจไม่ทั่วท้องแล้ว ถ้าได้เห็นท้องกับอุ้งเท้าของจ้งเป่าจากด้านล่าง…ได้เห็นจ้งเป่าอยู่บนหัวฉัน…”
“ลงชื่อขอกันเถอะ พอทำเสร็จ ฉันจะไม่ไปไหน จะอยู่มันที่สวนสัตว์หลิงโย่วนี่แหละ! นอนดูมันกลิ้ง”
[1] คำว่า กลิ้ง ในภาษาจีนออกเสียงว่ากุ่น สามารถใช้เป็นคำไล่ แปลว่า “ไสหัวไป” ได้ด้วย
[2] กู่ หรือพญาพิษ เป็นวิชาคุณไสยของชนเผ่าทางตอนใต้ของจีน คือการเลี้ยงสัตว์พิษร้ายแรงหลายชนิด เช่น งู คางคก แมงมุม แมงป่อง ตะขาบ เป็นต้น ไว้ด้วยกันในภาชนะปิดผนึก แล้วปล่อยสัตว์สู้กันเองจนเหลือตัวสุดท้ายที่แข็งแกร่งที่สุด กลายเป็นพิษกู่ นำมาใช้ฆ่าคน หรือทำให้เจ็บป่วย